โซวมะจัดการทานเจ้าอาหารโลกแฟนตาซีลงไปจนได้ เขารู้สึกอยากจะชื่นชมตัวเองเหลือเกินกับนิสัยแบบญี่ปุ่นๆ ที่ไม่ชอบทิ้งขว้างอาหาร ถ้าอยู่โลกเดิมเขาต้องได้รับคำชมเป็นอย่างสูงแน่
ฮอปกินส์ยิ้มอ่อนขณะมองร่างโซวมะที่เดินโซเซกลับไปยังเกวียน แล้วพูด
“เช่นนั้น ข้าจะมุ่งหน้าไปสมาคมต่อ แล้วพวกเจ้าเล่า? ”
พาผู้ไม่คุ้นเคยไปยังสมาคมนับเป็นเรื่องไม่น่าปรารถนาซึ่งไม่จำกัดเพียงสมาคมพ่อค้าเท่านั้น โดยเฉพาะโซวมะและเชมุลที่สามารถนำความปั่นป่วนมายังเมืองนี้ได้ หากถูกเปิดเผยขึ้นมาว่าเขาเป็นผู้พาไป ย่อมต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงสมาคมแน่
ฮอปกินส์เองยังสามารถอธิบายได้ว่าเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากครอบครัวถูกจับเป็นตัวประกัน ทว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจลากสมาคมพ่อค้าไปเกี่ยวข้องได้
ได้ยินน้ำเสียงฮอปกินส์แล้ว โซวมะก็คิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพูด
“เราอยากดูรอบเมืองสักหน่อย ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ? ”
“เกวียนนี้เป็นทรัพย์สินที่สำคัญต่อข้ามาก โปรดดูแลมันให้ดี อย่าให้มันพังเสียเล่า”
ที่จริงถ้าอีกฝ่ายรออยู่ในเกวียนเขาจะโล่งใจกว่ามาก แต่ก็ช่วยไม่ได้
หากพวกนี้ทำเกวียนพัง เขาก็จะคิดค่าเสียหายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฮอปกินส์สาบานอยู่ในใจ
ทว่าโซวมะกลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่คาดคิด
“เชมุลกับผมจะเดินดูเมืองครับ แบบนั้นไม่ดีเหรอ? ”
“อะไรกันเล่า? เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไรกับเกวียนนี้กัน? ”
“ให้คุณขับไปที่สมาคมไม่ได้เหรอครับคุณฮอปกินส์”
บทสนทนาคล้ายจะไปคนละทิศ
ฮอปกินส์พูดช้าลง พยายามใจเย็นเรียบเรียงเรื่องที่ต้องการจะสื่อ จากนั้นจึงเอ่ยราวกับกำลังสอนเด็กน้อยอย่างช้าๆ
“ฟังให้ดี ไหเหล่านั้นวางไว้ในส่วนสัมภาระของเกวียน”
ไหเหล่านั้นคือเงินทุนที่นำมาจากป้อมปราการ
“เจ้าย่อมไม่อาจขนไปด้วยได้ มันหนักเกินไป ต่อให้ไม่หนักเจ้าก็คงไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นกระมัง ถือเดินรอบเมืองมันอันตราย”
ไม่รู้ว่าจะมีใครแอบฟังอยู่หรือไม่ ฮอปกินส์จึงใช้คำว่า “ไหนั่น” ขณะอธิบายว่าเมืองนี้ดูอันตรายกว่าที่เห็น
