[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 45: ถ้อยแถลง 1



เช้าวันต่อมา เชมุลเดินเข้ามาในห้องนอนเพื่อปลุกโซวมะ กลับต้องนิ่วหน้าโดยไม่ตั้งใจ

นางบอกเขาแล้วมิให้ฝืนเกินไปนัก ทว่าบนเตียงกลับไร้ร่องรอยว่าโซวมะเคยนอนบนนั้น

นางถอนใจ ไหล่ลู่ลงคล้ายจะกล่าวว่าเขาช่างไร้ทางแก้ไขจริงๆ เชมุลหันหัวไปรอบห้อง หาตัวโซวมะ


ตอนนั้นเอง นางจึงเห็นโซวมะนั่งอยู่ที่มุมห้อง หัวห้อยลง กอดเข่าข้างหนึ่ง นางคิดสงสัยว่าเขาเผลอหลับไปในท่านั้นหรือไม่ ทว่ากลับมิได้ดูเป็นเช่นนั้น ดูเหมือนเขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนเข้ามาในห้อง โซวมะกำลังพึมพำบางสิ่งกับตนเอง

เชมุลเดินไปข้างหน้า ก้าวเท้าเสียงดังให้เขารู้ตัว ในที่สุดโซวมะจึงได้สังเกตเห็นนาง และเงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า

“อ๊ะ...เชมุล”

“ไม่ต้องมา ‘อ๊ะ...เชมุล’ กับข้าเลยนะ! โซมะ! ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าฝืนตัวเอง! ”

เห็นนางโกรธ ดวงตาเหม่อลอยจึงดูชัดเจนขึ้นมา เขามองรอบตัว ท้ายสุดจึงเห็นว่าดวงตะวันทอแสงเข้ามาในห้องแล้ว

“หา…? เช้าตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ? ”

เชมุลได้ยินเข้าก็อึ้งไป

“ข้อมีความปรารถนาอยู่นะโซมะ คือโปรดอย่าทำให้ข้าเป็นกังวลนักเลย”

กล่าวดังนั้น นางก็นั่งลงข้างโซวมะ หยิบเอาอาหารเช้าที่พกติดตัวออกมา มันคือขานกย่างปรุงรสด้วยเกลือกับสมุนไพร คู่กับแป้งถั่วบดต้ม

“เมื่อเช้าข้าเจอนกโง่หลงทางเข้ามาในสวนคฤหาสน์ เห็นอ้วนพีน่าอร่อยนักจึงจับมาทำอาหารเช้าเสียเลย”

โซวมะคิดว่านกตัวนั้นคงไม่ได้หลงทาง แต่น่าจะถูกเลี้ยงไว้มากกว่า ทว่าเขาไม่ได้บอกเชมุลที่ดูเริงร่าอย่างใสซื่อมีความสุข

ได้รับขานกย่างมา โซวมะกำลังจะกัดมันลงไปทว่าตัวแข็งทื่อขึ้นมา เชมุลเห็นท่าทีลังเลจึงถาม

“เป็นอะไรไป? เจ้าไม่ชอบเนื้อนกหรือ? ”

“เปล่าหรอก ไม่ใช่แบบนั้น”

เชมุลกัดเนื้อน่องส่วนของตน รสชาติดีนัก มีไขมันกำลังดี เกลือที่โรยและสมุนไพรรวมกันให้รสเค็มน้อยๆ ความร้อนทำให้รสชาติดีจนไม่อาจห้ามใจ

รสชาติไม่ใช่ปัญหา เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงไม่ทานเล่า? เชมุลสงสัยนัก เมื่อจ้องมองมากเข้า โซวมะก็กัดเนื้ออย่างกระวนกระวาย

เมื่อกัดเนื้อเข้าปากเคี้ยวคำใหญ่หลายครั้ง โซวมะก็กลืนมันลงคอแล้วกระซิบ

“...กัดอาหารได้ด้วย? ”

เช่นนั้น เชมุลจึงเคี้ยวเพื่อตรวจสอบเนื้อ นางกัดมันเข้าปากอีกครั้งแล้วโคลงหัวคล้ายจะถามว่า ‘มันเหนียวหรือ? ’

