ดวาลินนั่งอยู่ในบริเวณขนสินค้าของเกวียน ครุ่นคิดกับตนเอง
อาณาจักรออบซิเดียนที่เขาเกิดและเติบโตล้วนแต่สิ้นสลายพ่ายแพ้ให้แก่อาณาจักรมนุษย์แล้ว ญาติมิตรที่รอดชีวิตล้วนแต่ถูกจับบังคับเป็นทาส หลายคนย่อมอาจถูกขายไปแล้วเช่นเดียวกับเขา อาจถูกบังคับให้ขุดหลุมในเหมืองกระทั่งตายไป
ต่อให้อยากไปช่วยเพียงใด เขาก็ไม่ทราบว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น เขายังไม่ทราบว่าจะได้เห็นวันพรุ่งนี้หรือไม่
ดวาลินก้มหน้ามองเท้าตน
ตุ้มถ่วงที่ติดข้อเท้าเขามาหลายเดือนถูกถอดออกแล้ว นี่ย่อมเป็นโอกาสหลบหนี
ทว่าต่อให้หนีเขาก็ไม่มีที่ไป อาจตายเช่นสุนัขจรจัด หากลอบปล้นขโมยอาหาร อย่างไรมนุษย์ก็ต้องสังเกต ไม่ช้าเร็วย่อมถูกไล่ล่าเช่นเดรัจฉาน
เมื่อถูกจับได้ ย่อมกลายเป็นดังเช่นตัวอย่างทาสที่ถูกกระทำเลวร้าย ร่างกายกลายเป็นของเล่นสยองขึ้นกับระยะเวลาที่เขาออกปล้นขโมย
ย่อมเป็นความตายอันไร้เกียรติโดยสิ้นเชิงแล้ว
ดวาลินเป็นนักรบ
เขาไม่กลัวตายในสนามรบ ทว่ากลัวความตายอันน่าสมเพช
ไม่ทราบเป็นโชคดีหรือไม่ ทว่าอย่างน้อยมนุษย์ที่ซื้อเขามากลับปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดียิ่ง
เทียบกับที่มนุษย์อื่นปฏิบัติต่อทาสแล้ว ความแตกต่างราวกับสวรรค์และนรกทีเดียว
อย่างน้อยก็ดูไม่เหมือนจะทำอะไรเลวร้ายต่อพวกเขา เช่นนั้นในยามนี้เขาจึงจะยอมอ่อนน้อมไปก่อน ย่อมเป็นโอกาสดีที่จะวางแผนหลบหนีในระหว่างนั้น
ดวาลินแสร้งทำเป็นคุยกับตนเองขณะทอดสายตามองผืนดินกว้างใหญ่ที่ปรากฏจากหน้าต่างเกวียน
‘ใครทราบบ้างว่ายามนี้เราอยู่ที่ใด? ’
ไม่มีคำตอบจากคนแคระคนอื่น ดูเหมือนจะไม่มีใครทราบ
เพราะคำกล่าวของดวาลินเอ่ยในภาษาคนแคระ โซออนหญิงจึงไม่เข้าใจว่าเขาเพียงพูดกับตนเองหรือคุยกับสหาย ทว่านางแสดงให้เห็นท่าทีไม่ไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง โซออนหญิงจับจ้องดวาลินทั้งยังแยกเขี้ยวข่มขู่
ทว่า คำตอบอันไม่คาดคิดกลับดังขึ้นตอบเขา
“ที่นี่คือทางใต้ของที่ราบซลเบียงต์ครับ”
ดวาลินตกตะลึงกับคำพูดของโซวมะ
เขาไม่เคยคิดฝันว่าจะมีเด็กมนุษย์ที่มักดูถูกคนแคระสามารถเข้าใจภาษาคนแคระได้
“โซมะ เจ้าได้ยินที่เขาเอ่ยด้วยหรือ? ”
“เอ๋? อื้ม เขาถามว่า ‘ใครทราบบ้างว่ายามนี้เราอยู่ที่ใด? ’ น่ะ”
โซวมะตอบด้วยสีหน้าสงสัย เพราะเชมุลควรจะหูดีกว่าเขามากกลับเป็นฝ่ายไม่ได้ยินคำของดวาลิน
เชมุลครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ถึงทุกความเป็นไปได้ด้วยสีหน้าจริงจัง
ทันใดนั้น นางจึงเกิดความคิดขึ้น หันไปเผชิญหน้าพวกคนแคระ แล้วเอ่ยเสียดสี
“ได้ยินว่าคนแคระล้วนแต่เป็นนักรบใจกว้างผู้องอาจ ดูท่าจะเป็นคำโกหกกระมัง ลอบสนทนาในหมู่ตนเองเช่นนี้ล้วนแต่เป็นการกระทำของสตรีตาขาว โซมะ ดูท่าเราคงทำพลาดซื้อเอาเอลฟ์อ้วนมาหลายตนแทนเสียแล้ว”
กระทั่งในโลกนี้ เอลฟ์และคนแคระก็ยังนับว่าไม่ถูกกัน