ทว่าคำตอบของโซวมะก็ยังเป็นอะไรที่เขาคาดไม่ถึงอยู่ดี
“ครับ เพราะแบบนั้น เราฝากไว้ที่คุณไม่ได้เหรอครับ คุณฮอปกินส์”
ได้ยินแบบนี้ ฮอปกินส์ลืมไปเรียบร้อยว่าครอบครัวตนยังถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ ถึงกับอุทานออกมาตรงๆ
“เจ้าโง่รึอย่างไร? ”
เขาไม่เคยตรวจดูจำนวนแน่นอน ทว่าประเมินคร่าวๆ แล้ว ตรงนั้นน่าจะมีราวหนึ่งพันแอกนิส (1,000 เหรียญเงิน = 100,000 ดิน่า)
มีมากเพียงนั้น เขาสามารถเลิกเป็นพ่อค้าเร่ เปิดร้านขายของในเมือง ยังสามารถอาศัยอยู่ในเมืองหลวงได้อีกปีหนึ่งโดยที่ทำตัวไร้สาระไปวันๆ มีทาสอีกมากมาย
เช่นนั้นลูกเมียที่ถูกจับเป็นตัวประกันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว มีมนุษย์มากมายที่ขายภรรยาและลูกอย่างดีอกดีใจแลกกับเงินจำนวนมาก
ฝากเงินมากเพียงนี้ไว้กับคนอื่นเรียกได้ว่าบ้าบอโง่เง่า
โง่เง่าเป็นอย่างยิ่ง คนโง่งมผู้ยิ่งใหญ่
ทว่าโซวมะกลับไม่ได้หน้าขึ้นสีโกรธเคืองฮอปกินส์ที่หยาบคายแม้แต่น้อย ตอบด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
“แต่ถ้าคุณคิดอย่างนั้นจริง คุณก็บอกข้อมูลเรื่องเราให้ทหารได้ตั้งนานแล้วนี่ครับ ใช่ไหมล่ะ? ถึงจุดนั้นถ้าผมยังเป็นห่วงเรื่องพวกนี้อยู่ก็ไร้ประโยชน์แล้ว”
ฮอปกินส์อ้าปากค้าง
ไม่ต้องสงสัยเลย เจ้าเด็กนี่ย่อมต้องอาศัยในสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มีจิตใจดีงามเป็นแน่
ไม่อาจคิดสิ่งใดได้นอกเสียจากอีกฝ่ายจะเกิดและเติบโตขึ้นมาในสถานที่ที่คนแปลกหน้ายังช่วยเหลือสนับสนุนกันและกันเป็นเรื่องธรรมดา สถานที่ที่ไม่จำเป็นต้องระวังว่าจะถูกฆาตกรรมหรือจะเกรงว่าคนที่เข้าใกล้ตนเองจะเป็นขโมย สถานที่ที่ไม่จำเป็นต้องสงสัยว่าผู้อื่นจะวางแผนปอกลอกตนทั้งที่มีรอยยิ้มฉาบบนใบหน้าหรือไม่
ฮอปกินส์กำลังจะบอกอีกฝ่ายว่าอย่าใสซื่อเกินไปนักด้วยถ้อยคำหยาบคายทั้งหมดที่ทราบแล้ว ทว่า
“อีกอย่างนะครับคุณฮอปกินส์ ถ้าคุณเป็นคนไม่ดีที่คิดจะขโมยเงินจริงๆ คุณคงไม่บอกพวกเราแบบนี้หรอกใช่ไหมล่ะ? ”
คำหยาบคายติดอยู่ปลายลิ้น กลายเป็นอากาศอันไร้เสียงที่หลุดออกมาจากปาก
ไม่รู้เหตุใด เขาจริงเริ่มรู้สึกอับอายเพราะสายตาโซวมะขึ้นมา
