[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 43: การยอมแพ้


ในขณะที่บรรดาทาสผู้ก่อจลาจลเข้าใกล้ประตูตะวันออกไปทุกที นายทหารสองหมวดอันประกอบไปด้วยทหารห้าสิบนายก็เข้าประจำตำแหน่ง รวมไปถึงทหารหมู่ที่ปรากฏเมื่อโซวมะเข้าเมืองด้วย

เมื่อทหารเหล่านี้ทราบแล้วว่าทาสกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกตน พวกเขาก็เร่งตั้งแนวรับด้วยเกวียนและกระสอบทรายเพื่อรับการโจมตี

เมื่อทาสคนแคระพุ่งเข้าโจมตีพวกเขาเสียงดัง หัวหน้าหมู่ที่สั่งการก็สั่งให้สาดฝนธนูออกไปจากยอดกำแพงเมือง เหล่าทาสล้วนติดดาบและหอก ทว่ามิได้สวมใส่ชุดเกราะจึงไม่อาจป้องกันศรเหล่านี้ได้ ทาสส่วนหนึ่งที่ยังรักษาจิตใจสงบเอาไว้ได้ต่างก็เลี่ยงถนนสายหลังซึ่งปราศจากหลังคาไปยังตรอกซอกซอยแทน พวกเขามุ่งหน้าฝ่าแนวป้องกันจากอีกฝั่งของบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ใกล้ประตู ทว่ายังคงถูกขับไล่ด้วยพลหอกที่ล้อมวงซุ่มรอ

ดังคาด แม้เหล่าทาสจะมีใจ ทว่ากลับไร้หนทางตอบโต้

ยามนี้เอง หัวหน้าหมู่ผู้เฝ้าประตูเมื่อโซวมะเข้าเมืองก็ยังคงอยู่ในแนวป้องกัน เขาไม่ทราบแม้แต่น้อยว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของการก่อจลาจลในครั้งนี้ ได้แต่คร่ำครวญว่าเหตุใดตนจึงโชคร้ายนัก

“ให้ตายซี พวกมันไม่ต้องมาประตูนี้ก็ได้แต่ก็ยังจะมาอีก ไปที่ประตูตะวันตกเสียสิ ประตูตะวันตกน่ะ!”

หัวหน้ากองที่ตรวจสอบสถานการณ์จากรอยแยกของโต๊ะที่กองสุมเพื่อเป็นแนวรับ ยามนี้กำลังบ่นอุบทว่าอยู่ๆ ก็เริ่มสงสัยสายตาตัวเองขึ้นมา

“นั่น...มันอะไรกัน…?”

มันคือแผงขายของ

แผงขายของอันหนึ่งไม่ได้มีอะไรพิเศษ ผู้ที่สามารถเปิดร้านในเมืองได้มีจำกัดจำนวนอยู่ พ่อค้าเร่และคนอื่นๆ ต่างก็เป็นคนนอกที่มาเพื่อขายผลิตผล แลกเปลี่ยนสินค้าโดยการตั้งร้านแผงลอยตามถนน เป็นธรรมดาที่หัวหน้ากองจะได้เห็นแผงลอยเหล่านี้มีลักษณะเป็นของทำมืออย่างง่ายๆ ใช้แท่งไม้ไม่มั่นคงเป็นฐานตั้งและหลังคาบางๆ ช่วยให้ร่มเงา มิใช่ของที่ดึงดูดความสนใจอะไรนัก

ทว่า ในความเป็นจริง ไม่ว่าอย่างไรแผงลอยเหล่านี้ก็คงไม่มาอยู่กลางถนน พุ่งมาตามทาง แน่นอนว่าแผงลอยในโลกนี้ย่อมไม่มีเท้าแน่นอน มีคนกำลังใช้แผงลอยเหล่านั้นต่างโล่พุ่งเข้าโจมตี

“ยิง! ยิงงงง!”

ได้ยินคำสั่งหัวหน้ากอง ลูกศรทั้งหมดก็พุ่งออกไปจากกำแพงเมือง ทว่าพวกมันกลับปักลงบนหลังคาแผงอย่างไร้ความหมาย ฝนธนูไม่อาจหยุดการพุ่งทะยานได้

“แม่งเอ๊ย หนีไป!”

แผงลอยที่พุ่งใกล้เข้ามาทุกที หัวหน้ากองจึงหมอบลงเพื่อป้องกันตัว เขาก้มหน้าตะโกนลั่น ทันใดนั้น แผงลอยที่พุ่งเข้ามาโดยไม่เสียแรงแม้แต่น้อยก็ปะทะเข้ากับแนวป้องกัน แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปพร้อมกัน

“ไอ้ลูกกะหรี่! เป็นไอ้บัดซบตัวใดกัน…!?”

เขาหมอบลงกับพื้น ป้องกันศีรษะจากเศษไม้ที่ร่วงกราว หัวหน้ากองเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง

เบื้องหน้าเขาคือเท้าที่ดูแข็งแรงซึ่งมีเพียงสามนิ้ว

เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป ก็เห็นร่างกายใหญ่ยักษ์เกินสองเมลต์ สองขาใหญ่หนาราวกับลำของต้นไม้ ขณะยืนนั้น กรงเล็บสีดำของมันฝังลงในดิน ร่างกายของมันถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสีเทาเหลือบเขียว มันค้ำหัวเขา ราวกับผาหินลูกหนึ่ง

สิ่งที่อยู่บนร่างกายใหญ่โตนั้นคือศีรษะที่ดูราวกับกิ้งก่า มันจ้องมองหัวหน้ากองด้วยดวงตาของสัตว์เลื้อยคลาน

“ได-ไดโนซอเรี่ยน!?”

น้ำเสียงของหัวหน้ากอง คือน้ำเสียงของผู้อยู่ต่อหน้าความตายที่ไม่อาจเลี่ยง

ไดโนซอเรี่ยนตนนั้นสูดลมหายใจเข้า ส่งเสียงหวีดหวิวราวแก้วแตกกระจายบดเบียดกัน เพียงเท่านั้น เหล่าทหารที่ปกป้องประตูก็หวาดกลัวไม่อาจลุกยืนขึ้นได้อีกต่อไป

“นามแห่งข้าคือจาฮานกิล เฮเซ็ม จาลจิล! จงประสบความเกรี้ยวกราดอันน่าสะพรึงแห่งข้าผู้สืบเชื้อสายแห่งมังกรผู้ยิ่งใหญ่เสียเถิด เจ้าพวกมนุษย์ต่ำต้อย!”

