เมื่อได้รับพระบัญชาจากราชาแห่งฮอลเมียให้ปราบปรามทาสกบฏแห่งบอลนิส ดาริอุสก็ออกจากพระราชวัง มุ่งตรงสู่ป้อมปราการทัพหลวงที่ตั้งอยู่ชานเมือง
แม่ทัพผู้ดูแลป้อมปราการย่อมตกใจแล้ว
แม้จะกล่าวว่าทั้งสองแม่ทัพมีตำแหน่งทัดเทียม ทว่าอย่างไรแม้จะเกษียณแล้ว อีกฝ่ายก็ยังเป็นถึงอดีตจอมทัพ
ดาริอุสเป็นคู่แข่งที่เขามิอาจเทียบเทียม ไม่ว่าจะทางตำแหน่ง เบื้องหลัง หรืออายุ เขาลุกพรวดอย่างตกใจ สวมผ้าคลุมชุดทางการตามมารยาท แล้วจึงเร่งร้อนไปทักทายอีกฝ่าย ทว่าดาริอุสเพียงกล่าวว่า “เข้าไปล่ะนะ” แล้วก็เดินเข้ามายังป้อมปราการโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
เมื่อเห็นว่าปลายทางของอีกฝ่ายคือหอนอนที่ทหารทั่วไปอยู่อาศัย แม่ทัพก็พยายามห้ามปรามเอาไว้อย่างเร่งร้อน ทว่าดาริอุสไล่เขาด้วยคำสั้นๆ เพียง “อย่ายุ่ง”
ดาริอุสเปิดประตูบุกเข้าหอนอนทันที
“บอลกัสอยู่หรือไม่?! ”
เสียงดาริอุสดังลั่นไปทั่วหอนอนที่มีเพียงเตียงง่ายๆ วางเรียงอย่างเบียดเสียด
เหล่าทหารต่างก็ตกตะลึงกับการมาเยือนอย่างกะทันหันของดาริอุส พลันบุรุษวัยกลางคนผมสั้นสีเข้มที่มีหนวดเครารุงรังก็ก้าวออกมา หากมิใช่ที่นี่คือหอนอนทหาร บุรุษหน้าตาป่าเถื่อนผู้นี้คงมิแคล้วโดนเข้าใจผิดว่าเป็นหัวหน้าโจร
เขาเป็นทหารผ่านศึกที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของดาริอุสพร้อมทหารทั่วไปในอดีต
“ไงท่านใต้เท้าจอมทัพ มาทำอะไรในเล้าหมูนี่เล่า? ”
ท่าทางของทหารในหอนอนถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย เหล่าทหารหนุ่มที่ไม่คิดว่าท่านแม่ทัพขุนนางชั้นสูงจะมาเยือนหอนอนที่พวกตนมองว่าเหมือนที่ทิ้งขยะโสโครกต่างก็ตัวแข็งทื่อไปอย่างตกตะลึง ทว่า ทหารผ่านศึกที่เคยต่อสู้ใต้บังคับบัญชาของดาริอุสล้วนแต่ส่งเสียงโห่ประท้วงออกมาว่า ‘พวกข้าเป็นหมูรึ?! ’ และ ‘เล้าหมูยังดีกว่าหอขยะนี่เสียอีก’
“ข้าไม่ใช่จอมทัพอีกแล้ว ทว่า ดีใจที่ได้เห็นเจ้ายังเหมือนเดิม”
“ต้องขออภัยด้วยนะท่านใต้เท้าจอมทัพ แต่สิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ไม่เปลี่ยนแปลงเร็วเพียงนั้นหรอก”
“เรื่องนั้นก็ไม่ผิด”
ดาริอุสคลายสีหน้าลงทันควัน ราวกับกำลังมองบางสิ่งที่คิดถึง จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งเครียด
