เช้าวันต่อมา เชมุลเดินเข้ามาในห้องนอนเพื่อปลุกโซวมะ กลับต้องนิ่วหน้าโดยไม่ตั้งใจ
นางบอกเขาแล้วมิให้ฝืนเกินไปนัก ทว่าบนเตียงกลับไร้ร่องรอยว่าโซวมะเคยนอนบนนั้น
นางถอนใจ ไหล่ลู่ลงคล้ายจะกล่าวว่าเขาช่างไร้ทางแก้ไขจริงๆ เชมุลหันหัวไปรอบห้อง หาตัวโซวมะ
ตอนนั้นเอง นางจึงเห็นโซวมะนั่งอยู่ที่มุมห้อง หัวห้อยลง กอดเข่าข้างหนึ่ง นางคิดสงสัยว่าเขาเผลอหลับไปในท่านั้นหรือไม่ ทว่ากลับมิได้ดูเป็นเช่นนั้น ดูเหมือนเขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนเข้ามาในห้อง โซวมะกำลังพึมพำบางสิ่งกับตนเอง
เชมุลเดินไปข้างหน้า ก้าวเท้าเสียงดังให้เขารู้ตัว ในที่สุดโซวมะจึงได้สังเกตเห็นนาง และเงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
“อ๊ะ...เชมุล”
“ไม่ต้องมา ‘อ๊ะ...เชมุล’ กับข้าเลยนะ! โซมะ! ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าฝืนตัวเอง! ”
เห็นนางโกรธ ดวงตาเหม่อลอยจึงดูชัดเจนขึ้นมา เขามองรอบตัว ท้ายสุดจึงเห็นว่าดวงตะวันทอแสงเข้ามาในห้องแล้ว
“หา…? เช้าตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ? ”
เชมุลได้ยินเข้าก็อึ้งไป
“ข้อมีความปรารถนาอยู่นะโซมะ คือโปรดอย่าทำให้ข้าเป็นกังวลนักเลย”
กล่าวดังนั้น นางก็นั่งลงข้างโซวมะ หยิบเอาอาหารเช้าที่พกติดตัวออกมา มันคือขานกย่างปรุงรสด้วยเกลือกับสมุนไพร คู่กับแป้งถั่วบดต้ม
“เมื่อเช้าข้าเจอนกโง่หลงทางเข้ามาในสวนคฤหาสน์ เห็นอ้วนพีน่าอร่อยนักจึงจับมาทำอาหารเช้าเสียเลย”
โซวมะคิดว่านกตัวนั้นคงไม่ได้หลงทาง แต่น่าจะถูกเลี้ยงไว้มากกว่า ทว่าเขาไม่ได้บอกเชมุลที่ดูเริงร่าอย่างใสซื่อมีความสุข
ได้รับขานกย่างมา โซวมะกำลังจะกัดมันลงไปทว่าตัวแข็งทื่อขึ้นมา เชมุลเห็นท่าทีลังเลจึงถาม
“เป็นอะไรไป? เจ้าไม่ชอบเนื้อนกหรือ? ”
“เปล่าหรอก ไม่ใช่แบบนั้น”
เชมุลกัดเนื้อน่องส่วนของตน รสชาติดีนัก มีไขมันกำลังดี เกลือที่โรยและสมุนไพรรวมกันให้รสเค็มน้อยๆ ความร้อนทำให้รสชาติดีจนไม่อาจห้ามใจ
รสชาติไม่ใช่ปัญหา เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงไม่ทานเล่า? เชมุลสงสัยนัก เมื่อจ้องมองมากเข้า โซวมะก็กัดเนื้ออย่างกระวนกระวาย