นายเฝ้าประตูย่อมเคยอ่านถึงความสามารถในการต่อสู้ของไดโนซอเรี่ยนซึ่งท่านแม่ทัพหลวงอิงดิแอซผู้โด่งดังได้บันทึกไว้ว่า ‘ต่อสู้ตัวต่อตัวกับเผ่าพันธุ์นี้หมายถึงความตาย’

สิ่งที่อยู่ในอุ้งมือของไดโนซอเรี่ยนที่แนะนำตนว่าชื่อจาฮานกิลคือโซ่ที่เชื่อมติดกับลูกเหล็ก เหล่านี้คือลูกเหล็กที่มนุษย์แทบไม่อาจลากได้ ทว่าเมื่อตกสู่มือจาฮานกิล มันกลับกลายเป็นอาวุธแสนถนัดมือ

ออกอาละวาดด้วยลูกเหล็กติดมือที่กวัดแกว่งไปในอากาศ จาฮานกิลราวกับร่างแปลงแห่งพายุอารมณ์ เหล่าทหารที่ถูกลากเข้าสู่พายุล้วนโดนลูกเหล็กฟาดเข้าที่หัว คล้ายดั่งผลไม้ที่สุกเกินร่วงหล่นจากต้น กระดูกทั่วร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนแตกหักด้วยโซ่

ยังมีทหารกล้าหลายนายที่ต่อสู้ขัดขืน หลบหลีกลูกเล็กยกดาบขึ้นต่อต้านจาฮานกิล ทว่าล้วนแต่กระเด็นไปราวกับตุ๊กตาเพียงจาฮานกิลตวัดมือนั้นเพียงครั้งเดียว

ดวาลินหลุดถอนใจอย่างชื่นชมต่อการอาละวาดรุนแรงของจาฮานกิล

“โฮ่ ไดโนซอเรี่ยนสายพันธุ์ไทรันโน...ความดุร้ายนี้มิได้มีไว้แสดงโดยแท้”

อันที่จริงแล้วไดโนซอเรี่ยนมิใช่เพียงเผ่าพันธุ์เพียงเผ่าพันธุ์เดียว

นาคาราชา คือสายพันธุ์ราชวงศ์ที่มีขนาดใหญ่โตที่สุดในหมู่ไดโนซอเรี่ยน มีรูปร่างคล้ายกิ้งก่าตัวใหญ่ที่มีเขี้ยวและเขา ราดอน สายพันธุ์นักบวชที่แขนกลับกลายเป็นปีกหนังกว้างใหญ่กว่าขนาดร่างกายถึงสามเท่ายามกางออก มีขาเล็กสั้น และมีวงพระจันทร์บนหน้าผาก นอกจากนั้นยังมีเผ่าอื่นๆ อีกมากมาย

ไดโนซอเรี่ยนคือเผ่าพันธุ์ผสมผสานหลากหลายที่มีระบบวรรณะเป็นเอกเทศของตนเอง ที่ซึ่งสถานะทางสังคมและอาชีพทั้งหลายล้วนสืบทอดผ่านทางสายพันธุ์และรูปลักษณ์อันแตกต่าง

ทว่าในบรรดาสายพันธุ์นักรบอันมากมาย สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นในใจของเผ่าพันธุ์อื่นเมื่อกล่าวถึงไดโนซอเรี่ยน ย่อมต้องเป็นสายพันธุ์นักรบที่ถูกเรียกว่าไทรันโน ซึ่งกล่าวว่าเป็นนักรบที่ดุร้ายและยอดเยี่ยมที่สุด

มองปราดผ่านๆ ไปยังทหารที่สูญสิ้นความตั้งใจจะหลบหนี ทั้งยังไร้ซึ่งความต้องการตอบโต้ซึ่งนอนล้มราวข้าวสาลีที่ถูกชาวนาเก็บเกี่ยวแล้ว ดวาลินก็รีบนำคนแคระหลายคนหลบเลี่ยงกระสอบทรายของจาฮานกิล เข้าไปถอดไม้กลอนกั้นประตูเมืองออก

“นั่น! ประตูเปิดแล้ววว!!”

เมื่อดวาลินและเหล่าคนแคระช่วยกันเปิดประตูแล้ว โซออนสีดำตนหนึ่งและสีแดงตนหนึ่งก็รีบเบียดกันแย่งเข้าประตูแคบๆ

“ยาฮู้ววววว! ข้าถึงคนแรก!”

โซออนขนแดงที่แวบเข้ามาได้ก่อน - เซอร์กูกู่ร้องลั่น ทว่าเมื่อหันไปก็ประจันหน้ากับโซออนขนดำที่ตามเข้ามาทีหลังเล็กน้อย ก่อนจะชี้นิ้วออกไปแล้ววิจารณ์

“การัม! เจ้าว่าเจ้าจะมอบแนวหน้าให้ข้า แล้วจะมาแข่งกับข้าทำซากอะไร!?”

“เปล่านะ ก็แค่ความเร่าร้อนชั่วขณะ…”

เขารู้สึกผิดจริงๆ การัมเลี่ยงไม่ยอมตอบตรงๆ ทั้งยังหันหน้าไปอีกทาง

ในตอนนั้นเอง โซวมะและเชมุลก็โผล่มาจากตรอกด้านหลัง ปรากฏตัวขึ้นระหว่างบ้านสองหลัง โซวมะใช้หมวกฮูดติดเสื้อคลุมหน้าจนมิดชิดเพื่อเลี่ยงไม่ให้ทาสทั้งหลายได้เห็น ทว่าการัมกลับมองออกในทันที

เพราะโซวมะซึ่งเป็นมนุษย์ถูกนำมายังสถานที่ก่อกบฏของทาส การัมจึงโกรธจนแทบเสียสติ

“เขี้ยวสูงศักดิ์! เจ้าเป็นคนโง่งมรึ?! พาโซมะไปเดี๋ยวนี้!”

“ขอโทษด้วยเขี้ยวคลั่ง! ทว่าเป็นคำสั่งของโซมะ…”

เชมุลละล่ำละลักพยายามอธิบาย ทว่าโซวมะรีบร้อนถอดหมวกออกแล้วตะโกน

“ขอโทษครับการัม ผมบังคับให้เธอพามาเอง!”