“เจ้าได้ข่าวบอลนิสแล้วใช่หรือไม่? ”
“เรื่องนั้นก็…”
เพียงเท่านั้นก็เดาได้ว่าดาริอุสต้องการพูดอะไร บอลกัสเอ่ย
“แปลว่าท่านต้องการพวกเราใช่หรือไม่เล่า? ”
“จากนี้ข้าจะเริ่มจัดทัพบุกโจมตี แต่ต้องการให้เจ้ามาเป็นผู้ดูแลสองกองร้อย”
“ข้าน่ะไม่ว่า แต่เจ้าพวกนายน้อยขุนนางคงไม่พอใจอีกแล้ว”
พิศจากวิธีพูดของดาริอุส ดูคล้ายคนกำลังจะตั้งทัพทำภารกิจพิเศษ และคงจะให้ข้าเป็นผู้บัญชาการ ทว่าด้วยเป็นหน่วยที่มีขึ้นเพื่อภารกิจพิเศษ เพียงเข้าร่วมก็ง่ายแก่การทำผลงานแล้ว สำหรับพวกทหารขุนนางกระหายผลงานคงปรารถนาหน้าที่นี้แทบคลั่ง ทว่าหากถูกขโมยไปด้วยมือของสามัญชน พวกมันย่อมไม่พอใจแล้ว
“ข้าไม่สน ย่อมไม่จำเป็นต้องขบขันเด็กน้อยที่เชื่อว่าตนสู้รบเป็นเพียงเพราะสืบทอดเชื้อสาย”
“ฮ่า...ทว่าผู้ที่ต้องเผชิญความไม่พอใจนี้ย่อมต้องเป็นพวกเรา ท่านไม่คิดหรือ? ”
“เช่นนั้นข้าจึงเลือกเจ้า เจ้าสามารถจัดการดูแลเจ้าพวกโง่เง่าไร้เดียงสาเหล่านั้นได้”
นับแต่ยามที่ดาริอุสยังคงรุ่งเรืองในฐานะจอมทัพ เขาแต่งบอลกัสให้อยู่ในตำแหน่งสำคัญมาโดยตลอด มิใช่เพียงมีความกล้าหาญเอ่ยปากต่อหน้าขุนนางใหญ่เช่นดาริอุส หรือเพราะใจกว้างอันเป็นเหตุให้เหล่าทหารสามัญชนพากันยกย่องเท่านั้น
สิ่งที่เป็นจุดสำคัญเหนืออื่นใด คือความเข้มแข็งเหนือชั้นที่ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการกลั่นแกล้งสบประมาทจากเหล่าผู้มีตำแหน่งเหนือกว่าและขุนนางจอมริษยาที่มีตำแหน่งสำคัญได้โดยง่าย
“อืม เรื่องนั้นท่านก็ไม่ผิดกระมัง เช่นนั้นมีเหตุใดทำให้ท่านต้องเร่งร้อนมาที่นี่เล่า? หากเพียงเท่านี้ย่อมเรียกพบข้าหลังจัดทัพได้มิใช่หรือ? ”
“เช่นนั้นจะสายเกินไป ข้ามีเรื่องให้เจ้าต้องลงมือเดี๋ยวนี้”
กล่าวดังนั้น ดาริอุสก็กางแผนที่ฮอลเมียตะวันตกที่ถือไว้ แล้วลงรายละเอียดภารกิจทันที เมื่อได้ยินแล้วบอลกัสก็แสดงสีหน้าคล้ายจะกล่าวว่าที่อีกฝ่ายกล่าวมาดูไม่สมเหตุสมผล แม้จะเข้าใจรายละเอียดก็ตามที
“เห เข้าใจล่ะ ทว่าโซออนสามารถถึงเพียงนั้นจริงหรือ? ข้าไม่เคยได้ยินว่าเป็นเช่นนั้นมาก่อน”
“แม้จะเป็นเพียงโชคของคนโง่ก็ไม่สำคัญ เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการหยอกเย้าทำลายพวกมันเท่านั้น”
เมื่อดาริอุสยอมรับ เช่นนั้นบอลกัสก็ไม่คัดค้าน คนก้มหัวเล็กน้อยก่อนตอบ ‘รับทราบ’