ทั้งคู่ทานอาหารต่ออย่างเงียบๆ ต่ออีกพักหนึ่ง

ระหว่างนั้น เชมุลรู้สึกได้ว่าโซวมะมีบางสิ่งแปลกไป นางอยากถามเขา ทว่านางยังสัมผัสได้ถึงรอยร้าวราวแผ่นน้ำแข็งเบาบางยามต้นฤดูใบไม้ผลิ ราวกับว่าเขาจะพังทลายลงหากนางแตะต้องเรื่องนี้โดยไม่คิดให้ดี แม้นางจะค้นหาคำพูดที่เหมาะสมเพียงใด เชมุลก็ไม่อาจหาพบ

ดังนั้นเมื่อโซวมะทานอาหารเสร็จแล้วเรียกนาง นางจึงชะงักไปโดยไม่ตั้งใจ

“อะ อะไรหรือโซมะ? ”

“ช่วยบอกดวาลินให้รวมตัวอดีตทาสมาที่จัตุรัสของคฤหาสน์นี้ได้ไหมครับ? ”

“เข้าใจแล้ว เจ้าจะโน้มน้าวให้พวกเขาเข้าร่วมมือในสงครามต่อต้านมนุษย์ใช่หรือไม่? ”

ทว่า โซวมะกลับไม่ได้ตอบคำถามเชมุลชัดเจน ทั้งยังขอให้นางทำอย่างอื่นอีก

“ยังมี ของที่ผมอยากให้คุณช่วยไปเตรียมไว้ให้หน่อยครับ”

กล่าวดังนั้นแล้ว เชมุลก็มีสีหน้าสับสนเมื่อได้ยินชื่อของสองสิ่งที่โซวมะเอ่ยมา ทั้งสองล้วนแต่มิใช่ของสำคัญ ทั้งยังสามารถจัดเตรียมได้ทันทีในเมืองนี้

“เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกับของพวกนั้นหรือ?”

“อืม ก็เป็นของประกอบฉากเล็กๆ น้อยๆ แหละครับ”

โซวมะยิ้มคลุมเครือให้กับเชมุลที่ไม่อาจเข้าใจแผนการของเขาได้เลย



◆◇◆◇◆


การัมจ้องมองเหล่าอดีตทาส ไดโนซอเรี่ยนและคนแคระที่มารวมตัวกันยังจัตุรัส

เมื่อวานพวกเขาเพิ่งเป็นไท ทั้งยังบ้าคลั่งถึงขั้นเข้าโจมตีโซออนที่ช่วยปลดปล่อยพวกเขาโดยไม่คิด ทว่าเมื่อได้ทานอาหารดีๆ และหลบพักผ่อนคืนหนึ่ง ดูเหมือนทุกคนจะใจเย็นลงมาก

ทว่าก็เป็นเพียงเบื้องหน้าเท่านั้น

ดูเหมือนอดีตทาสจะมองว่าโซออนไม่ใช่สหายนัก ในสายตาพวกมัน พวกเขาปลดปล่อยพวกมันจากความเป็นทาสโดยมิได้ร้องขอ คล้ายว่าทำไปเพียงเพื่อให้การเข้ายึดเมืองเป็นไปโดยง่าย ยังมีบางพวกอย่างจาฮานกิลที่มองว่าโซออนยึดเมืองได้เพียงเพราะได้ความช่วยเหลือจากพวกตนเท่านั้น

แล้วมีเหตุอันใด ทำไมโซมะจึงต้องการเกลี้ยกล่อมพวกนี้เล่า?