ทันทีที่ใบหน้าโซวมะเผยออกมา ไอสังหารรุนแรงและความเกรี้ยวกราดก็ทะลักล้นจากร่างจาฮานกิลที่ยืนค้ำร่างทหารซึ่งยามนี้หายใจอ่อนระทวยอยู่ใต้ฝ่าเท้า

เขาไม่อาจให้อภัยเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่กระทำต่อเขาดังทาสแม้อีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง จาฮานกิลหมุนควงลูกเหล็กเป็นวง ตั้งใจจะโจมตีเข้าใส่โซวมะ ทว่าทันทีที่เห็น เชมุลและคนอื่นๆ ก็ตั้งท่ารับมือทันที

เชมุลเข้าขวางทาง ปกป้องโซวมะไว้เบื้องหลัง ยังมีการัมและเซอร์กูซัดมีดดาบของพวกตนขึ้นบังนางไว้อีกต่อหนึ่ง ทั้งหมดล้วนแยกเขี้ยวข่มขู่จาฮานกิล

เช่นนั้นเอง จาฮานกิลกระทืบเท้า ก้าวออกไปยังเป้าหมายเบื้องหน้า

หากเป็นเพียงโซออนหญิงตนหนึ่ง เขาสามารถจัดการนางได้อย่างง่ายได้ไปพร้อมเด็กมนุษย์ได้ในคราวด้วย ทว่าแม้แต่จาฮานกิลก็ยังต้องลังเลเมื่อสัมผัสถึงจิตต่อสู้จากโซออนสองตนที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้า หากเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัว เขาไม่คิดว่าตนจะแพ้ ทว่าหากต้องรับมือกับทั้งหมดในเวลาเดียวกัน อย่างไรเขาก็ย่อมเสียเปรียบแล้ว

“โซออน เจ้าตั้งใจจะปกป้องมนุษย์รึ!!?”

เพราะอีกฝ่ายเป็นนักรบโซออนที่รวมกันแล้วมีพละกำลังเหนือกว่าเขาผู้เป็นไดโนซอเรี่ยนกำลังปกป้องเด็กมนุษย์ จาฮานกิลพลันรู้สึกขัดใจขึ้นมา

“จาฮานกิลหยุด! เด็กมนุษย์ผู้นั้นคือผู้ปลดปล่อยเราจากความเป็นทาส!”

แม้แต่จาฮานกิลก็ไม่อาจปฏิเสธถ้อยคำของดวาลินผู้ปลดปล่อยตนได้ เขาจึงหยุดลง ทว่าดวงตายังคงเต็มไปด้วยความปรารถนาจะฉีกกระชากโซวมะให้แหลกสลาย

ทว่า ราวกับไม่รับรู้ถึงสถานการณ์อันตรายใดๆ โซวมะออกคำสั่งให้แต่ละคนทันที

“การัม รีบเข้าควบคุมคฤหาสน์เจ้าเมืองตามแผนที่วางไว้! ผมเห็นคนสวมหมวกติดพู่สีน้ำเงินอยู่ที่กำแพงเมืองตะวันตก น่าจะเป็นพวกผู้บัญชาการของทหารเมืองนี้ เซอร์กู ไปจัดการคนนั้น!”

ต้องทิ้งโซวมะไว้เบื้องหน้าไดโนซอเรี่ยนที่กำลังโกรธ ทั้งการัมและเซอร์กูต่างก็ลังเล ทว่าเมื่อโซวมะย้ำอีกครั้ง พวกเขาก็นำคนในเผ่าจากไป มุ่งไปตามทิศทางของเป้าหมายที่ได้รับ

“แล้วบานูก้าล่ะ!?”

บานูก้าที่ถูกเรียกชื่อปรากฏขึ้นเบื้องหน้าโซวมะอย่างรีบร้อน

“อ๊ะ ขอรับ! ข้าอยู่นี่!”

“บานูก้าครับ ช่วยระงับการต่อต้านของพวกทาสอย่างเร่งด่วน! เราต้องไม่ทำลายเมืองไปมากกว่านี้แล้ว! ต่อให้ต้องใช้ความรุนแรงสักหน่อยผมก็ไม่ว่า!”

“อะไรกันนั่น!?”

ถูกบอกให้ไปยับยั้งผู้ร่วมทัพ กระทั่งดวาลินก็อดอุทานไม่ได้

“เรามาที่นี่เพื่อยึดครองเมืองนี้! ผมไม่คิดจะตามน้ำให้คุณระบายอารมณ์โกรธหรอกนะ!”

ทว่าอย่างที่คิด คำนี้ของโซวมะเลือกมาได้ไม่ดีเลย

“เจ้าเด็กมนุษย์สารเลว! เจ้าดูถูกพวกเรางั้นรึ?! เรียกการแก้แค้นอันสมควรนี้ว่าการระบายอารมณ์งั้นรึ!!?”

จาฮานกิลคำรามลั่นอย่างเกรี้ยวกราดเสียจนกระทั่งเหล่านักรบโซออนก็ยังผงะถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

ทว่า กลับมีเพียงโซวมะเท่านั้นที่ก้าวมาข้างหน้า

“หุบปาก! เงียบซะเจ้าอิกัวน่า!”

จาฮานกิลไม่เข้าใจว่า ‘อิกัวน่า’ คืออะไร ทว่าอย่างไรก็รู้สึกว่าถูกด่า

ไม่นับถึงยามที่ตกเป็นทาส ไม่ว่าอย่างไรกระทั่งในความฝันอันแปลกประหลาดที่สุด เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีผู้คนเผ่าพันธุ์อื่นใช้คำหยาบคายถากถางเขาต่อหน้าต่อตา เขาผู้เป็นถึงไดโนซอเรี่ยนผู้มีอาวุธในมือให้ใช้

“เรียกการอาละวาดแบบไม่คิดถึงสถานการณ์ว่าการระบายอารมณ์มันผิดตรงไหน!? คุณฆ่ามนุษย์ที่เจอ ทำลายทรัพย์สินบ้านเรือน แล้วไงต่อ!? หลังจากนั้นคิดจะทำไงต่อ!? ตอบ!”

จาฮานกิลตอบคำถามโซวมะไม่ได้

จาฮานกิลเพียงต้องการอาละวาดให้เต็มคราบ เขาย่อมไม่มีเหตุให้คิดถึงสถานการณ์หลังจากนั้น

นอกจากนั้น โซวมะยังตะโกนใส่เขา กดดันให้เขาตอบคำถาม

“เรามีเรื่องต้องทำต่อ! อย่ามาขวาง!”

ในตอนนั้นเอง สายลมหอบหนึ่งพัดพามา

ผมหน้าม้าที่ปิดหน้าผากของโซวมะถูกพัดเปิดตามลม สลักประทับที่เคยถูกซ่อนไว้เผยออกมา

“! เจ้าเด็กนี่คือพระบุตรรึ!?”

