[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 50: แผนตอบโต้


โซวมะมอบหน้าที่ฝึกฝนให้ชิชุลและกัลกาก้า จากนั้นจึงตัดสินใจกลับเมืองบอลนิสชั่วคราว โดยนำตัวไปเพียงสมาชิกคนสำคัญ

เมื่อผ่านประตูเมืองที่เปิดอ้า สายตาจากทุกสารทิศก็ถูกดึงดูดมายังกลุ่มของโซวมะ

ทว่าเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องปกติ

สองบุรุษผู้เป็นตัวแทนโซออน การัมและเซอร์กู คนแคระผู้มีหนวดยาวงดงาม ดวาลิน และไดโนซอเรี่ยน จาฮานกิล ทั้งหมดล้วนแต่มีบรรยากาศดุดันทั้งสิ้น หากมิให้กลายเป็นจุดสนใจย่อมเป็นไปไม่ได้

และ ผู้ที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดในกลุ่มคือ คิซากิ โซวมะ เด็กหนุ่มชาวมนุษย์ที่ดูอย่างไรก็อ่อนแอ โดยมีเชมุลและชาฮาต้าเดินนำเป็นองครักษ์

ในสายตาโซออนและเหล่าอดีตทาสจากเผ่าพันธุ์อื่น เขาคือผู้นำลึกลับที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ในสายตาชาวเมือง เขาคือผู้รุกรานที่มีเผ่าพันธุ์ครึ่งมนุษย์น่าหวาดกลัวติดตาม

ยามที่ได้รับสายตาหวาดกลัวจากชาวเมืองนั้นเอง โซวมะก็เดินสำรวจสถานะของเมือง

เท่าที่โซวมะเห็น ตอนนี้หลายๆ ส่วนของเมืองบอลนิสดูสงบลงแล้ว

ตอนที่ยึดเมืองได้ทีแรก ถนนในเมืองแทบจะไร้ชาวเมือง ทว่าผ่านมาหลายวัน ชาวเมืองก็เริ่มกลับมาปรากฏบนถนนหลักบ้างแล้ว ทว่าเพื่อเลี่ยงไม่ก่อปัญหาที่ไม่จำเป็นกับโซออนและอดีตทาส พวกเขาจึงมักก้มหน้าลงต่ำ เดินที่ริมถนน และเลี่ยงไม่สบตาใคร ล้วนแต่กระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศราวกับลูกแมงมุมเมื่อได้เห็นโซวมะ ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาอยู่บ้าง

แต่ถึงยังไงบรรยากาศในเมืองก็ดีขึ้นบ้างแล้ว มันเป็นผลจากข่าวเรื่องนโยบายของโซวมะ ที่ว่าเขาไม่คิดจะกดข่มชาวเมืองดั้งเดิมเริ่มแพร่ไปในหมู่ประชาชนแล้ว

ถึงจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ข่าวสาธารณะแบบหนังสือพิมพ์หรือวิทยุยังไม่ปรากฏบนโลกนี้ ดังนั้นเวลาจะประกาศข่าวให้ชาวเมืองทราบ ผู้ครองดินแดนก็จะเชิญผู้มีอิทธิพลของชาวเมืองมาที่คฤหาสน์แล้วแจ้งรายละเอียดที่ต้องการให้ประกาศออกไป คนพวกนี้ก็จะนำข่าวสารไปบอกผู้ใต้บังคับบัญชา แล้วค่อยกระจายข่าวต่อออกไปอีกครั้งเหมือนเล่นเกมโทรศัพท์ ซึ่งมักจะแพร่ไปได้ทั่วเมือง

ทว่าโซวมะกับโซออนไม่รู้เรื่องแบบนี้สักนิด

คนที่ช่วยพวกเขาเอาไว้คือมาโครนิส

“ชาวเมืองดูท่าจะกังวลและหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย เจ้าต้องรีบจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว”

