[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 44: กล่อง


ร่างของผู้คนเลือนหายไปจากทัศนียภาพของเมืองแห่งนี้ กระทั่งถนนสายหลักอันมุ่งสู่ใจกลางเมืองที่เคยคลาคล่ำด้วยผู้คนมากมายจนถึงเมื่อวาน ยามนี้กลับร้างไร้กระทั่งแมวจร เหลือเพียงคราบเลือดบนพื้นและความหายนะที่ปรากฏอยู่ตามบ้านเรือนริมถนน


เขายอมรับว่านี่คือผลลัพธ์ที่ยังไงก็ต้องออกมา ทว่าเมื่อได้เห็นภาพนี้เองกับตา โซวมะก็ไร้คำพูดใดกับทัศนียภาพที่แตกต่างออกไปจากเมื่อวานโดยสิ้นเชิง

ชาฮาต้าเห็นโซวมะดูผิดปกติก็กังวลนัก เขามองเชมุลอย่างตั้งคำถาม ทว่านางกลับส่ายหน้าเล็กน้อยและกระซิบ ‘อย่ากล่าวอะไร’

ชาฮาต้ารั้งอยู่ที่ป้อมปราการเพื่อดูแลครอบครัวฮอปกินส์ตามคำขอของโซวมะ

ไม่ว่าการัมและคนอื่นๆ จะสาบานว่าจะทำตามคำสั่งโซวมะอย่างไร ก็ยังมีโซออนอีกมากมายที่รู้สึกเลวร้ายต่อมนุษย์ หนึ่งในโซออนเพียงไม่กี่คนที่โซวมะรู้สึกไว้วางใจจะฝากให้คอยดูแลครอบครัวฮอปกินส์ซึ่งเป็นตัวประกันสำคัญคือชาฮาต้า นอกจากเชมุลแล้ว เขาคือโซออนที่โซวมะไว้ใจมากที่สุด

ชาฮาต้าผิดหวังที่ตนไม่อาจเข้าร่วมการบุกโจมตีเมืองได้ทั้งยังไม่อาจติดตามโซวมะทั้งที่ตนเป็นองครักษ์ ทว่าเขากลับไม่อาจปฏิเสธคำขอของโซวมะได้

ชาฮาต้าทุ่มเทความคิดดูแลภรรยาของฮอปกินส์ที่กลัวแทบเป็นแทบตาย และลูกชายที่ติดเขาแจจนเขาสับสน ในที่สุดพวกเขาก็สามารถส่งตัวทั้งสองคืนสู่อ้อมอกฮอปกินส์ได้ดังสัญญาเมื่อยึดเมืองได้ เขาเชื่อว่าในที่สุดก็จะได้กลับคืนสู่หน้าที่องครักษ์ ชาฮาต้าจึงดีใจนัก ทว่าเมื่อได้กลับมารวมตัวกับโซวมะอีกครั้งหลังผ่านไปยาวนาน โซวมะกลับดูไร้ความสุขยิ่งแม้จะเข้ายึดเมืองได้อย่างงดงามก็ตามที กระทั่งชาฮาต้าผู้คาดเดาอารมณ์มนุษย์ไม่เก่งเอง เพียงมองหน้าก็ยังเห็นได้ว่าโซวมะดูหดหู่เซื่องซึมเพียงใด

เขาสงสัยนักว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่ากระทั่งเชมุลเองก็ยังดูสับสน เขาจึงถามไม่ออก

ชาฮาต้าจึงทำได้เพียงแต่คาดเดาจากสีหน้าหม่นหมองเท่านั้นว่าปัญหาคืออะไร

ทว่าโซวมะกลับไม่มีท่าทีสังเกตเห็นความสงสัยของทั้งสองแม้แต่น้อย

โซวมะเดินเตร่รอบเมืองเงียบงันอย่างไร้จุดหมายโดยมีทั้งสองคอยคุ้มกัน กว่าจะรู้ตัวเขาก็มุ่งหน้ามายังคฤหาสน์ของพ่อค้าทาสโกรคาคอสเสียแล้ว

เห็นถึงผลลัพธ์ของแผนการที่ตนเองเป็นผู้วาง โซวมะก็ส่งเสียงคำรามเบาๆ เมื่อมองคฤหาสน์หลังนั้น

คฤหาสน์ที่สร้างจากอิฐเผายามนี้มอดไหม้จนจำภาพเดิมไม่ได้ กระทั่งจากภายนอกเขายังเห็นซากศพมากมายอยู่ทั่วไป ในสวนใหญ่โต อดีตทาสผู้เคียดแค้นถึงกับทำลายกำแพงดินรอบคฤหาสน์ลงจนกลายเป็นเพียงกองดินเท่านั้น

โซวมะหันหน้าออกจากคฤหาสน์ของโกรคาคอส ทันใดนั้นจึงได้เห็นบางสิ่งอยู่ในตรอกเบื้องหน้า เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน

สิ่งที่อยู่ตรงนั้นคือร่างไร้วิญญาณของเด็กหญิงคนหนึ่ง

เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนสยายราวกลีบดอกไม้ เธอนอนคว่ำหน้าลง ชุดสีขาวที่สวมจมในกองดินและเลือด แปดเปื้อนเป็นด่างดวง

เขากดมือเข้าที่หน้าอก มันเจ็บปวดเสียดแทงด้วยความรู้สึกสำนึกเสียใจ โซวมะสะอื้น

“ชาฮาต้าครับ รบกวนจัดพิธีให้เด็กคนนั้นอย่างเหมาะสมด้วยนะครับ”

พูดจบแล้ว โซวมะก็หมุนกายออกจากบริเวณนั้น

ชาฮาต้ามองร่างโซวมะที่จากไปพร้อมเชมุลที่วิ่งตามไปติดๆ หลังแลกเปลี่ยนสายตากับเขา กระทั่งทั้งคู่หายลับไปที่หัวมุมถนนแล้ว เขาจึงถอนใจอย่างกังวล

“ท่านโซวมะเป็นอะไรหรือไม่นะ…?”