ในที่สุดฮอปกินส์ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเดินขึ้นเกวียนเสียงดังแล้วตะโกนใส่เชมุลที่อยู่ด้านใน
“เจ้าเด็กนั่นมันเป็นบ้าอะไรกัน!? เป็นนักต้มตุ๋นโดยธรรมชาติอะไรพวกนั้นใช่ไหม!? ”
เชมุลที่กำลังแต่งขนตัวเองฆ่าเวลาอยู่ในเกวียนเอ่ยตอบคำถามของฮอปกินส์หลังจ้องมองอากาศว่างเปล่าอยู่ชั่วขณะ
“อืม เช่นนั้นหมายความว่าข้าถูกเขาหลอกลวงหรือไม่? ”
◆◇◆◇◆
สุดท้ายโซวมะกับเชมุลก็แยกจากฮอปกินส์ที่มุ่งหน้าไปยังสมาคมด้วยรถม้า พวกเขามุ่งหน้าไปยังชานเมือง ทำให้สามารถมองกำแพงเมืองได้
“ดูแล้วปีนได้รึเปล่า? ”
เมื่อโซวมะถาม เชมุลที่สวมชุดคลุมมีหมวกซึ่งฮอปกินส์หาให้เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจก็เงยหน้ามองกำแพงเช่นกัน แล้วตอบ
“คาดว่าต้องยากแน่นอน แม้ไม่ใช่ระดับเดียวกับป้อมปราการ ทว่าความสูงนี้ก็ทำให้ไม่สามารถกระโดดถึงได้ อีกประการ กำแพงหนาเช่นนี้ยังไม่อาจทำลายได้โดยง่าย”
กำแพงเมืองนี้มีความสูงพอๆ กับรั้วที่สูงที่สุดของบ้านชั้นเดียวในญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน ต่อให้เป็นโซออนที่มีความสามารถทางกายภาพสูงก็ยังนับว่าเป็นความสูงที่ใช่จะข้ามผ่านไปได้ง่ายๆ
“แต่ว่า ถ้าเราวิ่งมาพร้อมกับแบกบันไดมาด้วย ผลก็มีแต่จะทำให้กลายเป็นเป้านิ่งใช่ไหม? ”
จุดแข็งของโซออนคือความคล่องตัวยามวิ่งด้วยสี่ขา
เหมือนที่โซวมะพูด วิ่งไปแบกบันไดไปคือการละทิ้งข้อได้เปรียบที่สุดของตนเอง
ขณะเดินเลียบไปตามกำแพง ก็บังเอิญพบเข้ากับแม่น้ำที่ไหลผ่านมาจากใจกลางเมือง เมื่อมองไปแม่น้ำสายนั้นก็เห็นก้อนหินมากมาย ยังมีกลิ่นเหม็นเน่าแตะจมูก
แม่น้ำไหลเอื่อยสายนี้เต็มไปด้วยน้ำโคลนดำๆ ทั้งยังมีเศษขยะลอยเท้งเต้ง แค่ผ่านๆ ยังไม่น่ามอง ทว่าความลึกกลับน่าคิดทีเดียว
แม่น้ำสายนี้ไหลผ่านช่องโค้งขนาดใหญ่ไปยังคูน้ำรอบกำแพงเมือง มีลูกกรงเหล็กหนาๆ ขวางช่องทางนั้นเอาไว้
“มีเจ้านั่นอีก บุกเมืองทางน้ำต้องยากแน่ๆ ”
ถ้าลองพยายามเปิดช่องทางด้วยการทำลายลูกกรงเหล็กจากใต้น้ำ ใช้ท่อหายใจเหมือนวิชานินจาที่ซ่อนตัวทางน้ำจะเป็นยังไงนะ? เขาครุ่นคิด
“ต่อให้ทำแบบนั้นจะแทรกซึมเข้าเมืองได้ก็แทบจะไร้ประโยชน์สินะ หืม? ”
