[Hakai no Miko] บทที่ 1 - เรื่องราวที่ 42: จลาจล


ช่วงก่อนเวลาที่ผู้บัญชาการจะร้องลั่นอย่างตกตะลึงนั้น พ่อค้าทาสโกรคาคอสกำลังเดินตรวจสอบสภาพของทาสทั้งหลายอยู่

พวกทาสที่ได้รับการดูแลไม่ดี ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมย่ำแย่ล้วนแต่เก็บความไม่พอใจและเกรี้ยวกราดเอาไว้ คล้ายภูเขาไฟที่รอวันระเบิด ยามปกติความรู้สึกเหล่านี้จะถูกกดข่มไว้ด้วยแส้และตรวน ทว่าไม่แปลกหากมันจะระเบิดออกเมื่อมีโอกาส

การจู่โจมไม่คาดฝันของโซออนเป็นโอกาสที่มากพอ

เมื่อเหล่าทาสได้ยินเสียงเคาะเกราะไม้และแตรเขาสัตว์ลั่นขึ้น ไม่ว่าจะเบาเพียงใด ก็ยังสามารถคาดเดาได้ว่าเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นในเมืองแล้ว

ด้วยเหตุนั้นเอง โกรคาคอสจึงพยายามล่ามรั้งทาสจากการต่อต้านด้วยการให้เหล่าผู้คุมทาสผู้ถือแส้แสดงตัว

เสียงหนึ่งดังขึ้น ส่งถึงโกรคาคอสที่กำลังสำรวจแต่ละกรงด้วยท่าทีดุดันพร้อมผู้คุมทาสข้างกาย

“นี่ เกิดอะไรขึ้น? ”

ถูกเรียกกะทันหันทำให้โกรคาคอสสะดุ้ง ที่แห่งนี้ไม่ควรมีใครหน้าไหนกล้าถามนายเหนือแห่งคฤหาสน์ด้วยท่าทีหยิ่งผยองเช่นนี้

โกรคาคอสกวาดตามองหาต้นเสียงรอบกาย จึงได้พบคนแคระตัวหนึ่งจ้องมองเขาจากกรงทาสกรงหนึ่ง

“...ดวาลินรึ หา? ”

มันคือทาสคนแคระที่เขาขายให้เด็กโซมะนั่น

“ไม่ใช่เรื่องของหนอน! เจ้าทาสควรอยู่เงียบๆ จึงจะดีที่สุด! ”

ทว่าดวาลินกลับลูบเคราตนเองให้ตรวนที่สวมมือไว้ส่งเสียงกระทบดังกรุ๊งกริ๊ง เอ่ยตอบโกรคาคอสผู้เกรี้ยวกราดอย่างใจเย็น

“หากให้ข้าทายว่าเกิดอะไรขึ้น...ข้าคงเดาว่า...โซออนบุกโจมตีเมือง ใช่หรือไม่เล่า? ”

โกรคาคอสขมวดคิ้ว รู้สึกหงุดหงิดใจกับน้ำเสียงของดวาลิน

“...เจ้าบัดซบ ต้องการพูดอะไรกันแน่? ”

“ใครจะทราบเล่า ท่านมนุษย์แสนสำคัญผู้สูงส่งไม่เข้าใจหรอกหรือ? ”

“เจ้าหนอนสวะ เจ้าคิดว่าเพียงเพราะเป็นทาสที่ผู้อื่นฝากไว้ แล้วจะไม่โดนเฆี่ยนรึ? ”

โกรคาคอสหัวเราะเหยียดหยัน

“เจ้าดูท่าวางเขื่องมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วมิใช่หรือเจ้าหนอนตัวจ้อย? อย่าเหลิงให้มากนัก! ต่อให้เจ้าถูกฝากไว้กับข้า ข้าจะรุนแรงเสียหน่อยก็ไม่มีใครบ่นว่าอะไร เพียงบอกว่าเป็นการสั่งสอนทาสอวดดีเท่านั้น”

ทว่าดวาลินที่อยู่ในกรงกลับมิได้ยินดียินร้าย รอยยิ้มบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครากลับกว้างขึ้น โกรคาคอสเห็นดังนั้นก็สูญเสียความเยือกเย็นไป

“เจ้าแมลงสวะนี่! หากอยากโดนเฆี่ยนนัก ข้าก็จะเฆี่ยนเจ้า! ”