ทว่าสิ่งเดียวที่ชาฮาต้าสามารถทำได้ในยามนี้คือการทำพิธีรำลึกให้แก่เด็กหญิงอย่างเคารพที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากทำเช่นนี้แล้วอารมณ์ของท่านโซมะดีขึ้นก็คงจะดี

ระหว่างที่คิดเช่นนั้น ชาฮาต้าก็ตั้งใจจะย้ายร่างเด็กหญิงก็ตกตะลึงไปอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง

ร่างของเด็กหญิงที่เคยอยู่ตรงนี้หายวับไปแล้ว

เขาสำรวจรอบบริเวณอย่างแตกตื่น ทว่าศพของเด็กหญิงหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขากะพริบตาอีกหลายต่อลายครั้ง ทว่าไม่ว่าอย่างไร ร่างของนางก็ไม่กลับมา

“...หรือข้าเห็นอย่างอื่นเป็นร่างนางเล่า? ”

ทว่าไม่ใช่เพียงเขาเท่านั้น ท่านโซมะก็เห็นนางเช่นกัน แม้จะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตนเองมองพลาดไป ทว่าชาฮาต้ากลับไม่อาจหาสิ่งอื่นใดมาอธิบายสถานการณ์นี้ได้แม้แต่น้อย

บางสิ่งที่หางตาของชาฮาต้าขยับไหว

เมื่อเขาหันไปมอง ก็เห็นร่างเด็กหญิงหายลับไปที่หัวมุมในชั่วขณะเดียวกัน

ราวกับกำลังยินดีกับบางสิ่ง เด็กหญิงผู้นั้นหายวับไปที่หัวมุมถนนในชั่วพริบตา

เห็นดังนั้น ทั่วร่างชาฮาต้าก็ให้สั่นสะท้านโดยที่ไม่รู้สาเหตุ


◆◇◆◇◆

วิถีชีวิตของผู้คนในโลกนี้ล้วนดำเนินไปตามดวงตะวัน

ตื่นยามดวงอาทิตย์ขึ้น เข้านอนยามดวงอาทิตย์ตกล้วนเป็นเรื่องปกติ

ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะสิ่งที่เป็นต้นกำเนิดของแสงอย่างเทียนถือเป็นของแพง นอกจากนั้นพวกเขายังหวั่นเกรงต่อพระเพลิง ด้วยมันมิใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถใช้งานได้โดยง่าย ดังนั้นงานพบปะและงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในยามค่ำจึงหายากยิ่ง เนื่องด้วยต้องจ้างผู้เฝ้าระวังที่เก่งกาจด้านการควบคุมแสงและเฝ้าระวังยามค่ำคืนเป็นพิเศษ เหล่านี้ล้วนแต่จำกัดอยู่แค่ในวงของขุนนางและคหบดีเท่านั้น

และเมื่อมีคำสั่งห้ามออกจากบ้านยามค่ำคืนในบอลนิสเกิดขึ้นตามคำสั่งโซวมะ ทั้งเมืองจึงต้อนรับยามค่ำคืนรวดเร็วกว่าเดิม และเงียบงันยิ่งกว่าเดิม

ในห้องห้องหนึ่งภายในคฤหาสน์เจ้าเมืองที่เหล่าโซออนยึดเอาไว้ โซวมะนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง จับเข่าสองข้างของตนอย่างกังวล ดูคล้ายไม่ได้กลับลงแม้ชั่วครู่

โซวมะเข้าใจแล้วว่าปัญหาคืออะไร

เป้าหมายของทุกคนในที่นี้แตกต่างกันไปหมด

สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับโซออนคือการปกป้องที่ราบทุ่งหญ้าที่พวกเขาอาศัยอยู่

การัมกับเซอร์กูเข้าใจว่าโซออนจำเป็นต้องออกมานอกทุ่งหญ้า ทว่าโซออนส่วนมากเพียงแค่ทำตามคำสั่งหัวหน้าเผ่าเท่านั้น เขายังตัดความเป็นไปได้ที่ว่าทั้งหมดจะกลับไปหมกตัวอยู่ในทุ่งหญ้าอีกครั้งหากสถานการณ์ย่ำแย่ลงไม่ได้

พวกคนแคระที่อยู่กับดวาลินปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะกลับสู่แผ่นดินบ้านเกิด

ขึ้นเรือข้ามน้ำมาในฐานะทาส ถูกส่งมายังดินแดนห่างไกลโดยไม่เต็มใจ เขาเข้าใจความโหยหาของคนเหล่านั้นได้ดี พวกเขาต้องการกลับคืนสู่ถิ่นฐานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าเพราะไม่มีหนทางจะทำ จึงได้ยินยอมเชื่อฟังโซวมะอย่างไร้ทางเลือก เช่นนี้จึงน่ากังวลว่าพวกเขาจะหลบหนีไปโดยไม่ยอมสู้หากทัพมนุษย์ขนาดใหญ่บุกเข้าโจมตี

และที่เป็นปัญหามากที่สุดคือพวกไดโนซอเรี่ยนที่เลือกจาฮานกิลเป็นตัวแทน

พวกเขาต้องการเพียงล้างแค้นมนุษย์ ไม่คิดถึงการกลับบ้านเกิด จากลักษณะคลั่งสงครามนี้แล้ว หากมีกองทัพศัตรูบุกเข้ามา พวกเขาคงไม่สนใจคำสั่ง บุกเข้าสู้โดยไม่คิด เสมือนการฆ่าตัวตายนั่นคือปัญหาส่วนตัว แต่ถ้าพวกโซวมะถูกลากเข้าไปด้วย แบบนั้นคงสูญเสียทุกอย่างแล้ว

กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มีเป้าหมายและจุดประสงค์แตกต่างกันกลับมารวมตัวกันได้ ทำให้เขาเกรงว่ากองกำลังรัฐฮอลเมียจะปรากฏตัว

ทว่าโซวมะก็ยังคิดอะไรไม่ออกนอกจากคำว่าไร้ความหมาย

ไม่ว่าจะรวบรวมกองทัพมาได้เท่าไหร่ ไม่ว่าพวกเขาจะชำนาญการรบมากแค่ไหน ถ้าหากร่วมมือกันไม่ได้ก็ยังเป็นได้แค่กลุ่มผู้ก่อการจลาจลไร้ระเบียบ ถ้าแบบนั้น พวกเขาก็ไม่มีโอกาสจะเอาชนะกองทัพที่ฝึกฝนมาอย่างดีได้เลย

ต่อให้ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดแล้วชนะขึ้นมาได้ ก็มีแต่ความล่มสลายจากความขัดแย้งภายในรออยู่เท่านั้น ถ้าแบบนั้นไม่ช้าก็เร็วยังไงก็ถูกมนุษย์กวาดล้างอยู่ดี

โซวมะหลุดปากกระซิบออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“ฉันต้องเปลี่ยนเป้าหมายทุกคน ให้มีความปรารถนาร่วมกัน…”

ถ้าเป้าหมายแตกต่าง ตราบใดที่เขาทำให้ทุกคนมุ่งไปยังสิ่งเดียวกันได้ก็ไม่เป็นไร

แต่ว่า เขาจะทำได้ยังไงกัน?

