ยามดึกสงัด ในป่าที่ตั้งอยู่ทางเหนือของแม่น้ำอันไหลผ่านบอลนิส ปรากฏร่างของโซออนกำลังเคลื่อนไหว
โซออนที่เดินทางผ่านป่ามานี้มีจำนวนเกินกว่าแปดร้อย
กองกำลังแบ่งได้เป็น เผ่าคมเขี้ยว 150 นาย, เผ่ากรงเล็บ 400 นาย, เผ่าดวงตา 50 นาย และเผ่าแผงคอ 300 นาย
โซออนจำนวนมากนี้อย่างไรก็เรียกว่าสี่พันธมิตร นำโดยเขี้ยวคลั่ง ฟากัล การ์กัสส์ การัม ผู้ได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษของโซออนแห่งทุ่งหญ้าซลเบียงต์
โซออนจำนวนประมาณ 900 นายนำโดยโซออนขนดำได้เริ่มต่อแถวและข้ามแม่น้ำทีละนายจากบริเวณพื้นที่แคบริมฝั่งน้ำ
ยามที่ข้ามฝั่งไปได้สี่ร้อยกว่านาย ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
หินที่นักรบเยาว์รายหนึ่งใช้เหยียบข้ามน้ำขยับไหว นักรบผู้นั้นเสียการทรงตัวล้มโครมลงไปในแม่น้ำ
เสียงตกน้ำดังลั่นทำให้โซออนทุกรายต่างชักมีดดาบออกจากฝังพร้อมกัน
บรรยากาศเคร่งเครียด เหล่าโซออนตัวสั่นราวกับขนแทบจะปล่อยกระแสไฟฟ้าสถิต
“อะไร? เกิดอะไรขึ้น? ศัตรูรึ!? ที่ไหน? ศัตรูอยู่ไหน!? ”
ผู้ที่ส่งเสียงตะโกนอย่างปรีดาราวกับจะทำลายบรรยากาศเคร่งเครียดลงผู้นั้นคือโซออนยักษ์ขนแดง - เซอร์กู เซอร์กูกระโดดลงจากฝั่งแม่น้ำลงข้างผู้ที่ล้มลงจนน้ำสาดกระเซ็น
เหล่าโซออนต่างชะงักไปโดยพร้อมเพรียงกัน
เซอร์กูยกมือขึ้นทำท่าบังเงากวาดตาสำรวจรอบกาย ก่อนจะผ่อนลมหายใจยาวๆ ออกมาเมื่อเห็นว่าปราศจากศัตรู
“อะไรกัน! ไม่มีศัตรูหรอกรึ? น่าเบื่อจริง! ”
ทันใดนั้น เขาก็ก้มมองนักรบเยาว์ที่เงยหน้ามองเขาอย่างตะลึงงันทั้งที่ยังคงนั่งก้นจุ่มน้ำ
“เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ? ”
“เอ๋? ไม่ขอรับ นี่มัน…”
เซอร์กูโบกไม้โบกมือให้แก่นักรบผู้นั้นที่เริ่มทำท่ากระวนกระวายราวกับเห็นบางอย่างแล้ว
“เข้าใจล่ะ กระทั่งเจ้าโง่อย่างเจ้าเมื่ออยู่เบื้องหน้าสงครามใหญ่ที่โซออนไม่เคยพบมาก่อนเช่นนี้ก็ยังร่างกายเดือดพล่านขึ้นมารึ? อืม ข้าก็เช่นกัน”
กล่าวดังนั้น เซอร์กูก็ทิ้งร่างใหญ่ๆ ของตนลงในแม่น้ำจนน้ำสาดกระเด็นไปทั่วขนาดที่นักรบเยาว์ผู้นี้ยังเทียบไม่ติด สายน้ำนั้นทิ้งตัวลงใส่โซออนรอบข้างราวกับหยาดฝน
“อา! รู้สึกดีจริงๆ! ”
เซอร์กูลุกขึ้นมาทั้งที่ร่างกายเปียกปอน เขาหัวเราะลั่น
เหล่าโซออนที่รายล้อมส่งเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสภาพของเขา
กระทั่งปากของนักรบเยาว์ที่ยังคงนั่งอยู่ในน้ำก็ขยับเป็นรอยยิ้มบาง
จากนั้นเขาก็ได้ยินประโยค ‘จับสิ’ พร้อมกับมือที่ยื่นเข้าหา
นักรบเยาว์ผู้นั้นทราบว่านั่นคือมือของการัม ก็ในตอนที่ลุกขึ้นมาแล้ว
“ขอบ...ท่านเขี้ยวคลั่ง!? ”
นักรบเยาว์ตกอกตกใจยื่นตัวตรงแน่วจนราวกับมีคนเอาไม้เสียบเข้ากระดูกสันหลังเขาทีเดียว
การัมเผยรอยยิ้มขบขัน แตะบ่านักรบผู้นั้นเบาๆ
“อย่าปล่อยให้ร่างกายเย็น ประเดี๋ยวก็เช็ดตัวให้ดีๆ เล่า”
การัมเดินขึ้นฝั่ง ได้ยินเสียงสั่นๆ จากนักรบผู้นั้นเอ่ยขอบคุณแล้วจึงเอ่ยกับกัลกาก้าที่รออยู่ตรงนั้น
“โชคดียิ่ง ข้าไม่เหมาะกับการทำเช่นนั้น”
ที่การัมเอ่ยถึงนั้นมีทั้งความชื่นชมและความตะลึงกับการกระทำของเซอร์กู กัลกาก้าที่เดินเคียงไหล่มาเอ่ยตอบ