โกรคาคอสสั่งผู้คุมทาส ดวาลินถูกลากออกมาจากกรง จากนั้น เมื่อโซ่ตรวนของดวาลินถูกพันเข้ากับต้นไม้ในสวนแล้ว โกรคาคอสก็รับแส้ที่ใช้เฆี่ยนตีทาสมานับไม่ถ้วนเข้าสู่มือ

“เป็นอย่างไรเล่าเจ้าหนอน? ข้าจะลงโทษเจ้า หากเจ้าร้องขออภัยและเลียรองเท้าข้า ข้าจะยอมยกโทษให้เจ้า”

แม้มิได้คิดจะทำดังว่าแม้แต่น้อย โกรคาคอสก็ยังแสร้งทำเป็นใจกว้างเพื่อให้ดวาลินร้องขอความเมตตา หากเขาเฆี่ยนมันหลังเปิดโอกาสให้มีหวังบ้างเล็กน้อย ย่อมทำให้จิตใจเจ้าหนอนสวะนี่พังทลายลงลึกยิ่งกว่าเดิม โกรคาคอสหัวเราะร้ายยามจินตนาการภาพเหล่านั้น รอคอยดูท่าทีของดวาลิน

ทว่าปฏิกิริยาของดวาลินกลับแตกต่างจากที่โกรคาคอสคาดหวังไว้

“จะลงมือกับข้านักรบดวาลินหลังเผยความไร้ประโยชน์และความตั้งใจเลวร้ายของเจ้า เจ้าช่างน่าขันนัก เจ้ามีค่าเพียงทำให้ข้าได้บริหารกล้ามท้องจากการหัวเราะเจ้าเท่านั้น”

โกรคาคอสเป็นฝ่ายโง่งมไปจากการถูกเสียดสีที่ไม่คาดคิด

เขาตกตะลึงไปครู่ใหญ่ ก่อนใบหน้าทั้งใบของโกรคาคอสจะแดงจัดด้วยความโมโห

“นักรบรึ!? ไอ้คนแคระอย่างเจ้านะรึ! ”

ปลายแส้สะบัดรวดเร็วจนส่งเสียงตัดอากาศ

เช่นนั้น ไม่เพียงโกรคาคอสที่สะบัดแส้ กระทั่งผู้คุมทาสที่ยืนมองด้วยรอยยิ้มร้ายกาจต่างเบิกตากว้างไปตามกัน

“ดูเอาเถิด มิใช่ว่าเจ้าก็ไร้ประโยชน์พอกับแผนการห่วยๆ ของเจ้ารึ? ”

แส้ที่โกรคาคอสสะบัดกลับถูกกำแน่นไว้ด้วยมือขวาของดวาลิน

ตรวนที่ควรจะรั้งข้อมือไว้กลับร่วงอยู่ข้างเท้าของเจ้าคนแคระ

ดวาลินกระชากแส้ที่กำไว้เข้าหาตัวด้วยแขนล่ำของตน

โกรคาคอสที่ยืนอยู่อย่างงุนงงไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นถูกกระชากเข้าไปพร้อมแส้ ล้มลงเบื้องหน้าดวาลิน

เมื่อดวาลินคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายได้แล้ว เขาก็ใช้แรงทั้งหมดที่มี เหวี่ยงหมัดขวาเข้าใส่จมูกโกรคาคอส

เลือดพุ่งทะลัก เสียงกรีดร้องราวหมูถูกเชือด โกรคาคอสแหกปากลั่น

“ท ทำ ทำไม? ตรวนเล่า? อย่างไร? ทำไม!? ”

ดวาลินถ่มน้ำลายใส่หน้าโกรคาคอส

สิ่งที่ผสมกับน้ำลายกระแทกใส่แก้มของโกรคาคอส ร่วงลงพื้นดังตุ้บ ให้โกรคาคอสก้มลงมองที่เท้าตน จึงเห็นลวดขดเล็กที่ส่องสะท้อนด้วยความเปียกชื้นจากน้ำลาย

“ทราบหรือไม่เล่าพวกข้าคนแคระมีนิ้วที่ละเมียดนัก ลวดเล็กๆ เพียงเส้นเดียวก็สะเดาะกลอนได้แล้ว ต่อให้เหม่อลอยอยู่ข้าก็ทำได้”

