[Hakai No Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 48: จอมพล



ดาริอุส บรูตุส เป็นจอมพล

แม้หากกล่าวถึงเขากับมนุษย์จากต่างแดน อีกฝ่ายอาจไม่รู้จัก ทว่าเมื่อใดที่การสนทนานั้นเกิดขึ้นในฮอลเมีย คงไม่เรียกว่าการพูดเกินเลยหากจะกล่าวว่าเมื่อพูดถึงจอมพล ย่อมต้องหมายความถึงดาริอุส บรูตุส

ตระกูลบรูตุสที่ให้กำเนิดดาริอุสเป็นหนึ่งในกลุ่มขุนนางชั้นสูงสุดของฮอลเมีย หากสืบสายสกุลกลับไปได้ไกลพอ จะพบว่าย้อนไปได้ถึงครั้งก่อตั้งราชวงศ์เลยทีเดียว เมื่อถือกำเนิดในฐานะบุตรชายคนโต เขาจึงมีพันธะโดยกำเนิด เกิดมาเพื่อต่อสู้ชี้นำผู้คน ในการสงครามคราแรกของเขาเมื่อราวอายุสิบขวบปี เขามีนายทหารชาญศึกผู้ได้รับเลือกจากอัศวินรับใช้ตระกูลบรูตุสติดตามเข้าสู่สนามรบในฐานะผู้ให้คำแนะนำ ทว่าเพียงชั่วพริบตา เด็กชายในยามนั้นกลับมอบอำนาจสั่งการทหารห้าสิบนายให้แก่อัศวินผู้นั้น

กล่าวได้ว่าดาริอุสในวัยเยาว์รู้สึกได้ถึงภาระรับผิดชอบต่อการควบคุมชีวิตของนายทหารใต้บังคับบัญชาแม้เพียงคำสั่งเดียว หลังจากนั้นเขาจริงบากบั่นอุตสาหะร่ำเรียนโดยไม่เคยแสดงถึงความย่นระย่อต่อหน้าที่ตน ไม่เพียงจะฝึกฝนฝีมือการรบและการกลยุทธ์การศึกไปจนถึงการวิเคราะห์อย่างคร่ำเคร่ง เขายังทำงานร่วมกับนายทหารชั้นล่างเพื่อสัมผัสและเข้าใจนิสัยของผู้คนที่เขาต้องบัญชาการ เขาสนทนากับคนเหล่านั้น ทานอาหารจากหม้อเดียวกัน และจดจำความสำเร็จใดของผู้คนเหล่านั้นโดยมิได้แสดงถึงความรังเกียจต่อความต่ำต้อย แม้ว่าตนจะเป็นบุตรแห่งขุนนางชั้นสูงก็ตามที

ในช่วงเวลานั้นนับว่าเขาเป็นขุนนางที่แปลกประหลาดนัก กล่าวได้ว่ากระทั่งผู้ติดตามของดาริอุสเองก็มิได้ชมชอบเรื่องราวเหล่านี้นัก

ทว่าในทางกลับกัน ความนิยมของดาริอุสในหมู่ทหารทั่วไปนั้นนับว่าสูงยิ่ง

ต่างจากขุนน้ำขุนนางทั้งหลายที่ปฏิบัติต่อทหารทั่วไปเสมือนดั่งเบี้ยหมากใช้แล้วทิ้ง ดาริอุสผู้ใช้ชีวิตในคราบทหารทั่วไป เข้าร่วมสงครามและประสบอันตรายไปพร้อมกันนั้นกล่าวได้ว่าเป็นที่ต้อนรับจากเหล่าทหารผู้น้อยทั้งหลายอย่างยิ่ง

ดังนั้น เมื่อทหารทั้งหลายได้ร่วมรบใต้บัญชาการของดาริอุส พวกเขาจึงแข็งแกร่งขึ้นจนน่าหวาดกลัว ภายใต้บังคับบัญชาจากแม่ทัพคนอื่นที่ทหารทั้งหลายอาจถอดใจแก่ความปราชัยภายใต้อัคคีแห่งศัตรู ทว่าเมื่อได้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา ทหารเหล่านี้จะยังคงสู้ต่อไปอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังพลิกกลับสถานการณ์ทั้งหลาย นำชัยมาสู่ฮอลเมียได้ในที่สุด

ก่อนจะรู้ตัว ดาริอุสก็ถูกขนานนามว่าเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจที่สุดแห่งฮอลเมีย และได้ดำรงตำแหน่งจอมทัพแห่งฮอลเมียเสียแล้ว

จอมทัพแห่งฮอลเมียนับเป็นตำแหน่งสูงสุดในสายการทหารที่ได้รับมอบอำนาจควบคุมกองทัพโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาด พระราชทานยศโดยองค์ราชาแห่งฮอลเมีย นับเป็นตำแหน่งสูงส่งที่หากไม่มีผู้มีความสามารถเหมาะสม ตำแหน่งนี้จะตกเป็นของพระราชา

บางคนอาจกล่าวว่าความยิ่งใหญ่ของดาริอุสเข้าใจได้ง่ายดายเพียงนั้น

ทว่ากระทั่งผู้ยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่สังขารอันร่วงโรย

“ให้ผู้ชราโง่เขลาเช่นข้าพระองค์ประดับมาลาแห่งเกียรติยศนี้ไว้ตลอดกาลก็ไร้ซึ่งผลสัมฤทธิ์ใดพ่ะย่ะค่ะ”

ผ่านไปแล้วห้าปีนับจากวันที่ดาริอุสกล่าวเช่นนั้นและสละตำแหน่งจอมพลมอบคืนสู่องค์ราชา กล่าวโดยสั้น เขาต้องการสละตำแหน่งสูงส่งเพราะคิดว่าตนเองแก่ชราและอ่อนแอเกินไปแล้ว

แน่นอน ยามนี้เส้นผมเขากลายเป็นสีดอกเลาและริ้วรอยสลักลึกบนใบหน้าเป็นหลักฐานยืนยันแก่สังขารที่ร่วงโรย