เมื่อกัดเนื้อเข้าปากเคี้ยวคำใหญ่หลายครั้ง โซวมะก็กลืนมันลงคอแล้วกระซิบ
“...กัดอาหารได้ด้วย? ”
เช่นนั้น เชมุลจึงเคี้ยวเพื่อตรวจสอบเนื้อ นางกัดมันเข้าปากอีกครั้งแล้วโคลงหัวคล้ายจะถามว่า ‘มันเหนียวหรือ? ’
ทั้งคู่ทานอาหารต่ออย่างเงียบๆ ต่ออีกพักหนึ่ง
ระหว่างนั้น เชมุลรู้สึกได้ว่าโซวมะมีบางสิ่งแปลกไป นางอยากถามเขา ทว่านางยังสัมผัสได้ถึงรอยร้าวราวแผ่นน้ำแข็งเบาบางยามต้นฤดูใบไม้ผลิ ราวกับว่าเขาจะพังทลายลงหากนางแตะต้องเรื่องนี้โดยไม่คิดให้ดี แม้นางจะค้นหาคำพูดที่เหมาะสมเพียงใด เชมุลก็ไม่อาจหาพบ
ดังนั้นเมื่อโซวมะทานอาหารเสร็จแล้วเรียกนาง นางจึงชะงักไปโดยไม่ตั้งใจ
“อะ อะไรหรือโซมะ? ”
“ช่วยบอกดวาลินให้รวมตัวอดีตทาสมาที่จัตุรัสของคฤหาสน์นี้ได้ไหมครับ? ”
“เข้าใจแล้ว เจ้าจะโน้มน้าวให้พวกเขาเข้าร่วมมือในสงครามต่อต้านมนุษย์ใช่หรือไม่? ”
ทว่า โซวมะกลับไม่ได้ตอบคำถามเชมุลชัดเจน ทั้งยังขอให้นางทำอย่างอื่นอีก
“ยังมี ของที่ผมอยากให้คุณช่วยไปเตรียมไว้ให้หน่อยครับ”
กล่าวดังนั้นแล้ว เชมุลก็มีสีหน้าสับสนเมื่อได้ยินชื่อของสองสิ่งที่โซวมะเอ่ยมา ทั้งสองล้วนแต่มิใช่ของสำคัญ ทั้งยังสามารถจัดเตรียมได้ทันทีในเมืองนี้
“เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกับของพวกนั้นหรือ?”
“อืม ก็เป็นของประกอบฉากเล็กๆ น้อยๆ แหละครับ”
โซวมะยิ้มคลุมเครือให้กับเชมุลที่ไม่อาจเข้าใจแผนการของเขาได้เลย
◆◇◆◇◆
การัมจ้องมองเหล่าอดีตทาส ไดโนซอเรี่ยนและคนแคระที่มารวมตัวกันยังจัตุรัส
เมื่อวานพวกเขาเพิ่งเป็นไท ทั้งยังบ้าคลั่งถึงขั้นเข้าโจมตีโซออนที่ช่วยปลดปล่อยพวกเขาโดยไม่คิด ทว่าเมื่อได้ทานอาหารดีๆ และหลบพักผ่อนคืนหนึ่ง ดูเหมือนทุกคนจะใจเย็นลงมาก
ทว่าก็เป็นเพียงเบื้องหน้าเท่านั้น
ดูเหมือนอดีตทาสจะมองว่าโซออนไม่ใช่สหายนัก ในสายตาพวกมัน พวกเขาปลดปล่อยพวกมันจากความเป็นทาสโดยมิได้ร้องขอ คล้ายว่าทำไปเพียงเพื่อให้การเข้ายึดเมืองเป็นไปโดยง่าย ยังมีบางพวกอย่างจาฮานกิลที่มองว่าโซออนยึดเมืองได้เพียงเพราะได้ความช่วยเหลือจากพวกตนเท่านั้น
แล้วมีเหตุอันใด ทำไมโซมะจึงต้องการเกลี้ยกล่อมพวกนี้เล่า?