เป็นคำแนะนำของเชมุลที่ให้โซวมะถอดผ้าคาดหัวออก

สำหรับผู้คนในทวีปเซลดีสที่ทวยเทพมีอยู่จริง พวกเขาย่อมรู้สึกยำเกรงแม้เมื่อพบเจอเทพแห่งเผ่าอื่น นางแนะนำเช่นนั้นด้วยหวังว่าเหล่าทาสที่ยามนี้กำลังลุกฮือจะลังเลไม่กล้าโจมตีโซวมะเมื่อทราบว่าเขาคือพระบุตร

และดังที่ปรารถนา มือของจาฮานกิลที่เคยยกขึ้นเหนือหัวยามนี้ชะงักค้างกลางอากาศ หลังจากนั้นจาฮานกิลผู้ไม่ค่อยพอใจนักก็ลดมือลง เขาทำท่าห้าวหาญแล้วกล่าว

“เจ้าเด็กมนุษย์นี่ไม่รู้จักเราไทรันโนผู้ได้รับการยกย่องแห่งไดโนซอเรี่ยนรึ!?”

สำหรับจาฮานกิลผู้เป็นไทรันโนคนหนึ่งซึ่งได้รับการหวาดเกรงกระทั่งจากไดโนซอเรี่ยนด้วยกันแล้ว เรื่องนี้คือสิ่งที่เขาภาคภูมิยิ่ง

ทว่า มีเพียงคราวนี้ที่เขาได้พบคู่ต่อสู้ที่ไม่อาจรับมือ

“ผมไม่รู้เรื่องพรรค์นั้นสักนิด!”

โซวมะเอ่ยขัดการโอ้อวดของจาฮานกิลในประโยคเดียว

เพราะเป็นเด็กผู้ร่วงหล่นจากต่างโลก โซวมะจึงไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้แน่นอน

ทว่า จาฮานกิลซึ่งไม่ทราบเรื่องนี้แม้แต่น้อยกลับตกตะลึง

ที่ผ่านมาทุกชีวิตล้วนตัวสั่นอย่างหวาดกลัวต่อเขาทันทีที่ทราบว่าเขาคือไทรันโน ทว่าเขาเข้าใจผิดไปหรือไม่? หรือบางทีชื่อเสียงของไทรันโนอาจจะมิได้โด่งดังไปจนถึงเผ่าอื่นกัน? เช่นนั้น เขาผู้เอ่ยปากด้วยท่าที่มั่นอกมั่นใจมิใช่กลายเป็นแค่ตัวตลกไม่รู้จักคิดหรอกหรือ?

เห็นท่าทีจาฮานกิลที่ดูหดหู่คล้ายเสียความมั่นใจนี้ออกจะน่าสงสารอยู่บ้าง บานูก้าจึงบอกเขาเบาๆ

“เอ่อ...อันที่จริง ท่านโซวมะเพียงแค่ไม่ทราบจริงๆ ”

คำอธิบายของบานูก้าสั้นเกินไปจนเหมือนธนูดอกสุดท้ายที่เป่าเอาความมั่นใจที่ยังพอหลงเหลืออยู่บ้างของจาฮานกิลจนกระเด็น

จาฮานกิลส่งเสียงฮือในลำคอ ไหล่ลู่ลงอย่างรุนแรง

บานูก้ากำลังสงสัยว่าตนเอ่ยสิ่งใดไม่สุภาพไปหรือไม่เมื่อเห็นท่าทีของจาฮานกิล เพื่อนร่วมเผ่าของเขาก็

“มาเถอะขอรับนายน้อย พวกเราก็ต้องบรรลุภารกิจเช่นกัน”

พวกเขาลากตัวบานูก้าที่ยังคงมีสีหน้าสงสัยจากไป ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านั่นคือใบหน้ายิ้มแย้มหรือยิ้มขื่นๆ กันแน่




◆◇◆◇◆



“เจ้า เจ้าพวกอสูรต่ำต้อย~!”

เป็นผู้บังคับบัญชาที่ร้องตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดจากกำแพงเมือง

เหล่าโซออนแยกออกเป็นสองกลุ่มทันทีที่ทำลายประตูตะวันตกและรุกรานเข้าเมืองได้สำเร็จ กลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของท่านเจ้าเมือง ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามายังสถานที่ที่เขาอยู่

เท่าที่ทราบจากทหารที่ล่าถอยกลับมาอย่างสับสนเมื่อทราบว่าเมืองนี้กำลังล่มสลาย แผนของเขาไม่สำเร็จ ทหารถูกโซออนเข้าโจมตีทั้งที่ยังไม่ทันได้ถึงโอกาสได้ลงจากกำแพงเมือง นี่เป็นเพราะความคล่องตัวของโซออนกล่าวได้ว่าล้ำเลิศ

เมื่อพวกเขาลงไปจนถึงบันไดชั้นล่างสุด เหล่ามนุษย์และโซออนเบื้องล่างนั่นก็กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดแล้ว กระทั่งช่วยคุ้มกันทหารฝ่ายตนด้วยธนูยังไม่สามารถในการต่อสู้ระยะประชิด

“เราจะลงไปทางอื่น! ตามข้ามา!”

ไม่เช่นนั้น เขาก็ไม่อาจทราบได้ว่าจะยังรอดไปจากกำแพงเมืองนี้ได้หรือไม่ ขณะนำกำลังทหารเพียงน้อยนิดติดตามมุ่งหน้าไปยังทางลงอื่น เท้าของผู้บังคับบัญชาก็หยุดชะงัก

“ดูท่าข้าเองก็มีโชคเช่นกันใช่ไหมเล่า? พู่ติดหมวกนั่นย่อมเป็นของผู้บังคับบัญชาสถานที่นี้ใช่หรือไม่?”

ผู้ที่ยืนขวางทางพวกเขาคือเซอร์กู

ผู้บัญชาการใหญ่ตวัดสายตามองหาทางหนีอื่นทันที ทว่ากระทั่งเบื้องหลังที่ไกลออกไปก็ยังมีโซออนวิ่งขึ้นกำแพงมาจากอีกบันไดหนึ่ง

“ข้าปรารถนาจะแสดงด้านดีของข้าและเผ่ากรงเล็บให้ท่านโซมะได้ชม ย่อมไม่ปล่อยให้เจ้าหนีไปได้”

ในขณะที่เหล่ามนุษย์เบื้องหน้าล้วนแต่มีสีหน้ากังวล เซอร์กูไต่กำแพงขึ้นมาจากอีกทางหนึ่งพร้อมเหล่านักรบเพื่อตัดทางหนีของพวกมนุษย์ การค้นหาบันไดอื่นๆ ที่อยู่ในเส้นทางในเวลาชั่วอึดใจย่อมเป็นความคล่องตัวของโซออน

“ทำอะไรกันอยู่!? ศัตรูเป็นเพียงเดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น!”

