“เกวียนเล่มนั้น หยุด! หากต้องการเข้าเมือง เราจำเป็นต้องตรวจสอบผู้โดยสารและสัมภาระเสียก่อน! ”
หัวหน้าหมู่ผู้ได้รับหน้าที่ตรวจสอบผู้คนและสัมภาระที่เข้าออกผ่านประตูแห่งบอลนิสหยุดเกวียนติดรถพ่วงคันหนึ่งที่แล่นมาตามทางหลวง
เมื่อเห็นบุรุษผู้นั่งอยู่บนที่นั่งขนคุมเกวียนซึ่งกำลังบังคับนิริวอยู่ หัวหน้าหมู่พลันคิดได้ว่าเคยเห็นใบหน้านั้นมาก่อนจากที่ไหนสักแห่ง ดูเหมือนจะเป็นคู่ค้าของพ่อค้าเล็กๆ ทว่ายังมิได้ประสบความสำเร็จใดในฐานะพ่อค้านัก ดูใบหน้าเขินอายทว่าซื่อตรงถึงเพียงนี้ ดูไม่คล้ายคนร้ายในประกาศจับใบใด
ความสงสัยของหัวหน้าหมู่พลันหายไปเมื่อเห็นเด็กชายและโซออนที่อยู่ติดกัน เคียงข้างพ่อค้าเร่ เอ่ยทักทายเขา
“พ่อค้าเร่กับหลานชายเมื่อตอนนั้นใช่หรือไม่? เจ้าเพิ่งออกจากเมืองไปเมื่อไม่กี่วันก่อน คราวนี้มาทำอะไรอีกเล่า? ”
“แน่นอนว่าเพื่อธุรกิจขอรับ คราวนี้เรามิได้มาเพียงเกวียนเล่มเดียว ยังมีรถลากด้านหลังที่ขนสินค้ามาด้วยขอรับ”
มีคำพูดแนะนำเช่นนี้ หัวหน้าหมู่จึงมองรถลากด้านหลังเกวียน ดังที่บุรุษผู้นี้กล่าว มีของมากมายกองสูงอยู่ด้านใน ล้วนแต่ดูเป็นของหนักๆ ทั้งนั้น มีทาสคนแคระสองตัวดึงรถลาก ทาสคนแคระอีกสองตัวช่วยดันอยู่ด้านหลังรถ และยังมีทาสคนแคระประกบรถลากซ้ายขวาด้านละตัวช่วยกันดันรถลากมายังทิศนี้ ทั้งหมดล้วนแต่หายใจหนักหน่วง ทั่วร่างอาบย้อมด้วยเหงื่อ
“สินค้าเป็นอะไรกัน? ”
“ขอรับ ของจำพวกดาบและหอกที่ยังเหลืออยู่ในคลังขอรับ”
หัวหน้าหมู่ตกใจกับคำอันตรายที่หลุดออกมาจากปากพ่อค้า
“เจ้าบ้านี่! ขนอาวุธมากมายเพียงนี้ วางแผนร้ายอะไรอยู่กันแน่!? ”
เห็นท่าทีข่มขู่ของหัวหน้าหมู่ พ่อค้าก็ตอบอย่างแตกตื่น
“ข้าได้ยินว่ามีโซออนลุกขึ้นก่อความวุ่นวายที่ทุ่งหญ้าทางเหนือมิใช่หรือขอรับ? ”
คำเหล่านี้ทำให้หัวหน้าหมู่นิ่วหน้า
พ่ายแพ้ให้ต่อโซออนเดรัจฉานนี้นับว่าเป็นการเสียเกียรติแห่งรัฐฮอลเมียอย่างใหญ่หลวงแล้ว ดังนั้นจึงมีคำสั่งปิดปากทหารห้ามมิให้นำไปพูดต่ออีก ทว่าก็ยังมิอาจห้ามทหารหนุ่มทั้งหลายซุบซิบสนทนายามเกี้ยวพาสตรียามเข้าร้านเหล้าและซ่องได้
กระทั่งหัวหน้าหมู่ก็ทราบว่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องที่ทราบกันไปทั่วเมืองแล้ว
ทว่าด้วยคำสั่งปิดปากจากเบื้องบน เขาจึงยังรู้สึกไม่ดีกับสถานการณ์นี้นัก