ได้ยินคำแนะนำจากผู้ช่วยผู้บัญชาการทัพฮอลเมียที่ยินยอมร่วมมือด้วยอ้างว่าเพราะลูกน้องใต้บังคับบัญชาถูกจับเป็นตัวประกัน โซวมะก็รีบเรียกผู้มีอิทธิพลในเมืองมาทันที แจ้งว่ากลุ่มเขาไม่ตั้งใจจะทำร้ายชาวเมืองอย่างไร้เหตุผลเพื่อคลายความกังวลลง

สิ่งที่ทำให้คนเหล่านี้รู้สึกปลอดภัยที่สุดคือการที่โซวมะแจ้งว่าพวกเขาสามารถนำทรัพย์สินติดตัวเดินทางออกจากเมืองได้โดยสงบหากต้องการ

แม้จะบอกให้พวกเขาตัดสินใจกันเอง แต่โซวมะก็ยังแอบรู้สึกกังวลอยู่ว่าคนส่วนใหญ่ในเมืองจะย้ายออกกันจนหมดไหม แต่ปรากฏว่ามีคนย้ายออกจริงๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือนเท่านั้น

เรื่องนี้โซวมะไม่เข้าใจ ทว่าการย้ายเมืองสำหรับคนที่นี่ไม่ต่างจากการเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง ทันทีที่ออกนอกเมืองหรือหมู่บ้านที่มีทหารยามเฝ้าดูแล ก็นับว่าเข้าสู่ดินแดนไร้กฎเกณฑ์แล้ว ไม่เพียงแต่อาจประสบภัยธรรมชาติและสัตว์ป่าเท่านั้น ทว่ายังมีโจรเถื่อนอีกนับไม่ถ้วนที่อันตรายยิ่งกว่า

ต่อให้หลบหนีอันตรายทั้งหลายทั้งปวงไปจนถึงเมืองหรือหมู่บ้านใหม่ได้อย่างปลอดภัย ก็ยังนับว่ายากจะหางานใหม่หรือสร้างบ้านใหม่โดยเฉพาะหากไร้ซึ่งเส้นสายที่จำเป็น จะกล่าวว่าเมืองและหมู่บ้านคือโลกใบเล็กของคนในโลกนี้ก็ไม่เกินจริงนัก ในสายตาของโซวมะที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน เขามองว่าคนยุคนี้เก็บเนื้อเก็บตัวจนน่าแปลกใจ

ดังนั้น ตราบใดที่ไม่ถูกบังคับให้เผชิญอันตราย คนในโลกนี้ก็ไม่คิดจะยอมย้ายเมืองง่ายๆ

แต่เรื่องที่โซวมะอนุญาตให้พวกเขาสามารถหนีได้อย่างอิสระก็นับว่าเป็นการมอบความรู้สึกปลอดภัยให้แก่ชาวเมืองอย่างแท้จริงอยู่ดี

หลังสำรวจทั่วเมืองแล้วพวกเขาก็กลับมายังคฤหาสน์เจ้าเมือง โซวมะและคนอื่นๆ นั่งลงล้อมวงในสวนใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง ถกกันถึงแผนการในอนาคต

“ผมตั้งใจว่าช่วงนี้จะให้ทุกคนฝึกกันต่อไปก่อน”

การัมพยักหน้าให้กับคำของโซวมะ

“ข้าไม่คัดค้าน ยังมีอีกหลายเรื่องที่ข้าต้องการลอง ทว่าแทนที่จะเสียเวลาทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ตั้งมั่นทำไปทีละอย่างย่อมดีกว่า”

“การฝึกไม่มีปัญหา แต่เรื่องอาวุธเล่า? ”

ดวาลินที่อาสาดูแลเรื่องอาวุธและวัตถุดิบตอบคำถามเซอร์กู

"ตราบที่เจ้าไม่เรื่องมากด้านอาวุธ จำนวนเท่านี้ก็สบายมาก ทว่าชุดเกราะยังมีปัญหาอยู่บ้าง เนื่องจากของทุกอย่างล้วนทำมาเพื่อให้มนุษย์สวมใส่จึงไม่เหมาะสมกับเรา พวกข้าจะแยกชิ้นส่วนแล้วนำมาสร้างใหม่เพื่อให้พวกเราสวมใส่ได้”

