[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 38: ทาส



“นี่เชมุล ผมไม่ดูน่าสงสัยใช่ไหม?”

โซวมะที่ตอนนี้ห่อตัวด้วยเสื้อผ้าที่ขอให้ฮอปกินส์สั่งมาให้กำลังสำรวจตัวเองอยู่

เขาสวมกางเกงเทราเซอร์กับเสื้อตัวยาวที่ไม่ค่อยต่างจากคนในเมืองนี้เท่าไหร่นัก แต่เนื้อผ้าดีกว่ามาก แต่ก็นั่นแหละ เมื่อเทียบกับมาตรฐานของโซวมะแล้ว ผ้าหยาบๆ นี่ไม่น่าจะเรียกว่าผ้าชั้นดีได้เลย

เขายังสวมหมวกเฟซสีฟ้า (หมวกตุรกี) ที่มีผ้าบางๆ ห้อยลงมาจากด้านหลังหัว มีผ้าคลุมไหล่ปักลายชนเผ่าพันธุ์รอบกายเหนือเสื้อทูนิค

“ข้าไม่ค่อยเข้าใจการแต่งกายของมนุษย์นัก แต่ก็คิดว่าดูเหมาะกับรูปแบบการแต่งกายของต่างประเทศดี”

ได้ยินเชมุลว่าอย่างนั้น โซวมะก็โล่งใจขึ้น

โซวมะตั้งใจจะแต่งตัวให้เหมาะกับภาพลักษณ์ของคนที่มาจากประเทศห่างไกลทางตะวันออกอย่างที่เคยพูดเอาไว้เมื่อตอนเข้าเมือง แต่ฮอปกินส์เองก็ยังไม่รู้ว่าประเทศตะวันออกนั้นเป็นยังไง เขาจึงเอาเสื้อมารวมๆ กันให้ดูเหมาะสม นอกจากนั้น ด้วยสีผมและสีผิวอันเป็นเอกลักษณ์ของโซวมะ เขาจึงดูเหมือนคนที่มาจากต่างประเทศจริงๆ

“นี่ พวกเจ้า ที่พักพ่อค้าทาสอยู่ตรงนั้นนะ”

ฮอปกินส์หันมาจากเบาะหน้าของเกวียนแล้วชี้ไปด้านหน้า

ที่ฮอปกินส์ชี้คือคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยกำแพงดิน หลังคาบ้านที่ยื่นออกมาด้านหนึ่งมุงจากท่อนไม้และฟางอย่างคนทั่วไปที่เห็นในเมือง แต่เป็นหลังคาทรงโดมที่ทำจากอิฐ

“ขอโทษด้วย แต่ข้าไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับพวกพ่อค้าทาสนัก ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ด้านนอกนี้แล้วกัน”

ฮอปกินส์ลดความเร็วเกวียนลง

โซวมะคิดว่าฮอปกินส์อาจจะรู้สึกต่อต้านไม่อยากพาเขาไปพบพ่อค้าเหมือนตนเองเพราะจะนำหายนะมาสู่เมือง ทว่าจริงๆ แล้วยังมีเหตุผลอื่นที่ฮอปกินส์ไม่อยากจะข้องแวะกับพ่อค้าทาสอยู่

โลกนี้มีทาสที่เกิดจากการก่อคดีแล้วถูกลงโทษด้วยการลิดรอนอิสระ ยังมีพวกที่ขายตนเองเป็นทาสเพราะความยากจน จึงมอบชีวิตตนเองให้พ่อค้าทาสจัดการ แต่ทาสส่วนมากที่ค้าขายกันนั้นกลับเป็นนักโทษสงครามและสมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกปราบปรามลง

และในโลกนี้ ที่ศาสนจักรตั้งใจจะกวาดล้างครึ่งมนุษย์เพื่อขยายอิทธิพลเป็นใหญ่นั้น สินค้าที่มีมากที่สุดสำหรับพ่อค้าทาสย่อมต้องเป็นประชากรเผ่าอื่นที่ถูกเรียกขานว่าครึ่งมนุษย์

ดังนั้น พ่อค้าทาสที่ต้องการตัวทาสจึงสมรู้ร่วมคิดกับนักบวชแห่งศาสนจักรถึงขั้นปลุกปั่นให้เกิดสงครามกับเผ่าครึ่งมนุษย์ดังกล่าวในหลายอาณาจักร

นอกจากนั้น ศาสนจักรเองก็ทราบว่าการค้าขายทาสที่ข้องเกี่ยวกับครึ่งมนุษย์นั้นก่อให้เกิดผลกำไรมหาศาล จึงกล่าวว่าการรับมือครึ่งมนุษย์โสโครกเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอันตรายอันนำมาซึ่งความนอกรีต จึงได้ตั้งระบบใบอนุญาตโดยศาสนจักรสำหรับพ่อค้าทาสขึ้น และตั้งองค์กรจัดหาซึ่งได้รับทานมัยมหาศาลจากพ่อค้าทาส

ทว่าฝั่งพ่อค้าทาสเองก็ไม่อาจดูเบาได้เช่นกัน

ด้วยใบอนุญาตจากศาสนจักรนี้เอง พ่อค้าทาสจึงยืนยันว่าตนเองก็เป็นสมาชิกแห่งศาสนจักร พวกเขาใช้สิ่งนี้เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์มากมายจากศาสนจักร เริ่มด้วยการไม่ถูกผูกมัดด้วยภาษีเมือง ตามด้วยค่าผ่านทางสำหรับการใช้ถนนและสะพานทั้งหลาย

เช่นนี้เอง พ่อค้าทาสจึงได้มีกำไรมหาศาลเสียยิ่งกว่าเงินทองที่บริจาคไป ทว่าสิ่งนั้นก็ก่อให้เกิดความเกลียดชังจากฝั่งพ่อค้าอื่นขึ้นในเวลาเดียวกัน