“ข้ามอบหน้าที่คัดเลือกทหารเข้าหน่วยเจ้าให้เจ้าจัดการเอง ส่วนอาวุธและเสบียงของพวกเจ้า ข้าจะจัดการกับกระทรวงการสงครามให้ เจ้าทำตามใจเถอะ”
“เช่นนั้นย่อมดีนัก”
บอลกัสหันไปหาเหล่าทหารที่ตั้งใจฟังบทสนทนาของพวกตน ก่อนจะเอ่ยเสียงดัง
“พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่ เจ้าพวกบัดซบ!? เราจะมอบชัยชนะให้แก่ท่านอดีตจอมพลที่เหลือเวลาอีกไม่มาก เพื่อประดับประดาแก่ผลงานของท่านเป็นครั้งสุดท้าย”
หอนอนทหารสั่นสะเทือนด้วยเสียงกู่ร้องตะโกนจากเหล่าทหาร
◆◇◆◇◆
เสียงกลองสะท้อนทั่วทุ่งหญ้า ณ ตะวันออกของบอลนิส
รับด้วยเสียงกู่ร้องกึกก้องและเสียงฝีเท้าที่ทำให้ผืนดินสั่นสะเทือน ต้นเสียงตะโกนและเสียงฝีเท้ามาจากโซออนนับพัน และไม่ไกลจากโซออนนัก ยังมีสายตาเหล่าคนแคระและไดโนซอเรี่ยนจับจ้อง
การัมส่งเสียงอย่างภาคภูมิ
“เข้าใจหรือไม่?! หากเสียงกลองเป็นจังหวะเร่งต่อเนื่อง ตึกตึกตึง! ตึกตึกตึง! เช่นเมื่อครู่ ถือเป็นสัญญาณบุก ต่อไป เราจะเล่นกลองเป็นจังหวะออกคำสั่งเตรียมพร้อม! ”
ชิชุลที่ตามอยู่เบื้องหลังตีกลองเป็นเสียง ตึ้ง! ตึกตึ้ง! ทันทีที่ได้ยินคำของการัม ทันใดนั้น โซออนที่วิ่งอยู่ก็หยุดฝีเท้าลงพร้อมกัน
“นี่คือสัญญาณเตรียมพร้อม เอาล่ะ ทุกท่าน ลงมาร่วมพร้อมกัน! ”
ได้ยินคำของการัม กลุ่มคนแคระและไดโนซอเรี่ยนก็เดินเข้ามาแทรกระหว่างโซออน เมื่อยืนยันว่าทุกชีวิตรวมตัวกันแล้ว การัมก็ตะโกน
“เอาล่ะ เริ่มได้! ”
ได้ยินดังนั้น ชิชุลก็เริ่มตีกลอง
สิ่งที่พวกมันทำอยู่ยามนี้คือการฝึกฝนให้พร้อมเพรียงเพื่อรับคำสั่ง
จนถึงไม่นานมานี้ผู้ที่ศิโรราบต่อโซวมะมีเพียงโซออนเท่านั้น ทว่ายามนี้พวกเขายึดบอลนิสมาได้และกลืนกลุ่มผู้ไถ่ตัวเป็นไทเข้าร่วมกองกำลัง การฝึกฝนวิธีการเพื่อรับคำสั่งโดยพร้อมเพรียงย่อมเป็นสิ่งจำเป็น
จังหวะกลองที่ใช้สั่งการของโซออนถูกนำมาใช้โดยไม่เปลี่ยนแปลง กลุ่มโซออนผู้อาศัยในทุ่งหญ้าราบกว้างได้พัฒนาฝีมือในการส่งสารมากมายด้วยจังหวะตีกลองผสมผสานหลากหลายอย่างน่าตื่นตะลึง แน่นอนย่อมมิใช่ทุกชีวิตจะสามารถเรียนรู้ได้ในทันที ยามนี้มีเพียงผู้ที่สามารถจดจำจังหวะจู่โจมและเฝ้ารอเท่านั้น