เขาต่อยหน้าโกรคาคอสอีกครั้ง

ตอนนั้นเองเหล่าที่ผู้คุมทาสซึ่งตกตะลึงกับเหตุการณ์ทั้งหมดรู้สึกตัวขึ้นและพยายามจัดการดวาลินด้วยกระบองในมือ ทว่าเสียงสิงหนาทจากเบื้องหลังทำให้ร่างพวกเขาแข็งทื่อ

เหล่าทาสคนแคระทยอยปลดโซ่ตรวนออกทีละคน กระโดดออกจากกรงที่ดวาลินถูกขังไว้ พวกเขาเข้ากลุ้มรุมผู้คุมทาส จัดการอีกฝ่ายด้วยโซ่และตรวนที่เคยล่ามรั้งพวกตนไว้

“ขโมยกุญแจมา! เราจะปลดปล่อยสหายเรา! ”

เมื่อได้รับคำสั่งจากดวาลิน เหล่าคนแคระก็คว้าเอากุญแจจากเอวผู้คุมทาส ทยอยเปิดกรงขังอย่างรวดเร็ว ปลดตรวนออกจากร่างทาสคนแคระทั้งหลาย

“เอาล่ะนักรบทั้งหลาย! เวลาแห่งการต่อสู้มาถึงแล้ว! ”

ได้รับอิสระอย่างกะทันหันทำให้เหล่าทาสกระวนกระวายไม่ทราบว่าควรทำอะไร ทว่าเมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากดวาลิน พวกเขาจึงทราบ ในที่สุดพวกตนก็เป็นอิสระ

“โออออออ้!!! ”

เหล่าผู้ตกเป็นทาสตะโกนสุดเสียง คล้ายดังระบายความเกรี้ยวกราด ระเบิดความยินดีที่ได้รับการปลดปล่อย

“อี๊!!! ”

โกรคาคอสและผู้คุมทาสต้องร้องเสียงหลงจากเสียงของทาสเหล่านั้น

ทว่าเช่นนั้นกลับเป็นการดึงดูดความสนใจจากบรรดาผู้คนที่เคยตกเป็นทาส พวกเขาส่งเสียงคำรามดุร้ายเกรี้ยวกราดจนแทบไร้สติ บุกเข้าโจมตีโกรคาคอสและผู้คุมทาสพร้อมๆ กัน โกรคาคอสและพวกผู้คุมทาสจำต้องชดใช้สิ่งที่ได้เคยกระทำต่อทาสทั้งหลายเอาไว้ในวันนี้

ดวาลินมองภาพการแก้แค้นอันรุนแรงเหล่านั้นด้วยตาตนเอง ก้าวไปยังกรงหลังหนึ่งซึ่งมิได้เปิดพร้อมด้วยกุญแจในมือ ราวกับเป็นการเรียกหาผู้ที่อยู่ในนั้น

“โย่ เหล่าไดโนซอเรี่ยน จากนี้พวกข้าจะไปรบรากับศัตรูชาวมนุษย์เสียหน่อย พวกเจ้าจะเอาอย่างไรเล่า? ”

เมื่อได้ยินคำของดวาลิน เสียงโซ่หนักๆ กระทบกันจากร่างใหญ่ยักษ์ที่ลุกขึ้นก็ตามมา

“ปลดปล่อยพวกข้าเจ้าคนแคระ แม้แต่ข้าเอง ความเบื่อหน่ายก็เป็นสิ่งยากรับมือ”


◆◇◆◇◆


“กะ เกิดอะไรขึ้น!? ”

สิ่งที่ผู้บัญชาการเห็น คือควันดำที่พวยพุ่งและเปลวเพลิงโชติช่วงสะดุดตาจากคฤหาสน์หรูในเมือง เมื่อมองให้ดีจะเห็นร่างหลายร่างกำลังวิ่งออกมาทั้งยังเปล่งเสียงตะโกน

ทีแรก เขายังสงสัยว่าเป็นประชาชนที่แตกตื่นหลังจากได้รับแจ้งเรื่องโซออนบุกทั้งยังประสบเหตุไฟไหม้หรือไม่ ทว่า คนที่ออกมาจากคฤหาสน์ไม่เพียงแต่จะไม่ดับไฟ พวกเขายิ่งวิ่งไปทั่วเมือง ทำลายร้านแผงลอยทั้งหลายบนสองฝั่งถนนสายเล็กไปทั่ว เขาเข้าใจทันทีว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่เคร่งเครียดกว่านั้น ทันใดนั้นเอง ผู้ส่งสารที่ถูกส่งไปเกณฑ์ชาวเมืองก็กลับมา