ต่อให้โซออนแทรกซึมเข้าเมืองได้ ก็ยังสามารถทำได้เพียงก่อเหตุวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ อย่างลอบสังหารหรือวางเพลิงซึ่งเป็นเหตุความไม่สงบชั่วคราวเท่านั้น หากจะเข้าควบคุมเมืองนี้ได้ กองกำลังโซออนจะต้องเข้ามาในเมืองพร้อมกันในคราวเดียว
นอกจากนั้นอันตรายจากแม่น้ำคือมันจะกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้การแทรกซึมครั้งนี้ชัดเจนต่อสายตายามรักษาการณ์จนเกินไป หากเกิดเหตุต่อสู้ขึ้นมา พวกเขาต้องถูกทหารเกราะหนักข่มเอาแน่
ถ้าอย่างนั้น ถ้าสร้างเขื่อนทางต้นน้ำ แล้วค่อยทำลายเขื่อนให้น้ำและท่อนซุงซัดเข้าทำลายลูกกรงนั่นในครั้งเดียวแล้วค่อยให้โซออนโจมตีดีมั้ย? เขาคิดอะไรแบบนั้น
“ไม่อะ ไม่ดีแหงๆ …”
เขาโยนความคิดนั้นทิ้งไป
ถ้าเขาเป็นผู้บัญชาการของเมืองนี้ แล้วเกิดเหตุเหล่านั้น เขาจะต้องให้มือธนูยิงฝนธนูเข้าใส่โซออนที่กำลังว่ายน้ำเข้ามาจากบนกำแพงแน่ เขาจะให้ทหารประจำการสองฟากแม่น้ำใช้หอกแทงโซออนที่การเคลื่อนไหวทื่อลง แบบนั้นเหมือนการส่งการัมและคนอื่นๆ เข้าโรงเชือดมากกว่า
“ยากจริงๆ ล่ะ ถ้าเราหาทางให้นักรบเข้าเมืองเยอะๆ ไม่ได้ ยังไงเมืองนี้ก็ไม่ล้ม”
“อย่างไรพวกเราโซออนล้วนแต่ด้อยกำลังต่อการโจมตีเมืองหินเช่นนี้”
เชมุลเอ่ยด้วยท่าทีขอโทษขอโพยต่อโซวมะที่ดูจะไร้หนทาง กลยุทธ์การยึดครองปราสาทและเมืองเท่าที่โซวมะรู้จากมังงะและนิยายก็มีการบุกล้อม การเจรจา การทรยศ การทำลายกำแพง การสร้างความเสียหายต่อผู้พิทักษ์ การบุกจู่โจมกะทันหัน และการใช้สมองสร้างแผนลวงขึ้น
สำหรับการโอบล้อมเมืองบังคับให้ฝ่ายป้องกันต้องปิดเมืองจนอดอาหาร สามารถทำได้ด้วยกองทัพขนาดใหญ่
แต่ว่ากรณีนี้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องการเป็นการต่อสู้แน่นอน ถ้าเป็นแบบนั้น ทัพเสริมจากรัฐฮอลเมียจะต้องมาถึงตั้งแต่ก่อนเมืองจะล่มแล้ว แบบนี้โซออนจะถูกโจมตีกระหนาบจากทั้งในเมืองและนอกเมือง
การเจรจาคือการให้ทางเมืองเปิดประตูด้วยการข่มขู่หรือเจรจามอบผลประโยชน์ ซึ่งการทรยศก็คล้ายๆ กัน ล้วนแต่เป็นเรื่องของการเอาชนะมนุษย์จากมุมของฝ่ายป้องกัน
แต่ว่าโซออนไม่มีตัวหมากเจรจาใดที่จะให้ประโยชน์กับเมืองที่มีมนุษย์ได้ และต่อให้ข่มขู่ ฝั่งเมืองก็ไม่น่าจะฟังแน่นอน
การทำลายกำแพง ก็ตรงตัว คือการคว้าชัยชนะด้วยการทำลายกำแพงฝ่ายศัตรู
