[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 47: ถ้อยแถลง 3


ยังมีมนุษย์สองคนที่มองเหล่าผู้คนหลากหลายสายพันธุ์จากด้านข้างจัตุรัส

นั่นคือผู้ช่วยผู้บัญชาการมาโครนิส และหัวหน้าหมวดเซเทียสซึ่งถูกเรียกตัวมาจากป้อมปราการในฐานะที่ปรึกษาเพื่อการออกนโยบายที่เหมาะสมและจัดการหลังมนุษย์ในกำแพงเมืองยอมแพ้

“เพียงความยุติธรรมแสนอ่อนหัดของเด็กไม่รู้ความไม่ใช่หรือ? ”

มาโครนิสยิ้มขมให้แก่เซเทียสที่พ่นประโยคนั้นออกมา

“ดูมือตนเองก่อนแล้วค่อยพูดเถอะ”

เซเทียสมองกำมือของตนอย่างแปลกใจก่อนจะหน้าแดงขึ้นอย่างอับอายเมื่อเห็นมันกำแน่นจนแข็งเกร็ง

ดวงตาผู้บัญชาการตวัดจากผู้ใต้บังคับบัญชาที่ยามนี้ซ่อนมือไว้เบื้องหลังอย่างอับอาย เขาเหม่อมองไปยังลานจัตุรัสที่ยามนี้กำลังลุกฮือแล้วว่า

“จริงแท้ มีเพียงเท่านั้น ย่อมเป็นความยุติธรรมแสนอ่อนหัดของเด็กไม่รู้ความ”

จากนั้น มาโครนิสทอดถอนใจจนคล้ายถ่มถุยเอาอารมณ์เร่าร้อนภายในทิ้งไป

“ทว่า มีเพียงเท่านั้น เขากลับสั่นคลอนหัวใจผู้คนได้”

สำหรับผู้คนในโลกนี้ มักจะมีความฝันได้เป็นวีรบุรุษปราบปีศาจร้าย หรือเป็นผู้ยิ่งใหญ่แสนอิสรเสรี

มาโครนิสก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาวิ่งไล่ตามความฝันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยด้วยดาบในมือตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กน้อย

ทว่าความเป็นจริงช่างโหดร้ายนัก ทุกคราวที่เขาต้องดิ้นรนในสนามรบ เขาค่อยตระหนักรู้ว่าการที่นักรบรับจ้างไร้นามผู้หนึ่งจะกลายเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่นั้นเป็นได้เพียงความใฝ่ฝันอันเกินตัว และกว่าจะรู้ตัว เขาก็ต้องมานั่งกังวลถึงค่าใช้จ่ายในแต่ละวันแทนที่จะพูดถึงความฝันในวันพรุ่งเสียแล้ว

แม้จะเป็นเช่นนั้น ความใฝ่ฝันในวัยเยาว์ยังคงสถิต และยามนี้มันพลุ่งพล่านขึ้นในอกเขา

และในตอนนี้ เด็กชายผู้หนึ่งกำลังจะเริ่มไล่ตามความฝันที่พวกเขาไม่อาจไปถึง - ไม่ อาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า

เขาจะพ่ายแพ้ลงเพียงไปได้ครึ่งทางเหมือนพวกตนหรือไม่? หรือจะไปได้จนสุดเส้นทางความฝัน?

เขาอยากเห็นว่าเด็กผู้นั้นจะไปได้ไกลเพียงใด มาโครนิสคิด

อีกประการ แม้โซวมะและพวกจะพ่ายแพ้แก่รัฐฮอลเมีย สิ่งที่รอคอยมาโครนิสอยู่ก็มีเพียงการต้องรับผิดชอบต่อความล้มเหลวในการปกป้องป้อมปราการ คงจะดีหากจบลงเพียงการลดตำแหน่ง ทว่าอย่างดีที่สุดของเขายังคงเป็นสูญเสียศีรษะไปกระมัง

หากเป็นเช่นนั้น การไล่ตามความคุกรุ่นในอกย่อมน่าสนใจกว่ามาก

“อืม เช่นนั้นก็ไม่เลว ใช่ไหมนะ…? ”