ดังนั้น เมื่อคนแคระถูกเรียกเป็นฝูงเอลฟ์จึงนับเป็นการดูถูกอันร้ายแรงที่สุด แม้ตกเป็นทาสแล้วก็ยังไม่มีคนแคระใดที่ไม่โมโหเมื่อถูกเรียกเป็นเอลฟ์
แม้พวกเขาจะมิได้กระทำสิ่งโง่งมเช่นออกอาการอาละวาดใช้กำลัง ทว่าคนแคระแต่ละคนล้วนแสดงท่าทีข่มความโมโห
เห็นเช่นนั้น เชมุลจึงยิ้มเย้ย
“เยี่ยม! ดูท่าทุกคนในที่นี้จะเข้าใจภาษากลางของทวีปแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้น ดวาลินเดาะลิ้นอย่างไม่ตั้งใจ
เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าโซออนหญิงผู้นี้ก็ยังตรวจสอบปฏิกิริยาด้วยการหยามหมิ่นพวกเขาด้วยภาษากลาง
ดวาลินและคนแคระคนอื่นล้วนแต่รู้สึกหงุดหงิดเมื่อถูกหลอกลวงเช่นนั้น ทว่าพวกเขาต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นเชมุลก้มศีรษะให้พวกตนทันทีหลังจัดท่าทางแล้ว
“ต้องขออภัยต่อคำสบประมาทอันไร้ราคาของข้าด้วย สหายร่วมโลก”
เหล่าคนแคระต่างมองหน้ากันกับคำขอโทษกะทันหันนั้น
“ข้าทราบดีว่าเป็นการไม่สุภาพ ทว่าแม้เช่นนั้นข้าเองยังต้องการทราบว่าพวกท่านสามารถเข้าใจคำพูดเราได้ เพื่อรับประกันความปลอดภัยของนายเหนือข้า”
ดวาลินประทับใจกับการกระทำดังนักรบของเชมุล
เขาคิดว่าหากเอ่ยสิ่งไม่เหมาะสมไปย่อมทำให้จุดยืนตนย่ำแย่ยิ่งขึ้น ทว่าความกังวลนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว เกียรตินักรบไม่ปล่อยให้เขานิ่งเงียบเมื่อได้ชมกิริยาเช่นนั้นจากอีกฝ่าย
“เงยหน้าเถิดสหายอสูร ข้าย่อมไม่อาจประณามการอุทิศตนยินยอมลบแสงแปดเปื้อนเพื่อนายเหนือผู้ซึ่งเจ้าสมควรปกป้องได้ และการกระทำนั้นย่อมควรค่าแก่การถูกยกย่อง”
ทว่าเรื่องนั้นก็แล้วไปเถิด ยังมีอีกสิ่งที่กวนใจเขานัก
“นายเหนือที่เจ้าสาบานรับใช้เป็นเช่นไรกัน? ”
ทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น ทั่วร่างของเชมุลก็ท่วมท้นด้วยความปีติยินดี
ราวกับนางไม่อาจอดทนรั้งรอที่จะบอกเขาได้ ดวาลินจึงความสนใจยิ่งว่าคนผู้นั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่เพียงใด
“คิซากิ โซมะทางนี้ย่อมเป็นนายแห่งนาภีของข้า”
โซวมะที่มองการแลกเปลี่ยนบทสนทนาของเชมุลและพวกคนแคระมาจนถึงตอนนี้ดูเหมือนจะเขินขึ้นมาเพราะเชมุลมองเขาด้วยสายตาเคารพรักใคร่ เขารีบหันหน้าซ่อนความเขินอายอย่างตกใจเหมือนถูกจับได้
“เชมุล ดูเหมือนจะเป็นป่าทางนั้นนะ? ”
“อืม? ถูกต้องแล้ว ไม่ผิดพลาดเป็นแน่”
ถูกโซวมะเอ่ยถาม เชมุลเอนกายไปยังม้านั่งคนขับเพื่อมองป่าด้านหน้าเส้นทางเดินเกวียนแล้วจึงตอบออกมา
เหล่าคนแคระต่างรู้สึกแปลกใจขณะมองแผ่นหลังของเชมุลโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว หลังจากนั้นนางจึงนั่งลง หันหน้ามองไปยังด้านหน้าเกวียนราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เช่นนั้นเอง เหล่าคนแคระจึงส่งเสียงครางออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
การเผยแผ่นหลังที่ไร้การป้องกันให้พวกตนแสดงถึงความจริงใจของเชมุล ดวาลินและคนอื่นล้วนแต่ทราบดี