เห็นสีหน้าหัวหน้าหมู่ดูไม่ดี พ่อค้าเร่ก็รีบจับมือหัวหน้าหมู่โดยไม่ลังเล ติดสินบนด้วยเหรียญสัมฤทธิ์หลายเหรียญ
“มีอาวุธดีๆ ก็มิได้เป็นเรื่องเลวร้ายต่อทุกคนมิใช่หรือขอรับ? อีกประการ หากถุงเงินข้าอวบอ้วนขึ้นอีกสักนิดด้วยเหตุนี้ ก็นับว่าเป็นพระพรอันใหญ่หลวงแล้วขอรับ”
“เข้าใจแล้ว ข้อโต้แย้งเจ้าที่ว่าหากเรามีอาวุธดีๆ จะช่วยเหลือเราได้มากนั้นสมเหตุสมผลยิ่ง”
หัวหน้าหมู่อารมณ์ดีขึ้นอย่างง่ายดายด้วยน้ำหนักของเหรียญในมือ นอกจากนั้น พ่อค้ายังคงสอดเหรียญเงินเข้าไปเพิ่ม ลอบกระซิบ
“สินค้าเหล่านี้ข้านำมาเพื่อช่วยเหลือทุกคนขอรับ อย่างไรก็ช่วยข้าน้อยผู้ต้อยต่ำด้วยเถอะขอรับ…”
“โอออ! ต้องเป็นดังเจ้ากล่าวแน่แท้”
หัวหน้าหมู่ร้องเรียกเจ้าพนักงานเก็บภาษีที่ตรวจสอบจำนวนและประเภทของอาวุธในรถลากมาหา
“คนผู้นี้เป็นพ่อค้าที่ดีและมีความคิดนัก”
ทหารเจ้าหน้าที่ที่เก็บภาษีเข้าใจความหมายที่หัวหน้าหมู่ต้องการจะสื่อ เขาจึงได้เสร็จสิ้นการตรวจสอบสินค้าที่กำลังทำอยู่ในทันที เขาจุ่มแท่งไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ใกล้ประตูลงในขวดหมึก แล้วจึงเขียนบางสิ่งลงบนกระดาษอย่างระมัดระวัง
“เช่นนี้เป็นอย่างไรเล่า? ”
พ่อค้าส่ายหน้าเมื่อเห็นตัวเลขภาษีนำเข้าที่ทหารเสนอ
“ข้าได้ยินว่าจำเป็นจะต้องส่งรายงานหากนำอาวุธมามากกว่าปริมาณที่กำหนด ดังนั้น ท่านจะช่วย…”
อีกฝ่ายแสดงเหรียญเงินเพื่อทำให้มั่นใจมากขึ้น ทหารเจ้าหน้าที่เก็บภาษีลอบมองหน้าหัวหน้าหมู่ เมื่อเห็นผู้เป็นหัวหน้าหมู่พยักหน้าตอบเล็กน้อย เขาจึงเขียนเอกสารใหม่อีกครั้ง
“เช่นนี้เป็นอย่างไร”
“...ได้โปรดเถอะขอรับ”
หลังดูเอกสารอยู่หลายครั้ง ในที่สุดพ่อค้าเร่ก็ตอบตกลง จ่ายค่าภาษีตามตัวเลขที่เขียนไว้
นายทหารอดมิได้ให้เผยรอยยิ้มจากรายได้ไม่ธรรมดาอันไม่คาดคิด ทว่าเมื่อเห็นหัวหน้าหมู่ที่มองตามเกวียนและรถลากหายไปในฝูงชนดูแปลกประหลาด นายทหารจึงร้องเรียกเขา
“เป็นอะไรไปหรือขอรับหัวหน้าหมู่”
หัวหน้าหมู่ตอบผู้ใต้บังคับบัญชาขณะเอียงคอไปด้านหนึ่ง
“ไม่สิ เจ้าทราบหรือไม่ ข้ารู้สึกว่าเจ้าเด็กที่นั่งอยู่ในเกวียนนั้นเอ่ยบางสิ่งประหลาดนัก…”
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเด็กชายจึงเอ่ยคำเช่นนั้น
เขาสงสัยว่าตนเองจะได้ยินผิดหรือไม่ ทว่าสองหูของเขาก็ได้ยินคำที่เด็กชายเอ่ยพึมพำนั้นเป็นแน่
“ข้าคิดว่าเขาเอ่ยว่า ‘ขอโทษครับ’ ต่อข้า”