เป้าหมายที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์และบุคคล ไม่ว่าจะย้อนคิดยังไง การหลอมรวมเป็นหนึ่งก็ยังเป็นไปไม่ได้

“ถ้าแบบนั้นก็ต้องสร้างเป้าหมายที่ใหญ่กว่า…”

ถ้าเขาคิดเป้าหมายที่ใหญ่มากจนครอบเป้าหมายย่อยของแต่ละเผ่าพันธุ์และบุคคลได้ก็จะไม่เป็นไร ไม่เป็นไรตราบใดที่ทุกสิ่งถูกวาดทับด้วยจุดประสงค์หลักใหญ่เพียงหนึ่งเดียว

ถ้าเป้าหมายของทุกคนกลายเป็นหนึ่ง พวกเขาก็จะรวมตัวเข้าด้วยกันได้เองโดยธรรมชาติ

“ใช่แล้ว เป้าหมายใหญ่คือสิ่งสำคัญ แล้วก็ต้องเป็นเป้าหมายที่เหมือนจะพิเศษ เป็นความฝันอันยิ่งใหญ่”

เขาพิจารณาว่านี่เป็นความคิดที่ดีมากทีเดียว

ยิ่งเป้าหมายใหญ่เท่าไหร่ ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น

เขาไม่สนว่าจะต้องลองผิดลองถูกยังไงหรือเจออุปสรรคมากแค่ไหนในการไปถึง ไม่เท่านั้น ต่อให้มีความยากลำบากขัดขวางอยู่เบื้องหน้าเป้าหมายที่ใฝ่ฝันนั้น ทุกคนก็จะยอมเปลี่ยนแปลงเพื่อที่จะก้าวข้ามผ่านมันไปได้

และโซวมะก็รู้ตัวอย่างที่เคยทำสำเร็จมาก่อน

พลังหลักที่ทำให้ทุกคนก้าวข้ามผ่านความหลากหลายทางเผ่าพันธุ์ ภาษาและสีผิวที่แตกต่าง

ความเผด็จการที่รวบรวมผู้คนที่อดอยากให้เป็นหนึ่ง

“ถ้าทุกคนรวมเป็นหนึ่งเดียว โอกาสชนะก็จะสูงขึ้นเหมือนกัน…”

โซวมะสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัวเมื่อได้ยินสิ่งที่ตนเองพูดออกมา

เขากำลังวางแผนอะไรอยู่?

เขียนเป้าหมายใหม่ให้ทุกคนเพื่อชัยชนะ

รวมความปรารถนาทุกคนเข้าด้วยกันเพื่อชัยชนะ

แบบนี้ก็เหมือนกับการควบคุมความคิดหรือล้างสมองเลยไม่ใช่รึไง!?

ความคิดเขาเริ่มไปยังทิศทางแสนอันตราย โซวมะส่ายหน้าอย่างแตกตื่นเพื่อลบล้างความคิดพวกนั้นทิ้ง

ทว่า ความคิดเหล่านั้นก็ยังไม่ยอมหายไปจากใจ มันติดแน่นอยู่ในนั้น จับตัวเป็นลิ่มราวอาภรณ์เปื้อนเลือด

“แต่ เพื่อช่วยทุกคนแล้ว…”

ไม่เพียงเท่านั้น ยังราวกับคราบเลือดที่แปดเปื้อนมือเขา เลือดที่เขาพยายามล้างมันออก คล้ายความคิดเหล่านั้นเข้าเติมเต็มในใจอย่างรวดเร็ว

เขาอดไม่ได้ คิดว่ามันคือความคิดแสนน่าหลงใหล

เขาอดไม่ได้ คิดว่ามันคือความคิดหยามทรามเลวร้าย

“พูดสิ โซวมะที่รักของข้า เหตุใดเจ้าจึงได้โอนเอนถึงเพียงนั้นเล่า? ”

โซวมะกระเด้งตัวลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเด็กหญิงที่ก้องสะท้อนในห้องว่างเปล่าที่มีเขาเพียงลำพัง

กวาดตามองรอบตัว โซวมะจึงพบเด็กหญิงคนหนึ่งอยู่ที่มุมมืดของห้อง

“แม้รูปลักษณ์ภายนอกแตกต่าง ผู้คนต่างเผ่าพันธุ์จะยังรวมตัวเข้าเพื่อเป้าหมายหนึ่งเดียว ทุกคนจะใช้ชีวิตเพื่อเป้าหมายนั้น และทุกคนจะตายเพื่อเป้าหมายนั้น”

เด็กหญิงคนนี้มีผมยาวสีน้ำตาลอ่อน สวมชุดเรียบง่ายคล้ายปอนโชสีขาวชิ้นเดียว สีหน้าปีติราวเมามายในคำพูดตนเอง เธอก้าวเข้าหาโซวมะจากความมืดมิดโดยไม่เกิดเสียงใด

"เป็นดั่งบันไดวนที่เกิดขึ้นจากการทับถมกันของความเป็นและความตายอันนับไม่ถ้วน เพียงเพื่อความฝันหนึ่งเดียว บันไดที่ทุกคนใฝ่ฝันจะไต่เต้าให้ถึงยอด เผาผลาญชีวิตจนสิ้นไปในระหว่างทาง และกลายเป็นหนึ่งเดียวกับบันไดนั้น"

คฤหาสน์เจ้าเมืองที่โซวมะอาศัยอยู่ตอนนี้มีการคุ้มกันแน่นหนาโดยฝีมือโซออนรอบด้าน ยามนี้ผู้คนอาจต่อต้านขึ้นมาได้ทุกเวลา เช่นเดียวกับพวกอดีตทาสที่ยังมีความหวั่นไหวทางอารมณ์สูง เด็กหญิงที่สามารถเร้นกายมาถึงห้องนี้ได้โดยไม่ถูกพบเห็นหรือสงสัยจากพวกโซออนทำให้โซวมะหวาดหวั่น

เป็นเด็กที่ครอบครัวถูกฆ่าจากสงครามวันนี้เลยมาล้างแค้นเขารึเปล่านะ?