“ทาสกบฏงั้นรึ?! ”

เนื้อหาของข้อความนั้น ทำให้ผู้บัญชาการรู้สึกตกตะลึงจนแทบจะทรุดลง

นอกจากสถานการณ์เลวร้ายเร่งด่วนอย่างโซออนบุกโจมตี ยังมีการกบฏของทาสเกิดขึ้นพร้อมกัน ผู้บัญชาการอยากกุมหัวตนเองเหลือเกิน

“หากโซออนด้านนอกเริ่มมีทีท่าเมื่อใดสถานการณ์ย่อมเลวร้ายแล้ว! เจ้านำกองร้อยเจ้าไปปราบปรามพวกมันโดยเร็ว! ”

เมื่อได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการ หนึ่งในผู้นำกองร้อยที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ไต่ลงจากกำแพงเมืองพร้อมทั้งเรียกคนใต้บังคับบัญชาให้ออกไปพร้อมกัน

ไม่นานนัก ทหารกองหนึ่งก็มุ่งหน้าไปปราบปรามทาสที่ก่อกบฏในเมืองท่ามกลางเรียกกู่ร้องและการโจมตีของเหล่าทาส ในชั่วพริบตา เสียงกรีดร้องมากมายดังขึ้นและเลือดก็หลั่งนองจากเหล่าทาสที่ถูกจัดการ

ทว่า ความเหนือกว่าของฝ่ายทหารอยู่ได้เพียงชั่วครู่ ก็กลับกลายเป็นภาพที่ฝั่งทหารถูกเหล่าทาสที่เป็นอิสระไล่ล่าสังหารด้วยใจมุ่งมั่นเคียดแค้นที่สามารถเห็นได้ชัดเจนกระทั่งจากกำแพงเมือง

“เจ้าพวกขี้ขลาด! มัวแต่ทำอะไรกันอยู่!? ”

ทหารนายหนึ่งวิ่งมายังบันไดขึ้นกำแพงเมือง เข้าหาผู้บัญชาการที่กระทืบเท้าหลายครั้งหลายคราวอย่างโมโห

“ส่งสาร! ข้ามาส่งสารขอรับ! ”

ทหารนายนั้นวิ่งไปพร้อมทั้งร้องตะโกน ก่อนจะทรุดลงคุกเข่าเบื้องหน้าผู้บัญชาการทั้งที่ยังหายใจหอบถี่

“พวกทาสก่อกบฏรุนแรงไม่อาจปราบปรามโดยง่าย! ข้าถูกส่งให้มาขอกำลังเสริมขอรับ! ”

ผู้บัญชาการตะโกนโต้ทันที

“อย่ามาล้อเล่น! เพียงแค่ทาสก่อกบฏจะลำบากอะไรกัน!? เจ้าพวกหัวกลวงยังกล้าเรียกตนเองว่าทหารแห่งฮอลเมียอยู่อีกรึ!? ”

ไม่ว่าจะมีจำนวนมากเพียงใด คู่ต่อสู้ก็เป็นเพียงทาสที่ฉวยโอกาสจากความวุ่นวาย ทหารติดอาวุธครบมือจะพ่ายแพ้แก่อุปกรณ์ทำไร่ไถนาของทาสที่หยิบจับจากข้างทางเช่นนี้ก็ไม่น่าให้อภัยแล้ว ทว่าคำอธิบายต่อมาจากผู้นำสาร ทำให้ผู้บัญชาการพูดไม่ออก

“เรื่องนั้น ดูเหมือนพวกทาสจะได้อาวุธมาขอรับ พวกมันมีทั้งดาบและหอก เพราะเราจู่โจมโดยไม่ทราบ ฝ่ายเราจึงได้รับความเสียหายอย่างหนักขอรับ! ”

การโจมตีผู้คุ้มกันของพวกพ่อค้าทาสและคนที่กำลังถูกเกณฑ์ไปเป็นกองกำลังชั่วคราว ทั้งยังขโมยอาวุธเล็กๆ น้อยๆ คือสิ่งที่คาดเอาไว้แล้ว ทว่าจากวิธีพูดของผู้ส่งสาร ดูเหมือนจำนวนอาวุธที่พวกทาสได้มีจะมีเยอะกว่านั้น พวกมันไปเอาอาวุธมาจากไหนกันแน่? ผู้บัญชาการสับสนยิ่ง