การัมอดเป็นกังวลไม่ได้
ทันใดนั้น เซอร์กูที่มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นเดียวกับการัมก็ปรากฏตัว
“เซอร์กู สถานการณ์ทางนั้นเป็นอย่างไร? ”
“ก็เหมือนๆ กับทางนี้” เซอร์กูพ่นลม
“ปัญหาหลักคือพวกไดโนซอเรี่ยนรวมตัวอยู่รอบเจ้าจาฮานกิลอะไรนั่น ข้าไม่รู้ว่าพวกมันจะอาละวาดอีกเมื่อไหร่”
“ดังคาด พวกเขาย่อมไม่พร้อมใจเชื่อฟังมนุษย์เช่นโซมะ เจ้าจะกล่าวเช่นนี้ใช่หรือไม่? ”
จากมุมมองของพวกมันย่อมดูแปลกประหลาดที่โซออนเข้าข้างโซมะ มนุษย์ที่ทำให้พวกมันกลายเป็นทาส ทำให้พวกมันแสดงออกรุนแรงนัก
“นั่นก็ด้วย ยังกล่าวว่าเราควรจะสังหารมนุษย์ในเมืองนี้เสียให้หมด อ้าปากทีไรพวกมันก็พูดกันอยู่เรื่องเดียว กระทั่งข้าก็เอียนเหลือเกินแล้ว”
การัมยิ้มบางให้กับน้ำเสียงขมขื่นนั้น
“ความหัวร้อนนั่นมากกว่าเจ้าอีกหรือ? ”
“ข้าไม่ได้หัวร้อน! ใช่ไหมชิชุล? ”
หลังจากยืนเงียบอยู่ด้านหลังการัมเป็นนาน ชิชุลก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะเมื่อถูกเรียกกะทันหัน
โดนหลานสาวทรยศ เซอร์กูมีสีหน้าหดหู่สุดขีด การัมอดไม่ไหวจึงหัวเราะลั่น
เซอร์กูแค่นเสียงด้วยสีหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นดังนั้น ก่อนจะส่งเสียง ‘โอ้’ ออกมาเบาๆ
“ที่ทางเข้านั่น ท่านโซมะกับน้องสาวเจ้ามาแล้ว”
การัมหันไป ตรงกับจังหวะที่โซวมะเดินออกจากคฤหาสน์มาหาพวกเขาพอดี
การัมนึกสงสัยสายตาตนเองเมื่อเห็นน้องสาวที่เดินตามโซวมะมาเช่นเคย เพราะเชมุลถือของไม่คุ้นตาติดมาด้วย
“นั่นมัน...ตรวน กับถุงรึ? ”
แม้จะเป็นระยะไกล แต่สิ่งที่เชมุลถือมาคือตรวนไม้ที่มักใช้ตรึงมือและคอทาส กับถุงใบเล็ก
“น้องสาวเจ้าคิดจะทำอะไรกับของพวกนั้นกัน? ”
การัมส่ายหน้าให้กับเซอร์กูที่มองของในมือเชมุลอย่างสงสัย
“ไม่รู้ซี เกรงว่าจะเป็นความคิดของโซมะกระมัง”
การัมจินตนาการไม่ออกว่าโซมะคิดจะทำอะไร ทว่าด้วยสัญชาตญาณที่ติดตัวมาผ่านความเป็นความตายหลายต่อหลายครั้งในสนามรบ มันกำลังร้องเตือนเขา ว่าบางสิ่งที่ไม่น่าเชื่อกำลังจะเกิดขึ้น
ไม่รู้ด้วยเหตุใด การัมรู้สึกว่าขนคอเขาลุกชันเพราะเด็กชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอดีตทาสเหล่านั้น โดยมีน้องสาวเขาคอยรับใช้ข้างกาย
◆◇◆◇◆
ยืนอยู่เบื้องหน้าผู้คนที่มารวมตัวกัน ณ ลานจัตุรัส โซวมะถูกสายตาทั้งหลายจับจ้อง
ผู้คนนับร้อยพันเบื้องหน้าเขาจับจ้องเพียงเขา กลายเป็นความกดดันราวกับจะบดขยี้ร่างกายเล็กๆ ของเขาให้แหลกสลาย
ทว่า โซวมะปลอบใจตนเอง กำหมัดแน่นเข้า