สถานะของพวกเขาคือทาสที่โซวมะจ่ายเงินซื้อมา เชมุลผู้ที่ได้รับการไว้วางใจจากโซวมะนั้นย่อมคล้ายคลึงกับหัวหน้าทาสที่คอยดูแลทาสคนอื่นๆ กล่าวได้ว่าตัวนางเองย่อมเป็นทาสเช่นกัน เป็นเรื่องมิคาดที่โซออนหญิงนางหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าทาสอันเป็นเป้าหมายเกลียดชังกลับมีทีท่าดังนักรบเช่นนี้
ด้วยเหตุนี้ พวกคนแคระจึงสับสนว่าพวกตนควรจะเกลียดชังนางในฐานะหัวหน้าทาส หรือเคารพนางในฐานะนักรบกันแน่ พวกเขาล้วนรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่อาจตัดสินใจได้
ดวาลินเริ่มรู้สึกว่าตนโง่งมนักที่ยอมอ่อนน้อมเช่นนั้น เขานั่งลงขัดสมาธิ กอดอก ยืดอกขึ้น คนแคระคนอื่นทำตามเขาเช่นเดียวกัน
เชมุลหันกลับไปมอง เห็นเช่นนั้นก็ไม่รู้สึกแปลกที่พวกคนแคระจะทำตัวปั้นปึ่งวางท่าประท้วงแม้แต่น้อย เชมุลเพียงหัวเราะอย่างมีความสุข หันไปมองด้านหน้าอีกครั้ง
แม้จะคาดไว้แล้ว ทว่ากิริยาดังนักรบของนางช่างน่าหงุดหงิดนัก ดวาลินอดมิได้ให้สับสน
การกระทำนี้ชัดเจนแล้วว่าเด็กมนุษย์ที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับคือนายเหนือที่นางต้องการปกป้องจนถึงขั้นที่แม้แต่นักรบหญิงผู้หนึ่งยอมเอ่ยวาจาเสียดสีผู้อื่น
ดวาลินเข้าใจได้ด้วยการมองเพียงแวบเดียว ว่าโซวมะผู้นั้นมิได้มีกำลังกายดังนักสู้แม้แต่น้อย
เพียงมองครั้งเดียว เห็นความสนใจต่อสิ่งรอบข้าง และวิธีการขยับร่างกาย ก็ชัดเจนว่าเขามิได้เป็นผู้ฝึกฝนการใช้อาวุธเช่นหอกหรือดาบ แม้จะเป็นเรื่องปกติ แต่เขากลับไม่สัมผัสถึงสิ่งที่คล้ายนักรบจากโซวมะแม้แต่น้อย ทว่าเขายังอดสงสัยมิได้ว่าเหตุใดเชมุลจึงภักดีต่อโซวมะเพียงนั้น ถึงขั้นที่เรียกว่าเคารพรัก
ขณะที่ดวาลินขบคิดเรื่องเหล่านั้น เกวียนก็วิ่งถึงป่าที่พวกเขามุ่งหน้าตรงมา ยามเดินทางออกจากเมืองก็ผ่านยามเที่ยงไปแล้ว ในเวลานี้ดวงอาทิตย์ลดลงสู่ตะวันตก กฎเหล็กของนักเดินทางคือต้องจัดค่ายให้เสร็จสิ้นก่อนตะวันพลบ
ดวาลินจับจ้องผืนป่าโดยไม่ทราบเหตุผล ขณะคิดว่าพวกตนคงตั้งค่ายที่นี่ เขาก็สัมผัสถึงตัวตนที่ซ่อนอยู่ในป่า
“กลับไป! ที่นั่นอาจมีโจรซ่อนอยู่! ”
ยังไม่สิ้นคำดวาลิน ร่างหลายร่างก็กระโดดออกมาจากป่าแห่งนั้น
“โซออนรึ!? ”
กลุ่มผู้เร่งออกมาจากป่าเข้าล้อมเกวียนล้วนเป็นนักรบโซออนที่แข็งแรงกำยำ
ที่เตะตาดวาลินที่สุดในบรรดาพวกเขา คือโซออนขนแดง และโซออนขนดำที่มีรอยดาบพาดอยู่บนใบหน้า ดูท่าจะเป็นผู้นำของโซออนเหล่านี้แน่แล้ว
ไม่เพียงร่างกาย ทว่าเพียงเห็นวิธีการระมัดระวังรอบข้างและการเคลื่อนไหวร่างกาย ก็ทราบได้ว่าพวกนี้ล้วนแต่เป็นนักรบชั้นหนึ่ง
แม้แต่ดวาลินที่ทระนงตนเป็นนักรบชั้นหนึ่งเช่นกันก็ยังไม่อาจหาญพอจะคิดว่าตนสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ทั้งสองได้โดยมือเปล่า
“เจ้าหนู ส่งอาวุธมาให้ข้า! ข้ายังไม่อยากตาย! ”
เกรงว่าโซออนพวกนี้คงเข้าโจมตีเกวียนที่เดินทางเพียงลำพังเพื่อให้จ่ายค่าผ่านทาง