“หากท่านทำเช่นนั้น พวกเราย่อมมีปัญหาแล้วท่านหัวหน้าเผ่า ราวกับเดรัจฉานที่เคลื่อนไหวไปโดยสัญชาตญาณเช่นนั้น”
ทว่าการัมกลับตอบเบา
“อย่าได้ดูเบาบุรุษผู้นั้น ดูเอาเถอะ สิ่งที่เขาทำ ยามนี้อารมณ์ของทุกคนจึงเปลี่ยนไปแล้ว”
การจู่โจมเมืองหินที่ตั้งอยู่นอกทุ่งหญ้าเป็นสงครามที่โซออนไม่ถนัด ไม่เพียงนักรบเยาว์ ทว่านักรบทุกรายล้วนแต่กังวลทั้งนั้น
ความตึงเครียดในระดับธรรมดานับว่าไม่เป็นไร ทว่าในยามที่การัมกำลังคิดว่าบรรยากาศเคร่งเครียดจนเกินไป เซอร์กูก็ลงมือก่อนแล้ว
เป็นการกระทำตามปกติของเซอร์กูที่บ้าคลั่ง ทว่าเหล่านักรบล้วนแต่ผ่อนคลายลงไปมาก ก่อนหน้านี้ทุกคนกังวลมากจนเกินไปแล้ว แม้แต่กัลกาก้าเองก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงนี้
“ข้าไม่อยากจะเชื่อว่านั่นคือกรงเล็บวิปลาส กระทั่งยามนี้พวกเราล้วนแต่ดูถูกว่าเขาเป็นเดรัจฉาน กล่าวโดยสัตย์ ข้ายังสงสัยเขาในยามที่เขาเสนอตัวทำงานใต้บัญชาท่าน ท่านหัวหน้าเผ่า”
การัมตอบกัลกาก้าด้วยสายตาที่คล้ายจะพูดว่า ‘ข้าก็เช่นกัน’ เผยให้เห็นว่ากระทั่งยามนี้เขาก็ยังไม่อาจเชื่อ
นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน ในการหารือถึงการจู่โจมเมือง
“ข้าจะไม่ยอมให้เรากระทำผิดพลาดดังเช่นมหาพันธมิตรเคยประสบมาจนแพ้พ่ายให้แก่มนุษย์ในอดีต พวกเราโซออนควรละทิ้งความรู้สึกแย่ๆ ระหว่างเผ่าต่อกันลงเสีย”
ทันทีที่การหารือเริ่มขึ้น เซอร์กูก็เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
แน่นอนว่าทุกคนในที่แห่งนั้นล้วนแต่คิดเช่นเดียวกันว่า ‘เจ้าน่ะหรือเอ่ยปากเรื่องนี้!? ’
เซอร์กูเป็นผู้ขัดขวางการรวมตัวของกลุ่มพันธมิตรมาจนยามนี้
ผู้ที่เอ่ยขัดการกล่าวของเซอร์กูขึ้นมาคนแรกคือเชมุล
“กรงเล็บวิปลาส! เจ้าบ้านี่ เจ้าจะเอ่ยว่าโซมะไม่เหมาะสมรึ!? ”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น! อย่าเข้าใจผิดไปเขี้ยวสูงศักดิ์”
เซอร์กูรีบปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างเร่งร้อน
“ข้าไม่ค้านการเชื่อฟังท่านโซมะ ทว่า! ผู้ที่จะเป็นผู้นำนักรบ รับผิดชอบจัดการโยกย้ายกำลังพลในสนามรบจริงอย่างไรก็ต้องมี ไม่มีทางที่เราจะให้ท่านโซมะจัดการเรื่องนี้ได้ ใช่หรือไม่เล่า? ”
ดังคาด แม้แต่เชมุลก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับกับคำพูดสมเหตุสมผลของเซอร์กู
กระทั่งในยามนี้ก็ยังมีนักรบโซออนมากมายที่ไม่ยอมรับการทำตามโซวมะที่ขาดคุณสมบัติในฐานะนักรบ เหตุที่นักรบหลายรายยังคงยอมทำตัวตามน้ำ นั่นเขาได้วีรบุรุษโซออนอย่างเซอร์กูและการัมคอยสนับสนุนอยู่
การเจรจาอย่างใจเย็นเรื่องเชื่อฟังสองวีรบุรุษนั่นก็แล้วไป ทว่าหากมีใครถามว่านักรบผู้ใดจะเชื่อฟังคำสั่งโซวมะในสถานการณ์ที่เลือดขึ้นหน้าอย่างในสนามรบ พวกเขาคงได้แต่กัดลิ้นตัวเองแล้ว
“เช่นนั้นเจ้าจะแนะนำให้ใครเป็นผู้นำในสนามรบเล่า? ”
อย่างไรเขาก็ย่อมเอ่ยว่าทุกคนควรมอบหน้าที่บังคับบัญชาให้ตนเอง เชมุลคิดเช่นนั้น อดกลั้นมิให้ตนเองโพล่งออกมา
เช่นนั้น เซอร์กูจึงยิ้มขม ไม่มีทีท่าโกรธเคืองแม้แต่น้อย แล้วกล่าว