“คิดว่าถ้าทำให้มีปริมาณพอสำหรับทุกคนต้องใช้เวลานานแค่ไหนครับ? ”

ได้ยินคำถามของโซวมะ ดวาลินก็ลูบเคราครุ่นคิดครู่หนึ่ง

“ขอคิดดูก่อน...เรายังต้องฝึกฝนและเตรียมวัตถุดิบ ทำทั้งวันทั้งคืนแล้วยังต้องใช้ราวสิบวัน”

“แบบนั้นจะทันหรือ? แค่นำชุดเกราะของมนุษย์มาประกอบแล้วใช้เชือกผูกเอาเช่นนั้นไม่ดีกว่ารึ? ”

ในช่วงเวลาที่ไม่รู้ว่าทัพเสริมจะบุกมาเมื่อไหร่ คำแนะนำของเซอร์กูไม่นับว่าผิดพลาด ทว่าผู้ที่เขาสนทนาด้วยอย่างไรก็เป็นคนแคระผู้ทุ่มถวายชีวิตให้แก่การสรรค์สร้าง

“เจ้าคิดจะเยาะเย้ยพวกข้ารึ!? สร้างขยะเช่นนั้นนับเป็นเรื่องน่าอับอายนัก! ”

โซวมะได้แต่เอ่ยเตือนดวาลิน

“ตอนนี้ผมอยากให้คุณเห็นความสำคัญของชีวิตทุกคนมากกว่าเรื่องความอายไปก่อนนะครับ”

“...ช่วยไม่ได้นะ”

เขาเข้าใจสิ่งที่โซวมะกล่าว ทว่าดวาลินกลับรู้สึกไม่พร้อมประนีประนอมละวางศักดิ์ศรีในฐานะคนแคระลงได้ ทำให้ใบหน้าดูหดหู่ขึ้นมา

ทว่าอย่างไรโซวมะก็เชื่อว่าดวาลินเป็นผู้ที่สามารถข้ามผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ จึงไม่ได้กล่าวอะไรไปมากกว่านี้ และด้วยเหตุนี้เอง ดวาลินก็ไม่ได้ดื้อดึงอะไรอีก ยอมถอยให้ในที่สุด

ระหว่างการโต้แย้งอันเร่าร้อนถึงการตอบโต้ทัพเสริมนี้เอง การัมก็สังเกตเห็นว่าน้องสาวตนดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าใดนัก

“เป็นอะไรไปเขี้ยวสูงศักดิ์”

การัมกระซิบถามอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้เป็นการขัดขวางบทสนทนาที่กำลังดำเนินไป ทว่าเชมุลกลับดูไม่มีทีท่าว่าจะได้ยิน กระทั่งเมื่อการัมสะกิดไหล่นาง เชมุลจึงสะดุ้งเฮือกเงยหน้าขึ้นมา

“...! เขี้ยวคลั่ง เกิดอะไรขึ้น? ”

การัมนิ่วหน้าเมื่อเห็นท่าทีของเชมุล ก่อนหน้านี้นางดูกระตือรือร้นมาโดยตลอดเนื่องจากต้องคอยให้คำแนะนำโซวมะที่ขาดความรู้ความเข้าใจต่อโลกใบนี้

เมื่อลองคิดย้อนไปก็เห็นว่านางแปลกถึงขั้นที่กระทั่งจาฮานกิลเรียกโซวมะว่าไอ้หนูได้ หากเป็นนางที่มันรู้จัก ย่อมต้องเกรี้ยวกราดแล้ว

“ช่วงนี้เจ้าดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คล้ายครุ่นคิดอะไรอยู่ มีปัญหาอะไรรึ? ”

“ไม่มีอะไรหรอก”

“ไม่เป็นไรจริงรึ? ”

“เขี้ยวคลั่ง แม้จะเป็นน้องสาวเจ้าทว่าข้าเองก็เป็นสตรีเช่นกัน เจ้าไม่เห็นว่าการเค้นถามสตรีเป็นเรื่องไม่ควรหรอกรึ? ”

เป็นการปฏิเสธโดยอ้อม เมื่ออีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ กระทั่งการัมก็ไม่อาจเค้นถามนางต่อได้อีก เชมุลรู้สึกผิดต่อพี่ชายตนที่ยอมแพ้ไปด้วยสีหน้าไม่พอใจกับคำอธิบายนัก