ให้ตายซี เด็กชายผู้นั้นกล่าวอะไรแปลกนัก
การหาเงินเข้ากระเป๋าผ่านการโกงภาษีผ่านทางเช่นนี้เป็นสิทธิพิเศษของผู้เฝ้าประตู ล้วนเป็นเพราะพ่อค้าติดสินบนเช่นนี้ทำให้หลายเรื่องสะดวกขึ้นมาก จึงกลายเป็นความสัมพันธ์แบบการให้และการรับ
อันที่จริง การจัดการเช่นนี้นับเป็นเรื่องปกติที่พบได้บ่อยครั้ง
เขาไม่คิดได้ยินพ่อค้าสักรายที่เอ่ยขอโทษทุกประโยคเช่นนั้น
“อืม ใช่เพราะเขารู้สึกผิดที่นำอาวุธเข้ามามากเกินบันทึกหรือไม่? ”
หัวหน้าหมู่เห็นด้วย “คงเป็นเช่นนั้น”
“เช่นนั้น ใช้เหรียญเงินเหล่านี้จัดเลี้ยงยิ่งใหญ่คืนนี้ เพื่อลบล้างความรู้สึกผิดในใจเด็กนั่นดีหรือไม่”
เหล่าผู้เฝ้าประตูเผยรอยยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าหมู่
◆◇◆◇◆
“โอ้! ยินดีต้อนรับ! ท่านมาเยี่ยมเยียนเช่นนี้ช่างดีนัก! ”
ทันทีที่โซวมะมาถึงคฤหาสน์ของโกรคาคอสและแจ้งการมาเยือนให้แก่ผู้เฝ้าประตู โกรคาคอสก็รุดมาจากด้านในคฤหาสน์ด้วยรอยยิ้มยินดีมีความสุข โซวมะทำท่าทักทายของพ่อค้าหลังชะงักไปชั่วครู่จากท่าทีต้อนรับที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับคราวก่อน”
“ผมนำความโชคลาภและมั่งคั่งมาให้คุณครับ”
“โชคลาภและความมั่งคั่งสู่ท่านเช่นกัน”
โกรคาคอสทักทายตอบอย่างรวดเร็วและถาม
“เช่นนั้นท่านโซมะ ข้าสงสัยนัก คราวนี้ท่านมีธุระอันใดกับข้าหรือ? ”
“ครับ วันนี้มีเรื่องที่ผมอยากจะขอร้องคุณสักหน่อย”
โซวมะมองไปด้านหลัง เมื่อโกรคาคอสมองตามก็เห็นรถลากที่จอดอยู่บนถนน
“อา นั่นทาสที่ท่านซื้อจากข้าเมื่อคราวก่อนดูจะใช้งานได้ดีใช่หรือไม่ขอรับ? ”
เห็นดวาลินและคนแคระคนอื่นที่ถูกล่ามโซ่กับรถลาก โกรคาคอสพยักหน้าอย่างพอใจ
“ครับ นอกจากจะเป็นองครักษ์แล้วยังมีประโยชน์ให้ช่วยเข็นรถแบบนี้ได้ด้วย”
“ดียิ่ง ข้าดีใจที่ของที่ท่านซื้อจากข้าทำงานได้ดี”
โกรคาคอสกล่าวด้วยสีหน้าคล้ายกับพร้อมจะเลียริมฝีปากได้ทุกขณะ
“เมื่อท่านมาที่นี่ คาดว่าท่านคงจะมองหาทาสใหม่อีกกระมัง? ”
“ครับ เรื่องนั้นก็ด้วย แต่ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่มีปัญหานิดหน่อย…”
“โห เรื่องใดกันขอรับ? ”
“ที่จริงผมกังวลเรื่องโรงแรมคืนนี้น่ะครับ ผมกับ…” โซวมะชี้ไปยังเชมุลด้วยสายตา “ผมเจอที่พักแล้ว แต่ไม่มีที่ให้เก็บสินค้ากับพวกคนแคระน่ะ”
โกรคาคอสคิด เข้าใจแล้ว