ในสายตาของมาโครนิส โซออนและอดีตทาสล้วนแต่ไม่อาจเรียกได้ว่ากองทัพ เขาอดมิได้ให้คิดว่าคนเหล่านี้ไม่ทราบแม้แต่น้อยว่าจะจัดการเมืองอย่างไรเมื่อได้ครอบครองบอลนิสแล้ว

ดังนั้นย่อมต้องมีโอกาสให้เขาได้ใช้ความรู้และประสบการณ์ที่เขามีเป็นแน่แท้

“ไม่ดีเลย ถึงกับตื่นเต้นจนไม่สมกับอายุเสียแล้ว”

เมื่อเซเทียสได้ยินประโยคนั้นเข้าก็ตกใจจนหันมามอง เขาจึงได้เห็น มาโครนิสกำลังจ้องมองไปยังภาพเบื้องหน้าด้วยดวงตาเปล่งประกายราวเด็กน้อย



◆◇◆◇◆



กระทั่งหลังตะวันลับไป ความตื่นเต้นของเหล่าทาสและโซออนยังคงไม่จางหาย

พวกเขามารวมตัวกันที่คฤหาสน์เจ้าเมือง พูดคุยกันอย่างสนิทสนม ที่น่าประหลาดใจคือการสนทนาเหล่านี้ไม่จำกัดอยู่เพียงคนในเผ่าเดียวกันอีกต่อไป

มีทั้งโซออนที่สนทนากับคนแคระอย่างตื่นเต้น คนแคระที่ตบบ่าไดโนซอเรี่ยนแล้วหัวเราะอยู่ข้างกัน อีกฝั่งหนึ่งยังมีไดโนซอเรี่ยนที่ยกแก้วแอลกอฮอล์ขึ้นชนกับโซออน

นี่ไม่ใช่ภาพที่เกิดขึ้นได้ตามปกติ

นอกจากมนุษย์ที่มักรวมตัวกันภายใต้ศาสนจักรศรัทธาศักดิ์สิทธิ์แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์ไม่อาจเรียกได้ว่าดี แม้จะมิได้ถึงขึ้นเป็นศัตรูประหนึ่งคนแคระและเอลฟ์ที่ชิงชังกันมาตั้งแต่ยุคตำนาน ทว่าโดยมากแต่ละเผ่าพันธุ์ไม่เคยเหยียบย่างเข้าอาณาเขตของเผ่าพันธุ์อื่นหรือยอมให้เผ่าพันธุ์อื่นเหยียบย่างเข้าพื้นที่ตนอย่างแท้จริง นับเป็นกฏที่ไม่ได้จารึกไว้

ยกตัวอย่างเช่น แม้จะมีเหตุการณ์เช่นโซออนขอร้องให้คนแคระตีมีดดาบให้ ทว่าก็มิได้เป็นสิ่งใดมากกว่าการแลกเปลี่ยนธรรมดา การพูดคุยสนทนาระหว่างเผ่าในเรื่องต่างๆ ดังที่เกิดขึ้นในบอลนิสวันนี้จัดเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่นับความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเผ่าพันธุ์ อาจกล่าวได้ว่าการที่ผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์มารวมตัวพูดคุยกันเช่นนี้แทบจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดคิดทีเดียว

เชมุลจ้องมองภาพเบื้องหน้าอย่างพึงใจ

ผู้ที่ทำสิ่งนี้ได้ลุล่วงคือนายแห่งนาภีของนาง ผู้ที่นางมอบทุกสิ่งอย่างให้ เชมุลจึงมีความสุขจนแทบทนไม่ไหว จากคลื่นแห่งความปีติในอกนั้นเอง นางจึงไม่สามารถอยู่นิ่งได้ นางขอให้ชาฮาต้าช่วยคุ้มครองโซวมะอันนับว่าเป็นเรื่องไม่ปกติของตน และออกเดินเตร่ทั่วเมืองในยามค่ำคืนเพียงลำพัง

เมื่อเดินออกมาจากคฤหาสน์เจ้าเมืองได้สักพักหนึ่งแล้ว สถานที่โดยรอบก็กลับกลายเป็นเงียบสนิทราวเมืองร้าง นับเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้เนื่องจากชาวเมืองยังคงอยู่ภายใต้การห้ามออกนอกเคหสถานยามค่ำคืน ทั้งยังจากการเข้าบุกยึดเมืองเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน

ทว่าสำหรับเชมุลที่ต้องการให้ตนเองเย็นลงแล้วนับว่าสะดวกมากทีเดียว

นางก้าวเดินแทบไร้เสียงฝีเท้า ฮัมเพลงเบาภายใต้แสงจันทร์อ่อนจาง ทันใดนั้นพลันรู้สึกราวกับดวงจันทร์ขยับเคลื่อนจึงเงยหน้าขึ้น จ้องมองเดือนเพ็ญกลมประกายเหนือกำแพงเมือง นางย่นจมูก

มีจันทร์เต็มดวงเป็นพื้นหลัง เหนือกำแพงนั้นมีร่างคนผู้หนึ่ง

แม้โซออนและทาสทั้งหมดจะร่วมกันทว่ายังมิอาจเฝ้าระวังครัวเรือนนับหมื่นด้วยคนเพียงหลักพันได้ ดังนั้นตามที่โซวมะว่า แทนที่จะเฝ้าระวังเข้มข้นให้ลำบากใจ ใช้วิธีจำกัดการเคลื่อนไหวยามค่ำคืนจึงพบการต่อต้านจากชาวเมืองน้อยกว่า จากคำสั่งนี้เอง บนกำแพงเมืองจึงมิได้มีคนเฝ้าระวังเช่นกัน

ด้วยรู้สึกถึงลางไม่ดี เชมุลจึงชักมีดดาบขึ้น ก้าวขึ้นสู่กำแพงเมืองอย่างเงียบงัน

เมื่อเชมุลมาถึงยอดกำแพงเมืองและลบตัวตนออก นางก็ได้พบกับสิ่งที่ไม่คาดคิด

“...!? เด็กมนุษย์หญิงรึ? ”

ผู้ที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองซึ่งยังคงมีรอยเลือดเปรอะเปื้อนเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่สวมชุดคล้ายเสื้อปอนโชสีขาว นางกางสองแขนออกกว้าง เคลื่อนไหวประหนึ่งร่ายรำ

เพียงแค่เด็กคนหนึ่งที่ออกมาเล่นบนกำแพงเมืองโดยไม่บอกพ่อแม่กระมัง เชมุลเชื่อดังนั้น ทว่าเมื่อนางคิดจะร้องเรียกอีกฝ่าย นางกลับตัวแข็งทื่อ

“อ๊าาา! น่ารักเหลือเกิน โซวมะที่น่ารักของข้า! ”

ที่เด็กหญิงเอ่ยนั้นคือชื่อของนายแห่งนาภีที่นางเคารพรักเป็นแน่แท้

ผู้คนในเมืองนี้ส่วนใหญ่ยังไม่ควรทราบถึงการดำรงอยู่ของโซวมะ ไม่ต้องเอ่ยถึงชื่อ แม้จะทราบแล้วก็ยังไม่ควรมีเหตุให้เอ่ยถึงในสถานที่เช่นนี้

เด็กหญิงผู้นี้แปลกประหลาดนัก

แม้เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ทว่าเชมุลย่อมไม่อาจปล่อยผ่านสิ่งที่อาจนำอันตรายมาสู่นายแห่งนาภีผู้เป็นที่รักได้ เชมุลตัดสินใจจะสอบสวนเด็กหญิงผู้นี้ ถึงขั้นคาดว่าจะต้องต่อสู้กับอีกฝ่ายหากจำเป็น

ดังนั้น นางจึงจะก้าวออกไป ร้องเรียกเด็กหญิงผู้นั้น

“...! ”

ทว่า นางกลับมิสามารถ

ไม่รู้เหตุใด ทั่วร่างนางหยุดเคลื่อนไหวราวถูกแช่แข็ง กระทั่งเสียงของนางก็ติดอยู่เพียงในลำคอไม่ยอมออกมา

ไม่สังเกตถึงเชมุลที่สับสนกับเหตุที่เกิดขึ้น เด็กหญิงยังคงพร่ำรำพันด้วยน้ำเสียงราวขับขาน