เงามืดในใจเชมุลเกิดจากเด็กหญิงลึกลับผู้นั้นเมื่อหลายคืนก่อนในวันที่โซวมะประกาศคำแถลงต่อหน้าทุกคน กระทั่งในยามนี้มันก็ยังก่อให้เกิดความรู้สึกเย็นวาบไปทั่วไขสันหลัง ทำให้เหงื่อเย็นไหลซึมทุกคราวที่นึกถึง

มันคือบางสิ่งที่ชั่วร้าย

ราวกับพายุคลั่งที่พัดทุกสิ่งให้หายลับ เป็นสิ่งที่ไม่อาจต่อต้านด้วยแรงกำลังของผู้เดินดิน อำนาจยิ่งใหญ่เหี้ยมโหดถึงเพียงนั้น ลางสังหรณ์ของเชมุลร้องเตือนนาง

เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งนั้น ผลลัพธ์ย่อมเป็นที่แน่นอนไม่แปรเปลี่ยน

ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้น จงอย่าได้ต่อต้าน และจงสวดภาวนาให้แก่ชีวิตที่ลับหาย

เดิมที กระทั่งเชมุลก็ต้องการกระทำเช่นนั้น

คงจะเป็นการดีหากข้าอุดหูและปิดตา จะได้ไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไร ข้าคงเพียงมองมันเป็นเพียงภาพฝันหรือภาพหลอนเท่านั้น

ทว่า มีเพียงคราวนี้ที่นางมิอาจกระทำดังนั้น เนื่องเพราะสิ่งนั้นกล่าวถึงโซวมะ ผู้เป็น「นายแห่งนาภี」

ยิ่งกว่านั้น มันยังกระทั่งทิ้งคำทำนายเอาไว้ กล่าวว่าโซวมะจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดอันน่าสะพรึงกลัว

เชมุลลอบมองโซวมะ

นางมิอาจสัมผัสถึงสัตว์ประหลาดจากโซวมะได้แม้เพียงเศษเสี้ยว โซวมะผู้ซึ่งยามนี้ยังคงเงยหน้าขึ้นสนทนากับทุกชีวิต เชมุลยังอดมิได้ให้คิดว่าสิ่งนั้นอาจเป็นเพียงภาพหลอน ทว่าอย่างไรก็มิอาจสลัดความรู้สึกไม่สบายใจที่เวียนวนอยู่ในอกออกไปได้

ราวกับจะสลัดมันออก เชมุลส่ายหน้าไปมาเบาๆ

ไม่ทราบว่ามันจะเป็นเพียงฝัน ภาพหลอน หรือปีศาจร้ายภายใต้ราตรีกาล ทว่ายามนี้ยังไม่ใช่เวลาที่นางจะครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านั้น เชมุลบอกตนเอง บังคับให้ตนเองตั้งสมาธิกับการสนทนาถกเถียง

และกระทั่งในยามที่เชมุลเป็นกังวลนี้เอง การโต้เถียงก็มีความคืบหน้าไปบ้างแล้ว

“สุดท้ายพอไม่ได้ข้อมูลเรื่องกำลังเสริมมาก็เป็นเรื่องใหญ่สินะครับเนี่ย”

โซวมะครวญครางเมื่อไม่อาจเลือกวิธีโต้ตอบที่เหมาะสมออกมาได้

โซวมะและผู้อื่นไม่สามารถแม้แต่จะทำนายขนาดของทัพเสริมและช่วงเวลาที่พวกนั้นจะปรากฏตัวออกมาได้

เนื่องเพราะกลุ่มของโซวมะไม่อาจรวบรวมข้อมูลของฮอลเมียได้

“ผู้ควบคุมข้อมูลคือผู้ควบคุมโลก” มีคำกล่าวแบบนี้อยู่เหมือนกัน กระทั่งในมังงะและนิยายที่โซวมะอ่านก็ให้ความสำคัญเรื่องข้อมูลฝ่ายศัตรูเป็นอย่างสูง ในสถานการณ์สำคัญ ข้อมูลยังอาจเป็นไพ่ตายได้อีกด้วย ดังนั้นโซวมะจึงพยายามรวบรวมข้อมูลทัพฮอลเมียจากพวกทหารที่ถูกคุมขังซึ่งเคยเป็นผู้รักษาเมือง

ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ผล

เนื่องจากพวกนักโทษเชื่อว่าอีกไม่นานตนเองจะเป็นอิสระโดยได้ทัพเสริมมาช่วยปลดปล่อย จึงได้ยืนกรานหัวชนฝาไม่ปริปากบอกข้อมูลสำคัญ จะได้ไม่ถูกลงโทษที่เผยเรื่องสำคัญออกไป

ด้วยความคิดเช่นนี้ของมนุษย์นั่นเอง จาฮานกิลจึงเสนอจะฉีกกระชากร่างกายพวกมันระหว่างทรมานเพื่อให้อีกฝ่ายคายข้อมูลออกมา แต่แน่นอนว่าโซวมะต้องไม่มีทางตกลงอยู่แล้ว นอกจากเขาจะให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมและศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์กระทั่งกับนักโทษ โซวมะจึงเชื่อว่าเรื่องนี้ต้องกลายเป็นปัญหาใหญ่ในการปกครองเมืองแน่

ถึงอย่างนั้น ถ้าหากพวกเขาขับไล่ทัพเสริมกลับไปไม่ได้ สุดท้ายความตั้งใจที่ว่าก็ไร้ประโยชน์

ถ้าไม่สามารถดึงข้อมูลได้ถึงขนาดนี้ ดังที่คาดไว้ แม้แต่โซวมะเองก็ลังเลขึ้นมาไม่ได้ว่าควรจะเริ่มเค้นข้อมูลด้วยการทรมานไหม

“ตอนนี้พวกเรายังไม่รู้ขนาดทัพศัตรู ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ ผมว่าเราคงไม่มีทางเลือก ต้องรออีกฝ่ายเคลื่อนไหวก่อน พยายามจับตามองพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

โซวมะเสนอวิธีดั้งเดิมที่ค่อนข้างน่าเชื่อถืออย่างการเฝ้ารอและจับตามองขึ้น แต่กลับมีเสียงจากผู้มาใหม่ที่โซวมะคาดไม่ถึงดังขึ้น

“ถ้าเป็นเรื่องขนาดของทัพเสริม ข้าคาดว่าน่าจะมีอย่างน้อยประมาณสี่พัน มากสุดหกพัน”

ผู้ที่เอ่ยปากคือผู้ช่วยผู้บัญชาการมาโครนิสที่ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีใครรู้สึกตัว

“อะไรล่ะนั่น? ”

การัมมองอีกฝ่ายคล้ายเจอบางสิ่งไม่ชอบมาพากล

ประโยคนี้เอ่ยขึ้นเพื่อโจมตีมาโครนิสที่เป็นฝ่ายเผยข้อมูลสำคัญของกองทัพฝ่ายตนเอง ทว่ามาโครนิสกลับเข้าใจผิด คิดไปว่าการัมถามรายละเอียดเรื่องตัวเลขที่เขาออกปาก

“ทัพฮอลเมียมีทหารราวสองหมื่นนาย ครึ่งหนึ่งเคยเป็นทหารชายแดนป้องกันอาณาจักรจากโรมาเนียทางตะวันออก แม้อีกหมื่นนายที่เหลือประกอบด้วยกองพลที่ไม่อาจโยกย้ายเช่นหน่วยลาดตระเวนจากหลายภาคส่วนและองครักษ์ประจำเมืองหลวงก็เถอะ หากตัดพวกนั้นออกไปก็จะเหลือราวสี่ถึงหกพันนายที่สามารถโยกย้ายได้ในทันที”

ขณะกล่าวเช่นนั้น มาโครนิสก็เข้ามานั่งร่วมวงสนทนาด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ

“กำลังพลของพวกเจ้ายามเข้าจู่โจมเมืองนี้รั่วออกไปทางผู้ส่งสารที่ทหารประจำเมืองส่งออกไปแล้ว หากนับจำนวนอดีตทาสเข้าไปก็น่าจะเกิดหนึ่งพัน