“วิธีนี้เรียบง่าย ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะให้ร่างกายพวกมันจดจำด้วยการทำเช่นเดิมซ้ำๆ หลายครั้ง ไม่ช้าเร็วก็จะถึงขั้นที่ร่างกายพวกมันตอบรับคำสั่งเสียตั้งแต่ก่อนจะเข้าใจสัญญาณที่ได้ยินเสียอีก”
การัมอธิบายให้โซวมะที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ฟังเช่นนี้ มันส่งสัญญาณมือออกไป ชิชุลตีกลองเป็นจังหวะเตรียมพร้อม พวกโซออนหยุดนิ่งกับที่ทันที ทว่ากลุ่มคนแคระและไดโนซอเรี่ยนยังไม่เข้าใจสัญญาณกลองนักต่างก็สับสนความหมาย ส่งผลให้พวกมันหยุดฝีเท้าลงหลังเห็นโซออนหยุด จากนั้น การัมให้ชิชุลตีกลองเตรียมพร้อมอีกครั้ง เมื่อพวกคนแคระและไดโนซอเรี่ยนได้ยินก็วิ่งออกไปทันที เหลือเพียงโซออนที่นิ่งงันไม่ขยับ ทำให้เกิดภาพความวุ่นวายโกลาหล
“นะ เพิ่งเริ่มเท่านั้น ช่วยไม่ได้”
โซวมะยิ้มอ่อนตอบการัมที่ยิ้มแหยไม่ต่างกัน ทันใดนั้น เสียงดุดันก็ร้องเรียกโซวมะจากด้านหลัง
“เฮ้ย ไอ้หนู”
เป็นนักรบไดโนซอเรียน จาฮานกิล เฮเซ็ม จาลจิลที่นอนผึ่งพุงอยู่บนก้อนหินที่ตั้งห่างจากโซวมะและผู้อื่นเล็กน้อย
“เมื่อไหร่จะเริ่มสู้รบเล่า? ”
โซวมะตอบจาฮานกิลที่ถามด้วยซ้ำเสียงหดหู่อย่างตรงไปตรงมา
“ครับ ตอนนี้เรายังรอความเคลื่อนไหวจากประเทศที่ชื่อว่าฮอลเมียอยู่”
“งั้นรึ…”
จาฮานกิลรับคำด้วยท่าทีไม่ใส่ใจอีกครั้ง ก่อนจะอ้าปากกว้างหาวจนเห็นฟันแหลมคม ทว่าไม่นานนักมันก็เรียกโซวมะอีกครั้ง ยังคงเรียกเขาว่าไอ้หนู
ยังไงโซวมะก็คิดว่าตัวเองเป็นไอ้หนูจริงๆ อยู่แล้ว เขาเลยไม่ได้ใส่ใจอะไร ทว่าชาฮาต้าที่ติดตามโซวมะมาในฐานะองครักษ์กลับปลดปล่อยบรรยากาศกระหายเลือดออกมาทุกครั้งที่เด็กหนุ่มถูกเรียกเช่นนั้น ทำให้โซวมะต้องยิ้มขมปลอบชาฮาต้าก่อนจะรับอีกครั้ง
“อะไรครับ? ”
แม้จะเป็นผู้ออกปากเรียกโซวมะ ทว่าจาฮานกิลกลับเงียบงันไปครู่ใหญ่ คล้ายกำลังค้นหาคำที่เหมาะสม จากนั้นจึงโพล่งขึ้น
“ข้าแข็งแกร่ง”
“...ครับ ผมก็ได้ยินมาแบบนั้นเหมือนกัน”
ที่จริงเขาได้รับคำเตือนจากทั้งการัมและเซอร์กูให้ระมัดระวังตัวจากนักรบไดโนซอเรี่ยนคนนี้เอาไว้ ในเมื่อนักรบโซออนที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสองถึงขั้นเอ่ยปากว่า ‘อย่าเข้าใกล้มันหากพวกข้าทั้งสองไม่ได้อยู่ด้วย’ ออกมาโดยพร้อมเพรียง เขาก็คาดว่าจาฮานกิลน่าจะเป็นนักรบที่น่าประทับใจมากทีเดียว
“ใช่แล้ว ข้าแข็งแกร่ง”