ยามนี้คาราวานจากเจบัวสู่เมืองหลวงพักอยู่ในเมือง คนสำคัญในคณะคาราวานล้วนแต่พักที่คฤหาสน์เจ้าเมือง ทว่าบ่าวไพร่และองครักษ์ล้วนแต่ต้องพักในเมือง คาดว่าคืนนี้ทุกที่น่าจะเต็มหมดแล้ว
“ถ้าเป็นไปได้ คุณจะช่วยแนะนำที่ที่ จะเก็บรถสินค้ากับพวกคนแคระหน่อยได้ไหมครับ? ”
“อืม เป็นปัญหาจริงแท้” คิดอยู่หลายทาง ในที่สุดโกรคาคอสก็ปรบมือ “เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร? ให้ข้าช่วยดูแลทาสและรถสินค้านั่น อย่างไรพวกทาสก็เคยอยู่ที่นี่อยู่แล้ว พวกเขาย่อมคุ้นชินกับสถานที่”
“เอ๋!? จริงหรือครับ? ”
“แน่นอน ท่านว่าอย่างไรเล่า? อีกประการ ท่านพักที่คฤหาสน์ข้าเป็นอย่างไรท่านโซมะ? ข้าย่อมยินดีต้อนรับท่านเป็นอย่างดี”
“ไม่ล่ะครับ แค่ให้พวกทาสกับรถสินค้าอยู่กับคุณก็พอแล้ว”
โซวมะพูดติดตลก
“อีกอย่างนะครับ ถ้ามีคุณขายทาสให้ผมทั้งคืนล่ะก็ คุณโกรคาคอส พรุ่งนี้เช้าผมต้องถังแตกแน่ ยังไงอย่างน้อยก็โปรดละเว้นผมจากเรื่องนั้นเถอะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ยินดียิ่ง ท่านดูจะเกรงกลัวข้าเสียแล้วใช่หรือไม่เล่า? ”
โซวมะวางถุงใส่เหรียญเงินลงในมือโกรคาคอสที่ถูกยกยอจนยินดี
“นี่เป็นของเล็กๆ น้อยๆ ครับ ยังไงก็ช่วยรับไว้เพื่อแทนคำขอบคุณสำหรับปัญหาด้วยนะครับ”
คาดเดาจำนวนเหรียญเงินอย่างคร่าวๆ จากน้ำหนักในมือแล้ว โกรคาคอสก็อึ้งไป
“จำนวนขนาดนี้กับเพียงดูแลรถสินค้าและทาสไม่กี่ตัว…”
“ได้โปรดหักลบกับราคาทาสที่ผมจะซื้อในวันพรุ่งนี้ด้วยนะครับ”
“เข้าใจแล้ว หากเป็นเช่นนั้นละก็”
โกรคาคอสตอบรับ รับถุงเงินเอาไว้
“อืม ข้าสงสัยว่าบนรถสินค้าที่ท่านวางใจฝากข้ามีสัมภาระใดหรือขอรับ? ”
“เป็นนี่ครับ”
เมื่อโซวมะดึงผ้าคลุมรถลากออก ก็ปรากฏเป็นดาบและหอกจำนวนมากกองสูง
“ตามที่ลือกัน เหมือนว่ากองกำลังติดอาวุธที่มุ่งหน้าไปปราบปรามโซออนดูจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำอะไรแบบนั้น อีกไม่นานทุ่งหญ้านี้คงจะวุ่นวายแล้ว ผมตั้งใจจะขายพวกนี้ให้กองทัพฮอลเมียครับ”
กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ยังมีข่าวลือว่ากองกำลังปราบปรามสูญเสียอย่างหนักจากเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นจากมือของพวกเขาเอง ทว่ายามนี้ข้อมูลที่แท้จริงหลุดมาจากพวกทหารปากพล่อยหลายรายว่าที่แท้โซออนเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ทว่าก็ยังเป็นสิ่งที่เพิ่งจะกระจ่างเมื่อเร็วๆ นี้เท่านั้น