“โอ โซวมะที่น่ารักของข้า สิ่งที่เจ้าจุดประกายช่างลุกโชนเจิดจ้า ช่างเผาไหม้ได้เจิดจ้ายิ่ง! มันจะกลืนกินทุกคน ไดโนซอเรี่ยนและมาร์แมน คนแคระและเอลฟ์ โซออนและฮาร์ปี้ กระทั่งมนุษย์เองด้วยความล้ำค่าอ่อนโยนนั้น! ความปรารถนาต่อความอบอุ่นของมัน ผู้คนที่เยือกแข็งจะหาทางเข้าใกล้ประกายของเจ้า ทว่ามันจักโหดร้ายนัก เพลิงไหม้ครั้งมโหฬารที่จักทำลายโลกจะเปลี่ยนทุกคนให้เป็นเชื้อเพลิงและผลาญพวกเขาสู่เถ้าธุลี ทุกคนจะยินดีสละร่างสู่เพลิงไหม้เพื่อเจ้า! พวกเขาจะถูกผลาญแม้ในยามเอ่ยนามเจ้า! ”

นี่มันอะไรกัน!? เด็กหญิงผู้นี้มันอะไรกัน!?

เชมุลที่แข็งค้างราวรูปปั้นทำได้เพียงกรีดร้องเป็นคำถามอยู่ในใจ

“ในที่สุดมันก็ถูกฝังลงแล้ว เมล็ดพันธุ์แห่งหายนะ! ความเจ็บปวดของผู้คนจะแห่แหนไปยังไม้ใหญ่ เติบโตจากเมล็ดพันธุ์ทั้งยังมองหาความสงบ ทว่าเมล็ดพันธุ์นั้นจะแตกหน่อออกมาเป็นไม้ใหญ่ที่จะสูบกลืนทุกผู้คนที่มารวมตัวใต้ร่มเงาของมันเสมือนดั่งปุ๋ยบำรุงล้ำค่า! ทำลายสุดสิ่งและทุกอย่าง มันจักยืนหยัดโดดเด่นเหนือทุกสิ่ง! ”

เด็กสาวกอดร่างตนเองด้วยสองแขน เอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานชวนให้ใจสั่นสะท้าน

“โอ ช่างโง่งมเหลือเกินโซวมะ เพราะเจ้าแสดงความฝันที่ควรตั้งเป้าแก่ทุกคน เจ้าจึงต้องเล่นเป็นวีรบุรุษมิใช่หรือ? เพื่อหลอกลวงทุกคนเพื่อช่วยทุกคน! เพื่อหลอกลวงตนเองเพื่อช่วยทุกคน! โอ ช่างโง่เขลา น่าขัน น่าเกลียด และช่างน่ารักเหลือเกินโซวมะ”

ขาเรียวเล็กของเด็กหญิงก้าวขึ้นสู่ขอบกำแพงเมืองอย่างมั่นคง

ราวกับเป็นอิสระต่อแรงโน้มถ่วง ร่างของนางลอยน้อยๆ เหนือกำแพง หันหลังให้เชมุล ไร้ซึ่งสีหน้าหวาดกลัว

“เพื่อนำทางทุกคน เจ้าผู้ว่างเปล่าจะตกแต่งภายนอกและรับบทวีรบุรุษที่ถูกปั้นแต่ง แม้ภายนอกตกแต่งงดงามทว่าภายในกลับว่างเปล่า เป็นเพียงเปลือกนอกอันว่างเปล่า ไม่ สิ่งที่อยู่ภายในคือเจ้าที่แท้จริง ตัวเจ้าผู้เล็กจ้อย อ่อนแอ ขี้ขลาดและแสนหวาดกลัว”

เด็กหญิงยกมือขึ้นประกบคล้ายสร้างถ้วยใบหนึ่ง

“ในความเป็นจริง สิ่งที่เจ้าซุกซ่อนไว้ภายใต้กล่องงดงามคือไข่ฟองใหญ่ ไข่ฟองนั้นจักให้กำเนิดสัตว์ร้ายนั่นคือเจ้า ยิ่งไข่ฟองใหญ่เพียงใด สัตว์ร้ายภายในยิ่งเติบโตขึ้นเพียงนั้น ยิ่งเปลือกไข่หนาเพียงใด ยิ่งโหดร้ายเพียงนั้นที่สัตว์ร้ายจะพึงเป็น