หากทราบว่าอาวุธเหล่านั้นล้วนแต่เป็นของผิดกันหมายที่นำเข้ามาผ่านการติดสินบนผู้เฝ้ารักษาประตูเมืองตะวันออก เขาคงประหารทหารยามจากประตูตะวันออกด้วยความโมโหสุดขีดด้วยมือตนเองแล้ว

“ท่านผู้บัญชาการขอรับ! ฝั่งโซออนมีการเคลื่อนไหวแล้ว! ”

เมื่อหันกลับไปมองบริเวณนอกเมือง โซออกที่ก่อนหน้าทำเพียงเตะฝุ่นตีกลองกลับเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกัน พุ่งตัวผ่านพื้นที่ เตะฝุ่นจนฟุ้งกระจาย มุ่งหน้าสู่ฝั่งเหนือของเมือง

เช่นนั้น ผู้บัญชาการจึงมีความหวังรำไรว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้ถอยทัพกลับสู่ทุ่งหญ้า

ทว่าความหวังดังกล่าวถูกทรยศ เหล่าโซออนที่วิ่งสู่ทางเหนือกลับกระโดดลงแม่น้ำทีละตัวว ราวกับกำลังวางแผนอะไรไว้ และตั้งใจจะข้ามน้ำด้วยการว่ายผ่านไป

เห็นเช่นนั้น ในที่สุดผู้บัญชาการก็คาดเดาจุดประสงค์ของโซออนออก

“พวกมันพยายามจะล้อมเมืองฝั่งตะวันออกรึ!? ทะ...ทำไมกัน!? ”

ความคิดน่าสยดสยองสายหนึ่งพุ่งผ่านราวสายฟ้าฟาด

ผู้บัญชาการหันไปมองในเมืองอีกครั้ง สำรวจสถานการณ์การลุกฮือของเหล่าทาสแล้วส่ายหน้า

การลุกฮือของทาสเหล่านี้เริ่มต้นที่คฤหาสน์ของพ่อค้าทาสโกรคาคอส จากนั้นจึงเข้าโจมตีพ่อค้าทาสเจ้าอื่นทีละรายเพื่อเพิ่มกองกำลัง พวกมันทำลายบ้านทั้งหมดในบริเวณใหล้เคียงแล้วมุ่งหน้าไปยังฝั่งตะวันออกของเมือง

แม้ในบรรดาพ่อค้าทาสที่ถูกโจมตีจะมีหลายรายที่อยู่ใกล้ประตูตะวันตก พวกทาสที่ก่อเหตุกลับมุ่งหน้าไปยังประตูตะวันออกโดยไม่สนประตูตะวันออกแม้แต่น้อย

“...! ไม่มีทาง! ถ้า...ถ้าหากว่าพวกมันวางแผนร่วมกับโซออน พวกมันวางแผนกับโซออนเอาไว้แล้วหรอกรึ!? ”

ทหารส่วนใหญ่ในเมืองล้วนจับต้องเพียงประตูตะวันตก ผู้ที่ปกป้องประตูตะวันออกยามนี้มีไม่ถึงร้อยนาย

หากประตูตะวันออกถูกโจมตีจากด้านนอกและด้านในพร้อมกันย่อมไม่อาจต้านทานได้นาน

เขาคิดสงสัยว่าควรจะระดมกำลังเสริมจากฝั่งประตูตะวันออกไปทันทีหรือไม่ ทว่าพวกทาสได้มุ่งหน้าไปยังทิศดังกล่าวราวกับฝูงมดดำไล่ตามกลิ่นน้ำตาลแล้ว

ผู้บัญชาการที่ตัดสินแล้วว่าการป้องกันประตูตะวันออกนั้นเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ตัดสินใจละทิ้งเมืองทันที

“จงฟัง เราจะย้ายเข้าไปในคฤหาสน์ของท่านเจ้าเมือง! ที่นั่นเคยเป็นป้อมปราการมาก่อน แม้เมืองจะล่มหากอยู่ในนั้นเรายังสามารถป้องกันตัวได้จนกว่ากำลังเสริมจะมาถึง! ”

