[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 46: ถ้อยแถลง 2


แน่นอน สำหรับโซออนที่ข้องเกี่ยวกับสงครามที่กำลังจะมาถึง และกระทั่งเหล่าอดีตทาสผู้คาดการณ์ได้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น คำปฏิเสธนี้ของโซวมะล้วนแต่ไม่น่าเป็นไปได้

ทัพเสริมฮอลเมียคงอยู่ระหว่างทางแล้ว เพียงแค่รอสั่งสมกำลังทหารให้มากที่สุดเพื่อกำจัดโซออนและอดีตทาสในคราวเดียว เพื่อจะรอดไปได้ เขาย่อมไม่สามารถปฏิเสธความร่วมมือจากอดีตทาสและใช้เพียงโซออนรับมือได้

ความวิตก สงสัย ไม่เชื่อใจ และตกตะลึง

ทุกอารมณ์ผสมผสาน เสียงฮือฮาดังไปทั่วจัตุรัส

ทุกคนต่างต้องการได้ยินความตั้งใจแท้จริงของเขาเบื้องหลังคำปฏิเสธนั้น ทว่าโซวมะยังคงยืนเงียบ สายตาจ้องมองฝูงชน

ไม่ว่าจะเนิ่นนานเพียงใด ดูไปคล้ายว่าโซวมะจะไม่ยอมเอ่ยปาก ผู้คนจึงเริ่มคาดว่าเขาคงรอให้ทุกคนฟังสิ่งที่เขาจะพูด กระทั่งสรรพเสียงเงียบลงอีกคราวเพื่อรอคอยฟัง

โซวมะรู้สึกว่าทุกคนในที่นี้รอคอยคำพูดเขา จึงเริ่มเอ่ยปากอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสงบ

“พวกคุณกำลังเข้าใจผิดอยู่ ทุกคนคิดว่านี่เป็นแค่การก่อกบฏธรรมดาเหรอครับ? พวกคุณคิดว่านี่เป็นแค่การล้างแค้นที่จะจบลงทันทีที่ทัพหลวงฮอลเมียปรากฏตัวมาปราบปรามเหรอครับ? ”

สำหรับผู้ประสบความเลวร้ายจากการตกเป็นทาส การลุกฮือขึ้นล้างแค้นมนุษย์ย่อมเป็นความยุติธรรม เป็นขนบเพื่อฟื้นฟู กระทำไปเพื่อกอบกู้เกียรติยศศักดิ์ศรี เพื่อให้รู้สึกถึงความเป็นคนอีกครั้ง

ทว่า โซวมะกลับนับสิ่งเหล่านี้เป็นการกระทำไร้ความหมาย

เช่นนั้นเอง เหล่าอดีตทาสล้วนแต่โมโหขึ้นมา เชื่อว่าความรู้สึกพวกตนล้วนถูกหยามหมิ่น

ท่ามกลางความเกรี้ยวกราดที่กำลังจะลุกฮือ โซวมะเอ่ยขึ้นอย่างทรงพลัง

“แต่นี่มันต่างออกไป! การต่อสู้ของพวกเราไม่ใช่สิ่งเล็กๆ อย่างการกบฏหรือล้างแค้น! ”

ผู้คนที่กำลังจะอาละวาดตกอยู่ในความงุนงงสับสนอีกครั้ง

ตรงข้ามกับที่คิดว่าเด็กหนุ่มดูเบาพวกเขา เขากลับมิได้เป็นเช่นนั้น คนยังกล่าวว่าการต่อสู้นี้มิใช่เรื่องเล็กๆ เสียแทน

ไม่มีใครเข้าใจความหมายของถ้อยคำโซวมะ ความสับสนแพร่กระจาย และราวกับฉวยโอกาสจากความสับสนเหล่านั้น โซวมะกระชากเสียง

“ทุกคน! มองดูรูปลักษณ์ของคนที่อยู่ข้างคุณสิ! ”