“ข้าเชื่อว่าเขี้ยวคลั่ง ฟากัล การ์กัสส์ การัม เป็นตัวเลือกที่ดี”
การประกาศนั้นราวกับระเบิดที่หย่อนลงกลางวง
เหล่าโซออนในที่แห่งนั้นไม่มีใครเชื่อหูตนเอง ล้วนแต่มองซ้ายมองขวาเพื่อสำรวจว่าตนเองฟังผิดไปหรือไม่ ตกตะลึงเหลือจะกล่าว
อาจเพราะกลุ้มใจกับท่าทีตกตะลึงถึงเพียงนั้น หรืออาจจะเพราะคาดไว้แล้ว เซอร์กูเอ่ยต่อถ้วยท่าทีขัดเคืองใจ
“ชื่อเสียงข้าเลวร้าย พวกเจ้าก็เห็นๆ กันอยู่ พูดถึงบานูก้า ก็ยังไม่ใช่หัวหน้าเผ่า ทั้งนักรบของเผ่าดวงตาเองก็ขาดแคลนไม่อาจขึ้นตำแหน่งได้”
แม้แต่ผู้นำนักรบเผ่าดวงตาและบานูก้าก็อดมิได้ให้เห็นด้วย
“เช่นนั้นก็เหลือเพียงเขี้ยวคลั่งแล้ว หากเป็นวีรบุรุษ เขี้ยวคลั่ง ซึ่งได้รับคำยกย่องเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในทุ่งหญ้านับแต่วัยเยาว์ย่อมไม่มีผู้ใดคัดค้าน ใช่หรือไม่เล่า? ”
ได้รับคำชมจากเซอร์กูที่แต่ก่อนยังประจันหน้ากันด้วยความเป็นศัตรู ทำให้การัมอดนิ่วหน้าอย่างรู้สึกไม่ดีไม่ได้ เขาเอ่ย
“ทว่าข้าเป็นหัวหน้าเผ่าคมเขี้ยว นักรบเผ่าอื่นจะต่อต้านเอาได้ พระบุตรเทพแห่งสรรพสัตว์ ‘เขี้ยวสูงศักดิ์’ มิใช่เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าหรือ? ”
ทว่าเซอร์กูปฏิเสธทันที
“ไม่ถูกต้อง ‘เขี้ยวคลั่ง’ จริงอยู่ว่าในเชิงการกระทำแล้ว ‘เขี้ยวสูงศักดิ์’ ย่อมเป็นตัวเลือกที่ไม่ผิดพลาด ทว่าในยามออกรบในสนาม ชีวิตอยู่ระหว่างความเป็นความตาย สิ่งที่ผู้คนยึดโยงคือความสามารถ หากต้องมีการตัดสินใจใด นักรบย่อมทำตามนักรบที่แข็งแกร่งกว่าตน ซึ่งมิใช่พระบุตร”
แน่นอนว่าเซอร์กูเองก็เข้าใจว่าการัมเป็นห่วงเรื่องอะไร
“หากเจ้ากังวลว่าพวกเรานักรบเผ่ากรงเล็บที่เป็นศัตรูกับเผ่าคมเขี้ยวมาตลอดจะยอมเชื่อฟังเผ่าคมเขี้ยวหรือไม่ เช่นนั้นก็อย่าได้เป็นกังวลไป พวกเราล้วนทราบดีว่า ‘เขี้ยวคลั่ง’ เป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่เพราะเราเป็นศัตรูกับเขา ดังนั้นหากเป็นนักรบผู้ยอดเยี่ยม พวกเราย่อมไม่มีคำตำหนิได้หากต้องทำตามคำสั่งคนผู้นั้น หากเจ้ายังคงเป็นกังวลอยู่ละก็---”
เซอร์กูร้องเรียกโซออนตัวเล็กขนสีส้มแมนดารินที่ยืนเฝ้ามองการหารืออยู่ข้างกายด้วยสายตา
โซออนตนนั้นแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงสั่นเป็นกังวล
“ข-ข้ามีนามว่าครากา บูนูก้า ชิชุล เป็นหลานสาวของหัวหน้าเผ่าเซอร์กูเจ้าค่ะ! ”
“ข้ารักเด็กนี่เหมือนน้องสาว ให้นางอยู่ข้างกายคอยเป็นผู้ช่วยเจ้า หากเป็นเช่นนั้นแล้ว สหายในเผ่าข้าล้วนไร้ซึ่งคำตำหนิใด”
คำกล่าวนี้ของเซอร์กูเท่ากับการกล่าวว่าเขาได้ทำการส่งตัวคนในครอบครัวแสนรักของตนให้เป็นตัวประกัน
“ข้าได้ยินชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของท่านอยู่เสมอเจ้าค่ะ ท่าน ‘เขี้ยวคลั่ง’ ฟากัล การ์กัสส์ การัม! ได้ต่อสู้ใต้บังคับบัญชาท่านเช่นนี้ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง! ”
ชิชุลยกกำปั้นสองข้างขึ้นชนกัน ก่อนก้มหัวให้การัมจนหน้าผากแนบพื้น