ได้ยินเสียงผู้บังคับบัญชา ทหารคนสนิทของเขาสองนายก็พุ่งดาบเข้าโจมตีเซอร์กูทันที

แต่เซอร์กูเพียงเตะและต่อยออกไป ทหารทั้งสองก็กระเด็นเข้าชนกำแพงเมืองด้านข้างทันที

“บอกเจ้าไว้ก่อนแล้วกัน หากเจ้ายอมแพ้เสีย ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

“เจ้าเดรัจฉานต่ำต้อย! อย่าได้บังอาจอ้าปากกว้างๆ นั่นต่อหน้าพวกข้าชาวมนุษย์”

คำของเซอร์กูถูกผู้บัญชาการผู้นั้นตวาดกลบด้วยความเกรี้ยวกราดเสียยิ่งกว่าเดิม

ทว่าได้ยินเช่นนั้นเซอร์กูกลับหัวเราะอย่างปรีดาจากก้นบึ้งของหัวใจ

“เช่นนี้ย่อมน่ายินดียิ่ง”

เซอร์กูเลียริมฝีปาก

“ข้าถูกสั่งห้ามมิให้สังหารเจ้าหากเป็นไปได้ ทว่าฆ่าขยะโสโครกเช่นเจ้าย่อมไม่มีใครว่า อีกประการ—”

“ท่านเทพแห่งมนุษย์ โปรดคุ้มครองข้าด้วย!”

ไม่รอให้เซอร์กูพูดจบ ผู้บัญชาการก็ชักดาบจากฝักข้างเอว กวัดแกว่งมันเต็มแรง

นั่นคือการตวัดดาบที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา

ทว่าเซอร์กูผู้นั้นกลับปรากฏเข้าระยะประชิดเขาในอึดใจราวกับเพียงเดินเล่น ฝ่ามือใหญ่จับเข้าที่ด้ามดาบ การโจมตีหยุดชะงักลงพร้อมๆ กับมือของมนุษย์

จากนั้นเพียงชั่วพริบตา

“อีกประการ ข้าจะกำจัดคนเช่นเจ้าโดยไม่ให้ได้พักหายใจ!”

ผู้บัญชาการใหญ่ยามนี้ไม่อาจได้ยินคำกล่าวของเซอร์กูได้อีกแล้ว

ร่างของเขาแยกออกเป็นหัวและลำตัว ทั้งสองส่วนร่วงลงทั้งสองด้านของกำแพงเมือง ประหนึ่งกระทำตามตัวอย่างของนายทหารทั้งสองก่อนหน้านี้




◆◇◆◇◆



การัมนำนักรบเผ่าคมเขียวมุ่งตรงผ่านกำแพงเมืองด้วยสี่แขนขาราวพายุ ตรงไปจนถึงคฤหาสน์ของเจ้าเมืองในชั่วพริบตา

โดยรอบคฤหาสน์เจ้าเมืองมีแนวป้องกันแน่นหนา ตั้งแต่คลองขุดที่ดึงน้ำมาจากแม่น้ำใกล้ๆ และกำแพงป้องกันจากอิฐเผา และรูส่องรูปฟันเลื่อย (เพื่อให้นักธนูสามารถยิงศรออกมาได้โดยที่ยังซ่อนตัวอยู่และสามารถเห็นความเคลื่อนไหวศัตรูได้สะดวก)

การจู่โจมสถานที่นี้ตรงๆ จากเบื้องหน้าแทบเป็นไปไม่ได้ ผู้รุกรานจำต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว รุกเข้าโจมตีก่อนที่ผู้ป้องกันจะสามารถรายงานได้ว่าประตูถูกทำลายแล้ว และป้อมปราการถูกบุกยึด

“ทุกคน อย่าได้รั้งท้าย!”

เมื่อการัมว่าเช่นนั้น เขาก็เร่งความเร็วยิ่งกว่าเดิม

การัมพุ่งข้ามสะพานชักที่ทอดข้ามลำคู เห็นทหารนายหนึ่งด้านในประตูยกบางสิ่งที่คล้ายเสาขึ้นเหนือหัว

“บุกเข้าไป!!”

การัมเตะพื้นโดยแรงด้วยขาหลังจนทั้งร่างกระโดดข้ามสะพานชักไป

ทันทีหลังจากนั้น นายทหารยังไม่ทันได้กวัดแกว่งเสาอะไรนั่นหรือตีถูกอะไร สะพานก็ยกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงคริ้งเคร้งของโซ่ที่กระทบกันอยู่เบื้องหลังการัมผู้ลอดกายผ่านเข้ามาได้อย่างเฉียดฉิว สหายที่ตามมาไม่ทันล้วนแต่ร่วงลงคูน้ำดังโครม

ทว่าไม่จบเท่านั้น ทหารเหล่านั้นยังตั้งท่าจะลดประตูไม้ที่ตีเป็นตารางหนาๆ ลงต่อหน้าต่อตา

“โดด!”

ตะโกนเช่นนั้นแล้ว การัมก็โจนขึ้นจากพื้น พุ่งกายเข้าไป สหายร่วมเผ่าของเขาที่มาช้ากว่านั้นส่งเสียงร้องลั่นขณะพุ่งตัวลอดใต้ประตูที่กำลังลดต่ำเข้ามา

การัมกลิ้งไปบนพื้นตามแรงเหวี่ยง เข้าสังหารทหารที่ยืนตัวตรงอย่างตกตะลึงจากการบุกรุกของโซออนด้วยมีดดาบในมือทันที

“เข้ามาได้เท่าไหร่?!”

“รวมข้า ทั้งสิ้นห้าขอรับ!”

กัลกาก้าสังหารทหารที่ใกล้มือในพริบตา เอ่ยตอบกลับมา

“ข้าต้องการสอง...ไม่ คนเดียวพอ! ตามข้ามา! ที่เหลืออยู่เปิดประตู!”

ได้ยินเช่นนั้น กัลกาก้าก็คิดจะอาสาตัวเองตามการัม ทว่ากลับมีผู้ที่ไวกว่าเสนอตัวขึ้น

“ข้าจะไป!”