แทบไม่มีใครคิดว่าการที่พ่อค้าทาสเลี่ยงภาษีด้วยการใช้สิทธิประโยชน์จากศาสนจักรเป็นเรื่องปกติ พวกเขายังต้องจ่ายภาษีของตนอย่างซื่อตรง นอกจากนั้นยังมีข่าวลือมากมายเช่นว่า บางส่วนของพ่อค้าทาสลอบทำการแลกเปลี่ยนสินค้าอื่นนอกเหนือจากทาส ก็ยังเป็นหัวข้อสนทนาในบรรดาพ่อค้าทั่วไป

หากพวกนั้นสามารถขนสินค้าปลอดภาษีได้ก็กลายเป็นเรื่องความเป็นความตายของพ่อค้าทั่วไปแล้ว ไม่สำคัญว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ สิ่งนี้มิได้เปลี่ยนแปลงความเป็นจริงว่าระหว่างพ่อค้าทาสและพ่อค้าทั่วไปได้เกิดการแบ่งแยกใหญ่โตแล้ว

ทุกวันนี้อาจกล่าวได้ว่า ยามพ่อค้าทาสและพ่อค้าทั่วไปได้พบกันที่สมาคมพ่อค้า พวกเขาจะยืนแยกกันคนละจุด ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้อีกฝ่ายแต่เบื้องหลังล้วนถือมีดเตรียมไว้ เช่นนี้เอง ฮอปกินส์จึงรักษาระยะห่างจากพวกพ่อค้าทาสเอาไว้

เมื่อเกวียนหยุดสนิทเบื้องหน้าคฤหาสน์ โซวมะก็เดินมุ่งไปยังที่พักของพ่อค้าทาส มีเพียงเชมุลติดตามมา

ที่ประตูของกำแพงดินนั้นมีบุรุษถือหอกร่างใหญ่โตยืนอยู่ พวกเขาโกนหัวจนดูเหมือนนักมวยปล้ำตัวร้ายดังๆ

โซวมะเดินเข้าไปหาพวกเขาด้วยท่าทีหยิ่งยโสเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย แล้วกล่าว

“ช่วยแจ้งการมาถึงของผมให้นายของคฤหาสน์นี้หน่อยได้ไหม?”

หนึ่งในผู้เฝ้าประตูพูดสั้นๆ เพียง ‘รอที่นี่’ กับเขา แล้วเดินเข้าคฤหาสน์ไป

ไม่นานนัก ชายวัยกลางคนร่างล่ำก็มาถึงพร้อมผู้เฝ้าประตู

โซวมะยืดแขนแสดงสองมือ ทำท่าคล้ายถือกล่องใบหนึ่งเอาไว้อย่างระมัดระวังและตั้งใจจะแสดงให้อีกฝ่ายเห็น จากนั้นเขาจึงก้มหัวแล้วกล่าวทักทายตามที่ได้รับสอนมาจากฮอปกินส์

“ผมนำความโชคลาภและมั่งคั่งมาให้คุณ”

ตามที่ฮอปกินส์บอก ดูเหมือนการทักทายแบบนี้จะมีไว้สำหรับระหว่างพ่อค้าด้วยกัน

ท่าทีแบสองมือหงายขึ้นให้อีกฝ่ายเห็น แสดงถึงการบ่งบอกว่าเขาไม่มีอาวุธติดตัว และหมายความว่า ‘ข้าไม่มีเจตนาร้ายต่อท่าน’ ในเวลาเดียวกันก็ยังมีหมายความถึง ‘ข้านำความมั่งคั่งที่มองไม่เห็นมาสู่ท่าน’

ชายตรงหน้าเอ่ยคำเดียวกันเพื่อทักทายกลับพร้อมแสดงท่าทีเช่นเดียวกัน

“โชคลาภและความมั่งคั่งสู่ท่านเช่นกัน ข้าเป็นนายแห่งคฤหาสน์นี้ โกรคาคอส”

ชายที่แนะนำตัวว่าชื่อโกรคาคอสตรวจกวาดตามองโซวมะตั้งแต่หัวจรดเท้า

“แล้วท่านเป็นใคร มาจากที่ใดหรือ? เหตุใดท่านจึงมาที่แห่งนี้เล่า?”

“ครับ ผมมาจากประเทศที่ห่างไกลออกไปทางตะวันออก มาที่นี่เพื่อทำธุรกิจตามคำสอนของคุณพ่อ ผมชื่อโซมะครับ”

ก่อนหน้านี้พวกเขาคุยกันว่าควรจะใช้ชื่อปลอมรึเปล่า แต่ในเมื่อเขายังไม่ได้เป็นที่รู้จักแถวนี้ ทำแบบนี้มีกันปัญหาจากชื่อประหลาดๆ ได้มากกว่า

“โอ ท่านว่ามาจากประเทศทางตะวันออกหรือ…?”

“ทันทีที่ตัดสินใจว่าอยากจะหาซื้อทาส ผมก็มาที่นี่ทันทีเพราะได้ยินว่าคุณคือพ่อค้าทาสที่ดีที่สุดในเมืองนี้”

ได้ยินคำสอพลอของโซวมะ โกรคาคอสก็ส่งเสียงฮึคล้ายจะกล่าวว่า “แน่นอนสิ”

“อืม แน่นอน ข้าย่อมกล่าวได้ว่าข้าดีที่สุดแล้ว”

โกรคาคอสมองไปยังเชมุลที่ยืนถัดไปจากโซวมะ

“ทว่า ท่านมีสินค้าชั้นหนึ่งอยู่ข้างกายแล้ว ยังต้องการทาสอื่นอีกหรือ?”