การปฏิเสธในยามนี้ย่อมเท่ากับเป็นการทำลายเกียรติของทั้งเซอร์กูและชิชุล เมื่อได้รับการสนับสนุนจากทุกคนในที่หารือ การัมจึงตกลงขึ้นเป็นหัวหน้าใหญ่ผู้รับหน้าที่สั่งการพันธมิตรทุกเผ่า
นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในยามนั้น การัมก็กล่าวกับกัลกาก้า
“บางที นิสัยบ้าคลั่งของเซอร์กูอาจมีไว้เพื่อกวนใจพวกเรา”
แม้จะสัมผัสได้ถึงอันตรายต่อการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์โซออน เผ่าอื่นๆ รวมถึงเผ่าคมเขี้ยวก็ยังใช้วิธีต่อสู้ดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาเพื่อรักษาเกียรติยศและความพึงพอใจของพวกตนดั่งนักรบยุคเก่า
ในสายตาของเซอร์กูที่พยายามปกป้องเผ่าของตน กระทั่งยินยอมรับเอาวิธีการต่อสู้ของมนุษย์เช่นการสร้างกำแพงล้อมหมู่บ้าน ทำให้ถูกหยามหมิ่นว่ากระทำตนไม่สมเป็นโซออน การต่อสู้ด้วยวิธีดั้งเดิมคงมิใช่เรื่องที่น่าพอใจ
“เช่นนั้น ที่โง่เขลาคงเป็นพวกเราเองแล้ว”
กัลกาก้าตอบด้วยน้ำเสียงใจเย็น
เมื่อการัมลดเสียงลงมิให้รอบข้างได้ยิน เขาก็เอ่ยเบาหวิว ทว่าหนักแน่น
“สื่อสารให้เผ่าเรา นับแต่นี้ข้อพิพาทใดๆ ต่อเผ่ากรงเล็บจงลืมเสียให้สิ้น บอกพวกเขาว่าหากใครดูถูก ‘กรงเล็บวิปลาส’ ข้า ‘เขี้ยวคลั่ง’ ผู้นี้จะไม่ให้อภัยโดยเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่? ”
กัลกาก้าพยักหน้าโดยไม่ลังเล
เมื่อทุกคนข้ามน้ำผ่านเหตุการณ์ก่อนหน้ามาแล้ว เหล่าโซออนก็มุ่งหน้าตัดผ่านป่าอีกครั้งโดยระมัดระวังสภาพแวดล้อมโดยรอบ ไม่นานนัก แนวหน้าก็มาถึงชายขอบป่า
“เขี้ยวคลั่ง เราจะมุ่งหน้าต่อไปอีกสักนิดหรือไม่? ”
หนึ่งในนักรบแนวหน้าเอ่ยปากถาม การัมถามกลับ
“เห็นเมืองหรือไม่? ”
เมื่อได้ยินคำถามของการัม นักรบก็หยีตามองผ่านช่องว่างระหว่างต้นไม้ไปยังจุดที่มีเปลวไฟพวยพุ่งท่ามกลางผืนฟ้ามืดสนิท
“ขอรับ คาดว่านั่นจะเป็นเมืองขอรับ”
“เข้าใกล้มากไปจะไม่ดี แถวๆ นี้ก็ใช้ได้แล้ว”
กล่าวดังนั้น การัมก็จ้องมองไปยังท้องฟ้าทางตะวันออก
“ยังเหลือเวลาก่อนอาทิตย์ขึ้นกระมัง พวกเจ้าหาอะไรเบาๆ ทานมิให้ร่างกายฝืดเคืองแล้วพักเสีย”
เมื่อออกคำสั่ง บรรดาโซออนก็นั่งลงทานเนื้อแห้งและดื่มน้ำจากถุงหนัง
โซออนตนหนึ่งวิ่งมาหาการัมที่ตรวจสอบสภาพนักรบอยู่กับกัลกาก้า
“เขี้ยวคลั่ง มีอะไรที่ข้าควรกระทำหรือไม่? ”
ผู้ที่ถามการัมด้วยดวงตาเปล่งประกายคาดหวังคือชิชุล
การัมถูกดวงตาใสซื่อจ้องมองหันไปหากัลกาก้าด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ ทว่ากัลกาก้ากลับตอบด้วยท่าทีไม่เป็นธรรมชาติว่า ‘เช่นนั้นข้าจะไปตรวจสอบสภาพของสหายแถวแถวนู้นนะขอรับ’ แล้วหันหลังทิ้งการัมจากไปเสียอย่างนั้น
กัลกาก้ากลั้นขำจนตัวสั่นไม่หยุด การัมคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ นอกจากกัลกาก้ากำลังสนุกกับท่าทีกระอักกระอ่วนของเขา
“ไม่...อืม...จากนี้เตรียมตัวให้พร้อม ในช่วงเวลาสำคัญทำหน้าที่ให้ดี
“รับทราบ! ข้าจะแสดงให้ท่านเห็นเองว่าข้าสู้ได้ทั้งวันหากมีท่านสั่งการ! ”
ชิชุลชื่นชมเขาอย่างแรงกล้ากำหมัดแน่น แรงกดดันนี้ทำให้การัมเผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