ทว่าแม้จะเป็นดังนั้น ครั้งเมื่อเหล่าขุนน้ำขุนนางทั้งหลายในฮอลเมียได้ยินคำกล่าวนี้ ล้วนแต่ก็สับสนงุนงงกันจนถ้วนหน้าว่าบุรุษผู้นี้กำลังกล่าวเรื่องไร้สาระใดกันแน่

รูปร่างของดาริอุสยามเดินเหินในชุดเกราะสง่างามและมีเส้นผมขาวสะบัดไหวตามลมนั้นมิใช่ภาพของผู้ชราเปราะบางแม้แต่น้อย เป็นเพราะการฝึกฝนในทุกๆ วันและยังมีความมีชีวิตชีวาที่ปรากฏท่วมท้นจากทั่วร่าง ทำให้ผู้คนคิดไปเช่นนั้น

กระทั่งยามนี้ผ่านมาแล้วห้าปีก็ยังมิได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย หลังดาริอุสละทิ้งภาระหน้าที่หนักหน่วงในฐานะจอมพลแล้วก็ท่วมท้นด้วยพลังงานที่ทำให้เหล่าสหายเก่าแก่พากันเอ่ยว่าราวกับเขาดูเด็กลงอีกหลายปี อย่างไรก็ย่อมสมเหตุสมผล เพราะเมื่อยังเป็นจอมพล เขาทำได้เพียงฝึกฝนร่างกายตนเองและกองทัพส่วนตัวได้เพียงในยามว่าง ทว่ายามนี้เมื่อได้รับการปลดปล่อยจากห้องแคบๆ ในพระราชวังก็สามารถกระทำได้เต็มที่

เห็นเช่นนั้น เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่ใกล้ชิดล้วนเอ่ยเป็นเสียงเดียว

“ข้าคิดว่าผู้นั้นคือจอมพลเพียงหนึ่งเดียว”

ทุกคนล้วนแต่เห็นด้วยกับความคิดนี้

บุรุษนามดาริอุสก็เป็นคนเช่นนี้

วันนี้ก็เช่นเดิม ดาริอุสเปลือยกายท่อนบน ฝึกตวัดดาบไม้อยู่ในสวนคฤหาสน์ พ่อบ้านชราก็เดินเข้ามา

“นายท่าน แขกมาถึงแล้วขอรับ”

ดาริอุสตวัดดาบครั้งสุดท้าย ผ่อนลมหายใจหนักแน่น

“ขอคิดก่อน เชื่อว่าวันนี้ข้ามิได้นัดหมายใครไว้มิใช่หรือ ใครเป็นผู้มาเล่า? ”

ดาริอุสปักดาบไม้ลงดิน หยิบเสื้อที่แขวนเอาไว้บนต้นไม้ใกล้ๆ และเช็ดเหงื่อที่ไหลท่วมร่าง

“เพียงคนไร้มารยาทผู้หนึ่งที่มาเยือนโดยไม่นัดหมายล่วงหน้า ทว่าข้าน้อยยังต้องขอมาสอบถามท่านเพื่อยืนยันขอรับนายท่าน เช่นนั้นโปรดให้ข้าน้อยจัดการพวกเขาเองเถอะขอรับ”

ดาริอุสร้องเรียกพ่อบ้านที่ก้มหัวถอยจากไป ตั้งท่าจะกลับไปหาผู้มาเยือน

“เดี๋ยว มีเรื่องอะไรเล่า? ”

พ่อบ้านคนนี้รับใช้ตระกูลบรูตุสมายาวนาน แม้จะมีความสัมพันธ์เป็นนายบ่าวทว่าก็ยังนับเป็นเพื่อนในวัยเด็กของดาริอุส ดาริอุสเดาว่าผู้มาเยือนย่อมต้องมีนิสัยไม่น่าพึงพอใจที่พอบ้านเขารู้จักดี

“เข้าใจแล้ว พวกนั้นมาหรอกหรือ? เช่นนั้นช่วยไม่ได้ นำทางพวกเขาไปที่ห้องหนังสือเถอะ”

ได้ยินดังนั้นพ่อบ้านเอ่ยเตือนดาริอุส

“นายท่าน แม้ข้าน้อยจะทราบว่าเป็นการยุ่งไม่เข้าเรื่อง ทว่าการคบหากับคนชั้นต่ำเช่นนั้นจะทำให้ชื่อท่านแปดเปื้อน…”

“ข้าทราบว่าเจ้าอยากพูดอะไร ทว่าคนพวกนี้เองก็จำเป็นเช่นกัน”

พ่อบ้านยังดูไม่พอใจนัก ทว่าหากผู้เป็นนายกล่าวถึงเพียงนี้แล้ว การเข้าไปยุ่มย่ามของตนย่อมกลายเป็นอวดดี พ่อบ้านจึงก้มศีรษะลงต่ำแล้วจากไป

เช็ดเหงื่อเสร็จแล้วดาริอุสก็เปลี่ยนเสื้อเปียกๆ ออก มุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือที่ผู้มาเยือนรออยู่แล้ว

ห้องหนังสือนี้ถูกสร้างไว้ในส่วนแยกจากคฤหาสน์เพื่อให้สามารถตั้งสมาธิอ่านและเขียนได้อย่างเต็มที่ รวมไปถึงการรับแขกที่ไม่อาจพบปะได้อย่างเปิดเผยอีกด้วย

เขาเดินผ่านประตูที่ถูกออกแบบให้ดูเคร่งขรึม เห็นแขกสองคนมารออยู่แล้ว

ดาริอุสนั่งลงบนเก้าอี้กลางห้องด้วยสีหน้าใจเย็นขณะกล่าว

“ทำให้พวกเจ้ารอหรือไม่? ”

คนแรกที่ดึงดูดความสนใจคือสตรีร่างสูงที่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นบุรุษ นางมัดผมสีแดงขึ้นสูงเป็นหางม้า เนื่องจากสวมชุดบุรุษ คราแรกที่มองจึงเข้าใจผิดว่านางเป็นหนุ่มน้อยคนหนึ่ง ทว่าเมื่อมองช่วงอกแล้วกลับชัดเจนในความเป็นสตรียิ่ง ยามที่นางก้มหัวเคารพดาริอุสที่เข้ามาถึง ทรวงอกนางก็สะท้านน้อยๆ ราวกับผลไม้ลูกใหญ่จากแดนใต้ ทว่าสายตาของดาริอุสกลับปราดผ่านมันไป จ้องมองคนข้างกายนาง