หรือเธอเป็นนักฆ่าที่ทางรัฐฮอลเมียส่งมาจัดการเขากันแน่?

ทว่าความคิดเหล่านั้นกลับถูกปัดทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย

เด็กคนนี้ไม่ใช่ทั้งผู้ล้างแค้นและนักฆ่า

เธอไม่ใช่อะไรที่น่ารักเพียงนั้น

เธอคือบางสิ่งที่เก่าแก่กว่า

เธอคือบางสิ่งที่น่าหวาดหวั่นเกรงกลัวยิ่งกว่า

“ความใฝ่ฝันที่ไม่เห็นปลายทางและวังวนแห่งความเป็นตายที่เชื่อมต่อกับสิ่งนั้น เหล่านี้มิใช่เลอเลิศหรอกหรือ? ใช่หรือไม่ โซวมะผู้ล้ำค่าของข้า”

เด็กหญิงโคลงศีรษะไปด้านหนึ่งด้วยท่าทีแสนน่ารักน่าชัง รอคอยคำตอบจากโซวมะ

ทว่า โซวมะกลับถูกพันธนาไว้ด้วยความหวาดกลัว ไม่อาจเอ่ยตอบสิ่งใด เด็กหญิงจึงห่อปากเข้า

“ทุกคนจะตายหากเจ้าไม่สามารถคว้าชัยชนะ ยามนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะถึงจุดจบ เพื่อช่วยเหลือทุกคนจึงไม่มีทางอื่น ล้วนมิอาจเลี่ยง เจ้าต้องทำมันใช่หรือไม่? แน่นอน มิได้หมายความว่าเจ้าชมชอบการกระทำนั้น ทุกคนจะเข้าใจตราบใดที่ยังตระหนักทราบมิใช่หรือ? มิใช่หรือไรเล่า? ”

นั่นคือถ้อยคำพิพากษาความผิดบาปที่โซวมะจะเป็นผู้กระทำ

โซวมะอยากเอื้อมมือไปยังความยั่วยวนหอมหวานนั้น ทว่ากลับยังรู้สึกถึงความลังเลในใจตน ด้วยเพราะท่าทีลังเลนั้นเอง รอยยิ้มน่ารักบนริมฝีปากเด็กหญิงจึงหายวับ แทนที่ด้วยสีหน้าหยามเหยียดดูหมิ่น

“ทำไมจึงยังเสแสร้งกระทำราวเป็นเด็กดีอยู่เล่า? ลืมแล้วหรือไร? นานแล้ว มือเจ้าล้วนแปดเปื้อนด้วยเลือดแดงฉาน ยังมีภูเขาซากศพใต้ฝ่าเท้า มีความตายโขยงหนึ่งเบื้องหลังเจ้า”

สิ้นคำเด็กหญิง เขาพลันรู้สึกถึงความเปียกลื่นที่มือ

เมื่อหงายมือขึ้นอย่างแตกตื่น ฝ่ามือทั้งสองข้างก็อาบย้อมด้วยเลือดสดที่ไม่ใช่ของตน เขาพยายามถอยหนีและกรีดร้อง ทว่าเท้ากลับถูกจับไว้ด้วยบางสิ่งจากเบื้องล่าง ท้ายสุดจึงหงายหลังล้มลง

เสียงกรีดร้องหลุดจากปากโซวมะที่พยายามสะบัดเท้าให้หลุด ทว่าก่อนจะรู้ตัว ซากศพนับไม่ถ้วนก็เข้ารวมตัวที่เท้าเขา หนึ่งในพวกมันจับเขาเอาไว้

“เจ้าตั้งมั่นจะก้าวต่อเพื่อปกป้องทุกคนมิใช่หรือ? เจ้าสังหารเข่นฆ่าเพื่อเหตุนั้นใช่หรือไม่? เช่นนั้นเหตุใดยามนี้จึงยังคงลังเลอยู่อีกเล่า? ”

โซวมะนั่งอยู่กับพื้น เขากอดตัวเองด้วยสองแขน เด็กหญิงก้มมองเขาที่ยามนี้สั่นสะท้านขลาดกลัวว เธอบอกเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ

“ทว่า สิ่งนั้นมิได้ไร้เหตุผลเช่นกัน”

เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ใบหน้าของเด็กหญิงแสดงความปลาบปลื้มยินดี

“อย่างไร เจ้าก็ว่างเปล่าอยู่แล้วนี่”

ประโยคนั้นราวกับมีดแหลมคมแทงสู่ใจของโซวมะ

“โอ โซวมะที่น่าสงสารเอ๋ย ข้ารับเจ้าเป็นบุตร และเจ้ามิได้เปลี่ยนไปเลยนับแต่คืนนั้น เจ้ายังคงเป็นกล่องว่างเปล่าที่ไร้สิ่งใด กล่องว่างเปล่าที่มีเพียงการตกแต่งภายนอก

เช่นนั้นเจ้าจึงโค่นล้มง่ายดายเพียงแรงกระทบบางเบา เจ้าสั่นไหวราวใบไม้ต้องลมเพียงแรงกระทบน้อยนิด

สิ่งที่เจ้าตัดสินใจและคาดคำนวณล้วนเป็นเพียงเปลือกนอกว่างเปล่า ตัวเจ้าที่แท้จริง ไม่ว่าทำสิ่งใดล้วนมิได้ทำไปเพื่อปกป้องใครทั้งนั้น เจ้ามิได้คาดคำนวณเพื่อช่วยใครโดยเดิมพันทุกสิ่งอย่างแม้แต่น้อย โอ ช่างตื้นเขินและน่าสลดนัก โซวมะของข้า”

เหมือนที่เด็กคนนี้พูด โซวมะคิด

เมื่อคิดย้อนกลับไป ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็เพราะสถานการณ์พาไป

ท่ามกลางความสิ้นหวังและวิตกกังวลที่ร่วงหล่นจากญี่ปุ่นลงมายังโลกใบนี้ที่เขาไม่รู้ซ้ายรู้ขวา เขาเพียงพึ่งพาเชมุล เพียงคนเดียวที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน เพราะเขาไม่อาจทำให้เธอลำบากใจ เขาถึงได้ลงเอยด้วยการช่วยโซออน ด้วยการให้พวกนั้นยืมความรู้ที่มีเพื่อการต่อสู้กับมนุษย์ และเพราะเขารู้สึกติดค้างต่อชีวิตที่สูญเสียไปด้วยเหตุนั้น เขาถึงยังติดอยู่ในวังวนของการชดใช้ไม่จบสิ้น