หากมนุษย์ถูกฉีกเป็นชิ้นได้ย่อมน่ายินดี ทว่าไม่อาจรับประกันได้ว่าพวกเขาจะถูกมองข้ามเพราะเป็นคนแคระ
โซวมะที่นั่งอยู่บนม้านั่งคนขับยกมือข้างหนึ่งขึ้นห้ามดวาลินที่มีทีท่าคล้ายอยู่หรือตายขึ้นกับการนี้
“ขอบคุณที่รอนะครับทั้งสองคน”
ดวาลินอึ้งงันไป สับสนว่าโซวมะเอ่ยอะไร
โซออนขนดำมองดวาลินยาวนาน การัมส่ายหน้าเล็กน้อยคล้ายจะเอ่ยว่าไม่เป็นไร แล้วกล่าว
“สำคัญที่สุดคือพวกเจ้ายังคงปลอดภัยดี โซมะและเขี้ยวสูงศักดิ์ เมืองเป็นอย่างไรบ้างเล่า? ”
“คุณการัม พวกเราพาแขกที่ไม่คาดฝันมาด้วยนะครับ แต่แน่นอนว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีทีเดียว”
เพราะคำเหล่านี้ การัมและเซอร์กูจึงมองข้ามหัวโซวมะเข้าไปในเกวียน
“โอ! คนแคระรึ หายากโดยแท้! ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้พบหนึ่งในพวกเขาย่อมเป็นตอนที่ข้าให้พวกเขาตีมีดดาบให้ข้า”
“เห แถวนี้ก็มีคนแคระด้วยเหรอครับ? ”
โซวมะสงสัยเพราะคำพูดของเซอร์กู
“ถามเช่นนี้ดียิ่งนักท่านโซวมะ ดูตัวข้าเถิด! เห็นไหมเล่าว่าร่างกายข้าใหญ่โตเปี่ยมพละกำลัง มีดดาบธรรมดาย่อมไม่อาจทำให้ข้าพึงพอใจ ข้าจึงได้มุ่งหน้าไปหาเหล่าคนแคระที่อาศัยทางภูเขาฝั่งตะวันออกของทุ่งหญ้าเพื่อหามีดดาบของตัวข้าเอง ยามนั้นข้ายังเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งอายุได้สิบสองขวบปี เพื่อจ่ายค่ามีดดาบ ข้ายังต้องรวบรวมหนังสัตว์เป็นจำนวนมาก ข้าจึงได้…”
“เลิกโอ้อวดเถอะกรงเล็บวิปลาส”
เซอร์กูที่กำลังจะรำลึกถึงตำนานดั่งวีรบุรุษของตนถูกเชมุลตัดบทฉับอย่างไร้เมตตา
“โซมะ ในอดีตพวกเราล้วนแลกเปลี่ยนกับคนแคระที่อาศัยอยู่ทางหุบเขาฝั่งตะวันออก กล่าวได้ว่ามีดดาบของผองข้านั้นดั่งอัญมณีที่สรรค์สร้างโดยคนแคระ พวกเรานักรบหากไม่พึงใจในมีดดาบที่ได้รับสืบทอดจากบรรพบุรุษจะเดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้น ใช้หนังสัตว์กองสูงเท่าภูเขาเป็นค่าแลกเปลี่ยน ทว่าทุกวันนี้ดูเหมือนพวกเขาจะหายไปจากที่แห่งนั้นด้วยข้อพิพาทกับมนุษย์เสียแล้ว”
ตรงข้ามกับโซวมะที่พยักหน้าหงึกหงักว่า “เข้าใจแล้ว” เซอร์กูผู้ถูกขัดจังหวะการบอกเล่าตำนานวีรบุรุษย่นจมูกคล้ายขุ่นเคือง
เห็นการแลกเปลี่ยนบทสนทนาระหว่างโซวมะและโซออน ดวาลินและคนแคระที่เหลือได้แต่จ้องมองด้วยสีหน้าโง่งม
“เขี้ยวสูงศักดิ์ กรงเล็บวิปลาส พวกเจ้าทำอะไรกัน เรายังคงมีแขกรอคอยอยู่ในเกวียนมิใช่หรือ? ”
การัมตำหนิทั้งสองพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนหันไปทุบอกตนเองเบาๆ ให้แก่คนแคระที่ยังคงสับสนแล้วกล่าว
“โปรดสงบใจเถิดสหายร่วมโลก หากพวกเจ้าได้รับเชิญจากโซมะ พวกเราย่อมปฏิบัติต่อเจ้าดั่งแขกคนสำคัญ”
◆◇◆◇◆
พวกเขานั่งล้อมรอบกองไฟที่แดงที่ลุกโชน โซวมะอธิบายแผนที่คิดให้แก่นักรบหลักของโซออนอย่างการัมและเซอร์กู รวมไปถึงพวกคนแคระที่นั่งอยู่รอบกายดวาลิน
“จริงแท้ หากเป็นไปโดยไม่ติดขัด ข้าคาดว่าย่อมสามารถยึดเมืองนั้นได้โดยสูญเสียน้อยที่สุดแล้ว”