ถูกโซวมะกระตุ้น พวกเขาเริ่มหันมองกันและกัน

“คนที่คุณเห็นอาจเป็นโซออน อาจเป็นคนแคระ หรืออาจเป็นไดโนซอเรี่ยน

แต่ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ไหน พวกเขาก็ล้วนแต่เป็นผู้คนที่ถูกทำร้ายศักดิ์ศรี ถูกทำร้ายความรู้สึก และถูกทำร้ายความเชื่อ พวกเขาคือผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บจากความรุนแรงที่ไม่สมเหตุสมผลด้วยกันทั้งนั้น

และคุณเองก็เหมือนกัน

พวกคุณคือคนอ่อนแอที่ได้รับบาดเจ็บ ถูกขโมยเสรีภาพไปจากจิตใจและร่างกาย ศักดิ์ศรีของพวกคุณถูกเหยียบย่ำไว้ใต้ฝ่าเท้า ด้วยเหตุเดียวคือแค่เพราะคุณมาจากต่างเผ่าพันธุ์

เมื่อคุณหลับตาลง คุณจะยังเห็นร่างนายทาสผู้โหดร้าย เฆี่ยนตีคุณราววัวควาย หากคุณเงี่ยหูฟัง คุณจะยังได้ยินเสียงเหยียดหยามจากผู้คุมทาสที่ต้องการทำลายจิตวิญญาณของคุณ”

ด้วยถ้อยคำเหล่านั้น บ้างสัมผัสรอยแผลเป็น ร่องรอยเฆี่ยนตีที่กระทั่งยามนี้ยังทิ้งบาดแผลบนแผ่นหลัง บ้างถูข้อมือของตนที่ถูกล่ามตรวจด้วยกุญแจมือนานแสนนาน บ้างยกมือขึ้นอุดหู พยายามปิดกั้นเสียงถ้อยคำก่นด่าที่กระทั่งยามนี้ยังคงก้องสะท้อน และบ้างพยายามหลบซ่อนตัว ปิดบังตราประทับที่เผาไหม้บนร่างกาย

โซวมะประณามพวกเขา

“แต่พวกคุณไม่ใช่คนอ่อนแอบาดเจ็บอีกแล้ว! ตอนนี้ ท้ายที่สุดคุณก็สามารถกอบกู้ศักดิ์ศรีและอิสรภาพคืนด้วยมือของคุณเอง และแข็งแกร่งขึ้น! ”

ผู้คนเหล่านี้ล้วนแต่มีเงามืดประทับในจิตใจเมื่อถูกรื้อฟื้นอดีตเลวร้าย ทว่ายังคงรู้สึกถึงแสงแห่งความหวังเบาบางจากถ้อยคำเหล่านั้น ไม่ว่าความหวังและเงามืดเหล่านี้จะถูกบรรจงสร้างขึ้นหรือไม่ พวกเขายังคงอดมิได้ให้มองไปยังแสงแห่งความหวังเพียงหนึ่งเดียวนั้น

อดีตทาสเหล่านี้พยักหน้าหนักแน่นให้กับคำพูดของโซวมะ

ทว่า เมื่อเห็นปฏิกิริยายังไม่เพียงพอ โซวมะจึงกระตุ้นพวกเขาต่อ

“พวกคุณอ่อนแอไหม!? หรือว่าแข็งแกร่ง!? เป็นแบบไหนกัน!? ”

ได้ยินคำถามนั้น คนกลุ่มหนึ่งร้องตะโกนตอบ ‘พวกเราแข็งแกร่ง! ’ เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้คนที่รายล้อมจึงร้องเห็นด้วย ทีละคน ทีละคน ราวกับคลื่นบนผิวน้ำที่สั่นสะเทือนกระทั่งลามไปทั่วลาน

ผู้คนที่เคยคอตกสิ้นหวังเมื่อระลึกถึงอดีตอันเจ็บปวดยามเป็นทาสต่างยืดอกขึ้นอย่างองอาจ ตะโกนสุดเสียงจนหน้าแดง

เห็นภาพเหล่านั้นครู่หนึ่ง โซวมะก็เลือกเวลาที่สมควร ยกมือขึ้นเล็กน้อย

เขาทำเพียงแค่นั้น

เขาทำเพียงแค่นั้น ทว่าผู้คนที่ส่งเสียงกลับเงียบลงอีกคราว

ไม่ใช่เพราะได้รับคำแนะนำหรือถูกใครสั่ง ทว่า โดยไม่รู้ตัว พวกเขาต่างจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเด็กมนุษย์ผู้นั้นที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกตน เฝ้าคอยทุกถ้อยคำที่จะกล่าวออกมา