ดังที่คาดไว้ นี่คือความสามารถของพ่อค้าจากแดนตะวันออก พวกเขามีหูที่เฉียบคมยิ่ง โกรคาคอสนึกชื่นชม
โกรคาคอสเสวนากับโซวมะด้วยท่าทีสนุกสนาน ระหว่างนั้นก็สั่งให้ดวาลินและคนแคระที่เหลือเข็นรถไปยังสวนหลังคฤหาสน์ ทันใดนั้น เขาก็ปรบมือ
“โอ ใช่แล้ว ข้าเพิ่งจะได้ทาสหายากมา ไม่ว่าอย่างไรก็อยากให้ท่านได้เห็น ท่านโซมะ”
กล่าวดังนั้น เขาก็เดินจากคฤหาสน์ไปยังสวนโดยไม่รอคำตอบ ฝั่งโซวมะที่ไม่อยากจะทำให้โกรคาคอสไม่พอใจพาเชมุลตามไปอย่างละล้าละลัง
“ที่นี่ขอรับ โปรดดูสิ่งนี้ให้ดี มันคือทาสที่ข้าได้รับมาจากนายหน้าค้าทาสหลวงเป็นพิเศษ”
โกรคาคอสเอ่ยด้วยท่าทีราวกับนักแสดงเบื้องหน้ากรงขนาดใหญ่ใบหนึ่งที่วางอยู่ในสวน
ราวกับตอบสนองต่อเสียงเขาา เงาใหญ่ยักษ์ในกรงขยับไหว
เพียงเท่านั้นเอง เสียงโซ่นับไม่ถ้วนเคร้งคร้างทั่วร่างทาสก็ดังลั่น
“...! นะ-นี่คือ!? ”
ไม่เพียงโซวมะ กระทั่งเชมุลก็เบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้เห็นเป็นครั้งแรก
“คาดว่ากระทั่งท่านโซมะก็คงได้เห็นสิ่งนี้เป็นครั้งแรกกระมัง? แหมๆ อย่างไรก็ไม่แปลกขอรับ อย่างไรสถานที่ที่พวกมันอาศัยอยู่โดยมากแล้วคือทะเลทรายทางใต้และเกาะแห่งเพลิง”
โกรคาคอสเห็นท่าทีของโซวมะและเชมุลแล้วก็ปลาบปลื้ม อธิบายด้วยท่าทีของผู้เหนือกว่า
“โปรดดูมันเถิด! ร่างกายใหญ่โตดังภูเขา แน่นอนมิใช่มีไว้เพื่อแสดง เบื้องหน้าความแข็งแกร่งของมัน แม้แต่คนแคระก็ยังต้องหลบ! มันไม่เพียงจะมีพละกำลังเท่านั้น ผิวหนังหนานี้แม้ถูกมีดทั่วไปก็ยังไม่มีแม้แต่รอยเดียว! กรงเล็บที่ตวัดเนื้อหนัง! เขี้ยวแหลมที่กัดกระชากร่างกาย! และที่น่ากลัวเหนืออื่นใดคืออารมณ์อันรุนแรง! กล่าวว่าพวกมันเกิดมาเพื่อต่อสู้ย่อมมิใช่เรื่องเกินเลย”
เขาหยุดปาฏกถาลง โกรคาคอสสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนประกาศนามเผ่าพันธุ์
“นี่คือไดโนซอเรี่ยน! ”
◆◇◆◇◆
โกรคาคอสมองส่งโซวมะด้วยรอยยิ้มสบายใจ
วันนี้เขาไม่อาจบังคับขาย ทว่าปฏิกิริยาของโซวมะยามได้เห็นทาสไดโนซอเรี่ยนเพื่อการแข่งขันต่อสู้นั้นเหนือยิ่งกว่าความคาดหวังของโกรคาคอสเสียอีก หากเป็นเช่นนี้ เขาย่อมยังคงได้กำไรแล้ว หลังจากที่ถูกตัวแทนพ่อค้าทาสของราชวงศ์ที่รู้จักกันขูดรีดราคาต้นทุนที่แพงจนไม่สมเหตุสมผลมา