แรกสุดคือการัมที่นั่งกอดอกเอ่ยปากยอมรับแผนการของโซวมะ เซอร์กูพิจารณาว่าแผนการดังกล่าวน่าสนใจ ทว่าขณะเดียวกันก็ยังชี้ปัญหาออกมา
“ข้าคิดว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจทีเดียว ทว่าเจ้าจะทำอย่างไรกับอาวุธเล่า? ต่อให้เราได้จำนวนคนได้มากกว่าอีกฝ่าย ก็ยังไม่อาจสู้ได้โดยมือเปล่า”
“คุณน่าจะยึดอาวุธจากพวกทหารเอาไว้ตอนเราเข้าควบคุมป้อมปราการนี่ครับ เราจะเอาตรงนั้นนั่นแหละมาใช้”
สิ่งที่เซอร์กูถามอยู่ในการคาดการณ์ โซวมะจึงตอบได้โดยไม่ลังเล
“เข้าใจล่ะ ข้าจะส่งคนไปติดต่อบานูก้าที่รั้งอยู่ป้อมปราการให้นำอาวุธมาโดยไว"
การัมเรียกผู้ที่ได้ชื่อว่าฝีเท้าไวที่สุดในเผ่าที่อยู่ใกล้ๆ เข้ามา แล้วสั่งการให้นำสารไปส่งป้อมปราการ
“เช่นนี้ ปัญหาที่เหลือก็คือ…”
สิ้นคำของการัม ทุกสายตาจึงหันมองพวกคนแคระที่นั่งล้อมดวาลิน
เห็นดังนั้น แม้แต่ดวาลินที่ฟังการสนทนานั้นด้วยท่าทีราวกับเป็นเรื่องของผู้อื่นจึงเงยหน้าขึ้นมาด้วยสายตาสนใจ เขาเองก็ไม่อาจทำเมินเช่นกัน ทว่าสุดท้ายยังคงหันหน้าไปทางอื่น แค่นเสียง
“พวกเจ้าช่างประหลาดแท้ พวกเราเป็นทาสที่เจ้าเด็กมนุษย์นี่ซื้อมา เขาเพียงสั่งเราก็พอมิใช่หรือ? ”
เซอร์กูกลับทนท่าทีเช่นนี้ของดวาลินไม่ได้ เขาตั้งท่าจะลุกขึ้น ทว่าโซวมะกลับยกมือห้ามก่อนแล้วกล่าวกับดวาลินชัดเจน
“ที่เราต้องการไม่ใช่ทาส แต่เป็นคนที่จะให้ความร่วมมือกับเราด้วยความประสงค์ของตัวเองครับ”
“ถามความประสงค์จากทาสหรือ? อย่าให้ข้าหัวเราะดีกว่า หากข้ากล่าวว่าข้าปฏิเสธ เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไรเล่า? ”
บรรยากาศอันตรายพลุ่งพล่านรอบเหล่าโซออนด้วยท่าทีและคำพูดของดวาลิน ทว่าเขากลับไม่มีทีท่าจะสนใจ ดวาลินกลับจ้องมองโซวมะเพื่อท้าทาย
เช่นนั้นเอง โซวมะจึงเกาแก้มด้วยท่าทางลำบากใจ
“ผมไม่ทำอะไรหรอกครับ”
“ไม่ทำงั้นรึ? ”
“ในเมื่อคุณได้ยินแผนของเราแล้ว ผมคงต้องกักตัวคุณเอาไว้จนกว่าจะจบเรื่อง จากนั้นก็จะปล่อยคุณไปครับ เพราะงั้นก็แล้วแต่คุณเลยครับ”
“เจ้าว่า เจ้าจะปลดปล่อยทาสที่ซื้อมาด้วยเงินมากมายน่ะหรือ? ”
การปลดปล่อยทาสที่ซื้อมาด้วยเงินถึงแปดร้อยเหรียญเงินโดยไร้เงื่อนไขเป็นสิ่งที่ดวาลินไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ครับ ถึงยังไงผมก็เชื่อว่าการทำให้ผู้คนเป็นทาสคือเรื่องไม่ถูกต้อง”
ไม่เพียงดวาลิน พวกคนแคระล้วนแต่ประหลาดใจ
เพราะนั่นคือวิธีการคิดที่ผิดแปลกไปจากโลกนี้
ในช่วงเวลานั้น ผู้แข็งแกร่งแย่งชิงทุกสิ่งจากผู้อ่อนแอหลังจบสงครามนับเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุกเผ่า
ความรู้สึกขัดแย้งต่อความเห็นของโซวมะปรากฏขึ้นในหัวดวาลิน ทว่าสิ่งเหล่านั้นกลับพังทลายด้วยถ้อยคำต่อมา
“ผู้คนที่ขโมยเอาเสรีภาพจากคนอื่น แล้วปฏิบัติต่ออีกฝ่ายราวกับขยะ คุณน่าจะได้เจอมากับตัวแล้วนี่ครับว่ามันอัปลักษณ์ขนาดไหน”
เป็นดังโซวมะกล่าว