“ครับ ได้ยินว่าแถวนี้โซออนกำลังก่อจลาจลอยู่ ผมเลยอยากจะได้ทาสอื่นนอกจากโซออนมารับหน้าที่องครักษ์หน่อย”

“เข้าใจล่ะ เช่นนั้นเชิญทางนี้”

ตามหลังโกรคาคอสผ่านประตูไปก็เข้าสู่ตัวคฤหาสน์ คฤหาสน์หลังนี้สร้างจากอิฐเผา ไม่ใช่อิฐตากแห้งเหมือนที่เห็นในเมือง แสดงให้เห็นถึงทรัพย์สินของโกรคาคอสได้ในระดับหนึ่งทีเดียว

โซวมะและเชมุลเดินผ่านทางเดินสั้นๆ เข้าสู่ตัวคฤหาสน์ จากนั้นก็ออกมาพบกับแสงอาทิตย์เหนือศีรษะอีกครั้ง

สวนของคฤหาสน์แห่งนี้กว้างใหญ่จนเรียกได้ว่าเกินเหตุ ตัวคฤหาสน์ถูกสร้างล้อมสวนเอาไว้ โดยมีชั้นสองสำหรับพักผ่อน ส่วนหนึ่งของชั้นหนึ่งใช้เพื่อคุมขัง เพิ่มการรักษาความปลอดภัยด้วยลูกกรง ภาพของสถานที่คุมขังถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ ล้อมลานกว้างเป็นวงกลมจนราวกับสวนสัตว์แห่งหนึ่ง

ทว่าสิ่งที่อยู่ในกรงกลับไม่ใช่สัตว์

พวกที่สุมอยู่ในกรงแสนหดหู่ล้วนแต่คือผู้คนที่ตกเป็นทาส

ดูแล้วพวกเขาเหมือนไม่ได้อาบน้ำบ่อยนัก โซวมะบีบจมูกเบาๆ เพราะกลิ่นเหม็นฉุนจากสิ่งปฏิกูลและเหงื่อไคลที่รายล้อม

“ไม่ว่าต้องการทาสเช่นไร พวกเราล้วนแต่มีทั้งสิ้น ทาสเพื่อการทำไร่ ทาสเพื่อการต่อสู้ ทาสผู้ได้รับการศึกษาที่สามารถเป็นอาจารย์สอนสั่งหรือบริหารการเงินให้ท่านได้ แน่นอน ทั้งยังมีทาสสตรีเช่นกัน”

คล้ายกับกำลังพูดว่า “ท่านก็รู้ความหมายใช่หรือไม่” โกรคาคอสเผยรอยยิ้มร้ายกาจ

โกรคาคอสนั่งลงด้วยท่าทางหยิ่งยโสบนเก้าอี้ยาวที่ตั้งอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้อันปลูกอยู่กลางสวน เขาร้องเรียกทาสหญิงที่มิได้สวมใส่สิ่งใดนอกจากผ้าเตี่ยวผืนเดียวทั้งที่อยู่ในหน้าหนาว เขาสั่งเธอให้รินเหล้าลงในถ้วยบนโต๊ะ

ทาสหญิงมีผิวสีน้ำตาลเข้มคล้ายว่าจะเป็นมนุษย์จากทางตอนใต้ เธอขนลุกไปทั้งตัว ร่างกายยังสั่นน้อยๆ โซวมะไม่รู้จะมองไปทั้งไหนดี ไม่ใช่เพราะการที่เธอเปลือยหน้าอก แต่เป็นเพราะเขาคิดถึงสถานการณ์ของเธอมากกว่า

“อย่างไรท่านก็โชคดีมาก รู้หรือไม่ ยามนี้มีทาสดีๆ มารวมกันอยู่มากทีเดียว”

ได้ยินคำของโกรคาคอส โซวมะจึงตั้งสติอย่างรวดเร็ว

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”

“ไม่ทราบหรอกหรือ? อีกไม่นานจะถึงงานเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์กษัตริย์ของเราแล้ว ปีนี้พระองค์มีพระชนมายุสี่สำชันษาพอดี ย่อมเป็นงานเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ทีเดียว

เพราะงานนี้เองพวกข้าจึงได้รวบรวมทาสครึ่งมนุษย์เข้ามา แถวนี้ไม่มีอะไรนอกจากโซออน พวกข้าจึงต้องตุนทาสสำรองที่ขายมาจากประเทศห่างไกลในเจบัวเอาไว้ ประเดี๋ยวอีกห้าวันขบวนพ่อค้าทาสผู้จัดหาแก่ราชวงศ์แห่งฮอลเมียจะมาถึงที่นี่แล้ว ข้าเองก็จะร่วมขบวนกับพวกเขาเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อทำเงินเสียหน่อยเช่นกัน”

โกรคาคอสยกเหล้าขึ้นดื่มหมดในรวดเดียว ก่อนจะเล่นกับถ้วยเปล่าในมือแล้วถาม

“แล้ว ท่านกำลังมองหาทาสแบบใดอยู่เล่า?”

“ครึ่งมนุษย์ที่แข็งแรง ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้ฉลาดด้วยก็จะดีครับ”

“ครึ่งมนุษย์ แข็งแกร่งและฉลาดใช่หรือไม่…?”

ทวนคำขอของโซวมะ โกรคาคอสเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่ครู่หนึ่ง

“นี่! ไปเอาดวาลินมาที่นี่!”