“ไม่เลยขอรับ เป็นข้าเสียอีกที่ต้องขออภัยใต้เท้าที่มาเยือนอย่างกะทันหัน”

ผู้ที่ค้อมศีรษะเอ่ยคือหนุ่มน้อยรูปงามผู้มีบรรยากาศราวกับของเล่นหรือชู้รักของเหล่าสตรีชั้นสูง

ในดวงตาเขามีแววอันตรายดีดดิ้นคล้ายเส้นด้ายบางๆ เส้นหนึ่ง ผมหน้าม้าสีน้ำตาลเข้มปรกอยู่บนหน้าผากขาวและใบหน้างดงาม บนร่างกายบอบบางยามยืนดูไม่มั่นคงสวมผ้าคล้ายโทกาของชาวโรมันโบราณพันรอบกาย ทับด้วยทูนิคคล้ายเสื้อแจ็คเก็ต คลุมมิดจนถึงเท้า

“ตูตู ข้าทราบดีว่าเข่าเจ้าไม่ดี ไม่ต้องฝืนตัวเองไป นั่งลงเถอะ”

“เช่นนั้นขอรับความใจกว้างของท่านแล้ว”

เมื่อหนุ่มน้อยรูปงามนามตูตูกล่าว สตรีผู้นั้นก็เดินอ้อมหลังเขาไปอย่างนุ่มนวล ย้ายรถเข็นไม้ที่จอดเอาไว้ ขยับมาให้เขาได้นั่ง

ทันทีที่ตูตูนั่งลงบนรถเข็น ผ้าที่พาดอยู่บนบ่าก็ร่วงลงโดยไม่ลังเล

ดังนั้นแขนสองข้างที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าจึงปรากฏ

ไม่ใช่ หากพูดให้ชัดเจนยิ่งกว่านั้น จึงปรากฏให้เห็นว่าเขาไร้แขนทั้งสองข้างตั้งแต่ช่วงไหล่ลงมา สิ่งเดียวที่อยู่ตรงแขนเสื้อทูนิคคือความว่างเปล่า มันแกว่งไกวช้าๆ ตามการเคลื่อนไหว

สตรีผู้นั้นหยิบผ้าขึ้นคลุมไหล่ให้เขาอีกครั้ง จากนั้นยืนอยู่ด้านหลังตูตูอย่างเงียบงัน

เพราะนางมิใช่สิ่งใดนอกเสียจากข้ารับใช้ของตูตู กระทั่งดาริอุสจึงมิได้เสนอให้นางนั่งเก้าอี้ เฉกเช่นนางไร้ตัวตน

“มิใช่หายากนักหรอกรึตูตู? เจ้ามาเยือนคฤหาสน์ข้าเช่นนี้”

“ขออภัยเป็นอย่างสูงขอรับ ให้ผู้อื่นต้องประสบเหตุไม่สะดวกเช่นนี้ข้าอับอายนัก”

เขามีมารยาทสูงส่งเกินกว่าที่ภาพลักษณ์ปรากฏอยู่มาก ทว่าดาริอุสมิได้เห็นว่าแปลกอะไร ดูอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง ทว่าอายุมิได้เหมาะสมกับภายนอกแม้แต่น้อย ดาริอุสสงสัย

สำหรับดาริอุสที่เป็นขุนนางขั้นสูง การรู้จักกับคนน่าสงสัยไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ เริ่มต้นจากตอนที่ลูกน้องออกไปเมามายแล้วเกิดไปหาเรื่องทะเลาะกับสตรีที่ยามนี้รับใช้ตูตู

ทหารห้านายหาเรื่องจับผิดนาง แม้จะเมามาย ทว่าอย่างไรคนก็ยังผ่านการฝึกฝนจากดาริอุสมาโดยตลอด ทว่านางกลับสามารถจัดการเอาชนะทหารทั้งห้าได้ในพริบตา ยามนั้นดาริอุสเพิ่งจะมาถึงจึงได้ยินเรื่องราวเมื่อพยายามควบคุมสถานการณ์

เมื่อดาริอุสสนใจฝีมือนาง จึงได้เชิญนางมาดื่มชาโดยอ้างว่าเพื่อขอโทษแทนลูกน้องตน กลับเป็นตูตูผู้นี้ที่นางแนะนำว่าคือผู้เป็นนาย

คราวแรกดาริอุสมิได้สนใจสิ่งใดอื่นนอกจากฝีมือนาง ทว่าเมื่อได้คุยกับตูตูที่ร้านน้ำชา ความสนใจเขาพลันเปลี่ยนไปหาตูตูแทน ความสามารถในการตัดสินและรับรู้สถานการณ์จากในทุกถ้อยคำของอีกฝ่ายหนึ่ง และความรู้กว้างขวางครอบคลุมถึงธรรมเนียมและมารยาทที่ดาริอุสไม่เคยได้ยินมาก่อน

ทว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของดาริอุสมากที่สุดในตัวตูตูคือเส้นสายความสัมพันธ์ส่วนตัวที่กว้างขวางในสังคมมืด และความเข้าใจในตัวมนุษย์ของเขาโดยไม่เกี่ยงอาชีพ

ราวกับลูกน้องข้าติดกับของคนผู้นี้เสียแล้ว ดาริอุสรู้สึกตัว

เขาจงใจขายความสามารถในการแก้ปัญหาและปัญญาเขาแก่ข้าเช่นนี้

“จะไม่ยอมให้ข้าจ้างเจ้ารึ? ”