อย่างไรหากต้องการบุกเข้ายึดเมืองที่มีกำแพงล้อมเช่นนี้ ก็ควรมีกำลังทหารเหนือกว่าฝ่ายตั้งรับสามเท่าขึ้นไป กองทัพเสริมจากเมืองหลวงย่อมต้องมีทหารมากกว่าสี่พันนาย แม้จะเป็นเพียงกองทัพประชาชนที่เกณฑ์คนมาเข้าร่วมที่โยกย้ายได้ทันที อย่างไรก็ต้องหาคนมาเสริมให้ได้ตัวเลขราวนี้ให้ได้”

ถ้อยคำของมาโครนิสเป็นเหตุเป็นผล ทุกคนจึงตั้งใจฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เจ้าครองแคว้นจะมีกองทัพส่วนตัวที่ไม่อาจโยกย้ายได้ทันทีเนื่องจากมีภารกิจในการควบคุมดินแดน ต่างจากกองทัพหลักซึ่งเป็นกองทัพประจำการ หากมีเวลามากกว่าย่อมเป็นคนละเรื่องกัน ทว่าการกบฏในคราวนี้--โอ ขออภัย ในสายตาของฮอลเมียย่อมมองเช่นนี้ หากการกบฏนี้แผ่ขยายไปยังบริเวณอื่นย่อมเป็นปัญหา ดังนั้น ทางนั้นย่อมต้องการบดขยี้พวกเจ้าโดยทันที”

ถึงคราวนี้ มาโครนิสเผยรอยยิ้มขม เกาศีรษะตนเอง

“แล้วก็ทราบหรือไม่ว่ายังมีอีกเหตุผลที่พวกเขาอยากบดขยี้เจ้าโดยไว? ฝ่าบาทวลิตัส คนที่พวกเจ้ากักตัวไว้ผู้นั้น--แม้จะเป็นเจ้าครองแคว้นแห่งนี้ ทว่าท่านผู้นั้นยังคงเป็นพระอนุชาของกษัตริย์พระองค์ปัจจุบัน”

เมื่อเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น ทุกคนก็เบิกตากว้าง จ้องมองมาโครนิสอย่างแปลกใจดังที่คาดไว้

“การรุกที่ราบซลเบียงต์เองก็เป็นไปตามรับสั่งแห่งราชวงศ์ฮอลเมีย ดังนั้นฝ่าบาทจึงได้รับมอบหมายให้มายังเมืองบอลนิสอันเป็นแนวหน้าในฐานะเจ้าผู้ครองแคว้น ทว่าพวกเจ้าจับตัวพระอนุชากษัตริย์เอาไว้เช่นนี้ย่อมเป็นการตบหน้า เสมือนการหมิ่นเกียรติแห่งราชวงศ์ องค์เหนือหัวย่อมต้องการปราบกบฏ ปลดปล่อยพระอนุชาโดยไวเป็นแน่

หากนับเรื่องนี้ด้วย ข้าคิดว่าพระองค์ย่อมเชื่อว่าหากบดขยี้พวกเจ้าด้วยทัพที่เคลื่อนไหวได้โดยทันทีย่อมดีกว่าใช้ทหารซึ่งต้องเสียเวลารวบรวมกระมัง”

เมื่อได้ยินแบบนั้น โซวมะก็เปลี่ยนใจ

ตอนที่โซวมะพบเจ้าแคว้นแห่งบอลนิสที่ถูกการัมจับตัว คนคนนั้นบอกว่าตนเองเป็นบุคคลสำคัญซึ่งอาจเรียกค่าไถ่ได้สูง

พอมาคิดๆ ดู มันก็แปลกตั้งแต่ตอนที่บอกว่าจะเรียกค่าไถ่ได้ทั้งที่หมอนั่นก็อยู่ในดินแดนของตัวเอง แถมยังโดนแย่งชิงดินแดนไปแล้วอีกต่างหาก แต่จริงๆ ก็มีเหตุผลอยู่สินะ