เมื่อโกรคาคอสจะโดนแล้ว หนึ่งในผู้คุมคุกก็นำทาสคนหนึ่งออกมาจากห้องขัง กระชากโซ่หมุนกาย

โซวมะเบิกตากว้างเมื่อเห็นทาสที่ถูกนำตัวเข้ามา

ส่วนสูงของอีกฝ่ายเทียบเท่าเด็กคนหนึ่ง ทว่าร่างกายกลับแข็งแกร่งหนักแน่นราวกับถูกตัดมาจากหิน ใบหน้าท่อนล่างปกคลุมด้วยหนวดเคราสีเทา เส้นผมรุงรังไม่เป็นระเบียบล้อมกรอบใบหน้าที่มีร่องรอยราวกับไม้แก่ ลักษณะแบบนี้คู่กับดวงตามุ่งมั่นและจมูกกลมโตบนใบหน้า

มองจากภายนอกทำให้คาดเดาอายุได้ยาก แต่เขามีออร่าของผู้ที่สั่งสมประสบการณ์มานานปี

แม้จะดูมีอายุ ทว่าร่างกายกลับไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าอ่อนชราแม้แต่นิด ทั่วร่างเขาไม่มีสิ่งใดปกคลุมนอกจากผ้าเตี่ยวผืนเดียวทำให้เห็นการขยับของกล้ามเนื้อแข็งแกร่งทั่วร่างได้ในทุกการขยับไหวเพียงมองปราดเดียว

เขาสวมตรวนพันธนาการที่คอ เป็นไม้กระดานที่มีรูสำหรับใส่คอและข้อมือ ไม้กระดานสองแผ่นถูกรัดแน่นด้วยบานพับ มีโซ่และตุ้มเหล็กถ่วงติดข้อเท้า ทว่าอีกฝ่ายกลับดูห่างไกลจากการได้รับความลำบากนัก เขายืดอกตรงอย่างหยิ่งทระนง รายล้อมด้วยบรรยากาศสง่างาม ผู้คุมทาสที่กำโซ่ซึ่งเชื่อมกับตรวนมองไปยังผู้ที่เขาจะนำไปพบนายตน

เพราะอีกฝ่ายคือเผ่าพันธุ์ที่ปรากฏในนิยายแฟนตาซีหลายต่อหลายเรื่องมาโผล่ให้เห็นอยู่ตรงหน้า น้ำเสียงของโซวมะจึงสั่นสะท้านอย่างตื่นเต้น

“คนแคระเหรอ?”

“ถูกต้องแล้ว เจ้านี่มีชื่อว่าดวาลิน เป็นคนแคระผู้นำสงคราม ต่อสู้นำชาวคนแคระในเมืองหลวงอันห่างไกล”

โกรคาคอสลุกขึ้น แย่งแส้จากมือผู้คุมทาส เขาเฆี่ยนแผงอกหนาของคนแคระนามดวาลินทีหนึ่ง

“ดูร่างกายแข็งแกร่งนี้เถิด! มันต้านได้กระทั่งหอกและดาบ ยังมีแขนอันแข็งแรงนี้ คนโดยมากย่อมถูกจัดการอย่างเด็ดขาดเมื่อถูกมันรัดเข้า นอกจากนั้นมันยังเฉลียวฉลาดเช่นกัน อย่างไรเขาก็นำทัพคนแคระจำนวนมหาศาลในฐานะผู้นำสงครามมาแล้ว! ท่านย่อมมิอาจเห็นสินค้าดีๆ เช่นนี้ได้โดยง่าย”

รอยแดงทิ้งตัวบนอกที่ถูกเฆี่ยนด้วยแส้ ใบหน้าของดวาลินไม่กระตุกแม้แต่น้อย

แต่โซวมะเห็นว่าดวาลินกำมือขวาแน่นเข้าในทันทีที่แส้สัมผัสอก และนั่นไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่เกิดจากความเจ็บปวด เขาขยับแค่มือขวาข้างเดียว มันกำเข้าโดยแรง

“ผมพอใจกับเขาครับ คุณขายเขาเท่าไหร่?”

“ฮ่า! เจ้านี่ย่อมเป็นสินค้าโดดเด่นใช้เป็นไพ่ตายในงานแข็งประลองฝีมือได้ หากจะให้ข้าขายแล้ว...อืม คาดว่าราคาอยู่ที่ประมาณแปดร้อยเหรียญเงิน”

โกรคาคอสดูคล้ายจะดูเบาโซวมะอยู่มาก คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางซื้อดวาลินในราคานี้ได้เป็นแน่ จึงได้แค่นหายใจราวกับมองโซวมะเป็นคนโง่งม

“เข้าใจแล้วครับ เชมุล ไปเอาเงินในเกวียนมา”

“หา?”

โกรคาคอสกลับเป็นฝ่ายเสียงหลงเพราะคำตอบทันควันของโซวมะ

เชมุลไปนำถุงที่เต็มไปด้วยเหรียญเงินจากเกวียนเข้ามาตามคำสั่งโซวมะ เธอวางของลงหน้าโกรคาคอส แต่ละครั้งที่วางลง ดวงตาโกรคาคอสก็เบิกกว้าง

“นี่เงินจำนวนแปดร้อยเหรียญเงิน รบกวนยืนยันด้วยครับ”

ได้รับคำจากโซวมะเช่นนั้น โกรคาคอสรีบเรียกบ่าวไพร่เข้ามาทันที บ่าวไพร่รวมกันนับเหรียญเงินจากในถุง ตรวจสอบคุณภาพเหรียญในถุงด้วยเล็บ จากนั้นจึงวางเหรียญลงบนแผ่นไม้สลักเจาะรู รูนี้มีขนาดพอสำหรับเหรียญเงินสิบเหรียญพอดี เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อนับเงิน

เมื่อนับเหรียญเงินจนครบบ่าวไพร่ทั้งหลายก็พยักหน้า โกรคาคอสเผชิญหน้ากับโซวมะอย่างตกตะลึงราวกับจะถามว่า ‘ไม่เป็นไรจริงหรือ?’

“ขายเขาให้ผมเท่านี้ คุณยอมรับได้ใช่ไหมครับ?”

“นะ...นั่น! ย่อมแน่นอน!

โกรคาคอสรีบตอบโดยไว คล้ายกลัวว่าโซวมะจะเปลี่ยนใจ

“มีธรรมเนียมจำเป็นอะไรที่ต้องทำอีกมั้ยครับ?”