การัมอดเป็นกังวลไม่ได้

ทันใดนั้น เซอร์กูที่มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นเดียวกับการัมก็ปรากฏตัว

“เซอร์กู สถานการณ์ทางนั้นเป็นอย่างไร? ”

“ก็เหมือนๆ กับทางนี้” เซอร์กูพ่นลม

“ปัญหาหลักคือพวกไดโนซอเรี่ยนรวมตัวอยู่รอบเจ้าจาฮานกิลอะไรนั่น ข้าไม่รู้ว่าพวกมันจะอาละวาดอีกเมื่อไหร่”

“ดังคาด พวกเขาย่อมไม่พร้อมใจเชื่อฟังมนุษย์เช่นโซมะ เจ้าจะกล่าวเช่นนี้ใช่หรือไม่? ”

จากมุมมองของพวกมันย่อมดูแปลกประหลาดที่โซออนเข้าข้างโซมะ มนุษย์ที่ทำให้พวกมันกลายเป็นทาส ทำให้พวกมันแสดงออกรุนแรงนัก

“นั่นก็ด้วย ยังกล่าวว่าเราควรจะสังหารมนุษย์ในเมืองนี้เสียให้หมด อ้าปากทีไรพวกมันก็พูดกันอยู่เรื่องเดียว กระทั่งข้าก็เอียนเหลือเกินแล้ว”

การัมยิ้มบางให้กับน้ำเสียงขมขื่นนั้น

“ความหัวร้อนนั่นมากกว่าเจ้าอีกหรือ? ”

“ข้าไม่ได้หัวร้อน! ใช่ไหมชิชุล? ”

หลังจากยืนเงียบอยู่ด้านหลังการัมเป็นนาน ชิชุลก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะเมื่อถูกเรียกกะทันหัน

โดนหลานสาวทรยศ เซอร์กูมีสีหน้าหดหู่สุดขีด การัมอดไม่ไหวจึงหัวเราะลั่น

เซอร์กูแค่นเสียงด้วยสีหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นดังนั้น ก่อนจะส่งเสียง ‘โอ้’ ออกมาเบาๆ

“ที่ทางเข้านั่น ท่านโซมะกับน้องสาวเจ้ามาแล้ว”

การัมหันไป ตรงกับจังหวะที่โซวมะเดินออกจากคฤหาสน์มาหาพวกเขาพอดี

การัมนึกสงสัยสายตาตนเองเมื่อเห็นน้องสาวที่เดินตามโซวมะมาเช่นเคย เพราะเชมุลถือของไม่คุ้นตาติดมาด้วย

“นั่นมัน...ตรวน กับถุงรึ? ”

แม้จะเป็นระยะไกล แต่สิ่งที่เชมุลถือมาคือตรวนไม้ที่มักใช้ตรึงมือและคอทาส กับถุงใบเล็ก

“น้องสาวเจ้าคิดจะทำอะไรกับของพวกนั้นกัน? ”

การัมส่ายหน้าให้กับเซอร์กูที่มองของในมือเชมุลอย่างสงสัย

“ไม่รู้ซี เกรงว่าจะเป็นความคิดของโซมะกระมัง”

การัมจินตนาการไม่ออกว่าโซมะคิดจะทำอะไร ทว่าด้วยสัญชาตญาณที่ติดตัวมาผ่านความเป็นความตายหลายต่อหลายครั้งในสนามรบ มันกำลังร้องเตือนเขา ว่าบางสิ่งที่ไม่น่าเชื่อกำลังจะเกิดขึ้น

ไม่รู้ด้วยเหตุใด การัมรู้สึกว่าขนคอเขาลุกชันเพราะเด็กชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอดีตทาสเหล่านั้น โดยมีน้องสาวเขาคอยรับใช้ข้างกาย



◆◇◆◇◆


ยืนอยู่เบื้องหน้าผู้คนที่มารวมตัวกัน ณ ลานจัตุรัส โซวมะถูกสายตาทั้งหลายจับจ้อง

ผู้คนนับร้อยพันเบื้องหน้าเขาจับจ้องเพียงเขา กลายเป็นความกดดันราวกับจะบดขยี้ร่างกายเล็กๆ ของเขาให้แหลกสลาย

ทว่า โซวมะปลอบใจตนเอง กำหมัดแน่นเข้า

จากนั้น เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ตะโกนออกไป ไม่สนใจแรงกดดันทั้งหลาย

“ผมคิซากิ โซวมะ เป็นคนที่สั่งการโซออนให้บุกยึดเมืองนี้ และปลดปล่อยพวกคุณ! ”