เป็นชิชุลหลานของเซอร์กู

การัมแปลกใจนัก นางมิใช่เพียงเป็นสตรีทว่าอายุยังน้อยนักทว่ากลับตามติดมาได้โดยไม่รั้งท้าย นอกจากนั้นดวงตายังเปล่งประกายชีวิตชีวาไร้ร่องรอยเหน็ดเหนื่อยใด

“เช่นนั้นก็ได้ มากับข้า!”

การัมชักมีดดาบสองเล่มออกจากฝัก พุ่งตามทางไปยังพื้นที่ส่วนในของคฤหาสน์เจ้าเมือง ระหว่างทางพบกับทหารยามหลายครั้งทว่าล้วนแต่ถูกการัมจัดการได้ในคราวเดียว ทหารเหล่านี้ช่างเปราะบางนัก

มีหลายต่อหลายครั้งที่ทหารยามลอบโจมตีจากด้านหลัง ทว่าล้วนแต่ถูกกำจัดลงด้วยฝีมือชิชุล

ขณะฟาดฟันทหารยามลงอีกนาย การัมก็คิด ช่างง่ายดายนัก

การได้จับอาวุธเข้าสู่สนามรบนับเป็นเกียรติยศสูงสุดของนักรบโซออน เช่นนั้นจึงมีผู้คนมากมายที่ไม่ใส่ใจหัวหน้าเผ่า กระโจนเข้าโรมรันด้วยตนเอง

ทว่าชิชุลกลับไร้ซึ่งความตั้งใจจะกระทำเช่นนั้นเพื่อผลงานตนเอง เพราะนางทุ่มเทกายใจเข้าปกป้องจุดบอดของการัมอย่างบริสุทธิ์ใจ การัมจึงสามารถตั้งมั่นกับเบื้องหน้าเพียงอย่างเดียวได้

พวกเขาออกจากทางแคบที่ประตูหลักพามา เหล่าทหารกระจายตัวเมื่อเข้าสู่พื้นที่โล่ง

ในอดีตสถานที่แห่งนี้ยังเคยเหมาะสมจะเป็นป้อมปราการ พื้นที่เหมาะแก่การต่อสู้ ทว่าทุกวันนี้ถูกปรับปรุงใหม่ให้เป็นคฤหาสน์คล้ายบ้านพักตากอากาศที่ขุนนางและพ่อค้าใช้กัน เมื่อเข้ามา พรมแดงที่ทอดยาวอยู่ใต้เท้าราวจะนำทางไปสู่พื้นที่ของเจ้าเมือง

การัมเตะประตูหนาหนักที่พรมแดงนำทางมาจนเปิดออกแล้วบุกเข้าไป

ทันทีที่เข้าไปได้ ทหารสองนายก็พุ่งเข้าโจมตี ทว่าการัมและชิชุลสามารถกำจัดลงไปได้อย่างง่ายดาย

ผ่านเลยประตูไปคือห้องกว้างที่มีเก้าอี้เพียงตัวเดียว ตั้งอยู่ ณ จุดที่สูงที่สุด เบื้องหน้าทุกคนที่ก้าวเข้ามาในห้อง

เพราะความหรูหราของเก้าอี้ตัวนี้ คงนับว่าเป็นบัลลังก์เจ้าเมืองได้เพียงผู้เดียวแล้ว การัมคาด เช่นนี้นี่คือห้องที่หัวหน้าเผ่า (?) ของเมืองนี้ใช้งานกระมัง

เขากวาดตามองทั่วห้อง ทว่าไม่มีใครอยู่ด้านใน

ทว่า หูของการัมกระดิก

เขาได้ยินเสียงเบาบาง

ทิศทางต้นเสียงอยู่ส่วนในของห้อง เมื่อมองเข้าไปให้ดี จึงเห็นผ้าบางๆ ที่แขวนประดับทางมุมขวาของเก้าอี้กำลังแกว่งไกวน้อยๆ ตามลม

เมื่อการัมดึงผ้าออก ก็เห็นประตูเชื่อมห้องอยู่ตรงนั้นดังที่คาดไว้

เขามองเข้าไปด้านใน ระแวดระวังการลอบโจมตีแล้วจึงพบห้องที่ถูกตกแต่งอย่างฉูดฉาด หากเป็นโซวมะคงตราหน้าว่าเป็นการตกแต่งแบบเศรษฐีใหม่ที่ไร้รสนิยม

การัมพบเป้าหมายชาวมนุษย์ผู้นั้นบนเตียงในห้อง

“ข้าคือการัม บุตรแห่งการ์กัสส์ สมาชิกเผ่าคมเขี้ยวอันเป็นหนึ่งในสิบเผ่าโซออน! เจ้าคือผู้ที่สำคัญที่สุดของเมืองนี้ใช่หรือไม่?!”

ทว่าเบื้องหน้าการัมผู้เอ่ยแนะนำตนเองเฉกเช่นนักรบ ชายผู้นั้นกลับไม่แม้กระทั่งเอ่ยนามตน คนทำเพียงดึงผ้าห่มคลุมหัวตนด้วยร่างกายสั่นสะท้าน

นอกจากนั้นด้วยรูปลักษณ์ท่าทางที่หันก้นอ้วนออกมาอย่างคนที่พยายามจะซ่อนตัว ทำให้การัมนึกถึงหมูป่าที่คุ้ยกองฟาง หันหัวเข้าหลุม ชวนให้การัมรู้สึกระอาทีเดียว

ดูไปคงไม่ฟังเรื่องราวของฝั่งเขา ทั้งยังไม่อาจสู้หรือเรียกร้องสิ่งใด

การัมจึงจับชายผู้นั้นกระชากออกจากเตียงโดยไม่ปรานีปราศรัย โยนโครมไปยังอีกห้องด้วยแรงทั้งหมดที่มี

ชายผู้นั้นกระแทกโต๊ะและของอื่นๆ เสียงดังลั่นก่อนจะร่วงลง ขดตัวบนพื้นอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่คาดจะได้เห็นจากร่างกายอวบอ้วนเช่นนี้

“ข้า ข้ายอมแพ้! ข้าเป็นเจ้าเมืองนะ! ข้าเป็นคนสำคัญ! หากจับข้าเป็นตัวประกันเจ้าย่อมเรียกค่าไถ่ได้มากมาย! เช่นนั้น ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลยนะ!”

การัมและชิชุลไม่อาจรู้สึกถึงสิ่งใดได้อีกนอกจากความขยะแขยงต่อท่าทางไร้ยางอายเช่นนี้

“ท่านการัม เจ้าสิ่งที่เหมือนกระต่ายอ้วนนี่มันอะไรกัน?”