“ไม่มีแล้ว เขาเป็นทาสสดๆ ที่ยิงมิได้ตีตรา ท่านสามารถนำเขาไปได้เลยขอรับ! อื้ม!”

โซวมะปากกระตุกเมื่อได้ยินคำว่า ‘ตีตรา’ แต่โกรคาคอสที่ยามนี้ถูกเหรียญเงินเป็นตั้งขโมยวิญญาณไปแล้วไม่ได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ นี้

โซวมะเชื่อว่าถ้าอยู่ที่นี่ต่อคงต้องล่มจมแน่ จึงรับกุญแจสำหรับตรวนข้อเท้าและตรวนคอของดวาลินมา จากนั้นหมุนกายตั้งท่าจากไป

ทว่ากลับถูกโกรคาคอสรีบรั้งตัวไว้ก่อน

“ดะ-ได้โปรดรอสักครู่ขอรับ อย่างไรเราก็ยังมีทาสดีๆ อีกมาก ข้าอยากให้ท่านได้ดูพวกเขาเสียหน่อย นี่ เจ้าโง่นี่! รีบมารินไวน์ให้แขกผู้มีเกียรติของเราหน่อย!”

โกรคาคอสปัดฝุ่นบนเบาะที่ตนเองนั่งด้วยแขนเสื้อ เชิญให้โซวมะนั่งลง เผยรอยยิ้มไม่จริงใจนัก

ต้องใช้โซฟาที่คนอย่างโกรคาคอสเคยนั่งชวนให้รู้สึกต่อต้านอยู่บ้าง แต่ถ้าปฏิเสธก็เสียอารมณ์กันเปล่าๆ โซวมะจึงนั่งลงอย่างไม่เต็มใจนัก

ทันทีที่นั่งลง ทาสหญิงก็ตั้งใจจะเข้ามารินไวน์ลงในถ้วยใหม่ให้ แต่โซวมะที่เพิ่งจะดื่มเอลไปแค่แก้วเดียวจนทำตัวน่าอายออกมาก็ปฏิเสธไปอย่างหนักแน่น

เชมุลกันทาสหญิงคนออกไปด้วยสายตาข่มขู่ ก่อนขยับปากเข้าใกล้หูโซวมะ

“อยู่ๆ เจ้านั่นก็เปลี่ยนท่าทีไป เจ้าทำได้อย่างไร?”

“...ใช่ไหมล่ะ? ผมก็สงสัยอยู่ว่าพลาดตรงไหนนะ”

คิดเรื่องนี้ต่ออีกนิดหน่อย โซวมะก็คิดได้ว่าเขาทำพลาดครั้งใหญ่ไปแล้ว

เป็นสิ่งที่เขาเคยอ่านเจอในมังงะมาก่อนเหมือนกัน ดูเหมือนต่างประเทศจะมีการต่อราคาเวลาซื้อของกันเป็นเรื่องปกติ ฝั่งร้านค้าเองก็คงคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว ราคาแรกที่ตั้งไว้จึงเป็นราคาที่มากเกินความเป็นจริง

ใช่แล้ว ท่าทีที่เขาซื้อดวาลินจากพ่อค้าทาสคนนี้ทันทีที่ถามราคาเสร็จ ทำให้อีกฝ่ายมองว่าเขาเป็นเหยื่อง่ายๆ เพราะแบบนั้นอีกฝ่ายถึงได้เปลี่ยนท่าทีไปโดยสิ้นเชิง

โซวมะบอกตัวเองว่าครั้งหน้าจะต้องต่อราคาลง

ตอนนั้นเอง โกรคาคอสก็มาถึงพร้อมรอยยิ้มกว้างและดึงทาสเข้ามา

“แหมๆ ขอบพระคุณท่านที่รอขอรับ เริ่มกันเลย พวกนี้เองก็เป็นสินค้าชั้นดีทีเดียว”

โกรคาคอสถูมือไปมา ผู้คุมทาสนำคนแคระห้าคนเข้ามาเรียงแถวต่อหน้าโซวมะ

โซวมะย่นจมูกเมื่อเห็นทาสคนแคระเหล่านั้น

แม้แต่โซวมะที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังเห็นว่าสภาพของคนแคระเหล่านี้เลวร้ายมาก ในห้าคนนี้เขาไม่รู้สึกถึงพลังชีวิต สายตาว่างเปล่าราวกับปลาตาย มีเลือดไหลซึมจากผ้าพันแผลที่พันรอบใบหน้า สีผิวก็ดูย่ำแย่ ดูไปแล้วเหมือนกับว่าน่าจะป่วยเป็นอะไรสักอย่าง

“เป็นอย่างไรบ้าง? สองร้อยเหรียญเงินต่อตัว หากท่านซื้อพวกมันทุกตัว ข้าจะลดราคาให้ท่านเหลือเพียงแปดร้อยเหรียญเงิน”

“อย่ามาล้อเล่นกับผมนะ! อย่างมากก็แค่คนละสิบเหรียญเงินไม่ใช่รึไง?”

ด้วยรู้สึกหงุดหงิดใจกับการปฏิบัติอันเลวร้ายต่อคนแคระพวกนี้ น้ำเสียงของโซวมะจึงแข็งทื่อขึ้นมา

“เอ๊ะ? โอ๊ะ? หา?”