สิ่งเดียวที่ดวาลินและคนแคระคนอื่นๆ เห็นหลังพ่ายแพ้ในสงคราม ล้วนแต่เป็นด้านที่น่ารังเกียจของมนุษย์
แม้แต่สุภาพสตรีผู้สูงส่ง หรือแม่ทัพผู้กล่าวว่ามารยาทดีเพียงใดล้วนไม่ใช่ข้อยกเว้น ริมฝีปากพวกเขาล้วนบิดเบี้ยวด้วยความขยะแขยงยามทอดมองดวาลินและทาสคนแคระคนอื่น ดวงตาล้วนเปี่ยมด้วยความรู้สึกอย่างผู้เหนือกว่า ปราศจากความเห็นใจต่อความทุกข์ทนของผู้อื่น มีเพียงภายนอกเท่านั้นที่ตกแต่งอย่างงดงาม ทว่าความเหม็นเน่าน่ารังเกียจนั้นกลับโดดเด่นเหลือเกิน
“ผมไม่อยากกลายเป็นคนที่ผมมองว่าอัปลักษณ์ เพราะฉะนั้นผมจึงปฏิเสธความเป็นทาสครับ”
ผู้คนเชื่อว่าเช่นนี้คือการคิดนอกรีต ทว่ากลับเป็นข้อโต้แย้งที่แสนเล็กน้อยทว่าสมเหตุสมผลยิ่ง
ในความเป็นจริง ใครก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าการให้เหตุผลของเขาเป็นไปไม่ได้
หากเป็นดวาลินคนก่อน เขาย่อมหัวเราะเยาะโซวมะที่ฝันเฟื่องอ่อนต่อโลกโดยไม่ดูความเป็นจริงเสียบ้าง ทว่าดวาลินยามนี้ที่ผ่านประสบการณ์กล้ำกลืนจากการถูกลดต่ำเป็นทาส ถ้อยคำของโซวมะนั้นกลับงดงามจนเกินไป เขาไม่อาจต้านทานให้คิดว่าล้วนเป็นสิ่งที่มิอาจทดแทนได้
“ให้ข้าได้ถามอีกประการ เจ้าหนู เหตุใดจึงเลือกข้า? ”
ในที่แห่งนั้นยังมีคนแคระคนอื่นอีกมากนัก ยังสามารถซื้อคนแคระได้อีกหลายชีวิตในราคาที่เหมาะสมแทนที่จะซื้อเขาเพียงผู้เดียว เช่นนั้นเหตุใดอีกฝ่ายจึงเลือกเขาเล่า? ดวาลินอยากทราบเหตุผลเหลือเกิน
“เพราะคุณกำมือขวาตอนที่พ่อค้าทาสใช้แส้ฟาดอกคุณน่ะครับ”
คำตอบของโซวมะนั้นอยู่นอกเหนือความคาดหมายของดวาลินโดยสิ้นเชิง
“หมายความว่าอย่างไรกัน? ”
โซวมะหยิบหินก้อนหนึ่งจากพื้นแล้วโยนส่งให้ดวาลิน เขาไม่เข้าใจความหมายอีกฝ่ายแม้แต่นิด ดวาลินรับหินไว้ด้วยมือขวา
เมื่อได้รับการยืนยันสิ่งที่สงสัยแล้ว โซวมะจึงยิ้มหวาน
“ตอนนั้นคุณกำหมัดด้วยมือข้างที่ถนัด คุณห้ามตัวเองไม่ให้พุ่งเข้าไปต่อยพ่อค้าทาสใช่ไหมล่ะครับ? ”
ดวาลินไม่ตอบอะไร มีเพียงแค่นหายใจทีหนึ่ง
นั่นเป็นเพราะสิ่งที่โซวมะกล่าวล้วนถูกต้อง
“ผมถูกสอนมาว่า ทาสคือคนที่ยอมแพ้ที่จะต่อสู้ คนที่พ่ายแพ้ให้กับความกลัวที่อยู่ในตัวเอง”
โซวมะหันมองเชมุลที่ยืนอยู่ข้างกาย
เชมุลทำเป็นไม่เห็นสายตาเขา ทว่าปลายหูของเธอกลับขยับกระดิกขึ้นๆ ลงๆ อย่างมีความสุข
โซวมะยิ้ม แล้วพูดต่อ
“แต่ว่าคุณยังเกือบจะสู้ คุณห้ามตัวเองไม่ใช่เพราะยอมแพ้ แต่เพราะตัดสินใจแล้วว่าควรอดทนจนกว่าจะถึงเวลาที่ควรสู้ ผมเชื่อแบบนั้นนะครับ ถ้าแบบนั้น คุณก็ไม่ใช่ทาส แต่เป็นนักรบ”
โซวมะมองตรงเข้าไปในดวงตาของดวาลิน
“นักรบดวาลิน ได้โปรดให้ผมยืมพลังของคุณด้วยครับ”
ทันทีที่ได้ยินคำเหล่านั้น บางสิ่งที่อุ่นร้อนก็ก่อตัวขึ้นในอกของดวาลิน
“นักรบรึ…? เป็นคำที่งดงามนัก”
ตั้งแต่พ่ายแพ้สงครามตกเป็นนักโทษ คำประเภทเดียวที่ถูกใช้เรียกดวาลิน คือคำเหยียดหยันดูถูก เช่นคำว่า “หนอน”
นอกจากการดูถูกเหล่านั้น เขายังถูกหยามเหยียดในหลายทาง ถูกเฆี่ยนตีด้วยแส้ และถูกถ่มน้ำลายใส่