ดูคล้ายจะพออกพอใจกับการตอบรับของโซวมะ รูจมูกของจาฮานกิลบานออกคล้ายกำลังสูดลมเข้า
“ให้ตายซี มันเป็นอะไรของมันกันแน่”
ได้ยินจาฮานกิลและโซวมะที่อยู่เบื้องหลังโต้ตอบกันเช่นนี้ การัมได้แต่งึมงำไม่ให้ทั้งคู่ได้ยิน หากเป็นคนที่ละเมียดละไมสักหน่อยย่อมสัมผัสได้ถึงความโมโหคล้ายจะสื่อว่า หากว่างมากก็มาร่วมฝึกกับผู้อื่นเสีย
เซอร์กูเห็นดังนั้นก็ยิ้มแหยคล้ายยอมแพ้ เอ่ยปาก
“ดูแล้วมันคงยอมรับท่านโซมะอยู่บ้าง แต่เมื่อถึงเวลาคงมิได้เชื่อฟังไปเสียทั้งหมด ทว่าดูไปคงจะตัดสินใจแล้ว”
“...เจ้าจะสื่ออะไร? ”
“ดูหางมันซี”
ชิชุลตีกลองจังหวะบุก
ปลายหางจาฮานกิลขยับไหวไปกลับรุนแรง
ชิชุลตีกลองจังหวะเตรียมพร้อม
หางที่ขยับรุนแรงหยุดชะงักทันควัน จากนั้นจึงแกว่งไกวเชื่องช้า รอคอยกลองจังหวะถัดไป
“...จริงแท้”
เซอร์กูยักไหล่น้อยๆ คล้ายจะกล่าว ‘บอกแล้วไม่ใช่รึ? ’ ต่อการัมที่อยู่ข้างกาย ทว่าการัมคล้ายจะยังหงุดหงิดใจ มันยกยิ้มดุร้าย
“สมกับเป็นผู้มีประสบการณ์ เจ้าเองก็คงรู้ตัวตนในอดีตตนเองดีกระมัง? ”
เซอร์กูหน้าม่อยลงทันทีที่ถูกขุดคุ้ยถึงยามลังเลใจว่าจะติดตามโซวมะดีหรือไม่
“อย่าพล่ามอะไรโง่ๆ ไปหน่อยเลย ข้าประเมินท่านโซมะสูงส่งมาแต่ต้น ใช่หรือไม่ ชิชุล? ”
ชิชุลที่ถูกผู้เป็นอาขอให้พยักหน้ารับกลับยกนิ้วแตะคาง ครุ่นคิดชั่วครู่แล้วจึงว่า
“จริงแท้ ท่านอาประเมินค่าท่านโซมะสูงส่งมาแต่ต้นเจ้าค่ะ ถึงขั้นที่รอคอยจะดูว่าจะสามารถทำให้ท่านการัมหลั่งน้ำตาได้มากน้อยเพียงใดหากสามารถขโมยตัวท่านโซมะจากเผ่าคมเขี้ยวมาได้”
“...โอ ช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจนัก”
การัมจ้องเซอร์กู
“ชะ...ชิชุล! เจ้าทรยศข้ารึ?! ”
“มิใช่เป็นท่านอาหรือเจ้าคะ ที่บอกว่าข้าสามารถเป็นที่ไว้วางใจของท่านการัมอย่างแท้จริงได้ หากเคารพเขาให้มากกว่าเคารพเผ่าตนเอง ยามนี้ข้ามิใช่เป็นผู้ติดตามท่านการัมแล้วหรอกหรือ? ”
“ระ...เรื่องนั้นมัน…”
นี่คือตัวอย่างที่ดีของคำว่าไร้คำจะกล่าวโดยแท้
ชิชุลที่เปิดเผยเรื่องอาตนเองยามนี้ยืดอกขึ้น หันหาการัมราวจะกล่าวว่า ‘เป็นอย่างไรเจ้าคะ? ’ ทว่า การัมกลับยกมือจับหน้าผากด้วยท่าทีปวดหัวเหลือทน
“ทุกตนกำลังรอคำสั่งถัดไปอยู่นะ”
เมื่อเห็นพี่น้องมองมาด้วยท่าทีสงสัยว่าเหตุใดกลองจึงไม่เล่นต่อเป็นเวลานาน ชิชุลก็เริ่มตีกลองต่ออย่างประหม่า
0 ความคิดเห็น