“จะทำอย่างไรกับชาวเมืองขอรับ!? ”

“ช่วยไม่ได้แล้ว ยอมแพ้เสีย! ”

ผู้บัญชาการสั่งการลงมาแล้ว ละทิ้งชาวเมืองเบื้องล่างเอาไว้ด้วยเสียงคำราม

“เมืองนี้ล้มได้ทุกเมื่อแล้ว! ”


◆◇◆◇◆


“เหตุใดจึงโจมตีประตูตะวันออกเล่า? เช่นนี้ใช้เวลามากกว่าเดิมอยู่บ้าง”

เชมุลถามโซวมะ เอียงคอไปด้านหนึ่งอย่างสงสัย

เพราะแม่น้ำที่ไหลผ่านใจกลางเมืองบอลนิส ไม่ว่าอย่างไรทุกคนก็ต้องข้ามแม่น้ำ เหล่าโซออนเริ่มการหันเหความสนใจไปยังทิศตะวันตกของเมืองหลังข้ามแม่น้ำตลอดคืน จากนั้นด้วยไร้หนทางจึงต้องพยายามซ้ำสอง ข้ามแม่น้ำกันอีกรอบเพื่อโจมตีประตูตะวันออก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะถูกสงสัย การโจมตีประตูตะวันตกก็ทำได้ไม่ใช่หรือ เหตุใดยังต้องหันไปยังฝั่งตะวันออกเพิ่มงานด้วยเล่า

“เพราะเราเข้าเมืองนี้มาทางประตูตะวันออกกับคุณฮอปกินส์น่ะ”

คำตอบของโซวมะ ทำให้เชมุลเข้าใจว่าการโจมตีประตูตะวันออกที่พวกนางได้เห็นด้วยตาตนเองย่อมง่ายดายกว่า

ทว่าเหตุผลที่โซวมะเลือกโจมตีประตูฝั่งตะวันออกนั้นเป็นไปเพื่อการอื่นโดยสิ้นเชิง

เป้าหมายของเขาคือสังหารทหารทั้งหมดที่เฝ้ารักษาการณ์ประตูตะวันออก

ไม่ว่าจะถูกบังคับหรือถูกจับตัวประกันยังไง จุดยืนของฮอปกินส์ในคราวนี้ก็มีแต่จะแย่ลงหากเรื่องที่เขาให้ความร่วมมือในการเข้ายึดเมืองกระจายออกไป เขาให้สัญญาว่าจะตกรางวัลก้อนโตให้อีกฝ่ายหากสามารถกลับมาจากต่างประเทศได้หลังออกจากฮอลเมีย ทว่าเท่านั้นยังไม่พอ

การไม่ปกป้องผู้ร่วมมือเป็นเรื่องที่ผิด

ถ้าไม่ทำแบบนั้นคุณจะสูญเสียผู้ให้ความร่วมมือที่มีค่าไป ทว่าหากคุณปกป้องพวกเขาเอาไว้ ผลตอบแทนที่ได้คือความไว้วางใจ ทั้งยังง่ายที่จะหาผู้ร่วมมือเพิ่มเติมจากเดิม

การปกป้องผลกำไรของผู้ร่วมมือนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับผลประโยชน์ของตนเองด้วย

แต่ในใจโซวมะกลับมีความรู้สึกดำมืดประหลาด

การโจมตีเมืองนี้ ยังไงก็ต้องเปิดประตูใดสักประตูหนึ่งไม่ว่าจะตะวันออกหรือตะวันตก ซึ่งในเวลาเดียวกันยังหมายความถึงชีวิตของยามผู้เฝ้าประตูซึ่งจะต้องถูกสังหาร

สำหรับตัวเลือกสุดท้ายว่าจะเป็นประตูไหน ตะวันออกหรือตะวันตก ทหารฝั่งไหนที่จะต้องถูกสังหาร เขายืมมือฮอปกินส์เพื่อตัดสินใจ

ผลลัพธ์เป็นสิ่งที่โซวมะมองว่าต่ำช้า นั่นคือการชั่งน้ำหนัก คำนวนชีวิตของคนอื่นเป็นผลประโยชน์ของตนเอง และเลือกทางที่ให้ประโยชน์สูงกว่า