กระต่ายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างเกิดมาเพื่อวิ่งหนีด้วยความขี้ขลาด และพวกมันเป็นได้เพียงเหยื่อโง่ๆ เท่านั้นหากสูญเสียความปราดเปรียวกลายเป็นกระต่ายอ้วน เช่นนั้น ‘กระต่ายอ้วน’ จึงเป็นคำด่าที่รุนแรงที่สุดสำหรับผู้ที่อ่อนแอในหมู่โซออน

การัมได้แต่ยิ้มแหยให้กับชิชุล แล้วถอนใจ

“แม้เช่นนั้น ดูเหมือนเขาก็ยังเป็นผู้ที่สำคัญที่สุดในสถานที่แห่งนี้ หาอะไรเหมาะๆ มามัดเขาไว้เถอะ”

แม้ชิชุลจะทำตามคำสั่งการัมอย่างยินดี ทว่าเมื่อคิดว่าต้องสัมผัสเจ้าเมืองที่ราวกับกระต่ายอ้วนนี่แล้ว กระทั่งนางเองก็แสดงสีหน้ารำคาญใจออกมาได้เช่นกัน




◆◇◆◇◆



เสียงเฮของเหล่าทาสและโซออนดังกึกก้องทั่วเมือง

พวกเขาสังหารผู้บัญชาการใหญ่ผู้นำทหารแห่งป้อมปราการ ทั้งยังจับกุมตัวเจ้าเมืองไว้ได้ เช่นนี้เรียกว่าชัยชนะล้นหลามย่อมไม่ผิด

โซออนผู้ถูกมนุษย์เอาชนะอยู่เสมอสามารถกอบกู้ศักดิ์ศรีและความมั่นใจกลับคืนมาด้วยความสำเร็จอันงดงาม เข้ายึดครองเมืองมนุษย์ย่อมต้องตื่นเต้นแล้ว

และบรรดาทาสผู้ถูกอาบย้อมด้วยถ้อยคำหยามเหยียดและแส้เฆี่ยนจากนายผู้โหดเหี้ยมล้วนสั่นสะท้านอย่างปีติเมื่อได้รับการปลดปล่อยและได้แก้แค้น

ทว่าท่ามกลางความยินดีล้นหลามนั้นเอง มีเพียงโซวมะผู้มีสีหน้าบิดเบี้ยวเสียใจ

“แบบนี้ไม่ดีเลย นี่มันไร้ความหมาย…”

สิ่งที่โซวมะดู ไม่ใช่โซออนหรือทาสผู้ปีติยินดี

สิ่งที่เขาเห็น คือบ้านมากมายที่ถูกทำลายลง

คือซากศพของชาวเมืองผู้ตกเป็นเหยื่อรับเคราะห์

และปัญหาที่ปรากฏให้เห็นตามมาจากสิ่งเหล่านั้น

โซออนได้รับเกียรติยศจากผลงานแห่งสงคราม

ไม่ดี ถ้าเป็นแบบนี้ก็สิ้นหวังแล้ว

พวกคนแคระเฉลิมฉลองที่เป็นไท

ไม่ดี ช่างสูญเปล่า ช่างไร้เป้าหมาย

เหล่าไดโนซอเรี่ยนที่ร้องตะโกนต้องการล้างแค้นให้มากกว่านี้

ไม่ดี ไร้ค่า ไร้ประโยชน์

“ควรทำอะไรดี? ต้องทำยังไงถึงจะดีที่สุดล่ะ?”

จากที่ไหนสักแห่ง ในโสตของโซวมะแว่วเสียงหัวเราะของเด็กสาว เขาทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากพร่ำรำพันกับตนเองซ้ำไปมา




โน้ตจากผู้เขียน (ฉบับดำน้ำ เพราะคนแปลอิ๊งตัดออก) :

ในที่สุดโซวมะก็เข้ายึดเมืองจนได้

ต่างจากโซออน คนแคระ และไดโนซอเรี่ยนที่ปลื้มปีติ เขากลับเป็นคนเดียวที่กำลังทนทุกข์

ยังมีปัญหาใหญ่ที่เขาสังเกตเห็น

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โซวมะจะต้องทำการตัดสินใจครั้งใหญ่

ทว่า ต้นเพลิงแม้จะเล็กเพียงใด ก็ยังนับเป็นต้นเพลิง

ตอนต่อไป ‘กล่อง’

******************

ลิสต์สปีชีส์ของไดโนซอเรี่ยน

สายพันธุ์กษัตริย์: ดราก้อน (มังกร - นาคาราชา)

สายพันธุ์นักรบ: เทอโรพอด (ไทรันโนซอรัส เรกซ์, วิลอซิแรปเตอร์ และอื่นๆ)

สายพันธุ์นักบวช: เทอโรซอร์ (ทิแรโนดอน และอื่นๆ)

สายพันธุ์บัณฑิต: เซอราทอปเซียน (ไทรเซอราทอปส์ และอื่นๆ)

สายพันธุ์คหบดี: สเตโกซอร์และวงศ์แองคิโลซอร์ (สเตโกซอรัสและอื่นๆ)

สายพันธุ์ไพร่: ออร์นิโทพอด (อิกัวโนดอนและอื่นๆ)

สายพันธุ์ทาส: ซอโรพอด (ไดพลอโดคัสและอื่นๆ)



โน้ตจากผู้แปล:

ก่อนอื่นเลย ขออุบอิบๆ ว่า ตอนนี้ยาวโฮกกกกกกก แปลแล้วหมดสภาพมากๆ ค่ะ Y_Y

ต่อด้วย ขึ้นเล่ม 3 แล้วจ้าาาาาาา เย้!!!

ในที่สุดก็ใกล้เข้าช่วงท้ายของบทที่ 1 เข้าทุกที (ใช่แล้วค่ะ เรายังคงอยู่ในบทที่ 1 กันนะ เผื่อทุกคนจะลืมไป)

จากนั้น เนื่องจากข้อมูลค่อนข้างเยอะ จะเริ่มจากเรื่องอะไรก่อนดีนะ?