ทว่า โซออนก็ไม่มีความรู้หรือเทคโนโลยีที่จะสร้างอาวุธประเภทเครื่องยิงหินหรืออะไรที่สามารถทำลายกำแพงได้แม้แต่นิดเดียว ต่อให้ไม่ต้องสร้างอาวุธ ถ้าจะทำลายกำแพงด้วยการขุดรูจากด้านล่างเพื่อให้กำแพงถล่มก็ยังมี แต่วิธีนั้นก็ยิ่งเป็นความคิดที่ไร้เหตุผลยิ่งกว่าอีก
การสร้างความเสียหายต่อผู้พิทักษ์จะเกี่ยวเนื่องกับการทำให้ความสามารถในการป้องกันของเมืองลดต่ำลงด้วยการสังหารผู้พิทักษ์หลังจู่โจมเมืองโดยตรง หรือด้วยการล่อลวงผู้พิทักษ์ออกนอกเมือง
แต่การล่อลวงทหารหน่วยป้องกันทั้งหมดออกมานอกกำแพงเมืองก็เป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงการโจมตีโดยตรงที่นับเป็นเรื่องโง่เขลาสุดขีดเลย ศรและธนูอาจสังหารทหารบนกำแพงเมืองได้ แต่ในบรรดาโซออนก็มีเพียงชาฮาต้าที่มีฝีมือในการยิงธนู
ต่อมาคือการบุกจู่โจมกะทันหัน แต่การโจมตีเมืองอย่างรวดเร็วก่อนที่อีกฝั่งจะทันเตรียมการป้องกันศัตรูรุกรานนั้นจะได้ผลหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับว่าจะบุกเข้าเมืองได้หรือไม่
ดูจากสภาพพื้นที่แล้ว กองทัพฝั่งโซออนจะต้องถูกพบเห็นจากระยะไกลหลายชั่วโมงก่อนถึงเมือง ทำให้การโจมตีกะทันหันเป็นไปไม่ได้แน่นอน
“ที่เหลือก็มีแต่ใช้สมองวางแผนการแล้ว แต่ก็ไม่มีไอเดียอะไรผุดขึ้นมาสักนิด ยิ่งคิดว่าแผนพวกนี้ต้องเป็นแผนที่ต่างจากปกติด้วยแล้วเนี่ย”
ในมังงะกับหนังนั้นมีวิธีการน่าหวาดกลัวมากมาย เช่นสร้างบอลลูนลมร้อนเพื่อใช้ส่งทหารเข้าเมืองโดยตรง หรือโยนทหารเข้าเมืองด้วยเครื่องยิงหิน
แต่ว่า อย่างที่คิดนั่นแหละ ไม่สมจริงสักนิด
ทั้งสองหันหลังกลับ ทิ้งกำแพงเมืองไว้เบื้องหลังและหาทางไปยังสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำแทน ตอนนั้นเอง พวกเขาก็ได้เห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินตัวโงนเงนเข้ามา
ระหว่างเดิน ชายคนนั้นก็ยกถุงหนังในมือขึ้นจรดปาก ดูไปแล้วคงกำลังเมา เนื่องจากไม่อยากมีเรื่องพิพาทที่ไม่จำเป็น ทั้งคู่จึงเดินเลี่ยงไปยังริมถนน หันหน้าหนีจากคนเมาคนดังกล่าว
ทว่าดูเหมือนการทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้อีกฝ่ายสนใจพวกตนขึ้นมา คนขี้เมาจึงรุดเดินมาขวางทางเชมุลทันทีที่กำลังจำเดินสวนกัน เขามอบลอดเข้าไปใต้หมวกคลุมของเชมุลอย่างหยาบคาย