เด็กหญิงยิ่งไล่ต้อนโซวมะผู้ถูกกลบฝังในความเจ็บปวด

“ในตัวเจ้า มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น”

เธอส่งยิ้มซุกซนแสนอันตราย คล้ายเด็กน้อยที่กำลังจะเผยความลับแสนล้ำค่า

“มันคือสิ่งงดงามที่เจ้าได้เห็นเป็นครั้งแรกในโลกนี้”

หัวใจโซวมะกระตุกเต้นดังลั่นกับประโยคนั้น

“ชั่วขณะที่เจ้าเชื่อมโยงเข้ากับโลกใบนี้เป็นเวลาที่เจ้าได้ถือกำเนิดเป็นครั้งที่สอง สิ่งที่เจ้าผู้เพิ่งเกิดใหม่ในยามนั้นได้พบเจอ คือสิ่งที่แสนงดงามและล้ำค่า เหตุนั้นเจ้าจึงปรารถนา เช่นนั้นเจ้าจึงได้ถูกมันดึงดูดนัก

เจ้าไม่อาจอภัยต่อผู้ทำสิ่งนั้นเจ็บปวดใช่หรือไม่เล่า? เจ้าแสร้งวางท่าเป็นเด็กดีเพราะไม่อยากถูกเกลียดชังใช่ไหมเล่า? เจ้ารับบทเป็นวีรบุรุษเพราะต้องการได้รับความรักมิใช่หรือ? ”

เด็กหญิงยื่นมือขาวผ่องบอบบางออกมาเบื้องหน้า ที่วางอยู่ในมือ นับแต่ข้อมือขึ้นมา คือตุ๊กตาหุ่นเชิดที่ดวงตาสีดำถูกวาดด้วยน้ำหมึกบิดเบี้ยว เส้นผมขนแกะยุ่งกระเซิงไร้ระเบียบ มันคือตุ๊กตาหุ่นพากย์ที่มีปากกว้างขยับเปิดปิดตามการขยับมือของเธอ

‘มองผมหน่อย! อย่าทอดทิ้งผม! อยู่กับผมนะ! อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว! ’

เด็กหญิงดัดเสียง ขยับปากตุ๊กตาประเดี๋ยวหุบเข้า ประเดี๋ยวอ้าออก

“โอ ช่างน่าขันเหลือเกิน ช่างน่ารักเหลือเกิน ทั้งยังช่างแสนน่าเกลียดน่าขยะแขยงเหลือเกิน! ”

ความอับอายและโกรธแค้นเมื่อความรู้สึกที่เก็บซ่อนถูกเปิดเผยเหนือกว่าความกลัวที่มีต่อเด็กหญิงซึ่งยังคงหัวเราะแหลมท่าทางยินดี ราวกับปลาบปลื้มจากก้นบึ้งของหัวใจ

โซวมะผุดลุกขึ้น ชี้นิ้วใส่เธอ ตะโกนลั่น

“เงียบนะ ออร่า! ”

ทันใด เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนพลันกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์

หน้าผากสีขาวพิสุทธิ์ไร้ตำหนิพลันปรากฏสลักประทับอันน่าผวา ดูราวกับงูสองตัวขดพัน กัดหางกันและกันยามบิดกาย คล้าย 8 และ ∞ ผสมผสาน เปล่งประกายสีแดงเบาบางตามจังหวะการเต้นของหัวใจ

“เธอคือออร่า! เทพีแห่งความตายและหายนะ! ”

ออร่าเพียงจ้องมองโซวมะด้วยรอยยิ้มกว้างขวางแม้เขาจะขึ้นเสียงอย่างโมโห

บุคลิกเขาเปลี่ยนไปตามผลกระทบจากอารมณ์ โซวมะถามกดดันออร่า แทบจะเป็นการตะโกนใส่เธอ

“เธอวางแผนจะทำอะไรกับผมกันแน่!? ”

ทว่าราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากความเกรี้ยวกราดของโซวมะแม้แต่กระผีกริ้น ออร่าตอบอย่างนุ่มนวล

“ย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าปรารถนาและต้องการทำ”

“จุดประสงค์ของเธอคืออะไรกัน!? ”

“เพื่อให้เจ้าได้เป็นตัวของตัวเอง”

“อย่ามาล้อเล่นกับผมนะ!! ”

ไม่เพียงแต่จะไม่พยายามตอบคำถามอย่างจริงจัง ออร่ายังแสร้งทำทีสะอึกสะอื้นอย่างไม่สมจริง กำมือถูหางตาที่ไร้ซึ่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียวเมื่อเผชิญความโมโหของโซวมะ

“โอ โซวมะผู้ใจร้าย สำหรับเจ้าที่ไม่เชื่อในคำข้า ก็ไม่จำเป็นต้องกระทำสิ่งใดต่อเจ้า อย่างไรตัวตนของเจ้าก็เป็นพิษร้ายแรงต่อโลกใบนี้แล้ว”

“...พิษร้ายแรง? ”

“ใช่แล้ว เจ้าคือพิษร้าย สิ่งที่ทำให้การทำงานของร่างกายวิกลจริต สิ่งที่จะนำพาผู้อื่นไปสู่ความตาย นั่นคือยาพิษ เช่นนั้นแล้ว การเรียกเจ้าผู้นำพาหลักความคิดของโลกใบนี้ออกนอกระบบระเบียบ นำพาผู้คนไปสู่ความตายว่ายาพิษย่อมถูกต้องแล้ว มิใช่หรือ?