เสียงกระซิบในเงามืดจากเด็กสาวพร่ำรำพันข้างหูโซวมะที่ยิ้มเย้ยหยันตนเอง

“โอ โซวมะผู้ต่ำช้าของข้า ดูถูกตนเอง สงสารตนเอง มองตนเองต่ำช้าเช่นนี้จะทำให้ง่ายขึ้นหรือ? ในยามนี้น่ะหรือ? ช่างตื้นเขินเหลือเกิน ช่างลำเค็ญเหลือเกิน ดูราวกับเจ้าได้หลงลืมปณิธานหลังพบความรื่นเริงเพียงเล็กน้อยเสียแล้ว โซวมะที่รักของข้า”

โซวมะหันขวับด้วยความเจ็บปวดคล้ายในหัวใจถูกเข็มเล่มยาวบางแทงเข้าจากเบื้องหลัง

“? เป็นอะไรไปโซมะ? ”

แต่ที่อยู่ด้านหลังเขามีเพียงเชมุล

หรือเสียงเด็กผู้หญิงที่ได้ยินเมื่อกี้จะเป็นเขาหลอนไปเองนะ?

ความรู้สึกผิดในใจอาจจี้จุดอ่อนเขาเอง ทำให้เกิดเป็นเสียงเด็กผู้หญิงในจินตนาการล่ะมั้ง? โซวมะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขากลับไม่อาจลบความอึดอัดใจที่อธิบายไม่ถูกออกไปได้

โซวมะตกอยู่ในภวังค์ ทว่าเขากลับรู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อเชมุลตะโกน ชี้ไปบนฟ้า

“โซมะดูนั่น! ไฟ! ”

อย่างที่เชมุลว่า ควันดำก่อตัวพวยพุ่งขึ้นฟ้าจากบริเวณใกล้ใจกลางเมือง โซวมะปัดเรื่องเสียงหลอนทิ่้งไป หันมาตั้งสติกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้แทน

“ดวาลินคุมทุกคนไม่ไหว! ”

พวกเขาลงความเห็นกันแล้วว่าพวกพ่อค้าทาสที่ทารุณกรรมทาสไปมากมายคงจะช่วยไม่ได้แน่นอน ทว่าโซวมะเองยังอยากจะเลี่ยงไม่ให้ความเสียหายลุกลามไปถึงชาวเมืองอื่นๆ

ดังนั้น การคิดว่าประชาชนทั่วไปจะไม่ถูกโจมตีหนักหน่วงจนเกินไปจึงเป็นเรื่องปกติ โซวมะย้ำหนักแน่นในรายละเอียดให้ดวาลินหันเหความสนใจของพวกทาสให้ห่างจากชาวเมืองไปยังประตูตะวันออก พวกดวาลินต้องตะโกนนำไปพร้อมๆ กับหาทางเปิดประตูตะวันออกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้โซออนซึ่งเป็นพันธมิตรของพวกทาสสามารถเข้าเมืองได้

ทว่าไม่เพียงแต่เพลิงจะถูกจุด ยังมีเสียงกรีดร้องของชาวเมืองที่ดังขึ้นจากทุกหนแห่ง โซวมะได้แต่เสียใจรุนแรงที่ประเมินความเกลียดชังของพวกทาสต่ำเกินไป

“เชมุล! ผมจะไปที่ประตูตะวันออกด้วย! ”

“อย่าโง่น่า! พวกทาสที่ถูกปลดปล่อยล้วนแต่อาละวาดอยู่ที่นั่น โซมะ หากเจ้าผู้เป็นมนุษย์ไปยังสถานที่แห่งนั้นย่อมไม่จบอย่างสงบแน่! ”

เชมุลเองก็เห็นว่าการลุกฮือของทาสที่ได้รับการปลดปล่อยนั้นกลายเป็นสถานการณ์เกินการคาดการณ์ของโซวมะไปแล้ว จึงได้ไม่ยอมพาโซวมะไปที่แห่งนั้น

“ตะ แต่ว่าผมต้องไป! ต้องไปร่วมกับการัมและเซอร์กูให้เร็วที่สุด”

เชมุลรู้สึกลังเลนักเมื่อเห็นสีหน้าใกล้จะร้องไห้ของโซวมะที่เกิดจากความเสียใจและหมดความอดทน

เมื่อหลายวันก่อน ยามนั้นโซวมะค้นพบพืชชนิดหนึ่งที่มีผลสีแดงในทุ่งหญ้า เขาจึงสำรวจมันอย่างสนใจยิ่ง เพราะเขาร่วงหล่นมาจากโลกที่ต่างออกไป จึงได้เปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อหลายสิ่งอย่างในโลกใบนี้