เมื่อโซวมะมารับทาสและสินค้าที่ฝากไว้ในวันพรุ่งนี้ เขาย่อมหาทางขายเจ้าสิ่งนั้นให้อีกฝ่ายได้ด้วยราคาสูงทีเดียว
ฝันถึงถุงเงินตุงๆ ที่จะได้จากโซวมะแล้ว โกรคาคอสก็หัวเราะอย่างอดไม่ไหวด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “อุหุหุ”
ยามนั้นเอง ร่างของดวาลินและทาสคนแคระที่เหลือที่ถูกยัดเข้ากรงโดยผู้คุมทาสก็ดึงความสนใจจากเขาขึ้นมา
“เจ้าย่อมคิดถึงสิ่งนี้เป็นอย่างยิ่งแล้วดวาลิน ยินดีที่ได้พบข้าหรือไม่เล่า? ”
โกรคาคอสที่อารมณ์ดีเต็มขั้นร้องถามดวาลินเพื่อความบันเทิง
โกรคาคอสทนกับสายตาต่อต้านของเจ้าคนแคระนี่มิได้ แม้อีกฝ่ายจะมิได้มีทีท่าจะทำอะไร เขาเคยถ่มถุยดูถูก เคยเฆี่ยนมัน แม้มิอาจทำให้อีกฝ่ายลดคุณค่าตนเองลง อย่างไรดวาลินก็ไม่ยินดีที่ได้พบกับเขาอีกครั้งเป็นแน่ โกรคาคอสร้องเรียกอีกฝ่าย เผยนิสัยอีกด้านออกมา
ทว่าคำตอบของดวาลินกลับมิได้เป็นดังคาด
“จริงแท้ ข้าก็ยินดีนัก”
ได้รับคำตอบที่คาดไม่ถึง โกรคาคอสไม่อาจโต้ตอบได้ เขากระแอมอย่างไม่เป็นธรรมชาติ กระตุ้นตัวเอง กล่าว
“หากมิใช่เจ้าเป็นทาสของผู้อื่น ปากไร้หูรูดของเจ้าย่อมต้องได้รับแส้เฆี่ยน จงขอบคุณนายของเจ้าเสียเถิด”
เห็นท่าทีไม่คาดคิดของดวาลินที่มักจะตัวสั่นอย่างเกรี้ยวโกรธทุกคราวที่ถูกเย้ยหยัน โกรคาคอสจึงชะงักไป แม้จะไม่พอใจ เขาก็มิอาจกระทำรุนแรงเนื่องด้วยอีกฝ่ายเป็นทรัพย์สินของโซวมะที่เขาอยากจะผูกสัมพันธ์เอาไว้
โกรคาคอสหมุนตัวตั้งใจจะกลับเข้าไปในคฤหาสน์ของตน ทว่ากลับมีเสียงจากด้านหลังตามมา
“อืม ข้ารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง”
ความรู้สึกไม่สบายใจก่อตัวจากน้ำเสียงนั้น โกรคาคอสหันไปจ้องตาดวาลินที่ยามนี้ถอยกายเข้าสู่ส่วนลึกของกรงอับแสง
เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว ดวาลินเผยรอยยิ้มเสียดสีบนใบหน้าที่รกครึ้มด้วยหนวดเครา
“...อะ-!? ”
รอยยิ้มนั้นทำให้เขาหวนคิดถึงสุนัขเฝ้ายามดุร้ายที่ได้รับป้อนเนื้อสด โกรคาคอสพูดไม่ออก
ทว่าดวาลินที่ถอยเข้าไปในส่วนลึกของกรงพลันหันหลังให้แก่โกรคาคอส นั่งลงกับคนแคระคนอื่นๆ ภายในกรง
“จ-เจ้าหนอนสวะ…! ”
โกรคาคอสก่นด่าสาปแช่งดวาลินเพื่อปิดบังความไม่สงบในจิตใจ ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับสั่นสะท้านด้วยความกังวลที่ไม่อาจอธิบายได้
◆◇◆◇◆
เช้าวันต่อมา โซวมะและเชมุลมาถึงบริเวณที่รกร้างที่โซวมะเคยมาอ้วกเพราะความเมาในคราวก่อน