“อย่างไรก็ตาม การรวบรวมและจัดหาอาวุธ รวมไปถึงตรวจสอบอุปกรณ์ก็เป็นสิ่งมิอาจเลี่ยง อีกประการ สำหรับเมืองที่ได้รับการปกป้องแน่นหนาด้วยกำแพงแข็งแกร่งเช่นนี้ล่มสลายได้ ย่อมจำเป็นต้องเตรียมอาวุธเพื่อล้อมตี เพียงสิ่งนี้ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว”

“หนึ่งสัปดาห์เหรอครับ? ”

โซวมะที่เริ่มกังวลว่าอาทิตย์ของที่นี่จะเหมือนหนึ่งอาทิตย์ในโลกของเขารึเปล่าก็หันไปถามเชมุลด้วยสายตา เธอเข้าใจและอธิบายทันที

“เริ่มจากวันของเทพแห่ง, น้ำ, ดิน, ลม, สรรพสัตว์, ปักษา และสุดท้ายคือวันของเทพแห่งมนุษย์ รวมทั้งสิ้นเจ็ดวัน”

ชื่อวันแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ก็มีเจ็ดวันเหมือนญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน โซวมะรู้สึกโล่งใจขึ้นมา

โลกนี้ไม่มีวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดพักผ่อนเหมือนโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งเรื่องนี้โซวมะมาทราบทีหลังหลังจากนั้นเล็กน้อย

“ดังนั้น เพื่อเตรียมการหลายๆ อย่างให้เสร็จสิ้น ต้องใช้เวลาเกือบสามสัปดาห์ ดังนั้นไม่ว่าจะเร่งร้อนอย่างไร ก็ยังต้องผ่านเมืองลัวม่าแล้วจึงจะมาถึงเมืองนี้ได้ เจ้าทราบหรือไม่? ”

สถานการณ์ปัจจุบันที่พวกเขายังไม่อาจสั่งการให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ แม้จะดูเหมือนยาวนานแต่สามอาทิตย์นับว่าสั้นมาก โซวมะที่มองว่ายิ่งมีเวลามากยิ่งได้เปรียบก็ออกความคิดขึ้นมา

“เป็นไปได้ไหมครับว่าเราจะเจรจากับกษัตริย์แห่งฮอลเมียโดยการใช้ตัวน้องชายเขาที่เราจับตัวไว้”

“เป็นไปไม่ได้”

มาโครนิสอธิบาย

“กล่าวโดยตรง พระอนุชามีชื่อเสียงเลวร้ายนัก ไม่เพียงวางตัวไม่เหมาะสม ละโมบโลภมาก ทว่ายังกระหายต่อปรารถนา ทรงรวบรวมมิใช่เพียงมนุษย์ ทว่ากระทั่งทาสสตรีจากเผ่าพันธุ์อื่นไว้ในพระราชวังส่วนพระองค์ในเมืองหลวง จัดงานสังสรรค์ดังที่ยากจะกล่าวถึง ละทิ้งกิจการงานสำคัญภายในประเทศหลายต่อหลายคราว ส่งพระองค์มาเป็นเจ้าแคว้นแห่งนี้ก็นับเป็นการเนรเทศโดยกลายแล้ว

แม้เจ้าจะใช้ชีวิตของพระอนุชาเป็นเครื่องมือเจรจาต่อรอง องค์กษัตริย์ก็คงจะหมางเมินเจ้าและเข้าจู่โจมเมืองแห่งนี้ แม้พระอนุชาจะทรงถูกสังหาร ทว่ายังสามารถใช้เพื่อสร้างข้อมูลชวนเชื่อต่อสาธารณชนได้ คงกล่าวได้ว่า ข้าเดิมพันด้วยทุกสิ่งที่มี คาดว่าองค์กษัตริย์ย่อมต้องกระทำเช่นนั้นโดยไม่ต้องสงสัย”

เมื่อลงทุนยืนยันขนาดนี้ เราก็คงได้แต่ยอมแพ้เรื่องเจรจาต่อรองด้วยชีวิตน้องชายพระราชาแล้ว