สีหน้าโกรคาคอสเปลี่ยนฉับพลันจนดูน่าขำ

โซวมะคิดกลัวอยู่ในใจว่าเขาพลาดแล้วรึเปล่า

อย่างไรเขาก็เป็นชาวญี่ปุ่นที่อ่อนด้อยเรื่องการต่อรองราคาอยู่แล้ว ให้ต่อราคาจริงๆ เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะต่อราคาไปที่เท่าไหร่ เขาแค่พูดว่าสิบเหรียญเงินเพราะเป็นตัวเลขที่เหมาะสมเพื่อตัดบท

แม้แต่ตอนที่พยายามต่อรองราคาลงมา เหงื่อเย็นเฉียบก็ไหลไปทั่วตัว แค่ห้าเปอร์เซ็นต์จากราคาที่ตั้งไว้นี่มันโหดร้ายเกินไปรึเปล่าเนี่ย แต่เพราะเกรงว่าจะถูกเอาเปรียบเอาได้ เขาจึงแสร้งทำเป็นใจเย็น

ดังนั้น หลังจากทำท่าประหลาดใจ โกรคาคอสก็ตะโกนใส่ผู้คุมท่าที่ยืนอยู่ติดกับทาส

“เจ้าโง่! หากดูให้ดีก็เห็นว่ามิใช่ทาสที่ข้าสั่งให้เจ้าพามามิใช่รึ!?”

โซวมะคิดโต้อยู่ในใจว่า ‘ไม่อะ ก็นายเป็นคนพาพวกเขามาเองไม่ใช่รึไง’ แน่นอนว่าเขาฉลาดพอจะไม่พูดมันออกไป

โกรคาคอสกระซิบกระซาบอะไรสักอย่างกับผู้คุมทาสก่อนอีกฝ่ายจะดึงตัวคนแคระทั้งห้ากลับเข้าห้องขังไป แล้วกลับมาใหม่พร้อมคนแคระห้าคนจากอีกห้องขังหนึ่ง

พวกทาสที่เขาพามาคราวนี้ต่างจากคนแคระห้าคนแรกอย่างชัดเจน เทียบกับดวาลินอาจนับว่าห่างไกล แต่ยังไงก็ยังดูสุขภาพดีและแข็งแรง

“ข้าต้องขออภัยด้วยนายน้อย นี่จึงจะเป็นทาสที่ข้าตั้งใจจะแนะนำให้กับท่าน”

“ดูเป็นทาสที่ดีทีเดียว ราคาเท่าไหร่ครับ?”

อยู่ๆ ก็ถูกเรียกว่านายน้อยทำให้เขาผงะไปบ้าง แต่โซวมะก็ยังพูดด้วยท่าทีราวกับรู้เรื่องเป็นอย่างดี

“ดังที่ท่านกล่าวเอาไว้ขอรับท่านลูกค้า สิบเหรียญเงินต่อตัว ถือเป็นค่าคำขอโทษสำหรับความวุ่นวายก่อนหน้า ทั้งหมดห้าตัวห้าสิบเหรียญเงินขอรับ”

“คุณไม่เป็นไรจริงนะ!?”

โซวมะเผลอตะโกนโต้ตอบออกมาทันที

พวกนี้ทั้งสุขภาพดีและแข็งแรงกว่าคนแคระก่อนหน้านี้มาก

แน่นอนเขาบอกได้เลยว่าราคานี้ออกจะต่ำเกินไปด้วยซ้ำ

แม้แต่โซวมะก็ยังซ่อนความประหลาดใจไม่ได้

เห็นโซวมะประหลาดใจ โกรคาคอสพยักหน้าหลายครั้ง ดูท่าทางพออกพอใจเป็นอย่างยิ่งไม่ทราบด้วยเหตุใด

“เข้าใจล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ราคานี้…”

โซวมะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ล่อลวงอยู่อย่างไรอย่างนั้น ทว่าในคราวนี้ เขาเป็นฝ่ายยอมตกลง


◆◇◆◇◆


โกรคาคอสมองส่งโซวมะกระทั่งอีกฝ่ายเดินออกจากเขตคฤหาสน์แล้วจึงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นขณะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยาวในสวนอีกครั้ง จิบดื่มไวน์อุ่นๆ ลงคอ

ในความคิดของโกรคาคอส เจ้าเด็กนั่นกล่าวว่าตนมาจากประเทศห่างไกลทางตะวันออกนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ดูอ่อนหัดเหลือเกิน

ดูจากสภาพและการแต่งกายแล้วมิได้โกหกว่ามาจากประเทศตะวันออก ทว่าเขากลับล้มเหลวในการเจรจาต่อรองโดยสิ้นเชิง

บางทีอาจเป็นพ่อค้าหัวทึบที่ทำธุรกิจล้มเหลวในประเทศตะวันออก จึงได้ส่งบุตรชายมายังประเทศอันห่างไกลล่วงหน้า แบกความฝันโง่งมเข้ามา

คิดเช่นนั้นเอง โกรคาคอสจึงดูแคลนโซวมะโดยสิ้นเชิง

ดังนั้น การแสดงดวาลินที่ตั้งใจจะขายให้แก่รัฐฮอลเมียจึงเป็นไปเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขามีทาสที่คุณภาพดีถึงเพียงนี้ อย่างไรอีกฝ่ายย่อมไม่มีทางซื้อดวาลินได้ไหว

ทว่าโซวมะกลับจ่ายเงินออกมาอย่างง่ายดายโดยไม่แม้แต่จะต่อราคา นั่นทำให้โกรคาคอสโง่งมไป

เจ้าเด็กนั่นดูจะเป็นลูกค้าที่ดีนัก สมองทึ่มทื่อ ทว่าถุงใส่เงินรั่ว

โกรคาคอสคิดเช่นนั้นแล้วจึงตัดสินใจนำเอาทาสคนแคระที่ไม่น่าจะมีคนซื้อออกมาให้โซวมะชม

พวกนั้นล้วนแต่เป็นทาสที่เขาซื้อเข้ามาพร้อมๆ กับดวาลินจากเรือลำเดียวกัน ทว่าด้วยสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ การขาดสารอาหารและความเหน็ดเหนื่อยทำให้ร่างกายอ่อนแอ ในบรรดาห้าตัว มีสองตัวที่มีอาการเจ็บป่วย อย่างไรก็คงอยู่ได้ไม่นานแล้ว

พวกมันล้วนแต่เป็นทาสที่ไม่อาจใช้งานอะไรได้นอกเสียจากเป็นอาหารสัตว์ป่าในการแสดงคั่นเวลาของงานประลองการต่อสู้