การบอกโกรคาคอสว่าทั้งสองพักที่โรงแรมนั้นเป็นการโกหก ที่นั่นมีแค่ฮอปกินส์เข้าพักเพียงลำพัง ทั้งสองใช้เวลาอยู่ที่ที่ดินรกร้างนี้จนถึงเช้าโดยไม่ได้นอนเพื่อเลี่ยงการติดต่อกับคนอื่นโดยไม่จำเป็น
เมื่อคืนโซวมะนอนไม่หลับเพราะความกังวล เขาจึงตื่นจนกระทั่งอาทิตย์ขึ้น จ้องมองกลุ่มควันที่ถูกปล่อยขึ้นสู่ฟ้าในยามที่ชาวเมืองเริ่มเตรียมอาหารเช้า
เป็นภาพที่สงบสุขเหลือเกิน
โลกนี้จะยังมีภาพแสนสงบสุขอยู่ไหมหากเขาเข้าไปรบกวนมัน ภาพของมารดาที่เตรียมการเพื่อเริ่มต้นเช้าวันใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำอาหารเช้าให้สามีและลูกๆ ปรากฏขึ้นในใจ
เมื่อเขาหลับตาลงอย่างเงียบงัน ภาพอาหารเช้าของครอบครัวในตอนที่เขายังคงอยู่ญี่ปุ่นก็ปรากฏขึ้นในใจ
สิ่งที่เรียงอยู่บนโต๊ะอาหารคืออาหารเช้าแบบญี่ปุ่น ประกอบไปด้วยข้าว ซุปมิโซะ และปลาย่าง
เสียงดุด่าของคุณแม่ที่เขาเคยคิดว่าขี้บ่นเหลือเกิน ยามนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่แสนสำคัญ
พ่อของเขาเป็นคนที่ทานอาหารเสร็จก่อนใครในเวลาไม่นาน จะดื่มกาแฟพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย
เขาเคยได้ยินจากที่ไหนกันนะ ที่บอกว่าการดื่มกาแฟร้อนๆ จะช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัวก่อนไปทำงาน ถึงจะทานกับอาหารญี่ปุ่นก็เถอะ?
ถึงเขาจะหล่นมาที่โลกนี้แค่ไม่กี่เดือน แต่ภาพเหล่านั้นก็ราวกับมาจากอดีตแสนห่างไกล
เขากำลังพยายามจะทำลายภาพอันแสนอบอุ่นอ่อนโยนเหล่านี้อยู่
โซวมะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในอก
“เหตุใดจึงทำท่าราวกับคนดีในยามนี้เสียเล่า โซวมะผู้โหดร้ายของข้า? ”
เสียงของเด็กหญิงคล้ายกระซิบพร่ำคำรักหวานหูปรากฏขึ้นจากเบื้องหลัง
ความร้อนของไฟที่เผาผลาญ กลิ่นของผู้คนที่ถูกไฟคลอก และภาพร่างเงาคนตายนับไม่ถ้วน
ราวกับกบที่ถูกงูต้อง ร่างของโซวมะไม่อาจขยับ ราวกับถูกผูกมัดไว้ด้วยความน่าสะพรึง
รูขุมขนทั่วร่างเปิดออก เหงื่อกาฬเย็นเฉียบไหลทะลัก
“โอ โซวมะผู้อ่อนโยนของข้า ใครกันเป็นผู้กระทำเช่นนั้นต่อเด็กเหล่านี้เล่า ข้าสงสัยเหลือเกิน? ”
ความเย็นเฉียบไต่ไปตามกระดูกสันหลังด้วยเสียงหัวเราะของเด็กหญิง นางหัวเราะคิกคักยินดี
“โอ โซวมะผู้ขี้ขลาดของข้า เจ้าตัดสินใจจะมุ่งหน้าไป เช่นนั้นย่อมไม่อาจหยุดลงใช่หรือไม่?