การัมเป็นผู้ได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษของโซออนแห่งทุ่งซลเบียงต์มักจะได้รับความชื่นชมจากโซออนหนุ่มสาวเสมอ
ทว่าในเผ่าคมเขี้ยวด้วยกันไม่มีใครชื่นชมเขาแรงกล้าเพียงนี้ด้วยเพราะทุกคนต่างก็รู้จักกัน ผู้เยาว์ต่างเผ่าเองก็มีพี่น้องร่วมเผ่าอยู่ข้างกายจึงไม่มีใครชื่นชมการัมอย่างตรงไปตรงมา
ดังนั้นเมื่อถูกโจมตีเข้าจังๆ เช่นนี้จึงเป็นครั้งแรกของการัม ทำให้เขาสมองทื่อไปไม่ทราบจะรับมือชิชุลอย่างไรดี
“ตะ...ต่อสู้เมื่อถึงเวลาสู้ พักเมื่อได้เวลาพัก นับเป็นหน้าที่ของนักรบเช่นกัน”
“เข้าใจแล้ว! รับทราบ! ชิชุลผู้นี้จะพักให้เต็มพลัง! ”
เมื่อชิชุลจากไปพร้อมจิตวิญญาณที่ลุกโชนจนเห็นยังไงก็ไม่เหมือนคนจะพักผ่อนสักนิด เซอร์กูก็ปรากฏตัวขึ้นแทน
“โย่ เขี้ยวคลั่ง หลานสาวข้าไม่เป็นภาระใช่หรือไม่? ”
การัมโบกมือไปมาแทนตำตอบให้กับคำถามนั้น ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
“นางมิได้เป็นภาระ ทว่าพูดตามตรง ข้าไม่รู้จะปฏิบัติต่อนางอย่างไร”
เซอร์กูเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารการัมอย่างรุนแรง
“คงเพราะชิชุลเป็นเด็กสาวกระมัง - เอาเถิด อย่างน้อยนางก็ไม่กระตือรือร้นเท่าน้องสาวเจ้าใช่หรือไม่เล่า? ”
“รายนั้นเป็นข้อยกเว้น! ไม่ว่าจะเรียกโซออนสตรีว่าเอาจริงเอาจังอย่างไรก็ต้องมีขอบเขตกันบ้าง! ”
เซอร์กูหัวเราะเบากับคำพูดของการัมที่บ่นว่าจากประสบการณ์ หากอีกฝ่ายต้องเห็นเชมุลอุทิศกายให้โซมะ ในฐานะพี่ชายคงไม่อาจยืนใจเย็นได้กระมัง
การัมคร่ำครวญด้วยสีหน้าขมปร่า ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีใครแล้วก็เอ่ยกับเซอร์กู
“กรงเล็บวิปลาส ครากา บิกาน่า เซอร์กู…”
“เป็นอะไรไป? อยู่ๆ ก็สุภาพเพียงนั้น”
สัมผัสถึงน้ำเสียงไม่ปกติของการัม เซอร์กูกลั้นหัวเราะ ทำหน้าจริงจัง
“เจ้าไม่อยากเป็นหัวหน้าใหญ่หรือ? ”
คำกล่าวของการัมเป็นนัยว่าเซอร์กูเหมาะกับตำแหน่งนี้มากกว่าตัวเขาเอง
ได้ยินคำของการัม เซอร์กูก็เบิกตากว้าง เขามองดวงตาอีกฝ่ายลึกล้ำอยู่ชั่วครู่ทว่าไม่อาจหาร่องรอยของการโกหกหรือท้าทายได้แม้แต่น้อย
เช่นนั้น เซอร์กูจึงส่งเสียง “อ่า…” ออกมาเบาๆ
ทว่าทันใดนั้นเขาก็ฝืนยิ้มออกมา
“หัวหน้าใหญ่อะไรนั่น ล้วนแต่เป็นปัญหาทั้งนั้นจึงไม่มีอะไรน่าสนใจ มีแต่เรื่องน่ากังวลเสียไปหมด ข้าจึงโยนให้เจ้าโง่เช่นเจ้า”
การัมยิ้มแหยกับคำโกหกชัดเจนนั้น
เขาได้รับแจ้งจากชิชุลแล้วว่าเซอร์กูช่วยโน้มน้าวนักรบเผ่ากรงเล็บที่ไม่พอใจที่ต้องทำงานใต้บังคับบัญชาเขาอย่างต่อเนื่อง
นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนเกลียดเรื่องยุ่งยากพึงกระทำ
เช่นนั้นการัมจึงแสร้งหลับหูหลับตาเออออไปกับคำโกหกของเซอร์กู
“อย่างไรก็เป็นเจ้า ข้าก็คาดหวังคำตอบเช่นนั้นอยู่แล้ว”
จากนั้น ไม่ทราบว่าใครเป็นคนเริ่ม ทั้งสองมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มกว้าง
หลังจากนั้น เมื่อการัมเงยหน้ามองไปยังทิศตะวันออก ก็เห็นแสงเริ่มแตะขอบฟ้า
“ในที่สุด รุ่งสางจะมาเยือนแล้ว หืม? ”
“จริงแท้ ท่านหัวหน้าใหญ่ ข้าขอรับเกียรติในฐานะแนวหน้า ท่านตามตูดข้ามาได้เลย”