“เหตุที่พวกเจ้ากลายเป็นทาสก็เพราะเจ้าแพ้ เหตุที่เจ้าแพ้ล้วนเป็นเพราะเจ้าอ่อนแอ หนอนอ่อนแอกว่ามนุษย์ พวกอ่อนแอไร้ค่า เจ้ามันไร้ค่า เจ้ามันเศษสวะ เศษสวะที่ต้องเลียพื้นจึงจะเหมาะสมกับหนอนสวะเช่นเจ้า อย่าได้ท้าทายอำนาจพวกข้าชาวมนุษย์ผู้สูงส่ง ข้าทนมองหน้าเจ้าไม่ได้ ข้าทนมองจมูกเจ้าไม่ได้ ข้าทนสิ่งใดของเจ้าไม่ได้แม้แต่น้อย เจ้าจะกบฏรึ ข้าจะเฆี่ยนเจ้า ดีใจหรือไม่เล่าที่ถูกเฆี่ยน? หากดีใจจงแสดงสีหน้าดีใจเสีย อะไรกัน เจ้าแมลงถือดีนี่”
ขั้นตอนเช่นนี้คือการปลุกปั้นหัวใจแห่งทาส กดย้ำให้ต่ำกว่า ปฏิเสธคุณค่าของผู้กลายเป็นทาส กดดันด้วยความรุนแรงกระทั่งจิตวิญญาณต่อต้านล้วนถูกทำลายสิ้น
ถ้อยคำรุนแรงเหล่านั้นของผู้คุมทาสสลักอยู่ในจิตใจของดวาลิน
เมื่อนัยน์ตาของดวาลินจะเริ่มร้อน เขาจึงปิดมันลง เงยหน้าคล้ายทอดมองผืนฟ้า
เวลาผ่านไปเชื่องช้ากระทั่งนับถึงสิบ ดวาลินลืมตาขึ้น จ้องมองโซวมะ
“เจ้าเข้าใจความหมายของการเรียกข้าว่านักรบ และขอยืมกำลังของข้าหรือไม่? ”
โซวมะพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“เช่นนั้นข้ามีข้อเรียกร้องสามประการ”
“ข้อเรียกร้องเหรือครับ? ”
ดวาลินยกนิ้วขึ้นสามนิ้ว
“ข้อแรก อาหาร ให้ข้าทานจนกว่าจะพอใจ”
“แน่นอนครับ ที่บ้านเกิดผมก็มีสุภาษิตว่า ‘กองทัพต้องเดินด้วยท้อง’ อยู่เหมือนกัน”
ดวาลินลดนิ้วลงหนึ่งนิ้วตามคำตอบโซวมะ
“ข้อสอง สุรา ข้ามิได้เมามายมานานเหลือเกิน เช่นนั้นข้าจึงไม่วุ่นวายเรื่องประเภทหรือคุณภาพ ขอเพียงมอบสุราให้ข้าได้มากพอจะดื่ม หรือให้ข้าได้ลงไปอาบหากปรารถนา”
“เข้าใจแล้วครับ ผมไม่แน่ใจว่าคุณดื่มเยอะแค่ไหนนะ แต่จะพยายามทำตามข้อเรียกร้องของคุณให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ดวาลินลดนิ้วที่สองลง รอยยิ้มดำมืดปรากฏบนใบหน้ายามกล่าวถึงความปรารถนาสุดท้าย
“เตรียมสถานที่เหมาะสมให้ข้าได้ตาย”
ดวาลินไม่โง่
ชัยชนะเหนือมนุษย์เป็นอะไรที่ไม่อาจคิดได้ ด้วยจำนวนโซออนเพียงเท่านี้ ต่อให้ยึดเมืองได้ กองทัพมนุษย์ย่อมถูกส่งมาไล่ล่าเป็นอันดับต่อไป อย่างไรก็ไม่อาจเอาชนะพวกมันได้
เช่นนั้นเอง การตายในสนามรบอันทรงเกียรติจึงเป็นความปรารถนาของดวาลิน
“ผมขอปฏิเสธครับ”
ทว่าโซวมะกลับปฏิเสธโดยไม่ลังเล
“อะไรนะ!? ”
“พวกเราไม่ได้มองหาสถานที่ตาย แต่เรากำลังพยายามสร้างสถานที่เพื่ออยู่อาศัยครับ”
นั่นหมายความถึงชัยชนะ
ได้แลกเปลี่ยนบทสนทนาแม้เพียงเล็กน้อย ดวาลินก็เข้าใจว่าโซวมะมิได้โง่งมที่ไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นเป็นอันดับต่อไป
ความยากของการเข้ายึดเมือง และความแตกต่างอันน่าสิ้นหวังของกำลังการรบระหว่างทั้งสองฝั่งหลังฝ่ายมนุษย์นำกำลังเสริมมาถึงหลังจากนี้ ไม่มีทางที่เขาจะไม่ทราบ
ทว่าแม้จะเป็นในสถานการณ์อันคับขัน โซวมะผู้มุ่งสมาธิไปยังอนาคตเกินกว่านั้น อยู่นอกเหนือความเข้าใจของดวาลิน
คนผู้นี้กำลังมองสิ่งใดอยู่กันแน่?