ข้าสงสัยนัก สัตว์ร้ายเช่นใดที่เจ้าที่แท้จริงจักถือกำเนิดเมื่อเปลือกไข่แตกออกกันหนอ? ”

เด็กหญิงแนบแก้มเข้ากับมือที่ทำเป็นรูปไข่ มองมันอย่างรักใคร่

ทว่า ราวกับอยู่ๆ มือของนางก็แตกออก นางแบมือออกกว้าง

“ทว่าหากไข่แตกออกก่อนสัตว์ร้ายจะเติบโต ทุกสิ่งจะกลายเป็นสูญเปล่า เช่นนั้นย่อมน่าเบื่อ น่าเบื่อยิ่ง”

ทันใดนั้น ศีรษะของเด็กหญิงเงยขึ้นจนราวจะพลิกพร้อมเสียงคล้ายแตกหัก

เชมุลกลืนเสียงกรีดร้องของตนเองลงคอ

เด็กหญิงที่ยามนี้เงยหน้าจนพลิกกลับมาด้านหลังปล่อยผมขาวยาวสยาย นางมองมายังทิศที่เชมุลอยู่ จ้องมองนางชัดแจ้ง

ใบหน้าของเด็กหญิงซีดเซียวส่องประกายใต้แสงจันทร์ มีดวงตาเพียงเท่านั้น ทว่าทั้งเจิดจ้าทั้งเปล่งประกาย

“เช่นนั้นเอง เจ้าจงปกป้องไข่ไว้อย่างห่วงแหนเถิด นะ เชมุล? ”

เชมุลหวาดกลัว

นี่เป็นสิ่งที่เก่าแก่ประหลาด

นี่คือบางสิ่งที่น่ากลัวรุนแรง

พบกับมันโดยส่วนตัวเป็นครั้งแรก ความคิดทั้งหลายของเชมุลกลับกลายเป็นว่างเปล่าเพราะความสยดสยองจนไร้คำอธิบาย

“...!? ”

จากนั้น นางจึงรู้สึกตัว

เด็กหญิงที่อยู่เบื้องหน้าหายวับไป ไม่ว่าจะมองรอบกายอย่างไรก็ไร้ซึ่งร่องรอยการดำรงอยู่ของนางเหลือไว้

ภาพหลอนหรือ?

ทว่าความตึงเครียดจากสิ่งที่เห็นยังคงครอบคลุมทั่วร่าง ใจของเชมุลเต้นรัวราวว่ายน้ำในน้ำเย็นเฉียบ ขนทั่วร่างนางยามนี้เปียกชุ่มด้วยเหงื่อเย็น นางเช็ดคางด้วยมือที่สั่นสะท้านไม่หยุด เชมุลกระซิบ

“นั่นมันเรื่องบ้าอะไรกันแน่…? ”

ทว่าไม่มีใครสามารถให้คำตอบแก่นางได้



◆◇◆◇◆



ถ้อยแถลงแห่ง ‘พระบุตรแห่งหายนะ โซมะ คิซากิ’ ที่เกิดขึ้นในจัตุรัสแห่งบอลนิสภายหลังได้รับขนานนามว่า ‘การประกาศแห่งเหล็ก’ เป็นที่รู้จักในฐานะการอ้างอิงถึงเสรีภาพและความเท่าเทียมครั้งแรกบนทวีปเซลดีส

ในช่วงเวลาดังกล่าวยังเป็นยุคที่ติดอยู่กับตำนานโบราณ

ผู้ปกครองควบคุมประเทศโดยแสร้งเป็นร่างจุติและตัวแทนแห่งทวยเทพ คนโดยมากเชื่อและยอมรับสิ่งที่ทางรัฐมอบให้โดยไม่ตระหนักถึงเจตจำนงเสรีแห่งตน

‘พระบุตรแห่งหายนะ โซมะ คิซากิ’ ผู้สามารถคิดถึงเสรีภาพและความเท่าเทียมในยุคนั้นนับเป็นคนนอกรีตโดยแท้ - ไม่ สมควรนับเป็นการดำรงอยู่ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งเดียว