บทสนทนาถึงเรื่องโซวมะมีการแพร่หลายในหมู่อดีตทาสมาก่อนแล้วด้วยฝีมือของดวาลิน

สิ่งที่ปรากฏในใจพวกเขา มนุษย์ที่โซออนผู้เป็นจ้าวแห่งที่ราบยอมศิโรราบยังเป็นวีรบุรุษอดีตทหารชาญศึก หรือมนุษย์ผู้เป็นนักวางแผนที่ไม่อาจดูเบาแม้ยามถูกกดดันซักฟอก ทว่าที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกตนกลับกลายเป็นเด็กชายที่มีหน้าตาบ้านๆ ผู้หนึ่ง

เช่นนี้เองจึงเริ่มมีเสียงกระซิบกระซาบฮือขึ้นในหมู่อดีตทาส

แต่โซวมะที่เคยประสบเหตุการณ์คล้ายคลึงกันจากตอนเผชิญหน้ากับเซอร์กูและผู้ติดตามมาแล้ว เขาไม่ได้วางแผนจะลบล้างข้อสงสัยเหล่านั้น เพราะเขาเรียนรู้มาแล้ว ว่าการแสดงความจริงออกมา สามารถโน้มน้าวผู้คนได้มากกว่าถ้อยคำนับล้าน

“ผมทราบว่าตอนนี้พวกคุณทุกคนคงกังวลว่าเราวางแผนจะทำอะไรกับพวกคุณต่อไป ใช่ไหมครับ!? ”

กระทั่งคนที่มองโซวมะอย่างไม่เชื่อถือก็ยังอดไม่ได้ให้จริงจังขึ้นมาเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับความเป็นอยู่ของตนเอง พวกเขาหุบปากเงียบ เอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยอย่างตั้งใจฟังว่าโซวมะจะกล่าวอะไร

“ผมได้รับอำนาจสามารถตัดสินใจได้เต็มที่ว่าจะทำยังไงกับพวกคุณครับ! ”

พูดแบบนั้น โซวมะชี้ไปยังการัมและเซอร์กูที่ยืนอยู่มุมหนึ่งของจัตุรัส เห็นแล้วทั้งสองก็พยักหน้าด้วยท่าทีเกินจริงเล็กน้อยเพื่อให้ทุกคนมองเห็น

เหล่าอดีตทาสเห็นว่าโซออนเชื่อฟังเด็กชายเบื้องหน้าพวกตนจริงก็ตกตะลึง สีหน้าสงสัยคาดเดาและดูถูกโซวมะหายไปเมื่อหันกลับมามองเขาอีกครั้ง

เมื่อเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงและได้รับการตอบรับพอสมควรแล้ว โซวมะก็พูดคำที่พวกเขาอยากได้ยินที่สุดออกมา

“พวกคุณเป็นอิสระ! ไม่ใช่ทาสอีกต่อไป! ”

เมื่อได้ยินคำยืนยันว่าพวกตนเป็นไท อดีตทาสส่งเสียงกู่ร้อง พวกเขาโอบกอดไหล่สหายร่วมศึกที่อยู่ข้างกาย ผู้ที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ยังมีบางคนถึงกับหลั่งน้ำตายินดี

เบื้องหน้าการเฉลิมฉลองของพวกเขา โซวมะหลับตาลง ไม่เอ่ยคำใด เพียงฟังเสียงกู่ร้องยินดีเหล่านั้น

ผ่านไปสักพัก สรรพเสียงจึงเงียบลงช้าๆ

ในบรรดาพวกเขา ผู้ที่เย็นลงจากความยินดีชั่วครู่สัมผัสถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ เพียงเพราะเป็นไทยังมิได้หมายความถึงจบลง ทุกคนในที่นี้ย่อมเข้าใจว่าพวกตนไร้สิ้นความหวัง มนุษย์ไม่มีทางปล่อยให้การลุกกบฏครั้งใหญ่เช่นนี้ไป