ความคิดของเจ้า คำพูดของเจ้า การกระทำของเจ้า ทั้งหมดล้วนแต่น่ารักใครและเป็นพิษร้ายต่อโลกใบนี้ ปล่อยพิษร้ายเช่นเจ้าให้ดำรงอยู่เช่นที่เจ้าต้องการย่อมไม่เป็นไร”

ตัวโซวมะเองก็รู้สึกเช่นกัน

คำพูดของเขา การกระทำของเขาล้วนแต่ไม่เชื่อมโยงกับตรรกะความคิดในโลกใบนี้ แทบจะก่อให้เกิดความวุ่นวายไม่คาดคิด

สำหรับความรู้ของเขาที่ไม่ปรากฏอยู่ในโลกนี้ แทบจะก่อกำเนิดสถานการณ์สิ้นหวังแล้ว

เขาลืมความอับอายของตนเอง ลืมเกียรติศักดิ์ศรี โซวมะโพล่งสิ่งที่คิดอย่างแท้จริงออกมา

“ส่งผมกลับไปญี่ปุ่นนะ! ส่งผมกลับไปที่โลกเดิมของผมเดี๋ยวนี้! ส่งผมกลับไปที่บ้าน! ”

ล้วนแต่เป็นคำกล่าวที่ไม่อาจเอ่ยขึ้นต่อหน้าเชมุลและคนอื่นๆ

ทว่า เช่นนั้นเอง ออร่ากลับตอบด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม

“ได้ซี เช่นนั้นดีมาก โซวมะผู้ทุกข์ยากของข้า”

ริมฝีปากบนใบหน้าขาวผ่องของเด็กสาวแย้มเป็นรอยยิ้ม ราวจันทร์ข้างขึ้น

“ทว่าข้าสงสัยนัก เจ้าจะกลับบ้านได้จริงหรือ? เจ้าจะละทิ้งทุกชีวิตที่ติดตามเจ้า ผู้เชื่อมั่นในตัวเจ้าจากใจได้หรือ? หากเจ้าหายไป ทุกคนที่เจ้าทิ้งไว้เบื้องหลังย่อมถูกคร่าสังหาร ไม่เพียงเท่านั้น ยังจะเป็นทัศนียภาพอันสยดสยอง ดวงตาพวกเขาจะถูกควักออก ลิ้นจะถูกฉีก หูจะถูกเด็ด จมูกจะถูกตัด เลือดพวกเขาจะหลั่งริน ฟันพวกเขาจะหักสิ้น เล็บจะถูกดึง เนื้อหนังจะถูกย่าง เส้นผมจะถูกกระชาก นิ้วมือจะถูกหั่น--”

“ย-หยุด! อย่าพูด! หยุดได้แล้ว! ”

ทุกถ้อยคำของออร่าฉีกกระชากใจโซวมะเป็นเศษเสี้ยว ออร่าแย้มยิ้มเปี่ยมตัณหาให้แก่ความรวดร้าวของโซวมะ จ้องมองใบหน้าเขาชิดใกล้

“เจ้าไม่มีทางจะสามารถกลับบ้านได้ ใช่หรือไม่เล่า อ่อนโยนเหลือเกิน โซวมะผู้แสนอ่อนโยนของข้า”

ร่างโซวมะสูญสิ้นเรี่ยวแรงจากความสิ้นหวัง เขาหงายล้มลงพื้นเสียงดังตึง

ออร่าหัวเราะแหลมสูงต่อสภาพของโซวมะ

“หากเป็นโซวมะผู้ฉลาดเฉลียวของข้า เจ้าย่อมเข้าใจมาเนิ่นนานแล้วมิใช่หรือ? ยามนี้สายไปเสียแล้ว เจ้าไม่มีทางอื่นนอกเสียจากก้าวต่อไป ทว่าเจ้ายังคงลังเลเป็นกังวล กระทั่งสำหรับข้า นั่นยังนับว่าน่าเบื่อหน่ายนัก ช่างทึ่มทื่อเหลือแสน เช่นนี้ข้าจึงจะยอมยกเว้นให้ในคราวนี้ ข้าจะลงมือผลักดันเจ้าสักเล็กน้อย”

กล่าวเช่นนั้น เธอก็ดันหลังตุ๊กตาหุ่นเชิด ด้วยแรงนั่นเอง หัวของตุ๊กตาร่วงหลุด หล่นกลิ้งตามพื้นไปจนจรดที่ปลายเท้าโซวมะ

เมื่อตุ๊กตาหายวับไปจากมือ ออร่ากางแขนขวาต่อหน้าโซวมะที่มีสีหน้าหวาดหวั่นอย่างเชื่องช้า

ภาพสนามรบน่าสยดสยองแผ่กว้างอยู่ทางขวาของออร่า

ในภาพนั้น ที่ซึ่งซากศพทหารมากมายเรียงราย ที่ซึ่งเลือดหลั่งไหลเป็นสายน้ำ ที่ซึ่งหอกกาบหักทลายถูกปักตามพื้นเสมือนดั่งป้ายหลุมศพ เบื้องหลังเธอ ออร่าประกาศเสมือนดั่งศาสนพิธี

“เพื่อปกป้องผู้คนแสนล้ำค่าของเจ้า เจ้าจักสังหารผู้คน หรือ---”

เธอกางแขนซ้ายออก และภาพเมืองแห่งบอลนิสที่ถูกเผาผลาญจนมอดไหม้ปรากฏขึ้นด้านซ้ายของออร่า

ร่างของโซออน คนแคระ และไดโนซอเรี่ยนกองสุมทั่วเมือง หัวสดๆ ที่แยกจากร่างถูกเสียบด้วยหอก พวกเขาจ้องมองโซวมะด้วยสีหน้าเกลียดชัง ในบรรดาเหล่านั้น ยังมีหัวของคนที่โซวมะรู้จัก

ตรงนั้นคือการัม ที่อยู่ทิศนี้คือเซอร์กู ทางนั้นคือบานูก้า ดวาลิน ชุนปา จีต้าและเชโพม่า

และตรงโน้น ตรงโน้นคือ…!