“โอ้! นี่มิใช่โซออนหรอกรึ!? ”
ทาสชาวโซออนนั้นหายาก เจ้าขี้เมาเบิกตากว้างอย่างแปลกใจ จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มน่าขยะแขยงเมื่อเห็นร่างกายได้รูปของเชมุล
“โอ้โฮ ร่างกายงดงามแท้ แม้จะเป็นเดรัจฉานทว่าคงช่วยงานด้านล่างได้ดียิ่ง นี่ไอ้หนู! เจ้าไม่ขายนางชั้นต่ำให้ข้าเล่า? สักห้าแอกนิส ข้าจ่ายให้”
ขณะกล่าวดังนั้น มือของคนขี้เมาก็ขยับเข้านวดบั้นท้ายเชมุลอย่างกระหาย
ขนทั่วร่างเชมุลลุกชัน นางทราบว่าหากนางทำตัวโดดเด่นที่นี่ย่อมต้องเป็นปัญหาแล้ว นางจึงทำได้เพียงอดทนต่อความอับอาย คำรามอยู่ในใจ
แตะต้องทาสผู้อื่นนับเป็นการกระทำหยาบคาย แต่เพราะฤทธิ์สุรา และเพราะโซวมะดูอ่อนแอ จึงได้กระตุ้นสันดานหยาบคายของเจ้าขี้เมาออกมา
“เธอไม่ได้มีไว้ขาย เชมุล ไปกันเถอะ”
เพราะความรู้สึกขยะแขยงราวกับสิ่งสำคัญถูกทำให้มีมลทิน น้ำเสียงโซวมะจึงแข็งกร้าว
เหล่านี้ทำลายอารมณ์ดีๆ ของเจ้าขี้เมาแล้ว สีหน้าเขาแดงขึ้นมิใช่ด้วยฤทธิ์สุรา ทว่าด้วยความโกรธเคือง
“ไอ้เด็กบัดซบนี่อะไรกัน!? โกรธเพราะข้าแตะต้องทาสรับใช้ส่วนล่างเจ้ารึ? หา? เจ้าคงให้นางดูแลเจ้าทุกคืนสิท่า หือ? ”
โซวมะพยายามจะไม่ใส่ใจแล้วจากไป ทว่าเขากลับต้องหันกลับไปเพราะความหยาบคายเกินคาด
โซวมะรู้สึกเหมือนมีอะไรเปียกๆ ลอยมาโดนแก้ม
เมื่อใช้นิ้วแตะแก้ม ก็รู้สึกถึงความเหนียวประหลาด
โซวมะ -ที่เพิ่งทราบว่าสิ่งนั้นคือน้ำลายที่เจ้าหมอนั่นถ่มใส่- ยังไม่ทันหัวร้อนถึงขีดสุด เสียงเปียกๆ หนักๆ ก็สะท้อนไปทั่ว
“อ๊อก”
ร้องราวกับหมู เจ้าขี้เมากระเด็นหงายหลัง
เมื่อโซวมะมองไป ก็เห็นเชมุล -ที่ต่อยหน้าเจ้าขี้เมาสุดแรง- ยืนตัวสั่น มองหมัดของตนเอง คล้ายกับจะกล่าวว่า “มือมันไปเอง”
โซวมะก้มเก็บถุงหนังใส่เหล้าที่ร่วงอยู่ข้างตัวเจ้าขี้เมาซึ่งยามนี้ล้มพับตาเหลือก เทของเหลวด้านในใส่ร่างของอีกฝ่าย จากนั้นจึงหยิบเอาเหรียญเงินออกมาจากถุงเงินย่อยที่ฮอปกินส์ให้ไว้ ยัดใส่มือเจ้าขี้เมา
“เราต้องหนีกันแล้วล่ะเชมุล! ”
“เอ๋…!? ขะ เข้าใจแล้ว”
โซวมะไม่สนใจโซ่จูง คว้าจับมือเชมุล แล้วออกวิ่ง
เลี่ยงถนนหลัก ผ่านถนนสายย่อย ไม่นานนักทั้งคู่ก็วิ่งจนมาโผล่บริเวณพื้นที่โล่งๆ แถบชานเมือง
เมื่อมั่นใจแล้วว่าโดยรอบไม่มีคน โซวมะก็ทรุดลงนั่งที่พื้น หอบหายใจหนักหน่วง