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอถามพวกคุณผู้แข็งแกร่ง! อะไรคือศัตรูที่เราควรสู้!? ”

เพียงไม่นานก่อนหน้านี้ ทุกคนต่างคิดว่ามนุษย์ล้วนเป็นศัตรู

ทว่าด้วยถ้อยคำที่โซวมะเอ่ยถึง พวกเขาต่างสัมผัสได้ว่าคำตอบไม่ง่ายดายเพียงนั้น จึงไม่มีใครหาคำตอบให้กับคำถามของโซวมะได้ พวกเขาต่างมองหน้ากันและกัน

โซวมะมั่นใจว่าไม่มีใครตอบคำถามนั้นได้ เขาผายมือ ตะโกน

“ศัตรูคือพ่อค้าทาสที่เฆี่ยนตีพวกคุณเหรอ? ไม่ใช่! พวกเขาก็เป็นได้แค่เศษสวะ! ถ้าอย่างนั้นคือศาสนจักรที่ตีตราพวกคุณเป็นเผ่าพันธุ์ที่ด้อยกว่างั้นเหรอ!? ไม่ใช่! พวกนั้นก็แค่กลุ่มคนโง่ที่เชื่อในคนวิปลาสที่ตายไปเป็นชาติแล้ว! ถ้าอย่างนั้น คือเผ่าพันธุ์มนุษย์เองรึเปล่า!? นั่นก็ไม่ถูกต้องอีกเหมือนกัน! ”

ล้วนแต่เป็นการปฏิเสธวิธีคิดที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้

เขาไล่เรียงออกมาทีละอย่างถึงสิ่งที่น่าจะเป็นศัตรูของเหล่าทาสในลานกว้าง และปฏิเสธพวกมันทั้งสิ้น

“ผิดทั้งหมด! วิธีคิดของพวกคุณน่ะผิดพลาด! ”

ถูกปฏิเสธเช่นนั้น ก่อให้เกิดความสงสัยในวิธีคิดของพวกตน ความสงสัยกลายเป็นความกังวล ความกังวลก่อเกิดความกลัว เพื่อหนีจากความกลัวนั้น ผู้คนต่างมองหาสิ่งที่ตนสามารถพึ่งพาได้

“ทำไมน่ะเหรอ!? ทาสจะหายไปไหมถ้ามนุษย์หายไป? เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเป็นจริงอยู่แล้ว! เมื่อมนุษย์หายไป เผ่าพันธุ์ต่อไปที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะทำให้เผ่าอื่นตกเป็นทาส และหากเผ่าพันธุ์นั้นหายไป เผ่าพันธุ์ต่อไปก็จะทำแบบเดียวกัน และต่อให้ทุกเผ่าพันธุ์หายไปหมด ทาสและคนที่กดข่มคนอื่นเป็นทาสก็จะยังถือกำเนิดขึ้นในเผ่าพันธุ์ที่เหลืออยู่ดี

สหายศึกของคุณที่ตอนนี้ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ คนที่คุณแบ่งปันความยินดีจากการเป็นไทร่วมกัน ในวันหน้าอาจเปลี่ยนเป็นทาสและนายทาสผู้เหี้ยมโหด

คุณยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นได้เหรอ!?

ไม่! จะให้ทนกับเรื่องแบบนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้! ตัวมันเองนั่นแหละที่ผิด! นั่นแหละคือสิ่งที่ต้องทำให้ถูกต้อง! ”

จากนั้น โซวมะมอบคำตอบยิ่งใหญ่แก่หัวใจของผู้คนหาสิ่งยึดเหนี่ยว สู่หัวใจของผู้หลงทาง

“ศัตรูที่เราควรต่อสู้คือโลกใบนี้! คือโครงสร้างอันบิดเบี้ยวของโลกใบนี้! ”