และเป็นการยอมรับสิ่งนั้น ดาริอุสซื้อความสามารถของตูตู นั่นเพราะสำหรับเขา คนเฉลียวฉลาดนับว่าหาได้ยาก ไม่ว่าเขาจะเป็นมิตรกับทหารทั่วไปเพียงใด ดาริอุสก็ยังเป็นขุนนางระดับสูง เขายังปฏิเสธไม่ได้ว่าระหว่างสามัญชนและขุนนางมีความแตกต่างอยู่มาก เขาย่อมไม่อาจสนิทสนมกับทหารทั่วไปกระทั่งอีกฝ่ายพูดความจริงได้ ไม่ต้องกล่าวไปถึงการพูดจริงทั้งหมดหากอีกฝ่ายเป็นอาชญากรที่ดาริอุสผู้คุ้มกฏควรควบคุม

“นับเป็นความยินดีอย่างสูงสำหรับข้า ตราบที่ท่านยินยอมให้ข้าได้ทำงานใต้บัญชาท่านขอรับ ใต้เท้าดาริอุส”

เช่นนั้นเอง ตูตูจึงได้เริ่มทำงานเป็นสายลับให้แก่ดาริอุส นับแต่นั้นมา ผลงานของตูตูก็สร้างความพึงพอใจได้ดังที่ดาริอุสคาดหวัง หรืออาจกล่าวได้ว่ายิ่งกว่าความคาดหมาย

ทว่าแม้ดาริอุสจะกำหนดหน้าที่ชัดเจนให้เขาแล้ว อีกฝ่ายก็ยังคงทำตัวติดดินมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนเช่นเคย

การที่ตูตูปรากฏตัวขึ้นที่คฤหาสน์เช่นนี้นับว่าหาได้ยากนัก ด้วยอีกฝ่ายเกรงว่าเขาจะทำลายชื่อเสียงของดาริอุส

“วันนี้ข้ามารายงานเรื่องสถานการณ์ของทางรัฐโรมาเนียดังที่ใต้เท้าได้ขอมาขอรับ”

กล่าวดังนั้นแล้ว ตูตูก็เชิดคางเล็กน้อยพยักพเยิดไปทางสตรีที่ยืนอยู่เบื้องหลัง นางนำเสนอกระดาษปึกหนึ่งที่เตรียมการเอาไว้ให้แก่บรูตุส

เป็นคำขอก่อนหน้าที่ดาริอุสขอตูตูเอาไว้ มันคือรายงานผลการสืบสวนในทางลับจากสายที่ซ่อนตัวอยู่ในโรมาเนีย

โรมาเนียเป็นขุมอำนาจหลักที่อยู่ติดชายแดนตะวันออกของฮอลเมีย สองประเทศเป็นศัตรูคู่ฟ้าที่สู้รบกันมาหลายต่อหลายครั้งจนทั่วพื้นทวีป ‘หากฮอลเมียร้องไห้ โรมาเนียหัวเราะ และหากโรมาเนียร้องไห้ ฮอลเมียหัวเราะ’ เป็นคำบรรยายความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศได้เป็นอย่างดี

ดาริอุสรับเอกสารเข้ามือ ดวงตาปราดมองตัวอักษรที่เขียนไว้อย่างเงียบงันครู่หนึ่ง

“...โอ ราชาโรมาเนียบัดซบนั่นคิดจะแบ่งแยกฮอลเมียรึ? ”

เอกสารเหล่านี้บันทึกรายชื่อขุนนางที่ติดต่อกับอาณาจักรศัตรูโรมาเนียขณะที่ยังเป็นคนของฮอลเมีย ลงรายละเอียดถึงจำนวนครั้งที่มีการแลกเปลี่ยนจดหมายกับฝั่งโรมาเนีย

“มันตั้งใจกระทำดังท่านว่าขอรับ ลอร์ดราสเตียทอสและลอร์ดเลคเนซิส สองคนนี้มีการแลกเปลี่ยนจดหมายค่อนข้างถี่”

ดาริอุสยกมือขึ้นเท้าคาง ครุ่นคิดถึงสถานที่และดินแดนของขุนนางทั้งสองที่ตูตูกล่าวถึง

“มิใช่ดินแดนพวกมันล้วนอยู่ติดโรมาเนียหรอกหรือ? หรือหมายความว่าพวกมันตั้งใจสร้างสัมพันธ์กับโรมาเนียเผื่อในกรณีที่เกิดเหตุอะไรขึ้น? ”

“ขอรับ ดังนั้นข้าเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่สนใจก็ไม่เป็นไร เว้นเสียแต่สถานการณ์ในฮอลเมียจะย่ำแย่ลง”

สำหรับขุนนางผู้ครองดินแดนรอบชายแดนที่ไม่รู้ว่าจะถูกรุกรานจากอาณาจักรข้างเคียงเมื่อใด การสร้างมิตรไมตรีเอาไว้ย่อมดีกว่าในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน การปล่อยข่าวลือของพวกมันออกไปดูจะเหมาะสมกว่าการผลักไสขุนนางผู้ครองดินแดนให้ไปเข้ากับประเทศเพื่อนบ้าน

“เช่นนั้น ปัญหาก็อยู่ที่ลอร์ดโบลเดน”

ดาริอุสกล่าวชื่อขุนนางที่แลกเปลี่ยนจดหมายบ่อยครั้งเทียบเท่าขุนนางทั้งสองก่อนหน้า แม้ดินแดนจะอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากชายแดน

“กล่าวได้ว่ามันชมชอบการใช้จ่ายเงินทอง อีกฝ่ายอาจกุมความลับของมันเอาไว้ หรือถูกเงินทองล่อตาล่อใจ หรืออาจจะทั้งสองประการ”

ดาริอุสเผยรอยยิ้มดุดันเมื่อได้ยินคำของตูตู

“สวะโสโครกที่ขายแผ่นดินแม่…”

ตูตูยิ้มจาง จินตนาการภาพวันสุดท้ายอันน่าสลดที่รอคอยขุนนางผู้นั้นซึ่งดาริอุสหมายตา

หลังจากนั้นดาริอุสยังแลกเปลี่ยนข้อมูลอีกหลายประการ ก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“ยังคงเขียนรายงานสืบสวนได้ไร้ที่ติเช่นเคย เจ้าช่วยได้มากนัก”

“ไม่เลยขอรับ เพียงเท่านี้ย่อมไม่คู่ควรต่อคำชมเชยจากท่าน”