“หรือจักละทิ้งผู้แสนล้ำค่าต่อเจ้าเหล่านี้ เพื่อการช่วยผู้อื่นเล่า--”

สองภาพเบื้องหลังเธอ ออร่าแบมือออกกว้าง ยืดเหยียดแขนอย่างยิ่งใหญ่ กระตุ้นโซวมะให้เลือก

“รีบเลือกเข้าเสีย โซวมะผู้น่ารัก ผู้แสนน่ารักของข้า”

หัวตุ๊กตาที่คว่ำอยู่ตรงปลายเท้าหงายหน้าขึ้น มันขยับปากอ้าแล้วหุบ เปล่งเสียง

‘เลือก! เลือก! เลือก!! ’

โซวมะอุดหูตัวเอง ปิดกั้นเสียงตะโกนบ้าคลั่งก่อกวนจากตุ๊กตา

“ไม่! ไม่เอาแล้ว! ผมไม่อยากฆ่าใคร! ผมไม่อยากทำลายอะไรทั้งนั้น! ”

เห็นท่าทีน่าอับอายของโซวมะ ออร่าแลบลิ้นเลียริมฝีปากบิดเบี้ยวไม่เข้ารูปลักษณ์เด็กน้อย

“การไม่เลือกก็เป็นตัวเลือกเช่นกันใช่ไหมเล่า? ผลของการเลือกเช่นนี้คือ…”

กล่าวดังนั้น ออร่าค่อยลดแขนข้างหนึ่งลงเชื่องช้า

“ไม่ ไม่นะ! ”

โซวมะพุ่งเข้าจับแขนข้างที่ออร่าคิดจะลดลงโดยไม่รู้ตัว

ความเงียบจนปวดหูเข้าปกคลุม คล้ายดั่งผลลัพธ์ของการเลือกนั้น

เวลาผ่านไปเนิ่นนานแม้ออร่าไม่กล่าวสิ่งใด โซวมะผู้วิตกกังวลก็ลอบเหลือบตามองใบหน้าของเธอ เขาคอตกลงอย่างอับอาย ร่างกายสั่นสะท้านซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป สองตาบนใบหน้าเด็กหญิงกำลังเปล่งประกายสว่างไสว

“เจ้าเลือกแล้ว ใช่ไหม โซวมะ? ”

เสียงกระซิบนั้น โซวมะสะบัดมือที่กำลังจับกุมออกทันใด

ออร่าหมุนกายอย่างยินดี ไม่ใส่ใจมือที่ถูกสะบัดข้างนั้น

“ช่างน่าชื่นชมนัก น่าชื่นชมเหลือเกิน น่ารักเหลือเกิน โซวมะที่น่ารักของข้า ข้าจะเฝ้ามองเจ้าใกล้ชิด ซากศพมากมายเพียงใดที่เจ้าจะโถมทับมันสูงขึ้นไป แดงฉานเพียงใดที่เจ้าจะย้อมแก่โลกใบนี้ จนกว่าเจ้าจะสิ้นชีพในทะเลโลหิตที่เจ้าเป็นผู้ซัดสาดและบนซากศพที่เจ้าเป็นผู้ก่อขึ้น ข้าจะเฝ้ามองเจ้าเสมอ เสมอไป”

แก้มของออร่าขึ้นสีก่ำ ดวงตาคู่นั้นเข้มข้นด้วยราคะ

“โอ! ที่รักข้า โซวมะที่รักของข้า ข้ารู้สึกดีเหลือล้ำ อย่างไรเจ้าเพิ่งขานนามข้าเป็นครั้งแรก”

ราวกับสารภาพรัก เธอกระซิบหวานฉ่ำต่อโซวมะ

“เช่นนั้น ข้าจึงจะอำนวยพรให้แก่เจ้า”

เดิมที ในโลกนี้ก็มีผู้คนที่มีพลังลึกลับที่ไม่อาจเทียบเคียง อันใช้เป็นหลักฐานแห่งความโปรดปรานจากเหล่าทวยเทพ

ทว่า แม้เขากำลังจะได้รับมอบสิ่งนั้น ความรู้สึกเย็นยะเยือกที่ไม่อาจอธิบายได้กลับแล่นไปตามแล่นของโซวมะ

“บุตรเพียงผู้เดียวของข้า บุตรผู้แสนล้ำค่าและไม่อาจต้านทานของข้า ข้ากังวลนัก ควรจะมอบพรใดจึงดีต่อเจ้าเป็นที่สุด ทว่า ข้าจะให้เจ้าได้สมประสงค์ จักอำนวยพรดังที่เจ้าปรารถนา”

เธอเข้าหาโซวมะ สัมผัสร่างกายเขา ออร่ากดนิ้วขาวผ่องลงบนสลักประทับบนหน้าผากของโซวมะ เพราะการกระทำเหล่านั้นล้วนแต่เป็นธรรมชาติจนเกินไป โซวมะไม่อาจหนีพ้นหรือปัดมือเธอออก ทำได้เพียงทนต่อมัน

“ไม่ว่ามันจะเป็นผู้ใด เจ้าจักมิอาจทำร้ายพวกมันได้

ไม่ว่ามันจักเป็นสิ่งใด เจ้าจักมิอาจทำลายมันลง—

นี่เองคือพรที่ข้าอำนวยแด่เจ้า”

ทันใดนั้น ความเจ็บปวดสายหนึ่งแล่นผ่านหน้าผากโซวมะ

เธอก้มมองโซวมะที่ร้องสะอื้นเจ็บปวด จับหัวเขาไว้ในมือเดียว ออร่าพูด ราวกับกำลังร้องเพลง

“โอ โซวมะผู้โอหัง จักไม่สังหารผู้ใดแม้เจ้ายังต้องรอดชีวิตด้วยการดื่มกิน! ไม่ทำลายสิ่งใดแม้ต้องก่อสงครามเพื่อปกป้องผู้อื่น! หากแม้นมิใช่ความหยิ่งยโสแล้วจักเรียกว่าเป็นสิ่งใดได้เล่า? ”

ออร่าหัวเราะแหลมสูง เบื้องหน้าโซวมะผู้กำลังทุกข์ทรมาน

“เจ้าต้องใช้ผู้อื่นเพื่อดำรงชีพ เจ้าต้องบังคับคนที่เจ้ารักให้เข้าสู่สงครามเพื่อปกป้องคนที่เจ้ารัก อา ช่างโง่เขลา โอ้อวด น่ารังเกียจ โหดร้าย และน่ารักเหลือเกินใช่ไหม!? โซวมะของข้า! โซวมะที่รักของข้า! ”


◆◇◆◇◆

“โซมะเป็นอะไรหรือไม่? ”

เห็นไหล่เขาสั่นสะท้านน้อยๆ โซวมะพลันลืมตา

ที่อยู่เบื้องหน้าเขาไม่ใช่ออร่า แต่คือเชมุลที่มีท่าทางวิตกกังวล

“ผม...เกิดอะไรขึ้น…? ”

“โซมะ ดูเหมือนเจ้าจะฝันร้าย”

เมื่อเขามองรอบตัว ก็เห็นว่าที่นี่คือห้องนอนในคฤหาสน์เจ้าเมืองที่ถูกจัดให้เขาใช้ ในห้องยามนี้มีเพียงแสงสว่างอ่อนจางจากดวงจันทร์ นอกจากเขาและเชมุลแล้วไร้เงาคนอื่น