นั่นคือบางสิ่งที่ไม่ปกติ

มันคือบางสิ่งที่น่าตกตะลึงจนเกินไป

เป็นสิ่งที่โง่งม และใหญ่โตที่ควรถูกหัวเราะเยาะให้กับความคิดแสนโง่งมเรียบง่าย

ทว่าถ้อยคำเหล่านั้นกลับสลักฝังลงในหัวใจของผู้คนแน่นหนา

“ดวงอาทิตย์เลือกความสว่างตามเผ่าพันธุ์รึเปล่า!? สายฝนเลือกตกต่างกันระหว่างแต่ละเผ่าพันธุ์ไหม!? ค่ำคืนมาเยือนหลังเลือกเผ่าพันธุ์รึไม่!? ผืนแผ่นดินเลือกสัมผัสผู้คนหลังแบ่งแยกตามเผ่าพันธุ์ใช่ไหม!?

ไม่! แน่นอนว่าไม่!

เดิมทีแล้วผู้คนในโลกนี้ล้วนเท่าเทียมกัน ความจริงกลับถูกบิดเบี้ยวโดยความละโมบของผู้คนที่กระหายอำนาจ!

ทว่า ความเป็นจริงแล้วต่างออกไป!

จิตวิญญาณของคุณ ความปรารถนาของพวกคุณล้วนแต่เป็นอิสระ! ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ไหนก็ไม่มีด้อยกว่าหรือเหนือกว่าทั้งนั้น ไม่มีลำดับตามสายเลือดและความสัมพันธ์ ทุกคนเท่าเทียมกัน! ”

เสรีภาพและความเท่าเทียม

คำเหล่านี้ล้วนไม่คุ้นหู ทว่ากลับฟังดูน่าหลงใหลอย่างไม่ทราบเหตุผล

“เพื่อปกป้องความเท่าเทียม เสรีภาพ และศักดิ์ศรีที่คุณได้รับ! เพื่อเพื่อนพ้องที่ยืนอยู่ข้างคุณ! เพื่อคนที่คุณรักที่อาจยืนอยู่ข้างกาย! เพื่อเด็กๆ ที่อาจจะอยู่ข้างหลังคุณ! เพื่อเหตุผลเหล่านั้น—”

ถ้อยคำแสนปรารถนาหยุดฉับพลันเพียงเท่านั้น โซวมะเผยรอยยิ้มอ่อนโยน เอ่ย

“เรามาสร้างประเทศกันเถอะครับ”

ถ้อยคำเหล่านั้นซึมซาบเข้าสู่หัวใจผู้ฟัง ราวสายน้ำพร่างพรมลงบนผืนดินแห้งเหือด

เขาพูดด้วยแรงอารมณ์ อีกครั้ง

“มาสร้างประเทศของพวกเรา! ประเทศที่มีเสรีภาพและความเท่าเทียมของพวกเรา! ด้วยมือของเราเอง!

นี่ไม่ใช่แค่การลุกฮือต่อต้านเล็กน้อย! และมันก็ไม่ใช่การล้างแค้นอีกเช่นกัน! คนที่อยากต่อสู้เพื่อเรื่องแบบนั้นเราไม่ต้องการ! เพราะนี่คือการต่อสู้ เพื่อการสร้างสถานที่ ที่เราจะเรียกว่าบ้าน! ”

ฉับพลัน เขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงสีหน้าของโซวมะบิดเบี้ยวอย่างโศกเศร้า เขาหลับตา หันหน้าไปอีกทาง

“แต่มันคือเส้นทางที่จะเต็มไปด้วยความยากลำบาก ผู้คนที่ได้ผลประโยชน์จากโลกที่บิดเบี้ยวนี้จะต้องพยายามกำจัดเราเพื่อปกป้องความปรารถนาเห็นแก่ตัวของตนเอง

คนเหล่านี้จะเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ หากเราต่อสู้กับพวกเขา หลายคนจะต้องบาดเจ็บ หลายชีวิตจะต้องสูญเสีย”

โซวมะหันกลับมามองทุกคนอีกครั้ง เขากำมือแน่น ชูขึ้นสู่ฟ้า

“แต่ว่า ที่ปลายทางของการเสียสละเหล่านั้น จะต้องมีประเทศของเราอยู่แน่นอน! บ้านของพวกเรา! ”