จากนั้น เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ตะโกนออกไป ไม่สนใจแรงกดดันทั้งหลาย
“ผมคิซากิ โซวมะ เป็นคนที่สั่งการโซออนให้บุกยึดเมืองนี้ และปลดปล่อยพวกคุณ! ”
บทสนทนาถึงเรื่องโซวมะมีการแพร่หลายในหมู่อดีตทาสมาก่อนแล้วด้วยฝีมือของดวาลิน
สิ่งที่ปรากฏในใจพวกเขา มนุษย์ที่โซออนผู้เป็นจ้าวแห่งที่ราบยอมศิโรราบยังเป็นวีรบุรุษอดีตทหารชาญศึก หรือมนุษย์ผู้เป็นนักวางแผนที่ไม่อาจดูเบาแม้ยามถูกกดดันซักฟอก ทว่าที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกตนกลับกลายเป็นเด็กชายที่มีหน้าตาบ้านๆ ผู้หนึ่ง
เช่นนี้เองจึงเริ่มมีเสียงกระซิบกระซาบฮือขึ้นในหมู่อดีตทาส
แต่โซวมะที่เคยประสบเหตุการณ์คล้ายคลึงกันจากตอนเผชิญหน้ากับเซอร์กูและผู้ติดตามมาแล้ว เขาไม่ได้วางแผนจะลบล้างข้อสงสัยเหล่านั้น เพราะเขาเรียนรู้มาแล้ว ว่าการแสดงความจริงออกมา สามารถโน้มน้าวผู้คนได้มากกว่าถ้อยคำนับล้าน
“ผมทราบว่าตอนนี้พวกคุณทุกคนคงกังวลว่าเราวางแผนจะทำอะไรกับพวกคุณต่อไป ใช่ไหมครับ!? ”
กระทั่งคนที่มองโซวมะอย่างไม่เชื่อถือก็ยังอดไม่ได้ให้จริงจังขึ้นมาเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับความเป็นอยู่ของตนเอง พวกเขาหุบปากเงียบ เอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยอย่างตั้งใจฟังว่าโซวมะจะกล่าวอะไร
“ผมได้รับอำนาจสามารถตัดสินใจได้เต็มที่ว่าจะทำยังไงกับพวกคุณครับ! ”
พูดแบบนั้น โซวมะชี้ไปยังการัมและเซอร์กูที่ยืนอยู่มุมหนึ่งของจัตุรัส เห็นแล้วทั้งสองก็พยักหน้าด้วยท่าทีเกินจริงเล็กน้อยเพื่อให้ทุกคนมองเห็น
เหล่าอดีตทาสเห็นว่าโซออนเชื่อฟังเด็กชายเบื้องหน้าพวกตนจริงก็ตกตะลึง สีหน้าสงสัยคาดเดาและดูถูกโซวมะหายไปเมื่อหันกลับมามองเขาอีกครั้ง
เมื่อเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงและได้รับการตอบรับพอสมควรแล้ว โซวมะก็พูดคำที่พวกเขาอยากได้ยินที่สุดออกมา
“พวกคุณเป็นอิสระ! ไม่ใช่ทาสอีกต่อไป! ”
เมื่อได้ยินคำยืนยันว่าพวกตนเป็นไท อดีตทาสส่งเสียงกู่ร้อง พวกเขาโอบกอดไหล่สหายร่วมศึกที่อยู่ข้างกาย ผู้ที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ยังมีบางคนถึงกับหลั่งน้ำตายินดี
เบื้องหน้าการเฉลิมฉลองของพวกเขา โซวมะหลับตาลง ไม่เอ่ยคำใด เพียงฟังเสียงกู่ร้องยินดีเหล่านั้น
ผ่านไปสักพัก สรรพเสียงจึงเงียบลงช้าๆ