“...ดีแท้ การได้เป็นหัวหน้าใหญ่คือความผิดพลาดร้ายแรงในชีวิตข้าเชียว”
การัมกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างล้ำลึก เช่นนั้น เซอร์กูจึงถามด้วยสายตา ‘อย่างไรเล่า? ’ ให้การัมได้ทำหน้าขมๆ ตอบ
“ต้องดูตูดสกปรกของเจ้ามันก็น่าขยะแขยงแล้ว เรื่องนั้นก็เรื่องหนึ่ง ทว่ายังถูกคนอย่างเจ้าเรียกว่าหัวหน้าเผ่านี่ชวนให้อี๋จริงๆ ”
เซอร์กูระเบิดหัวเราะเมื่อได้ยิน
การัมทำหน้าขมกำหมัดแน่นก่อนต่อยไปทางเซอร์กูที่หัวเราะหนักเสียจนไหล่สะท้าน
“เหมือนเดิมเถอะ เรียกข้าว่าการัม”
“ช่วยได้มากทีเดียว พูดจริงๆ ข้าก็เกลียดการต้องเรียกเจ้าว่าท่านหัวหน้าใหญ่เหลือเกิน”
เซอร์กูยกหมัดขวาขึ้นชนหมัดขวาของเซอร์กู
“ให้นักรบไปเตรียมพร้อมเถอะ เราจะเคลื่อนไหวเมื่ออาทิตย์ขึ้น เซอร์กู ข้ามอบแนวหน้าให้เจ้า”
“รับทราบ วางใจเถอะ การัม”
◆◇◆◇◆
ทหารหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ในหอสังเกตการณ์ เขาหาวหวอดใหญ่
เขายืนอยู่บนหอสังเกตการณ์บนกำแพงป้อมปราการเพราะตาดีกว่าคนอื่น ทว่าอย่างไรก็ยังต้องทนกับลมเหนือเย็นสะท้านทั้งยังไม่ได้เงินพิเศษแม้แต่น้อย หากกล่าวตามตรง หน้าที่นี้ไม่มีอะไรดีสักนิด
“...หา? ”
หางตาชื้นๆ จากการหาวนั้นเห็นบางสิ่ง นายทหารเช็ดตาด้วยแขนเสื้อหันไปมองยังทิศนั้นอีกครั้ง
ทันทีที่มองไปยังทิศเหนือ ย้อนแม่น้ำที่ไหลผ่านใจกลางเมืองขึ้นไป และมองไปยังทิศตะวันตก เขาก็เห็นเมฆเบาบางสีน้ำตาล เมื่อเขม้นตามอง ก็ปรากฏว่าเมฆนั้นใหญ่ขึ้นทุกที กำลังมุ่งมาทางนี้
“...! นั่นมัน!? ”
ฝุ่นควันมาพร้อมสัตว์พาหนะและคนจำนวนมากที่วิ่งเข้ามา นักรบผู้นั้นเริ่มแตกตื่น
เป็นโซออนโจมตีใช่หรือไม่?
ทว่าหากเป็นโซออน ควรจะมาจากทางตะวันออกเฉียงเหนืออันเป็นทิศทุ่งหญ้า มาจากตะวันตกเฉียงเหนือทั้งยังสร้างฝุ่นควันมากเพียงนี้ จำเป็นต้องข้ามแม่น้ำก่อนครั้งหนึ่ง ไม่ว่าพวกมันจะมีสมองเพียงใด ก็ไม่อาจเชื่อได้ว่าโซออนจะกล้าเลือกกระทำสิ่งที่ไร้ความหมาย
จากนั้นเขาสงสัยว่าอาจเป็นทัพจากรัฐสมุทรเจบัว ทว่าก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เป็นที่ทราบกันดีว่ากษัตริย์แห่งเจบัวเป็นหุ่นเชิดให้แก่สมาคมพ่อค้า เขาคิดไม่ออกว่าเหตุใดสมาคมพ่อค้าจึงจะละทิ้งการค้าขายแลกเปลี่ยนที่มั่นคงอยู่แล้วเป็นการเริ่มต้นสงครามด้วยตัวเอง อีกประการ เจบัวก็ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมาจากทางเหนือ
ทว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นกลุ่มที่ไม่ระบุตัวตนมุ่งหน้ามายังเมืองไม่ผิดเพี้ยน
ทหารหนุ่มรีบคว้าเอาแตรเขาสัตว์ที่วางเตรียมไว้ในหอเฝ้าระวังขึ้นมา สูดอากาศเข้าเต็มปอด ก่อนจะเป่าออกไป
เสียงแตรเขาสัตว์สะเทือนไปในอากาศ ก้องไปทั่วเมือง
เมื่อเป่าแตรเขาสัตว์ไปสองถึงสามครั้งแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงผู้คน เสียงแผ่นไม้ถูกทุบดังตึงๆ ๆ
“เกิดอะไรขึ้น~!? ”
ผู้บัญชาการผู้ควบคุมกองกำลังพิทักษ์เมืองเงยหน้าตะโกนถามทหารที่อยู่บนหอเฝ้าระวังดังลั่น