ร่างของเทพีผู้บ้าคลั่งไม่ปรากฏให้เห็น

“...ฝัน? งั้นเหรอ? ”

เป็นความฝันที่เลวร้ายมากจริงๆ

เขาคงใช้สมองกับการแก้ปัญหาจากแผนการต่างๆ หลังจากนี้ มากเกินไป ยังมีเรื่องการปลอบประโลมอดีตทาสที่ต้องทำพรุ่งนี้อีก คงจะเป็นภาระในจิตใจมากกว่าที่คิดไว้ เพราะอย่างนั้นทำให้ฝันร้ายขึ้นมาก็เป็นไปได้

เขาส่ายหน้าเบาๆ เพื่อไล่ความหวาดหวั่นจากฝันร้ายที่ติดอยู่ในใจแล้วจึงเรียกเชมุล

“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ พรุ่งนี้ยังต้องเกลี้ยกล่อมทุกคนว่าจะทำอะไรอีก คงทำให้ผมกังวลมากเกินไปน่ะ”

“เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ทว่าอย่าได้ฝืนตัวเองมากเกินไปนะโซมะ”

“อืม แต่ขอผมอยู่คนเดียวได้ไหม? ผมอยากคิดต่ออีกหน่อย ว่าพรุ่งนี้จะเกลี้ยกล่อมทุกคนยังไงดี”

แม้จะไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง ทว่าโซวมะขอร้องขนาดนี้ เชมุลจึงไม่อาจพูดอะไรได้

“...เข้าใจแล้ว ทว่าขอร้องล่ะ อย่าได้ไร้เหตุผลเกินไปนักเลย”

หูของเชมุลลู่ลงน้อยๆ และแม้จะรู้สึกเจ็บปวดไม่เต็มใจ ทว่าเชมุลยังคงออกจากห้องไป ช่วงนี้เขาคงทำให้เธอเป็นกังวลมากจริงๆ ปกติเธอไม่ดูห่อเหี่ยวขนาดนั้น โซวมะถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ถึงยังไงก็ แปลกชะมัด แค่ฝันแปลกๆ ทำไมถึงได้รู้สึกเพลียขนาดนี้”

เมื่อพึมพำกับตัวเองนั่นเอง เสียงกระทบในห้องก็ดังขึ้น

โซวมะหันไปมองต้นเสียง กล่องไม้ใบเล็กร่วงหล่นลงพื้น

น่าจะเป็นกล่องที่วางบนโต๊ะร่วงลงพื้นเพราะอะไรสักอย่าง

กล่องใบนั้นทอประกายระยับใต้แสงจันทร์ราวกับกล่องอัญมณีที่ใช้เก็บของล้ำค่า ภายนอกตกแต่งงดงามราวกับทองและเพชรพลอย

ทว่าตรงข้ามกับการประดับประดาเหล่านั้น ภายในกล่องที่เปิดออกกลับว่างเปล่า เป็นเพียงกล่องว่างเปล่าที่ตกแต่งสวยงามเท่านั้น

“อะไรกัน แค่กล่องเปล่าเองเหรอ อะ…? ”

ทันใดนั้น เขาคิดถึงออร่า สิ่งที่เขาได้ยินในฝันถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง ดังในหูโซวมะ

“เจ้ายังคงเป็นกล่องว่างเปล่าที่ไร้สิ่งใด กล่องว่างเปล่าที่มีเพียงการตกแต่งภายนอก”

โซวมะขนลุกซู่

“อย่าบอกนะ! ความฝันนั่น...ฝันนั่นมัน…!? ”

ไม่อาจแยกแยะความจริงและภาพหลอน ในหัวโซวมะสับสนวุ่นวาย

เขาผงะโซเซถอยหลังจนชนเข้ากับกำแพง เอนกายพิงมัน แล้วจึงทรุดลงนั่งโดยแรงจึงได้รู้สึกถึงของแข็งที่เอว เมื่อเอื้อมมือไปสัมผัส จึงพบว่าเป็นมีดดาบที่เชมุลมอบให้เขาไว้ป้องกันตัว

เขาจ้องมองมันอยู่พักใหญ่ ทันใดนั้นโซวมะดึงมันออกจากฝัก

จากนั้น เขากดปลายนิ้วตนเองลงบนใบดาบที่ทอประกายใต้แสงจันทร์

หัวใจเขาเต้นระรัวราวกับจะกระเด้งออกมาจากคอ โซวมะขยับดาบ ตัดนิ้วที่กดเอาไว้ในคราวเดียว

ทว่า บนนิ้วนั้นกลับไม่มีแผลแม้แต่นิด

“ไม่มีทาง…!? ”

โซวมะลุกขึ้น ยืนหน้าผ้าผืนบางที่แขวนอยู่รอบเตียง เล็งมัน แล้วตวัดมีดดาบโดยแรง

แต่เขากลับตัดมันไม่ได้

ยิ่งกว่านั้น เขาไม่อาจทำให้มันมีรอยขีดข่วนได้แม้แต่รอยเดียว

“นี่มัน...ของแบบนี้...เป็นพระพรในฐานะพระบุตรเนี่ยนะ…!? ”

มีดดาบหลุดจากมือ ร่วงกระแทกพื้นเสียงดัง

“ออร่า! ยัยสารเลวออร่า! คุณบอกผมให้ทุกคนหลั่งเลือด หลอกลวงทุกคนเพื่อช่วยทุกคนไม่ใช่รึไง!? ”

โซวมะคุกเข่าทรุดกาย ตัวสั่นสะท้าน

“กับคนอย่างผม…! ”

เส้นทางหนีทั้งหมดของเขาล้วนถูกปิดสิ้น

สำหรับโซวมะแล้ว เหลือเพียงทางเดียวเท่านั้น

เพื่อปกป้องผู้คนที่สำคัญกับเขา เขาต้องกำจัดคนอื่นที่เหลือ

ด้วยเหตุนั้น โซวมะจึงต้องปลดปล่อยเมล็ดพันธุ์แห่งหายนะและประกายแห่งความตายต่อโซออนและทาสทั้งหลาย สิ่งที่เขาจะนำมาในฐานะ ‘พระบุตรแห่งหายนะ’

แสดงความคิดเห็น

1 ความคิดเห็น