ความจริงอันโหดร้ายกระแทกเข้าสู่พวกเขา และความฝันที่พบได้ ณ สุดปลายทาง หัวใจของผู้คนสั่นสะท้านรุนแรงให้กับความแตกต่างกว้างใหญ่ระหว่างทั้งสองสิ่ง

โซวมะรับถุงใบเล็กและตรวนไม้จากมือเชมุลที่ยืนอยู่ข้างกาย เขายกตรวนไม้ขึ้นสูงในอากาศ

“เพราะอย่างนั้น หากคุณกลัวความตาย และปรารถนาจะเอาตัวรอด ละทิ้งศักดิ์ศรีและอิสรภาพของตัวเอง คุณสามารถคล้องตรวนนี้เข้าที่คอและกลับไปที่คอกทาสสกปรกเองได้! ใช้ชีวิตภายใต้การถูกทารุณกรรมและเฆี่ยนตีเหมือนหมูหมาต่อไป! ”

ตรวนไม้ถูกโยนทิ้งลงสู่พื้น ส่งเสียงร่วงหล่นบาดหู

จากนั้น เขายกถุงใบเล็กขึ้นสูง

“หากคุณเกรงกลัวการต่อสู้ ปรารถนาจะหลบหนี คุณสามารถรับเหรียญเงินเหล่านี้ไป และหนีไปจากเมืองนี้ซะ! วิ่งหนีต่อไปจนกว่าจะตาย หนีไปด้วยความกลัวว่ามนุษย์จะไล่ล่าคุณได้ทุกเมื่อ! ”

ถุงใบเล็กถูกโยนลงสู่พื้น เหรียญเงินด้านในส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งยามกระทบกัน

“เอาล่ะทีนี้ เลือก! ”

เสียงโซวมะก้องสะท้อนไปทั่วลานกระทั่ง ผู้คนนิ่งงันด้วยความท่วมท้นจากสิ่งที่ได้ฟัง

พวกเขาล้วนแต่อึ้งงัน

เพราะไม่อาจตามทันเนื้อหาที่แตกต่างจากความรับรู้ทั่วไปในโลกใบนี้

พวกเขาล้วนแต่ลังเล

แม้ไม่อาจเข้าใจ พวกเขายังคงรู้สึกถึงความกระตือรือร้นที่ไม่อาจอธิบายได้ก่อตัวขึ้นในอก

ในจัตุรัสที่ปกคลุมด้วยความตึงเครียด คนแคระคนหนึ่งเคลื่อนไหว

เขาคือดวาลิน

เขาเดินแทรกสหายทั้งหลายของตนออกมา กระทั่งหยุดอยู่หน้าโซวมะ

ทุกคนในที่นั้นต่างเฝ้ามองว่าดวาลินจะทำอะไร

กระทั่งโซวมะที่แสดงท่าทีกล้าหาญ ยามนี้ก็ดูราวกับจะแตกออกได้ลงหากถูกสัมผัสแม้เพียงครั้งเดียว ความกล้าหาญอันน้อยนิดถูกนำมาใช้จนหมดสิ้น รอคอยถ้อยคำของดวาลิน

เขาอาจถูกด่า เขาอาจถูกเหยียดหยาม เขาอาจไม่ได้รับการยอมรับว่าคู่ควรพอจากอีกฝ่าย

โซวมะรอคอยคำตอบจากคนแคระ ในใจสั่นสะท้านอย่างกังวล ราวกับคนบาปผู้รอคอยคำพิพากษาครั้งสุดท้ายจากพระผู้เป็นเจ้า

จากนั้น ดวาลินสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างรวดเร็ว แล้วตะโกนเสียงดัง

“ข้าไม่ต้องการไม้หรือเงิน! ”

เขายื่นแขนใหญ่หนา แบมือขึ้นเบื้องหน้าโซวมะ

“มอบเหล็กให้แก่ข้า! ”

ไม้หมายความถึงตรวน และเงินหมายความถึงเหรียญเงิน

และ เหล็ก คืออาวุธที่สร้างจากเหล็ก

ดวาลินไม่ขอตรวนเพื่อกลับไปเป็นทาสอีกครั้ง ทั้งยังไม่เอ่ยขอเหรียญเงินเพื่อการหลบหนี เขากลับร้องขออาวุธเหล็กเพื่อการต่อสู้