เห็นตูตูยังคงถ่อมตนต่อคำขอบคุณของตน ดาริอุสยกยิ้มกว้างอีกคราว

“ทว่า หากข้อมูลในระดับเพียงเท่านี้ ส่งมาทางผู้ส่งสารดังเคยย่อมสะดวกกว่ามาก เจ้ามาวันนี้มีข้อมูลพิเศษใดหรือ? ”

“ท่านเทพอวยพร ข้าถูกจับได้เสียแล้วใช่ไหมขอรับ? ”

ตูตูเผยยิ้มเขินอายราวเด็กน้อยที่ถูกเปิดเผยแผนร้าย ทว่าก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังในทันใด กระซิบเบา

“หากข้าเอ่ยถึงกรณีบอลนิส ท่านจะเข้าใจหรือไม่ขอรับ? ”

ไปได้ข้อมูลจากไหนกันหนอ ยังมีหูเฉียบคมเช่นเคย

“ข้าเพิ่งได้ยินเรื่องราวจากคนในทัพหลวงเมื่อเช้า ทราบมาว่าทาสครึ่งมนุษย์ก่อกบฏในบอลนิส และพวกโซออนนั่นฉวยโอกาสจากความวุ่นวายเข้าครองเมือง ประมาณนั้น”

แม้จะเรียกว่าทาสก่อกบฏครองเมือง ทว่าก็ยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยพวกเผ่าพันธุ์ชั้นรอง การก่อกบฏและขยายตัวที่เกิดขึ้นในคราวเดียวราวไฟป่าเช่นนี้น่ากลัวนัก ทว่าเมื่อผู้ก่อกบฏคือเผ่าพันธุ์ชั้นรอง มนุษย์ย่อมไม่ร่วมด้วยเป็นแน่ ดังนั้นการปราบปรามย่อมเป็นไปโดยง่ายเพียงส่งทัพไปในจำนวนเหมาะสม

ไม่มีทางที่ตูตูจะไม่ทราบเรื่องเช่นนี้

ดาริอุสพูดต่ออย่างระมัดระวังขณะสังเกตว่าตูตูกำลังกังวลเรื่องใด

“แม้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเผ่าชั้นรองและไม่ใส่ใจเรื่องผลลัพธ์ซึ่งกลายเป็นการกระตุ้นเผ่าชั้นล่างในประเทศ แล้วก็เนื่องจากเกิดขึ้นในพื้นที่ดินแดนอาณาเขต ชาวไร่ที่แต่เดิมไม่พอใจในลอร์ดของตนอาจเห็นเป็นโอกาสและวางแผนก่อกบฏเช่นกัน อย่างไรก็ต้องถูกบดขยี้โดยเร็ว

เรื่องนี้ก็เป็นความปรารถนาของฝ่าบาทเช่นกัน

เร็วๆ นี้ก็มิได้มีสงครามใหญ่อะไร เช่นนี้คงทำให้คนหนุ่มได้สร้างผลงาน ข้าเห็นว่าเป็นโอกาสดีให้พวกมันได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์”

“ท่านจอมพล ข้าขอมอบคำแนะนำให้ท่านอย่างหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ? ”

ตูตูเอ่ยขึ้น ขัดคำดาริอุส

“ท่านห้ามดูเบาเหตุการณ์บอลนิสในคราวนี้เป็นอันขาด”

ดาริอุสขมวดคิ้ว จ้องมองใบหน้าตูตู ทว่าบนนั้นไร้ซึ่งวี่แววการล้อเล่น

“นี่คือสิ่งที่ข้าถือโอกาสเตรียมการเอาไว้ขอรับ” เขากล่าวขณะที่สตรีเบื้องหลังส่งรายงานฉบับใหม่ให้แก่ดาริอุส

“เป็นรายละเอียดของบอลนิสและการพ่ายแพ้ของหน่วยปราบปรามโซออน ไปจนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นยังเนินเขาฮอกห์นาเรียห์ในเวลาต่อมา”

เมื่ออ่านรายงาน ใบหน้าดาริอุสก็ประหลาดใจขึ้นมา

“...จริงหรือ? ”

ใบหน้าเขายังคงเผยความไม่เชื่อกระทั่งหลังอ่านจบ

“ผู้เขียนรายงานฉบับนี้คือผู้ช่วยผู้บัญชาการมาโครนิสที่รักษาการยังป้อมปราการ ณ ที่ราบซลเบียงต์

ชื่อที่ตูตูเอ่ยคุ้นหูดาริอุสนัก

หากจำไม่ผิด มันคืออดีตทหารที่ไต่เต้าจากทหารรับจ้างเร่ร่อนขึ้นมาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการ

สิ่งที่ตูตูมอบให้คือส่วนหนึ่งของการร้องเรียนต่อลอร์ดแห่งบอลนิส ร้องขอการปลอบประโลมกำลังเสริมและเรื่องการขาดอุปกรณ์การแพทย์ที่มาโครนิสส่งไป รายงานฉบับนี้เขียนเรื่องการลอบโจมตีด้วยเพลิงโดยสรุปเอาไว้หลังจากสัมภาษณ์ทหารที่กลับมายังป้อมปราการอย่างมีชีวิตโดยยาก

ตูตูได้มันมาจากที่แห่งหนึ่ง

“พวกโซออนจัดการกองทัพเราด้วยการลอบโจมตีเช่นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการลงมือหน้างาน…! ”

ขณะนำกองทัพ ดาริอุสต่อสู้กับโซออนมานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าไม่มีแม้สักครั้งที่โซออนจะใช้ไฟเข้าจู่โจม

“ถูกต้องดังท่านว่าขอรับ ทว่าเรื่องนี้เป็นความจริง อีกประการ ยามนี้บอลนิสล่มสลายแล้ว ป้อมปราการย่อมพ่ายแพ้แล้วโดยไม่ต้องสงสัย”

ตูตูเอนกายท่อนบนที่ไร้แขน ขยับเข้าใกล้ดาริอุส

“ท่านจอมพล การโต้ตอบของโซออนและทาสก่อกบฏในคราวนี้ มีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง”

“สายจากโรมาเนียรึ…? ”