โซวมะลดสายตามองแผนที่บริเวณนี้ที่กางอยู่กลางวงสนทนา

ศัตรูมีอย่างน้อยมากกว่าสี่พันนาย เผชิญหน้าโดยตรงคงเป็นไปไม่ได้แน่ ในทางกลับกัน ควรจะคิดหาวิธีที่ไม่ต้องสู้กันโดยตรง

ถ้าทำแบบนั้น ก็ไม่มีอะไรนอกจากที่นี่แล้ว

คิดแบบนั้น โซวมะก็มองดูจุดหนึ่งที่ตั้งอยู่ในแผนที่ จากนั้นจึงยกนิ้วแตะคาง หน้าง้ำอย่างครุ่นคิดไม่ขยับเขยื้อน

เห็นโซวมะนิ่งเงียบไป ดวาลินเชื่อว่าการสนทนานี้คงจบแล้ว จึงได้เริ่มพูดขึ้น

“เช่นนั้นก็ไม่มีทางอื่นนอกจากสงครามปิดล้อม”

การัมเอ่ยค้าน

“ทว่าพวกข้าโซออนไม่ถนัดต่อสู้ในพื้นที่ปิดล้อม

กองกำลังหลักที่ติดตามโซวมะในตอนนี้คือโซออน ทว่าหากกลายเป็นสงครามปิดล้อม โซออนย่อมไม่อาจใช้ความคล่องตัวซึ่งเป็นจุดแข็งได้ ย่อมทำให้ไม่อาจสู้ได้เต็มที่

“เช่นนั้นพวกเจ้าจะบุกเข้าสู้กับกำลังเสริมกว่าสี่พันนายนั่นรึ? ”

การัมพูดไม่ออกเมื่อโดนดวาลินสวน

การัมกล้าหาญ ทว่ามิได้ไร้สมอง เรื่องที่บิดามารดาของเขาถูกบดขยี้จนพ่ายแพ้หมดรูปหลังบุกเข้าประจันหน้ากับทัพฮอลเมียโดยไม่คิดหน้าคิดหลังถูกบอกเหล่าซ้ำๆ เสียจนหลอนอยู่ในหู เขาย่อมไม่มีทางทำผิดพลาดดังที่บิดามารดาเคยกระทำ

การัมยอมแพ้ ยกสองมือขึ้นสูงระดับไหล่

“แม้ข้าจะหัวแข็งทว่าอย่างไรก็ไม่มีทางอื่นแล้ว หากต้องเป็นสงครามปิดล้อม เราย่อมทำตามคำสั่ง”

ดังนั้น ดวาลินจึงพยักหน้าอย่างพอใจ

“หากมีเวลาสามสัปดาห์ การจัดการประตูและกำแพงเมืองรวมไปถึงหลายๆ อย่างน่าจะทันเวลา อา ใช่แล้ว เรายังต้องจัดหาเสบียงและวัตถุดิบผลิตใช่หรือไม่? ”

ในโลกใบนี้ คนแคระไม่เพียงเป็นที่รู้จักในฐานะช่างฝีมือผู้เก่งกาจ ทว่ายังเป็นที่เลื่องลือด้านสงครามแนวตั้งรับ เมื่อจะได้ยืดเส้นยืดสายใช้พรสวรรค์ตนในด้านที่ถนัดอย่างเต็มที่ ดวาลินก็รู้สึกราวกับเลือดกำลังสูบฉีดอย่างตื่นเต้น

“โซมะ ข้าว่าไม่มีทางอื่นนอกจากสงครามปิดล้อมแล้ว ทว่าเจ้าว่าอย่างไร? ”

เสียงของดวาลินคล้ายจะขอคำยินยอม ทว่าไม่มีใครออกความเห็นค้าน ด้วยเพราะทุกคนต่างก็เชื่อว่ายามนี้ไม่มีทางอื่นนอกจากสงครามปิดล้อมแล้ว

ทว่าโซวมะกลับเอ่ยสิ่งที่ทำให้พวกมันต้องอึ้งงันราวสายฟ้าฟาด

“ผมคิดถึงการโจมตีมากกว่าป้องกันนะครับ”

แผนที่ฮอลเมียตะวันตก




แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น