คิดเช่นนั้น เหล่าคนแคระและไดโนซอเรี่ยนต่างเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง

“ใช่! มอบเหล็กให้ข้าเช่นกัน! ”

“ส่งเหล็กให้พวกข้าด้วย! ”

“เหล็ก! มอบเหล็กให้ข้า! ”

ขณะร้องตะโกน พวกเขาชูหมัดขึ้นสู่ฟ้า ไม่อาจเก็บกักอารมณ์รุนแรงจากในอก พวกเขากระทืบเท้า ตะโกนกระทั่งเสียงแหบแห้ง

ราวกับได้รับผลกระทบจากสิ่งเหล่านั้น กระทั่งโซออนก็ร่วมชูกำปั้นขึ้นสู่ฟ้า ส่งเสียงตะโกน

“ส่งเหล็กให้เรา! ส่งเหล็กให้เรา! ”

โซวมะผู้ถูกอาบด้วยเสียงตะโกนอันแรงกล้าเห็นร่างของเชมุลที่ควรจะยืนอยู่ข้างกายหายไปโดยไม่รู้ตัว

ไม่ เชมุลยังอยู่ตรงนั้น

ที่เขาไม่เห็นเธอ เพราะเชมุลที่เคยยืนเพื่อคุ้มกันโซวมะ ยามนี้ทรุดกายลงคุกเข่า ก้มหัวต่ำให้แก่โซวมะ สองแก้มเปียกปอนด้วยหยาดน้ำตา

“โอ โซมะ นายแห่งนาภีข้า! นับเป็นเกียรตินักที่ได้มอบทุกสิ่ง ทั้งจิตวิญญาณข้า ดวงใจข้า และเลือดเนื้อข้าแก่ท่าน ท่านคือนายแห่งนาภีข้าโดยแท้! ท่านคือทุกสิ่งอย่างของข้า! ”

ความคิดของเชมุลยามนี้ผนึกแน่น

ยามนี้นางถูกเผาไหม้ เลือดในกายแล่นพลุ่งพล่านขึ้นสู่ศีรษะ ความยินดีเปี่ยมล้นจนคล้ายจะทะลักออกจากทุกทวารทั่วร่าง

เมื่อนางมองใบหน้าโซวมะในยามนั้น นางเกรงว่าบางสิ่งในกายนางจะถูกปลดปล่อย ทำได้เพียงปิดบังใบหน้า ไม่อาจทำสิ่งใดนอกเสียจากเอ่ยนามของผู้ที่นางเคารพรัก ‘นายแห่งนาภี’

เช่นนั้นเอง นางจึงมิได้เห็น

สีหน้าของโซวมะที่ก้มมองนางในยามนี้ ราวกับจะระเบิดหยาดน้ำตาออกมาได้ทุกเมื่อ

———

Omake

โซวมะ

“หืม~ พรุ่งนี้จะพูดอะไรกับทุกคนดีนะ?

‘ทัพหลวงฮอลเมียมันกาก ไปบอกพวกมันว่ามันห่วยแตกกันเถอะ!! ’ แบบนี้ก็ไม่ดีสินะ?

งั้น ‘ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย ผมชอบการปลดปล่อยทาส สุภาพบุรุษทั้งหลาย ผมหลงไหลการปลดปล่อยทาส ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย ผมรักการปลดปล่อยทาส! ’ นี่มัน อย่างที่คิดแฮะ

รู้สึกยังกะเอาสปีชของจ*นในเม*ลเกียร์มาทำเสียของไงไม่รู้ สปีชของสีแดงแรงสามเท่าน่าจะจับใจได้ดีกว่าสักหกเท่า แถมยังเจ๋งด้วยนี่นะ…? ”



เสียงนกร้องดังมา

เชมุล: ไม่ต้องมา ‘อ๊ะ...เชมุล’ กับข้าเลยนะ! โซมะ! ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าฝืนตัวเอง!

โซวมะ: หา…? เช้าตั้งแต่เมื่อไหร่นะ? (รู้สึกยังกะตอนดูอนิเมหรืออ่านมังงะยันสว่างยังไงไม่รู้)

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น