ในบรรดาพวกเขา ผู้ที่เย็นลงจากความยินดีชั่วครู่สัมผัสถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ เพียงเพราะเป็นไทยังมิได้หมายความถึงจบลง ทุกคนในที่นี้ย่อมเข้าใจว่าพวกตนไร้สิ้นความหวัง มนุษย์ไม่มีทางปล่อยให้การลุกกบฏครั้งใหญ่เช่นนี้ไป
ทว่าโซวมะที่พวกเขาคาดหวังว่าจะเอ่ยคำใดปลอบประโลมคลายความวิตก กลับเพียงยืนอยู่เบื้องหน้าเท่านั้น
ทุกคนเริ่มรู้สึกอึดอัดเมื่อโซวมะยังคงหลับตานิ่งเงียบ
ท้ายสุด คนแคระคนหนึ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาร้องถาม
“เช่นนั้น เจ้าว่าพวกเราควรทำอะไรเล่า!? ”
เสียง ‘ใช่ ใช่’ อย่างเห็นด้วยร้องสนับสนุนตามมา
ดังนั้น โซวมะจึงลืมตาขึ้น มองสำรวจผู้คนที่มารวมตัวกันทั้งหลายอย่างเชื่องช้า
“ผมก็บอกพวกคุณไปแล้วว่าพวกคุณเป็นอิสระ ทำอย่างที่คุณอยากทำสิ! ”
ประโยคนั้นชัดเจน ให้อดีตทาสและนักรบโซออนที่รวมตัวต่างตะลึงกับถ้อยคำที่ไร้ซึ่งมารยาท
เพราะตามที่ได้ยินมา เขาควรเอ่ยขอร้องให้อดีตทาสเข้าร่วมต่อสู้กับทัพมนุษย์ที่กำลังจะมาถึง
สายตาของนักรบโซออนหันไปมองการัมและเซอร์กูที่เป็นผู้นำโดยพร้อมเพรียงกัน
แม้ทั้งสองจะสั่นสะท้านจากคำพูดที่คาดไม่ถึงของโซวมะ ทว่าเพียงเก็บมันไว้ในใจ ยังคงแสดงท่าทางใจเย็น พวกเขาทราบดีว่าพี่น้องทั้งหลายคงวุ่นวายมหาศาลหากแสดงท่าทีออกไปจึงทำได้เพียงเก็บซ่อนความวิตกกังวลเอาไว้สุดชีวิต ทว่าพวกเขาเองกลับเป็นผู้ที่อยากเอ่ยปากถามโซวมะเป็นที่สุด เพราะโชคชะตาของเผ่าล้วนแบกอยู่บนบ่านั้น
อดีตทาสคนแคระผู้หนึ่งกลับเป็นฝ่ายถามขึ้น
“ข้าได้ยินว่าเจ้าจะสู้กับกองทัพมนุษย์ เป็นเรื่องจริงหรือไม่?! ”
โซวมะพยักหน้าหนักแน่น
“เป็นความจริงครับ พวกเราจะต้องสู้กับกองทัพมนุษย์ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า! ”
เพราะคำตอบนั้น เหล่าอดีตทาสจึงเสมือนค้นพบหนทางที่สามารถไขว่คว้า
“เช่นนั้นพวกเราจะสู้เช่นกัน! ”
“ใช่แล้ว ถูกต้อง! ถึงเวลาแก้แค้นแล้ว! ”
“เราจะสังหารพวกมนุษย์ที่จับเราเป็นทาสเสีย! ”
ได้ยินเช่นนั้น การัมก็คิดว่าสำเร็จแล้ว
โซวมะไม่ได้อ้อนวอนขอให้พวกเขาร่วมมือ ยิ่งไม่ได้ใช้กำลังบีบบังคับแม้แต่น้อย อดีตทาสเหล่านี้ล้วนแต่อาสาตัวเอง เลือกที่จะต่อสู้กับมนุษย์
พวกเขามิได้ถูกใครบอกให้ต้องทำตาม ผู้ที่ตัดสินใจจะสู้ด้วยความตั้งใจของตนเองจะแข็งแกร่ง
โซมะเปลี่ยนอดีตทาสเหล่านี้ให้เป็นนักรบที่ต้องการสู้ด้วยความปรารถนาของตน การัมประเมิน
ทว่าล้วนกลับเป็นความเข้าใจผิด
“ผมขอปฏิเสธ! ”
ทุกคนคิดว่าตนเองฟังผิดไปหรือไม่ เพราะคำปฏิเสธของโซวมะ ล้วนแต่เกินกว่าที่จินตนาการ
0 ความคิดเห็น