“เป็นอย่างไรบ้าง? สองร้อยเหรียญเงินต่อตัว หากท่านซื้อพวกมันทุกตัว ข้าจะลดราคาให้ท่านเหลือเพียงแปดร้อยเหรียญเงิน”

ด้วยความคดโกงนั้นเองเขาจึงได้เอ่ยราคาสองร้อยเหรียญเงินต่อทาสหนึ่งตัว โกรคาคอสยิ้มร้ายกาจ

หากเป็นทาสราคาถูก เงินสี่สิบเหรียญเงินก็ซื้อทาสต่อสู้ได้แล้ว และเงินหกสิบเหรียญเงินก็สามารถซื้อทาสสำหรับทำไร่ได้ เพราะโกรคาคอสตั้งใจแสดงให้เห็นทาสที่ไม่อาจใช้งานใดได้นอกจากเป็นอาหารสัตว์ร้าย จุดประสงค์เลวร้ายจึงได้ชัดเจนยิ่ง

“อย่ามาล้อเล่นกับผมนะ! อย่างมากก็แค่คนละสิบเหรียญเงินไม่ใช่รึไง?”

ทว่าตรงข้ามกับที่โกรคาคอสคาดไว้ โซวมะมองพวกคนแคระเพียงปราดเดียวก็บอกได้ว่าราคานั้นสูงเกินไปด้วยท่าทีไม่พอใจ

นอกจากนั้น โซวมะยังเอ่ยราคาที่โกรคาคอสตั้งใจจะขายคนแคระแต่ละตัวออกมาได้อย่างถูกต้อง

เรื่องบ้าๆ เช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?

เขาปิดซ่อนความสับสน ในใจโกรคาคอสเต้นรัวบ้าคลั่ง จากนั้นเขาจึงได้ทราบ

มิใช่การซื้อดวาลินในราคาที่เขาเอ่ย เป็นการให้ราคาที่ใจกว้างมากหรอกหรือ?

เจ้าเด็กนี่เริ่มทำธุรกิจที่นี่ตามคำสั่งของบิดา บิดาเขามิใช่พ่อค้าที่ล้มเหลวดังที่คาดไว้ ทว่าแท้จริงเป็นพ่อค้าใหญ่ที่ตั้งใจจะแผ่ขยายอิทธิพลการค้าสู่ต่างแดน

และเพื่อเริ่มทำธุรกิจในต่างประเทศ เขาย่อมตั้งใจจะสร้างเส้นสายกับพ่อค้าที่เหมาะสมในเมือง...ในอีกทางหนึ่งคือตัวเขาเอง การที่อีกฝ่ายตกลงซื้อทาสในราคาสูงเป็นการแสดงให้เห็นว่ามีกำลังทรัพย์มากเพียงใด

ทว่าเขากลับไม่ทราบแม้แต่น้อย ซ้ำยังทำความผิดกลาดร้ายแรง เห็นอีกฝ่ายเป็นลูกค้าหลอกง่าย ไม่เพียงเท่านั้น ยังถึงกับพยายามยัดทาสคุณภาพต่ำให้อีกฝ่ายหนึ่ง มิใช่เจ้าเด็กนี่เผยความสามารถทางการค้าของตนออกมาด้วยการคาดเดาราคาทาสที่ถูกต้องได้หรอกหรือ?

โกรคาคอสตัวสั่นทันทีด้วยขบวนความคิดที่แล่นเข้ามาในหัว

มิใช่ลูกค้าหัวทึบถุงเงินรั่ว แต่เป็นพ่อค้าที่มีความสามารถร้ายกาจ

เป็นเจ้าเด็กน่ากลัวนี่ต่างหากที่กำลังเป็นฝ่ายจูงจมูกโกรคาคอสในการเจรจา!

เช่นนี้แย่แน่ โกรคาคอสคิด

หากเป็นพ่อค้าใหญ่จากต่างประเทศที่มีสินทรัพย์มากมายจนสามารถใช้เงินจำนวนมากได้อย่างใจกว้าง ย่อมไม่ต้องสงสัยความสามารถในการค้าขายทำกำไรหลังจากนี้แล้ว หากเขาสามารถสร้างสายสัมพันธ์กับอีกฝ่ายได้ที่นี่ย่อมเป็นการดี ตรงกันข้าม หากอีกฝ่ายไม่พอใจกับสถานที่ของเขา ท้ายสุดย่อมหายไปอยู่ต่อหน้าพ่อค้าคนอื่นแล้ว

เขาจะแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างไรเล่า?

เมื่อแสดงท่าทีแปลกใจเสแสร้งแล้ว โกรคาคอสก็ตวาดใส่ผู้คุมทาส

“เจ้าโง่! หากดูให้ดีก็เห็นว่ามิใช่ทาสที่ข้าสั่งให้เจ้าพามามิใช่รึ!?”

ถึงแม้ที่แท้อีกฝ่ายจะทำไปตามคำสั่งเขาก็ตามที โกรคาคอสขยับริมฝีปากเข้าใกล้หูผู้คุมทาสที่กำลังสับสนไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงถูกตวาดใส่แล้วกระซิบ

“ไปเลือกคนแคระที่แข็งแรงสุขภาพดีมาห้าตัวจากพวกที่ข้าตั้งใจจะขายในเมืองหลวงมาที่นี่เร็วเข้า! เลือกมาให้ดี!”

ผู้คุมทาสนำคนแคระทั้งห้าไปขังในกรงเดิมอย่างรวดเร็ว แล้วจึงกลับมาพร้อมคนแคระใหม่ห้าตัวจากกรงอื่น

“ข้าต้องขออภัยด้วยนายน้อย นี่จึงจะเป็นทาสที่ข้าตั้งใจจะแนะนำให้กับท่าน”

“ดูเป็นทาสที่ดีทีเดียว ราคาเท่าไหร่ครับ?”