ทว่าโซวมะที่พวกเขาคาดหวังว่าจะเอ่ยคำใดปลอบประโลมคลายความวิตก กลับเพียงยืนอยู่เบื้องหน้าเท่านั้น

ทุกคนเริ่มรู้สึกอึดอัดเมื่อโซวมะยังคงหลับตานิ่งเงียบ

ท้ายสุด คนแคระคนหนึ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาร้องถาม

“เช่นนั้น เจ้าว่าพวกเราควรทำอะไรเล่า!? ”

เสียง ‘ใช่ ใช่’ อย่างเห็นด้วยร้องสนับสนุนตามมา

ดังนั้น โซวมะจึงลืมตาขึ้น มองสำรวจผู้คนที่มารวมตัวกันทั้งหลายอย่างเชื่องช้า

“ผมก็บอกพวกคุณไปแล้วว่าพวกคุณเป็นอิสระ ทำอย่างที่คุณอยากทำสิ! ”

ประโยคนั้นชัดเจน ให้อดีตทาสและนักรบโซออนที่รวมตัวต่างตะลึงกับถ้อยคำที่ไร้ซึ่งมารยาท

เพราะตามที่ได้ยินมา เขาควรเอ่ยขอร้องให้อดีตทาสเข้าร่วมต่อสู้กับทัพมนุษย์ที่กำลังจะมาถึง

สายตาของนักรบโซออนหันไปมองการัมและเซอร์กูที่เป็นผู้นำโดยพร้อมเพรียงกัน

แม้ทั้งสองจะสั่นสะท้านจากคำพูดที่คาดไม่ถึงของโซวมะ ทว่าเพียงเก็บมันไว้ในใจ ยังคงแสดงท่าทางใจเย็น พวกเขาทราบดีว่าพี่น้องทั้งหลายคงวุ่นวายมหาศาลหากแสดงท่าทีออกไปจึงทำได้เพียงเก็บซ่อนความวิตกกังวลเอาไว้สุดชีวิต ทว่าพวกเขาเองกลับเป็นผู้ที่อยากเอ่ยปากถามโซวมะเป็นที่สุด เพราะโชคชะตาของเผ่าล้วนแบกอยู่บนบ่านั้น

อดีตทาสคนแคระผู้หนึ่งกลับเป็นฝ่ายถามขึ้น

“ข้าได้ยินว่าเจ้าจะสู้กับกองทัพมนุษย์ เป็นเรื่องจริงหรือไม่?! ”

โซวมะพยักหน้าหนักแน่น

“เป็นความจริงครับ พวกเราจะต้องสู้กับกองทัพมนุษย์ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า! ”

เพราะคำตอบนั้น เหล่าอดีตทาสจึงเสมือนค้นพบหนทางที่สามารถไขว่คว้า

“เช่นนั้นพวกเราจะสู้เช่นกัน! ”

“ใช่แล้ว ถูกต้อง! ถึงเวลาแก้แค้นแล้ว! ”

“เราจะสังหารพวกมนุษย์ที่จับเราเป็นทาสเสีย! ”

ได้ยินเช่นนั้น การัมก็คิดว่าสำเร็จแล้ว

โซวมะไม่ได้อ้อนวอนขอให้พวกเขาร่วมมือ ยิ่งไม่ได้ใช้กำลังบีบบังคับแม้แต่น้อย อดีตทาสเหล่านี้ล้วนแต่อาสาตัวเอง เลือกที่จะต่อสู้กับมนุษย์

พวกเขามิได้ถูกใครบอกให้ต้องทำตาม ผู้ที่ตัดสินใจจะสู้ด้วยความตั้งใจของตนเองจะแข็งแกร่ง

โซมะเปลี่ยนอดีตทาสเหล่านี้ให้เป็นนักรบที่ต้องการสู้ด้วยความปรารถนาของตน การัมประเมิน

ทว่าล้วนกลับเป็นความเข้าใจผิด

“ผมขอปฏิเสธ! ”

ทุกคนคิดว่าตนเองฟังผิดไปหรือไม่ เพราะคำปฏิเสธของโซวมะ ล้วนแต่เกินกว่าที่จินตนาการ

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น