โดยรอบนี้ เขาย่อมไม่อาจคิดถึงใครได้อีกนอกจากโรมาเนียที่พยายามสร้างสถานการณ์ให้ฮอลเมียเสียเปรียบ

“ตอนนี้ข้าทราบเพียงเท่านี้ขอรับ ทว่าผู้ที่ชักใยสถานการณ์อยู่เบื้องหลัง มิเพียงขับไล่หน่วยปราบปรามด้วยการลอบโจมตีนี้ ยังคงยึดป้อมปราการในพริบตา บังคับยึดบอลนิสด้วยทาสอย่างรวดเร็วเกินกว่าข่าวจะส่งมาถึง กระทำเช่นนี้ย่อมมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถทำได้”

ได้ยินคำของตูตู ดาริอุสยกมือขึ้นกอดอก ตกลงสู่ความเงียบงันอันหนักหน่วง

ใช้เวลาราวนับหนึ่งถึงยี่สิบ ดาริอุสก็ปล่อยแขนตน แล้วกล่าว

“ดูเหมือนพวกหนุ่มๆ คงจะบ่นว่าตาแก่เช่นข้าเข้าไปวุ่นวายอีกแล้วกระมัง? ”

เห็นท่าทีตัดสินใจได้จากคำประชดประชันของดาริอุส ตูตูก้มหัวต่ำ

“ข้าเชื่อว่าย่อมเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดขอรับ”

“ดีมาก ข้าจะรายงานเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท อยู่ทัพหน้าด้วยตนเอง”

◆◇◆◇◆

เมื่อขึ้นสู่รถเข็นที่ได้ผู้รับใช้ช่วยเข็นแล้ว ตูตูก็ออกจากคฤหาสน์ของดาริอุสทางประตูหลัง

ตูตูได้สตรีคนเดินช่วยเคลื่อนย้ายเข้าสู่เกวียนใหญ่ที่รออยู่บนถนนด้านหลัง เขาเอนกายพิงหมอนที่ถักทอจากฟาง มองสตรีและบุรุษผู้ขับรถม้าช่วยกันถอดประกอบเพื่อขนย้ายรถเข็นอย่างสบายใจ

ไม่นานนัก ตูตูก็รู้สึกคอแห้งขึ้นมา เขาใช้เท้าหยิบถุงหนังใส่น้ำโดยที่ยังเอนกาย ใช้นิ้วเท้าถอดจุกถุงน้ำออก น้ำมันมาจ่อปากอย่างคล่องแคล่ว ดื่มน้ำที่ดูน่าอร่อยจากในถุง

เมื่อดื่มจนเสร็จ ตูตูก็ปิดจุกกลับไปอีกครั้ง ก่อนจะหันไปเห็นสตรีคนเดิมที่ถอดประกอบรถเข็นเสร็จแล้วจ้องมองเขาด้วยดวงตาเสียดแทง

“นายท่าน ผู้อื่นจะมองที่ใดก็ได้ หยุดการกระทำเช่นนั้นเถอะเจ้าค่ะ”

กล่าวดังนั้น นางก็ดึงผ้าปิดท้ายรถเกวียน ร้องบอกคนขับให้ออกรถได้ ตูตูยิ้มจางด้วยสีหน้าเขินอายยามรถเกวียนเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ จนเกิดเป็นแรงสะเทือนเบาบาง ทว่าเขาเห็นว่าในสายตาของสตรีผู้นี้ยังคงมีอารมณ์อื่นที่ก่อตัว

“ดาเมีย มีอะไรจะบอกข้าหรือไม่? ”

สตรีในเครื่องแต่งกายบุรุษนามดาเมียเบิกตากว้างอย่างแปลกใจ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าว

“เรื่องผู้นำโซออนและทาสที่ก่อกบฏในบอลนิส”

เมื่อตูตูยกคางขึ้นส่งสัญญาณให้ว่าต่อ ดาเมียก็ถามออกมา

“มิใช่นั่นคือ ‘วีรบุรุษ’ ที่นายท่านเล่าให้ข้าฟังหรอกหรือเจ้าคะ? ”

“สักวัน ‘วีรบุรุษ’ ผู้ต่อต้านศรัทธาศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏ และสงครามใหญ่จะเกิดขึ้น”

คือสิ่งที่ตูตูเคยบอกนาง

ศรัทธาศักดิ์สิทธิ์ที่ยามนี้ปกครองท้องทวีปนั้นสุดโต่งเกิดไป

มันกล่าวว่าเผ่าพันธุ์อื่นสมควรถูกกำจัดเพื่อให้มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยามนี้มนุษย์มีอำนาจมากที่สุดจึงสามารถรอดมาได้ ทว่าความโกรธแค้นที่เผ่าอื่นต้องทนรับย่อมจุดประกายบางสิ่งที่จะสั่นสะเทือนทั่วทั้งทวีปในสักวันขึ้นกับเวลา

ในเวลานั้น จะมีใครคนหนึ่ง ผู้ที่พยายามช่วงชิงความเหนือกว่าศาสนจักรศรัทธาศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้น

นั่นคือสิ่งที่ตูตูเคยทำนายเอาไว้

มิใช่การกบฏของโซออนและทาสในยามนี้ราวกับสิ่งที่ตูตูเคยบอกเอาไว้หรอกหรือ? ดาเมียสงสัย

ทว่ามิได้ตอบคำ ตูตูกลับเป็นฝ่ายย้อนถามดาเมีย

“นี่ดาเมีย เจ้าคิดว่าอาณาจักรเติบใหญ่ได้เพราะศาสนจักรหรือ? ”

คิดอยู่ครู่หนึ่ง ดาเมียก็คิดออก นางตอบ

“มิใช่นั่นคือเหตุผลที่อาณาจักรรุกรานเผ่าอื่นหรือเจ้าคะ? ”

“เบื้องหน้าก็มีเพียงเท่านั้น”

ทว่าตูตูกลับปฏิเสธนางด้วยคำสรุปสั้น

“มนุษย์ได้รับทั้งศัตรูและศักดิ์ศรีเพราะศรัทธาศักดิ์สิทธิ์”

รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนริมฝีปากตูตู

“มนุษย์มิได้แข็งแกร่งเช่นไดโนซอเรี่ยน ไม่อาจเคลื่อนไหวในน้ำได้อิสระอย่างมาร์แมน ไม่มีฝีมือสร้างเทคโนโลยีเช่นคนแคระ และมิได้งดงามเช่นเอลฟ์ พวกมันไม่อาจวิ่งได้ไวเฉกโซออน ทั้งไม่อาจบินบนฟ้าได้อย่างฮาร์ปี้

ในส่วนลึก ทุกคนล้วนแต่เชื่อเชื่อว่ามนุษย์นั้นต่ำต้อยที่สุดในเจ็ดเผ่าใช่ไหมเล่า?