“ยืนยันพบกลุ่มที่ไม่ระบุตัวตนกำลังมุ่งหน้ามายังเมืองจากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือจนเกิดเป็นฝุ่นควันขนาดใหญ่ขอรับ! ”
เมื่อผู้บัญชาการมองไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ก็เห็นกลุ่มที่กำลังมุ่งหน้ามาจนฝุ่นตลบดังที่ทหารหนุ่มผู้นั้นกล่าว
จากการประเมินด้วยสายตา กลุ่มนั้นมาด้วยความเร็วเทียบเท่าการควบม้า เช่นนี้ย่อมน่าจะมาถึงในระยะเวลาครึ่งโคขุ
แม้ระยะห่างนี้จะทำให้ไม่อาจเห็นรูปร่างของอีกฝ่ายได้ด้วยตาเปล่า ทว่าหัวหน้ากองพันก็ยังสามารถคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้ทันที
กลุ่มไม่ระบุตัวตนมุ่งหน้ามาด้วยความเร็วอันเป็นไปไม่ได้เว้นเสียแต่จะขี่ม้ามาทั้งกลุ่ม ทว่าเขายังไม่เคยได้ยินว่ามีองค์กรใดที่ร่ำรวยขนาดซื้อม้าและคิริวให้คนจำนวนมากมายได้ทุกคน
หากเคลื่อนที่ด้วยความเร็วระดับนี้โดยปราศจากม้าและคิริว คำตอบนั้นย่อมชัดเจนแล้ว
นั่นคือผู้ปกครองเหนือท้องทุ่ง เหล่าโซออนเท่านั้น ที่สามารถวิ่งด้วยความเร็วเหนือล้ำด้วยฝีเท้าตน
“เร็วเข้า รีบเรียกชาวบ้านที่ออกไปนอกเมืองกลับมา! เป็นโซออนโจมตี! หลังหนึ่งในสี่โคขุให้ปิดประตูเมืองทันที! หลังจากนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามเปิดประตูเด็ดขาด! ”
ชาวบ้านที่ออกไปเก็บไม้มาทำฟืนเพื่อใช้ในการเผาศพที่ระเกะระกะตามทางต่างก็โยนไม้ทิ้งไปอย่างเจ็บปวด เร่งร้อนกลับเข้าสู่เมือง เพื่อเลี่ยงมิให้บุคคลน่าสงสัยปะปนเข้าเมืองในการบุกโจมตี ผู้เฝ้าประตูจึงได้จับตามองชาวบ้านอย่างระมัดระวัง
“เตรียมผู้ส่งสารติดม้า! เราต้องแจ้งเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน! โซออนบุกโจมตีแล้ว! ”
ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการ องครักษ์จึงเลือกม้าที่ดีที่สุดและนักขี่ที่เก่งที่สุดจากสี่กองร้อย เพื่อเลี่ยงมิให้ถูกโซออนจับได้ระหว่างทาง พวกเขาจึงแยกย้ายไปคนละทางและคนละเวลา มุ่งหน้าไปยังเมืองลัวม่าซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออก
นอกจากนั้น ผู้บัญชาการสูงสุดยังสั่งการต่อเนื่องทันทีที่เรียกรวมตัวผู้บัญชาการกองร้อยทั้งหมดมา
“เจ้า รีบจัดเตรียมเสบียงและแจ้งพ่อค้าของเมืองให้ส่งเสบียงมาเพิ่มเติม”
“รับบัญชา! ”
“เจ้า ไปตรวจสอบอาวุธและชุดเกราะในคลังแสง! ”
“ขอรับท่านผู้บัญชาการ! ข้าส่งลูกน้องไปตรวจสอบและนำอาวุธชุดเกราะออกมาแล้วขอรับ! ”
“ดีมาก! เช่นนั้นเรียกรวมพลบุรุษในเมืองที่สามารถต่อสู้ได้! ”
“รับทราบขอรับ! ”
ผู้บัญชาการกองพันมองส่งลูกน้องของตนวิ่งออกไปหลังได้รับคำสั่ง จากนั้นจึงจ้องมองไปยังโซออนที่มุ่งหน้ามาจากเส้นขอบฟ้าอีกครั้ง
ยังไม่ทราบจำนวน ทว่าไม่ว่าจะประมาณการเกินจำนวนอย่างไร พวกโซออนก็ไม่ควรจะมีถึงหนึ่งพัน
มนุษย์ในบอลนิสมีอยู่นับหมื่น หากนับรวมผู้อยู่อาศัยที่ผิดกฎหมายยิ่งมีมากขึ้นไปอีก หากประเมินจำนวนบุรุษที่สามารถต่อสู้ได้ว่ามีประมาณห้าส่วน จำนวนทหารฝั่งเขาก็มีมากกว่าสองพันจากการเกณฑ์ทหารเร่งด่วนนี้แล้ว
หากพวกเขามีทหารมากเพียงนี้ ยังมีกำแพงเมืองที่แข็งแกร่ง เช่นนั้นโซออนเพียงไม่ถึงพันชีวิตจะมีอะไรน่ากลัวเล่า