กระทั่งนักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ โสคราส ก็ยังเขียนลงในงานประพันธ์ของตนว่า ‘มันทำให้ข้าพเจ้าต้องการยืนยันความถูกต้องโดยแท้จากตำนานว่าพระบุตรแห่งหายนะเป็นผู้มาเยือนจากต่างโลกอันเป็นที่กล่าวขานในช่วงเวลานั้นเพื่อสรรเสริญเขา’

ทว่าเมื่อประเมินจากเอกสารอ้างอิงถึงเสรีภาพและความเท่าเทียมในฐานะความหมายที่แท้จริงของ ‘การประกาศแห่งเหล็ก’ และในฐานะการค้นพบใหม่ จำกัดเป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กๆ ของเหล่านักประวัติศาสตร์

นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ตัดสินว่ามันเป็นเพียงการกระตุ้นฝูงชนโดยโซมะเท่านั้น

ในพื้นที่บางแห่งยังมีคำพังเพยกล่าวว่า ‘ผู้ที่ร่วงหล่นสู่นรกคว้าจับแม้ใยแมงมุม’ หมายถึงผู้ที่กำลังสิ้นหวังอยู่ในสภาวการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจะหาที่ยึดเหนี่ยวอย่างบ้าคลั่งไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร แม้จะเป็นสิ่งที่แสนเปราะบางตัดง่ายเช่นใยแมงมุมก็ตาม

สำหรับโซออนและอดีตทาส ถ้อยคำของโซมะจึงเป็น ‘ใยแมงมุม’ โดยแท้

เป็นไปได้ว่าผู้คนในช่วงเวลานั้นที่เข้าใจถึงความหมายของเสรีภาพและความเท่าเทียมที่โซวมะกล่าวถึงนั้น ไม่มีอยู่

ทว่าสำหรับโซออนที่ถูกต้อนจนมุมสู่สถานการณ์เสียเปรียบ ไร้ซึ่งความหวังถึงอนาคต ถ้อยคำของโซมะทำให้พวกเขาคาดหวังสิ่งใหม่ๆ แม้จะไม่เข้าใจ เสมือนดั่งจุดประกายไฟสู่หัวใจ

สิ่งนี้เป็นจริงยิ่งกว่ากับอดีตทาส ง่ายดายเหลือเกินที่จะจินตนาการว่าถ้อยคำของโซมะที่เอ่ยถึงการมอบเกียรติยศ เสรีภาพและความเท่าเทียมที่ถูกขโมยไปหลังตกต่ำลงสู่ความเป็นทาส จะเป็นสิ่งหวานหูเพียงใด

กล่าวว่าการจับธรรมชาติของผู้คน ใช้การหลอกลวงถึงเสรีภาพและความเท่าเทียมใน ‘ประกาศแห่งเหล็ก’ นี้ถูกวางแผนมาเพื่อรวบรวมความปรารถนาที่ไม่เชื่อมโยง ความแตกต่างทางเผ่าพันธุ์ให้เป็นหนึ่งโดยสิ่งที่จะกลายมาเป็นรากฐานแห่ง ‘ประเทศของเรา’

การประเมินของ ‘คำประกาศแห่งเหล็ก’ ถูกแยกออกมาเช่นนั้น ทว่าสำหรับเรื่องต่างๆ ที่ตามมา ความเห็นล้วนเป็นหนึ่งเดียว

กล่าวว่า 「『คำประกาศแห่งเหล็ก』ที่ 『พระบุตรแห่งหายนะ โซมะ คิซากิ』 สร้างขึ้น มิใช่สิ่งใดไปมากกว่าการประกาศสงครามต่อโลกทั้งใบในช่วงเวลานั้น รวมไปถึงประเทศและผู้คนที่ยอมรับความคิดเหล่านั้นในโลกนี้」

และ ราวกับเป็นการยืนยัน ผู้คนที่พระบุตรแห่งหายนะ โซมะ คิซากินำทาง ล้วนแต่ยินดีสละชีพเข้าสู่สงครามอันน่าสยดสยองในขณะที่เปล่งเสียงตะโกนนามพระบุตรแห่งหายนะ สรรเสริญทุกชีวิตที่เป็นไทและความเท่าเทียมโดยไม่คำนึงถึงเผ่าพันธุ์และสภาพแวดล้อมของตนหลังจากนั้น

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น