คนผู้นี้คิดจะทำสิ่งใดกันแน่?
สำหรับดวาลินแล้ว โซวมะนับเป็นตัวตนที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของผู้คนใหญ่หลวง
เช่นนั้นเอง ความกังวลของดวาลินจึงลดลง
“อา ช่างเถิด สิ่งเหล่านั้นจะสำคัญอะไรเล่า ตอนนี้ขอเพียงอาหารและเหล้าก็ดีแล้ว”
หากเขาไม่อาจเข้าใจ เช่นนั้นก็ปล่อยไป เทียบกับขุนเขากว้างใหญ่และพระแม่ธรณี ความกังวลของคนแคระเพียงลำพังช่างเล็กจ้อย กลัดกลุ้มไปแล้วอย่างไรเล่า แทนที่จะวิตก อาจยังได้ผลลัพธ์ดีๆ ที่ไม่คาดคิดขอเพียงลงมือทำให้รวดเร็ว แม้จะล้มเหลวแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างใดเล่า? เขายังคงสามารถหัวเราะเรื่องนี้ได้กับคนอื่นๆ ได้
เพราะโซวมะและเหล่าโซออนงุนงงกับท่าทีดวาลินที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ดวาลินจึงขบขันและกล่าว “ข้าว่าเจ้าคงไม่เข้าใจอะไรเลยกระมัง”
เขาสามารถสู้รบในฐานะนักรบได้อีกครั้ง
เพียงผู้ที่เข้าใจถึงความสิ้นหวังหลังร่วงหล่นสู่ความเป็นทาสจึงจะเข้าใจความปีติในยามนี้ นอกจากนั้น แม้ผู้ที่เขาจะได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่จะเป็นผู้ต่างเผ่าพันธุ์ พวกเขาก็ล้วนเป็นนักรบชั้นแนวหน้าที่ทำให้ดวาลินชื่นชม หากมีสุราและอาหารร่วมด้วย เช่นนั้นยังจะปรารถนาสิ่งใดได้อีกเล่า
“เอาเหล้ามาให้หมด! เพื่อตอบแทน ข้าจะแสดง ‘บทเพลงแห่งการตีเหล็ก’ ที่สืบทอดมาในพวกเราหมู่คนแคระให้ชม! ”
ทานอาหารอร่อย ดื่มเหล้ารสเลิศ ร้องเพลงเสียงดังและเต้นรำอย่างครื้นเครง เพียงเท่านี้โลกก็ดีงามแล้ว
นั่นเพราะข้าคือคนแคระ
◆◇◆◇◆
เช่นนี้เอง ดวาลินจึงได้ประสบพบกับ ‘พระบุตรแห่งหายนะ’ ท่ามกลางโชคชะตาอันสิ้นหวัง
โอกาสพบปะนี้นำมาโดยเทพีแห่งโชคชะตา คงมิใช่มากเกินกว่าความเพ้อฝัน
ทว่าใครจะจินตนาการได้ว่าจะเป็นการนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เหนือทวีปแห่งนี้
หลังจากนั้น มิเพียงดวาลินจะเป็นผู้นำทัพหนักคนแคระในกองกำลังของ ‘พระบุตรแห่งหายนะ’ ทว่าเขายังเป็นผู้ที่ได้รับการขนานนามเลื่องลือจากเหตุผลอื่นอีกประการหนึ่ง
กล่าวกันว่า ดวาลินได้สร้างสิ่งของมากมายโดยใช้ความรู้จากต่างโลกซึ่ง ‘พระบุตรแห่งหายนะ’ นำมาเป็นแบบฐาน ทำให้เขาได้รับบทบาทสำคัญหนึ่ง กล่าวกันว่าความรู้ของโซวมะจะมิอาจเป็นรูปร่างหากปราศจากเขา เช่นนั้นดวาลินจึงได้มีชื่ออันเสียหายเลื่องลือ ถูกเรียกขานเป็น ‘ผู้ทำลายล้างแห่งเทคโนโลยี’ อันเป็นผลจากการที่เขาได้ทำลายล้างระดับเทคโนโลยีของทวีปในขณะนั้นไปจนหมดสิ้น
ยังมีอีกฉายาหนึ่งอันเป็นที่กล่าวขานเหนือยิ่งกว่า
เป็นชื่อที่ได้รับจากกล้ามเนื้อแขนอันใหญ่โต มือที่กำขวานรบแน่น หนึ่งในเจ็ดแขนจากงานจิตรกรรมฝาผนัง ‘พระบุตรแห่งหายนะ โซมะ คิซากิ’ ซึ่งถูกวาดโดยปรมาจารย์ศิลปินนูมารี่
ความหมายของอักษรโบราณที่เขียนไว้ นั่นคือ ‘ตะกละ’
ดวาลินแห่ง《เหล็ก》
เขาคือบุรุษผู้ได้รับนาม 《แขนแห่งตะกละ》 หนึ่งในขุนพลเจ็ดแขนอันเป็นที่กล่าวขานของชนรุ่นหลัง
0 ความคิดเห็น