นอกจากนั้น ในยี่สิบวัน กำลังเสริมย่อมมาถึง จนกว่าจะถึงตอนนั้นก็เป็นหน้าที่กองรักษาการณ์ช่วยป้องกันเมืองนี้ไป ไม่จำเป็นต้องโจมตีเพื่อหาความชอบทางการสงคราม
หัวหน้ากองพันคิดเช่นนั้น
“พวกเจ้าทุกคน ถือคันศรและลูกธนูออกมา เรียงแถวบนกำแพงเมือง! ”
เมื่อสั่งการทหารให้ขึ้นไปยืนประจำการเหนือกำแพงแล้ว ผู้บัญชาการกองพันจึงยกมือขวาขึ้นเล็กน้อย ดวงตายังคงจับจ้องกลุ่มโซออนที่เข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ทันทีที่โซออนเข้าสู่รัศมีธนู นักธนูที่ซุ่มอยู่จะปล่อยห่าฝนคันศรออกทันทีเพื่อทำลายรูปขบวนของโซออน
ผู้บัญชาการกองพันสัมผัสถึงความกดดันที่มองไม่เห็นเหนือมือขวาข้างที่จะใช้ส่งสัญญาณของตนยามมองไปยังมนุษย์ที่เรียงรายอยู่ตรงนั้น
ทว่า เขากลับไม่มีโอกาสได้สะบัดมือขวาข้างนั้น
พวกมันมาไม่ถึงกำแพงเมือง เหล่าโซออนรักษาระยะห่างที่รัศมีลูกธนูไปไม่ถึง พวกมันเรียงแถวกันยังบริเวณทิศตะวันตกของเมือง เริ่มตีกลองและกู่เสียงร้องกึกก้อง ณ ที่แห่งนั้น
“พวกนี้...มันวางแผนบัดซบอะไรกันแน่…? ”
ผู้บัญชาการใหญ่โคลงหัวไปข้างหนึ่งเมื่อเห็นการกระทำของโซออน
ไร้ซึ่งสัญญาณการโจมตี พวกมันเพียงก่อความวุ่นวายจากระยะที่ลูกธนูยิงไม่ถึงมาสักระยะหนึ่งแล้ว
หัวหน้ากองร้อยที่รู้สึกสงสัยเช่นกันเข้ามาถามผู้บัญชาการ
“พวกมันคิดจะบุกโจมตีหรือไม่ขอรับ? ”
“ข้าไม่รู้ พวกมันอาจตั้งใจข่มขู่เรา อย่าได้ประมาท”
บางทีพวกมันอาจข่มขู่เพื่อมิให้มนุษย์เข้าโจมตีทุ่งหญ้า มาทำเช่นนี้เพื่อเตือนกระมัง? ผู้บัญชาการกองพันคาดเดา
‘เช่นนั้นก็เข้าใจได้ว่าเหตุใดพวกมันจึงเพียงทำเสียงดังจากระยะที่ศรยิงไม่ถึง’
ทว่าผู้บัญชาการกองพันกลับไม่อาจสลัดความกังวลประหลาดทิ้งไปได้
เขาไม่เคยได้ยินว่าโซออนจะยอมออกจากทุ่งหญ้ามาก่อน กระทั่งตอนนี้
เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกมันรวมตัวกันหลังพลิกสถานการณ์จากหน่วยปราบปรามได้ ทว่าเช่นนั้นพวกมันควรบุกจู่โจมตั้งนานแล้ว
ยามนี้มีบางสิ่งที่แตกต่างออกไปจากอดีต
ความรู้สึกวิตกกังวลประหลาดก่อตัวในอกผู้บัญชาการใหญ่
ทันใดนั้น บรรดาทหารที่รายล้อมก็พลันบังเกิดเสียงเอะอะขึ้น เสียงนั้นรุนแรงก่อกวนประสาทของผู้บัญชาการที่กำลังกังวลกับเรื่องโซออนเป็นอย่างยิ่ง ทำให้มิอาจทำเมินไปได้
“เจ้าพวกบัดซบ! พวกโซออนอาจบุกโจมตีได้ทุกเมื่อ! อย่าได้คลายความระมัดระวังไป! ”
ทว่าแม้จะมีเสียงคำรามด่าของผู้บัญชาการ เสียงเอะอะจากทหารที่รายล้อมกลับไม่หยุดลง ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังถึงกับหันหลังให้กับโซออนด้านนอกเมือง ชี้ไปยังลานเมืองภายในกำแพง พูดคุยกันถึงเรื่องอื่นอย่างชัดแจ้ง
ผู้บัญชาการที่มองตามทิศซึ่งทหารชี้ไปด้วยความรำคาญใจนึกหงุดหงิดว่าใครก่อเรื่องอะไร ทันใดนั้นก็สูญเสียการควบคุมตนเองไปชั่วขณะ
เขาสูดหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่หลายครั้ง ในที่สุดจึงสามารถประเมินภาพที่เห็นเบื้องหน้าได้ ยามนี้หลงลืมฐานะตำแหน่งตนเองไปจนหมดสิ้น เขาร้องตะโกนลั่น
“นี่- นี่มันเกิดอะไรขึ้น!? ”
0 ความคิดเห็น