เด็กๆ เหล่านี้จะคอยตามหลังเจ้าเสมอ เด็กๆ เหล่านี้ช่างเปลี่ยวเหงายิ่ง พวกเขาล้วนแต่ต้องการเป็นสหายเจ้า”
โซวมะสัมผัสได้ถึงมือไม้นับไม่ถ้วนที่ยามนี้พยายามยื่นเหยียดมาสัมผัสหลังคอและแผ่นหลังของเขา
“ดูเถิด หากเจ้าหยุด เด็กเหล่านี้จะจับตัวเจ้าเอาไว้ได้ โซวมะผู้โชคร้ายของข้า”
ลมหายใจของโซวมะเริ่มติดขัด
หัวใจเขาเต้นรุนแรงจนคล้ายจะฉีกขาด
ความเจ็บปวดเย็นเยียบคล้ายกับถูกทิ่มแทงด้วยเข็มน้ำแข็งนับไม่ถ้วนไหลพล่านไปทั่วกาย
เสียงกรีดร้องแทบจะหลุดรอดจากลำคอของโซวมะ
“เป็นอะไรไป โซมะ? ”
โซวมะพลันรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงเชมุลร้องเรียก
เขาหันหลังกลับไปมองอย่างแตกตื่น ทว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ตรงนั้น
“...คิดไปเองเหรอ? ”
เขาคงฝันกลางวันเพราะความกังวลผสมกับนอนไม่พอรึเปล่านะ?
โซวมะกระตุ้นตัวเองด้วยการส่ายหน้า
“นี่! โซมะเป็นอะไรไป? ”
“หืม? อ่า ไม่มีอะไรหรอก”
เชมุลย่นจมูกอย่างกังวลเมื่อเห็นท่าทีผิดปกติของโซวมะ เธอจ้องหน้าเขา โซวมะจึงพยายามยิ้มเต็มที่
“ผมอาจจะกังวลนิดหน่อยน่ะ”
“จริงหรือ? ทว่าอย่าได้ไร้เหตุผลเกินไปนัก หากเจ้าเจ็บปวดแล้วจงอย่าได้ลังเลที่จะบอกข้าเล่า”
เชมุลรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับนิสัยของโซวมะอยู่บ้าน
แม้อีกฝ่ายจะเปิดใจให้นางแล้ว ทว่าเขาก็ยังมีบางส่วนที่ยังคงรั้งเอาไว้
เชมุลพอจะรู้สึกได้ว่าสิ่งนั้นคล้ายเป็นเรื่องที่ฝังอยู่ในบุคลิกของโซวมะ ทว่าในสายตาของเชมุล นางเข้าใจว่าเขายังคงสงวนท่าทีเอาไว้
เชมุลพยายามจะกล่าวอะไรมากกว่านี้ ทว่าเสียงเป่าแตรเขาสัตว์กลับดังก้องสะท้อนไปทั่วเมืองพลันดังขึ้นขัดจังหวะ นางเงยหน้าขึ้นมองฟ้าจนหูพับลง
“ข้าว่า มันคงเริ่มแล้วกระมัง…”
โซวมะที่เงยหน้าขึ้นมองฟ้าพยักหน้ารับคำของเชมุล
“อืม มันเริ่มขึ้นแล้ว…”
ยามที่แสงอาทิตย์เริ่มฉายแสงที่เมืองแห่งบอลนิส วันแห่งความยุ่งเหยิงก็ได้เปิดม่านขึ้นแล้ว
0 ความคิดเห็น