ทว่าศรัทธาศักดิ์สิทธิ์กลับเอ่ยว่าเผ่าพันธุ์อื่นล้วนต่ำต้อยกว่า ทั้งยังไม่มีเหตุผลอีกเช่นกัน พวกมันเพียงกล่าวว่ามนุษย์สูงส่งและเผ่าพันธุ์อื่นต่ำต้อย เพียงเท่านั้นก็มากพอสำหรับมนุษย์ที่มีปมด้อยว่าตนต่ำต้อยอ่อนแอแล้ว”

ตูตูแค่นหัวเราะเบาราวกับจะเอ่ยว่า “ไร้สาระนัก”

“ยิ่งกว่านั้น ศรัทธาศักดิ์สิทธิ์ยังได้พิสูจน์และสร้างปมขัดแย้งที่ง่ายต่อการเข้าใจให้แก่ทุกคนไม่ว่าจะมนุษย์หรือเผ่ารอง เมื่อสร้างศัตรูชัดเจนเช่นนี้ขึ้นมา เรียกพวกมันว่าครึ่งมนุษย์ มอบอารมณ์ประดับที่เรียกว่าศักดิ์ศรี อาณาจักรก็ผนึกกำลังชาวเมือง สร้างประเทศที่ทรงอำนาจด้วยกฎอำนาจรวมศูนย์ นี่คือสิ่งที่อาณาจักรได้รับจากศรัทธาศักดิ์สิทธิ์”

ยามนั้น ตูตูดึงเอาปึกกระดาษจากกล่องที่เต็มไปด้วยจดหมาย ส่งให้ดาเมียด้วยเท้า

“สุนทรพจน์ของผู้นำกบฏในบอลนิสอันนี้ น่าสนใจโดยแท้”

มันคือรายงานโดยละเอียดของ ‘คำประกาศแห่งเหล็ก’ ที่โซวมะขึ้นปราศรัย ส่งมาจากสายลับของเขาในบอลนิส

“พวกมันคือทัพผสมของโซออนและทาสที่โซออนปลดปล่อย ยามนี้พวกมันรวมตัวกันภายใต้ธงแห่งความกลัวมนุษย์ ทว่าจุดมุ่งหมายของพวกมันล้วนแตกต่าง โซออนต้องการปกป้องถิ่นฐานของตนที่ใช้ชีวิตอยู่ ทว่าเป้าหมายของทาสมีทั้งการกลับสู่บ้านเกิด การลงมือแก้แค้นมนุษย์ และเป้าหมายอื่นๆ ที่ขัดแย้งกันอยู่มาก เช่นนี้ใครเล่าจะควบคุมพวกมันได้? ”

แม้จะอยู่ที่นี่ ห่างไกลจากบอลนิส ตูตูกลับสามารถมองเห็นปัญหาของโซวมะและคนอื่นๆ ได้อย่างแม่นยำ

“วิธีที่ง่ายที่สุดคือการชี้นำให้โซออนและอดีตทาสที่เข้าร่วมมองรัฐฮอลเมียและมนุษย์เป็นศัตรู บอกพวกมันว่า เอาชนะฮอลเมีย สังหารมนุษย์เสีย เช่นนี้ง่ายต่อการเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าผู้นำโซออนกลับมิได้ทำเช่นนั้น เจ้าเข้าใจความหมายของสิ่งนี้หรือไม่? ”

ขณะที่ดาเมียส่ายหน้าซ้ายขวาเบาๆ ตูตูก็ยิ้มกว้างแล้วกล่าว

“หากคนผู้นี้ยอมรับสิ่งที่เรียกว่า ‘เสรีภาพ’ และ ‘ความเท่าเทียม’ ย่อมหมายความว่าเขาจะเป็นมิตรแม้กระทั่งมนุษย์

ดาเมียเบิกตากว้างราวกับจะกล่าว ‘ไม่จริงน่า! ’

“ช่างเป็นคนเจ้าเล่ห์นัก! ขณะสร้างศัตรูเพื่อรวมกำลังพันธมิตร เขายังเปิดพื้นที่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้วยความเป็นไปได้ในการกลืนกินมนุษย์ที่เคยเป็นศัตรูหากยอมรับมุมมองของพวกตน กระทั่งศรัทธาศักดิ์สิทธิ์ยังไม่อาจเทียบเท่าเขา! ”

ตูตูยักไหล่

“เขาเป็นวีรบุรุษหรือ? อย่าได้กล่าวโง่งมเลย คนผู้นี้มิใช่คนใจแคบ เขาเป็นคนที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นมาก”

ตูตูที่นอนเอนกาย ฉับพลันก็ลุกขึ้นจ้องมองรายงานที่วางเกลื่อนด้วยสายตาตั้งสมาธิ

ราวกับสามารถค้นหารูปร่างของโซวมะผู้ปราศรัย ‘คำประกาศแห่งเหล็ก’ ในนั้น

“น่าตกใจนัก ข้าอยากรู้ว่าคนผู้นั้นเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบใด? ข้าอยากรู้ว่าเขาได้รับการศึกษามาเช่นใด? เหตุใดจึงเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมาได้? ข้าจินตนาการไม่ออกเลย”

ตูตูย่อมไม่ทราบ

เรื่องที่โซวมะมาจากต่างโลก และเรื่องที่เขาเป็น ‘เด็กผู้ร่วงหล่น’