ทว่าเพราะผลไม้สีแดงนั้นมีพิษแรงถึงตายหากทานเข้าไป เชมุลจึงออกปากเตือนให้โซวมะระวัง

เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว โซวมะผู้กำลังสำรวจผลไม้อย่างใกล้ชิดเสียจนปลายจมูกสัมผัสผลก็สะดุ้งผวาอย่างตกใจ เลิกเข้าใกล้ต้นไม้ชนิดนั้น แม้อันที่จริงแล้วล้วนแต่ไม่เป็นไรเว้นแต่เขาจะทานผลของมันเข้าไป

เมื่อเป็นเรื่องอันตราย โซวมะจะหัวดื้อเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่รู้จักอันตรายใดในโลกนี้ และเพราะเชื่อคนอื่นง่ายดายนัก ทว่าสำหรับเชมุลแล้ว เขาขี้ขลาดต่อสิ่งที่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าระแวงระวังจนเกินไป

ด้วยเหตุนั้น การที่เขากล่าวว่าจะไปยังสถานที่ที่อันตรายอย่างแน่นอน สถานที่ที่เหล่าทาสต่างอาละวาดในยามนี้ ย่อมไม่ใช่การตัดสินใจตามปกติของโซวมะ

ทว่าเชมุลก็ยังเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงกล่าวดังนั้น

มันคือการต่อสู้นั้น ที่ซึ่งภายหลังถูกเรียกขานว่า ‘ยุทธการเนินเขาฮอกห์นาเรียห์’

เพราะการต่อสู้นั้น ที่ซึ่งทหารศัตรูแปดร้อยนายถูกฝังกลบเป็นเถ้าถ่านด้วยแผนการพระเพลิงของเขา โซวมะจึงล้มป่วยจาก ‘ไข้นักรบ’ ในคราวนั้นความรู้สึกเป็นห่วงกังวลยิ่งว่าจิตใจเขาได้รับความกระทบกระเทือนหรือไม่ยังคงสดใหม่ในใจเชมุล

อาจเพราะโซมะเกรงว่าผู้อื่นจะตายเพราะเพลิงจากฝีมือเขา เช่นนั้นจึงปรารถนาจะเข้าร่วมกับการัมและผู้อื่นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นอีกโดยไม่สนใจอันตรายต่อตนเอง

เชมุลสั่นสะท้าน

โซวมะคือหัวใจสำคัญของยุทธการการโจมตีของโซออน การนำพาคนเช่นนี้ไปสู่สถานที่อันตรายย่อมเป็นเรื่องไม่อาจให้อภัย

เชมุลไหล่ลู่ลง ถอนหายใจ

“ให้ตายซี เจ้าช่างปรารถนานักโซมะ ไปยังที่ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าทาสที่เกลียดชังมนุษย์ ฝ่าอันตรายไปยังสถานที่ที่พี่น้องเราอยู่อย่างปลอดภัยล้วนแต่เป็นที่สุดของคำขออันไร้เหตุผลสิ้นดี! ”

แม้แต่โซวมะในตอนนี้ก็ยังเข้าใจสิ่งที่เชมุลกล่าว โซวมะคิดจะขอโทษขอโพยที่ขอร้องอะไรไม่สมเหตุสมผลกับเธอ ทว่าก่อนจะได้เอ่ยปาก เชมุลก็แยกเขี้ยวด้วยรอยยิ้มสว่างไสวเต็มใบหน้า

เหตุที่เชมุลยอมรับโซวมะเป็น ‘นายแห่งนาภี’ มิใช่เพราะคุณค่าการใช้งานของเขา

นางต้องการสนับสนุนโซวมะผู้ซึ่งเจ็บปวดลึกล้ำเพื่อเหล่าโซออน แม้เจ้าตัวจะอ่อนโยนถึงขั้นไม่อาจทำร้ายผู้อื่นได้

เช่นนั้นต้องกระทำสิ่งใดจึงได้ชัดเจน

“ทว่าหากเป็นความปรารถนาของ ‘นายแห่งนาภี’ ข้า ‘เขี้ยวสูงศักดิ์’ ผู้นี้ย่อมไม่มีคำคัดค้าน! ”

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น