เอาเป็น เรื่องวรรณะของไดโนซอเรี่ยน กันก่อนแล้วกันค่ะ

อ้างอิงจากชื่อที่ใช้ คาดว่าไดโนซอเรี่ยนคือเผ่าที่อ้างอิงจากแถบทะเลทราย ข้อมูลที่ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่หาพบคือการแบ่งวรรณะของทางอิหร่านค่ะ คาดว่าเรื่องชนชั้นน่าจะเป็นการผสมรวมระหว่างแบบอิหร่านกับแบบอินเดียเข้าด้วยกัน

ยุคก่อนอิสลาม (Pre-Islamic) คือยุคจักรวรรดิแซสซานิด ซึ่งมีลักษณะทางสังคมค่อนข้างซับซ้อน มีการแบ่งวรรณะ/ชนชั้นทางสังคมออกเป็นหลายกลุ่ม ซึ่งนักประวัติศาสตร์เชื่อว่าในจักรวรรดิประกอบไปด้วยสีชนชั้น ได้แก่

1. นักบวช / priests (Persian: Asravan‎) บางเจ้าก็เขียนว่า Atorbanan / آتروبانان

2. นักรบ / warriors (Persian: Arteshtaran‎ / ارتشتاران)

3. รัฐมนตรี / secretaries (Persian: Dabiran / دبيران‎)

4. ไพร่ / commoners (Persian: Vastryoshan / Vasteryoshan-Hootkheshan / هوتخشان-واستريوشان)

Secretaries นี่เราไม่ค่อยแน่ใจว่าจะแปลไทยว่าอะไรดี แต่ไม่น่าจะใช่ชนชั้นเลขาเนอะ YwY! เอาเป็นว่ารัฐมนตรีดูโอเคที่สุด  ตรงนี้ถ้าใครรู้สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ค่ะ





ต่อมา เรื่องสายพันธุ์ไดโนซอเรี่ยน

ยาวๆ จะมีคนอ่านมั้ย? เขียนไว้ก่อนแล้วกัน

อย่างที่เห็นว่าไดโนซอเรี่ยนมีที่มาจากไดโนเสาร์ ทีแรกคิดว่าการจำแนกวรรณะคงจะอิงตามสปีชีส์ของไดโนเสาร์ แต่ปรากฏว่ามันก็ไม่ครบแฮะ

นักบรรพชีวินวิทยาจำแนกไดโนเสาร์เอาไว้ 8 กลุ่ม แต่ในกรณีนี้เราจะยกมาแค่ตามเนื้อเรื่องซึ่งมีแค่ 7 วรรณะนะคะ




สายพันธุ์กษัตริย์: ดราก้อน (มังกร - นาคาราชา)

อันนี้ทางญี่ปุ่นเขียนมาว่าดราก้อน ส่วนในเนื้อหาเขียนว่านาคาราชาค่ะ ก็มังกรอะ นับเป็นไดโนเสาร์มั้ยหนิ?




สายพันธุ์นักรบ: เทอโรพอด (ไทรันโนซอรัส เรกซ์, วิลอซิแรปเตอร์ และอื่นๆ)

วงศ์เทอโรพอดคือตระกูลกินเนื้อที่ยืนสองขา จริงๆ แบ่งออกเป็นสองสายพันธุ์ย่อย แต่เรายกมาแค่เท่าที่เค้ายกตัวอย่างก็พอ

ไทรันโนซอรัส เรกซ์จัดเป็นนักล่าดุร้าย ในเนื้อเรื่องคุณจาฮานกิลมีเกล็ด แต่เห็นนักวิทยาศาสตร์บอกว่าจริงๆ น้อนตัวเป็นขน..... ;_;!!!

ส่วนวิลอซิแรปเตอร์จะมีหางยาว เล็บเท้าแหลมคม ฟันคม ออกล่าเหยื่อเป็นกลุ่มเหมือนหมาป่า




สายพันธุ์นักบวช: เทอโรซอร์ (ทิแรโนดอน และอื่นๆ)

วงศ์สัตว์เลื้อยคลานบินได้ในยุคไดโนเสาร์ อาศัยอยู่ยุคเดียวกับไดโนเสาร์แต่ไม่นับว่าเป็นไดโนเสาร์ ซึ่งจริงๆ มีแบ่งวงศ์ย่อยลงไปอีก แต่ยาวอะ





สายพันธุ์บัณฑิต: เซอราทอปเซียน (ไทรเซอราทอปส์ และอื่นๆ)

เป็นไดโนเสาร์ที่อยู่ในวงศ์ออร์นิธิสเชียน เป็นพวกที่มีกระดูกสะโพกคล้ายสัตว์ปีก จัดไดโนเสาร์กลุ่มสุดท้ายที่ปรากฏตัวบนโลก ลักษณะเด่นคือ "หน้าสามเขา" ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือไทรเซอราท็อปส์ (Triceratops)




สายพันธุ์คหบดี: สเตโกซอร์และวงศ์แองคิโลซอร์ (สเตโกซอรัสและอื่นๆ)
สเตโกซอร์และแองคิโลซอร์ต่างก็เป็นไดโนเสาร์ที่อยู่ในวงศ์ออร์นิธิสเชียน เป็นพวกที่มีกระดูกสะโพกคล้ายสัตว์ปีก

ลักษณะเด่นของสเตโกซอร์คือ มีกระดูกเป็นแผ่นหรือเป็นเดือยแหลมๆ อยู่บนหลัง เช่น สเตโกซอรัส อามาทัส (Stegosaurus armatus)

ส่วนลักษณะเด่นของแองคิโลซอร์คือตามตัวจะเต็มไปด้วยแผ่นกระดูกแข็งๆ และหางเป็นตุ้มใช้ฟาดศัตรูเช่น แองคีโลซอรัส แม็กนิเวนทริส (Ankylosaurus magniventris)




สายพันธุ์ไพร่: ออร์นิโทพอด (อิกัวโนดอนและอื่นๆ)

เป็นไดโนเสาร์ที่อยู่ในวงศ์ออร์นิธิสเชียน เป็นพวกที่มีกระดูกสะโพกคล้ายสัตว์ปีก ลักษณะเด่นคือมีปากเหมือนเป็ด






สายพันธุ์ทาส: ซอโรพอด (ไดพลอโดคัสและอื่นๆ)

เป็นไดโนเสาร์ที่อยู่ในวงศ์ซอริสเชียน คือ พวกที่มีกระดูกสะโพกคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน ลักษณะเด่นคือคอยาว สี่ขา กินพืช

หมดแล้ววววว หาข้อมูลจนเหนื่อย แง


ที่มาความรู้:

Wiki-Caste
Wiki-Sasanian Empire
Iranchamber
cs.mcgill.ca
Amazing dinosaur
Jurassicworld-evolution
Britannica.com
Wiki-Theropoda
Wiki- Diplodocus
Wiki-Ornithopoda
Wiki-Velociraptor
Wiki-Ceratopsia
Wiki-ไทรเซราทอปส์
Wiki-Pteranodon
Wiki-เทอโรซอร์
Wiki-Ankylosauria

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น