ครานี้ แม้จะนำคนแคระชั้นหนึ่งออกมา ทว่าการโต้ตอบดูอ่อนแรงไปมาก

เพราะความล้มเหลวก่อนหน้า ความสนใจของโซวมะจึงหายไปแล้ว

คิดเช่นนั้น โกรคาคอสจึงตัดสินใจจะให้ราคาที่ทำให้อีกฝ่ายต้องตกตะลึงเพื่อเป็นการแก้ตัว

“ดังที่ท่านกล่าวเอาไว้ขอรับท่านลูกค้า สิบเหรียญเงินต่อตัว ถือเป็นค่าคำขอโทษสำหรับความวุ่นวายก่อนหน้า ทั้งหมดห้าตัวห้าสิบเหรียญเงินขอรับ”

“คุณไม่เป็นไรจริงนะ!?”

ไม่มีทาง! ...เขาอยากตอบเช่นนั้น ทว่ากลับต้องรั้งปากตนเอาไว้

พวกนี้ล้วนเป็นทาสคนแคระที่สมบูรณ์แบบไร้ข้อตำหนิ สามารถทำหน้าที่ได้ดีไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้หรือทำไร่ทำเหมือง

ล้วนแต่เป็นทาสที่ประเมินราคาได้สองร้อยถึงสามร้อยเหรียญเงินต่อตัวทีเดียว

นับเป็นความสูญเสียที่ทำให้กำไรจากการขายดวาลินเกินราคาก่อนหน้านี้หายไปจนเกือบหมดสิ้น

ทว่าก็นับเป็นความสูญเสียที่คุ้มค่าแล้ว

เห็นโซวมะตกตะลึงเพียงนั้น จนไม่อาจซ่อนสีหน้าเอาไว้ได้ โกรคาคอสจึงพยักหน้าหลายครั้งอย่างพอใจ

เช่นนี้ไม่เพียงจะได้ชดเชยความเสียหายก่อนหน้า ทว่ายังสร้างความประทับใจให้อีกฝ่ายเป็นอย่างสูงแล้ว

“เข้าใจล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ราคานี้…”

เห็นโซวมะไม่อาจหยุดตกตะลึง โกรคาคอสจึงมั่นใจในความสำเร็จตนเป็นอย่างยิ่ง

เสียทีที่นายน้อยมาใกล้วันเดินทางสู่เมืองหลวง เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะมาเยี่ยมเยียนร้านนี้อีกครั้ง

หากเขาสำรองทาสสุขภาพดีเอาไว้จนถึงยามนั้น ย่อมสามารถขายได้ในราคาแพงเช่นเดียวกับดวาลินทีเดียว โกรคาคอสหัวเราะเบา

◆◇◆◇◆


ในช่วงเวลาเดียวกัน โซวมะและคนอื่นๆ ก็เดินทางออกจากเมืองพร้อมกับทาสคนแคระในเกวียน

ฮอปกินส์และโซวมะนั่งคู่กันที่ที่นั่งคนขับ เชมุลนั่งอยู่ในเกวียนเพื่อจับตามองทาสคนแคระซึ่งยามนี้นั่งหันหลังให้โซวมะและฮอปกินส์

ตรวนที่คอและเท้าล้วนถูกถอดออกแล้ว ทว่าพวกเขาก็ยังคงดูเชื่อฟังไม่มีทีท่าจะต่อต้านแม้แต่น้อย

“เจ้าว่าเจ้าจ่ายออกไปไม่ถึงเก้าร้อยเหรียญเงินกับคนแคระทั้งหมดนี่รึ?”

ฮอปกินส์ที่ถามถึงเหตุการณ์ในคฤหาสน์พ่อค้าทาสเพื่อฆ่าเวลาตกตะลึงไปเมื่อโซวมะบรรยายเหตุการณ์ให้ฟัง

เมื่อหันมองเข้าไปในเกวียน เขาก็เห็นทาสคนแคระแข็งแรงหกคน

ทาสคนแคระที่ทั้งแข็งแรงสุขภาพดีเช่นนี้แลกได้ราคาดีกว่าทาสชาวมนุษย์ เท่าที่ฮอปกินส์ทราบเก้าร้อยเหรียญเงินนี้ราวกับเรื่องตลกร้ายทีเดียว หากมิได้มีอาการป่วยไข้ก็มักได้รับบาดเจ็บขนานใหญ่

แต่เมื่อมองดูคนแคระในเกวียนนี้ บอกว่าคนละสามร้อยเหรียญเงินยังไม่แปลกสักนิด ฮอปกินส์ประเมินในใจ

“เจ้าใช้เวทมนตร์อะไรกันแน่จึงซื้อพวกเขามาในราคานี้ได้?”

พ่อค้าทาสไม่มองมนุษย์เป็นมนุษย์ ยังเป็นที่ทราบกันดีว่าละโมบเพียงใด หากมีวิธีการลับใดที่ทำให้เขาต่อราคาลงมาได้เพียงนั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็อยากให้อีกฝ่ายสอนสั่งให้ได้ ฮอปกินส์ปรารถนาแรงกล้า

“เวทมนตร์แบบไหนงั้นเหรอครับ...ผมก็แค่พยายามต่อราคาตามปกติเองนะ?”

ไม่มีทางแน่นอน ฮอปกินส์หันไปมองเชมุลที่ยามนี้นั่งหันหลังให้ทั้งสองอยู่เพื่อขอความช่วยเหลือ

เชมุลที่รู้สึกถึงสายตาจากฮอปกินส์หันกลับมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ

“มิใช่เป็นธรรมชาติของโซวมะหรอกหรือ?”

ฮอปกินส์หัวตกลงอย่างสิ้นหวัง รู้ตัวว่าเขาขอความช่วยเหลือผิดคนเสียแล้ว

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น