เรื่องที่โลกแห่งนั้น ประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดคือประเทศที่มีพหุวัฒนธรรม ปกครองผู้อพยพจากหลากหลายประเทศภายใต้คำว่า เสรีภาพ เสมอภาค และความยุติธรรมในประเทศ

เรื่องที่เผด็จการรวบรวมผู้คนด้วยคำล่อลวง ให้ผู้คนรวมตัวกัน และสร้างศัตรูเทียมจากนอกประเทศ แม้จะทำให้ทั้งเศรษฐกิจและผลิตผลในประเทศตนเองตกต่ำลง

“เช่นนั้นท่านคิดจะสังหารผู้นำกบฏหรือเจ้าคะ นายท่านตูตู”

คำถามนี้สื่อว่าตูตูสามารถสังหารอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายโดยมิให้ผู้อื่นทราบ นั่นคือสิ่งที่ตูตูสามารถทำได้ ทั้งไปไกลและกว้างเพียงนั้น

“ข้าต้องการดูสถานการณ์ต่อไปอีกสักพัก เจ้าทราบไหมเล่า? ”

“เช่นนั้นการกระตุ้นท่านจอมพลดาริอุสมิใช่เรื่องไม่ดีหรอกหรือเจ้าคะ? ”

ไม่ว่าพวกมันจะแน่วแน่เพียงใด ทว่าท้ายสุดแล้วโซออนก็ยังตกต่ำ พวกทาสก็ยังก่อกบฏโดยไม่คิดถึงอนาคต ศัตรูคนต่อไปย่อมเป็นกองทัพฮอลเมีย อาวุธและความสามารถล้วนสูงส่งกว่าระดับของเมืองป้อมปราการอย่างทาบไม่ติด

ไม่ต้องเอ่ยว่าผู้นำทัพยังเป็นแม่ทัพดาริอุส เรื่องคงจบโดยอีกฝ่ายไม่ทันได้รอเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น

ทว่าตูตูกลับแค่นหัวเราะคล้ายดูแคลน

“หากเพียงแค่จอมพลดาริอุสก็ยังโค่นลงได้ เช่นนั้นพวกมันก็ไม่ได้สำคัญอะไร”

“เพียงแค่...หรือเจ้าคะ…? ”

จอมพลดาริอุสย่อมเป็นจอมพลที่เก่งกาจที่สุดของฮอลเมีย เหตุนี้ตูตูจึงโปรดปรานการแลกเปลี่ยนกับดาริอุสแม้จะเสี่ยงอันตรายราวย่างก้าวบนน้ำแข็งแผ่นบาง ทว่านางกลับไม่อาจเข้าใจเป้าหมายของผู้เป็นนายที่ประเมินดาริอุสด้วยคำว่า ‘เพียงแค่’

“เพียงแค่นั้นเท่านั้น ผู้นำของพวกมันเลือกจะต่อสู้กับโลกใบนี้ เรากำลังสนทนากันว่าเขาจะครองโลก ย่อมต้องเอาชนะคนในระดับจอมพลดาริอุสได้อย่างง่ายดาย หากเรื่องในระดับนี้ยังไม่อาจทำได้ เช่นนั้นให้เขารีบออกจากเวทีโดยไวย่อมดีต่อทุกคนมากกว่า”

ดาเมียพูดไม่ออก

นายท่านคาดหวังอะไรจากผู้นำโซออนหรือ? หรือเพียงต้องการบดขยี้อีกฝ่ายเท่านั้น?

“ดาริอุสต้องเป็นผู้นำทัพบุกอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นนั้นข้าเองก็สงสัยว่าคนผู้นี้จะทำอย่างไรกับจอมพลผู้เก่งกาจแห่งฮอลเมียผู้เป็นศัตรู? เขาจะแสดงอะไรให้เราดูกันเล่า? ”

ใบหน้าของตูตู ยามเอ่ยเช่นนั้น เปล่งประกายด้วยความยินดีคาดหวัง ราวกับเด็กน้อยรอของขวัญวันเกิดตน

◆◇◆◇◆

เรื่องของเมืองบอลนิสทางตะวันตกของฮอลเมียยอมแพ้ให้แก่โซออนและทาสถูกรายงานให้แก่ราชาแห่งฮอลเมียภายในวันนั้นก่อนเที่ยงวัน

ราชาวาเรียส ซาโดมา แห่งฮอลเมียทรงกริ้วนัก ภายใต้แรงโกรธ พระราชาทรงตรัส

“บั่นหัวโซออนและทาสเหล่านั้นให้สิ้น! ”

ความเกรี้ยวกราดนี้มิใช่เพียงผลจากโซออนที่พระองค์ทรงมองว่าเป็นเพียงอสูรต้อยต่ำและทาสที่กบฏเท่านั้น วันพระราชสมภพของพระองค์ใกล้เข้ามาแล้ว ทรงมองว่าการล่มสลายของบอลนิสที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้คือการดูหมิ่นพระองค์อย่างร้ายแรงโดยโซออนและทาส

ด้วยพระอารมณ์โกรธาเช่นนี้ กองทัพที่ประจำการอยู่โดยรอบอาณาจักรฮอลเมียจึงรวมตัวอย่างรวดเร็ว

และผู้ถูกเลือกเป็นผู้บัญชาการสูงสุด คืออดีตแม่ทัพใหญ่ ดาริอุส บรูตุส


ไม่ได้อัพเดทมาเป็นปีเลยค่ะ! //ปาดเหงื่อ

สำหรับบทนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย คือชื่อของศาสนจักร /ศาสนาโฮลี่เฟท ชาล่าเปลี่ยนไปใช้เป็น "ศรัทธาศักดิ์สิทธิ์" แทนค่ะ เพราะรู้สึกว่ากลมกลืนกับเนื้อเรื่องมากกว่าเดิม 5555

นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่บทของฝั่งท่านจอมพลแปลยากจริงๆ ค่ะ (อาจจะเพราะเราขี้เกียจเองด้วยส่วนหนึ่ง...) แปลได้แค่วันละนิดละหน่อยก็ท้อ กว่าจะเสร็จเลยลากยาวมาจนป่านนี้

ใครที่ยังไม่ลืมกันก็ขอบคุณมากค่า


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น