“สุดยอดไปเลย”
โซวมะหัวเราะเมื่อคิดถึงภาพน่าสมเพชของเจ้าขี้เมาที่หงายหลังผึ่ง ตาขาวเหลือก แถมยังเลือดกำเดาไหลพรากนั่น
“อืม...โซมะ ข้าขอโทษ ข้าทำไปเพราะความโมโห”
ด้วยรู้สึกผิดที่ดึงให้โซวมะต้องเดือดร้อนทั้งที่ควรเป็นคนตั้งสติให้ดี เชมุลจึงรู้สึกหดหู่เป็นอย่างยิ่ง ปลายหูของเธอลู่ลงอย่างซึมกะทือ
“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเราก็ไม่เป็นไรแน่”
ต่อให้เจ้าขี้เมานั่นโมโห แต่คนขี้เมาเหม็นเหล้าก็ไม่มีใครใส่ใจจริงจัง อีกอย่าง พอเห็นเหรียญเงินที่ถือเอาไว้ เขาก็คงพิจารณาแล้วว่าเก็บเงินไว้ใช้ดีกว่าต้องอับอาย
ถึงจะบอกไปแล้ว เชมุลก็ยังดูห่อเหี่ยวอย่างรับไม่ได้อยู่ดี โซวมะจึงพูดด้วยน้ำเสียงสดใสเท่าที่จะทำได้
“ต่อให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา เราก็ยังหนีได้ตราบใดที่มีเธอนะเชมุล”
ได้ยินว่าตนเองเชื่อถือได้ ในที่สุดหูที่ลู่ลงก็เด้งขึ้นมา
โซวมะเห็นแล้วก็โล่งใจ จึงเอ่ยปากถามสิ่งที่ตนกังวลออกมา
“อีกอย่างหนึ่ง ขอโทษที่ทำให้ต้องเจอเรื่องแย่ๆ นะเชมุล เธอโอเคใช่ไหม? ”
“หากเป็นเรื่องเจ้าสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำนั้น ข้าไม่ใส่ใจนับตั้งแต่ได้ซัดมันแล้ว”
“อ่าฮะ ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดหรอก ปลอกคอนั่นน่ะ…”
แม้แต่โซวมะก็ยังได้ยินว่าเชมุลหยิ่งทระนงถึงขั้นถูกขนานนามว่า ‘เขี้ยวสูงศักดิ์’ จากเหล่าโซออน แต่คนเช่นเธอกลับไม่เพียงจะยกโซวมะขึ้นเป็น ‘นายแห่งนาภี’ แต่ยังยอมให้เขาสวมปลอกคอให้ โซวมะรู้สึกแย่ที่ต้องทำเหมือนจูงเธอแบบนี้ ทว่าท่าทีตอบกลับของเชมุลกลับต่างไปจากที่โซวมะคาดไว้
“ปลอกคอนี้ทำไมหรือ? ”
โซวมะกะพริบตาเพราะท่าทีที่ไม่เปลี่ยนแปลงของเชมุล
“ตะ แต่เธอเกลียดการเป็นทาสไม่ใช่เหรอ? ”
เชมุลกลับตอบโซวมะด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วส่ายหน้าซ้ายขวา เธอมองเขาอย่างกระฟัดกระเฟียดคล้ายกับแปลกใจว่าทำไมเรื่องง่ายแค่นี้ถึงยังไม่เข้าใจอีก
เชมุลจ้องหน้าโซวมะ แล้วกล่าว
“ข้าเชื่อเจ้า โซมะ”
คำสารภาพกะทันหันทำให้โซวมะเขินขึ้นมา
“ข้าโง่งม ย่อมมียามที่ข้าเป็นกังวลด้วยไม่เข้าใจว่าเจ้าคิดสิ่งใด ข้ายังสับสนกับแผนที่เจ้าพูดถึงว่านับเป็นการขลาดกลัวหรือไม่ และข้ายังคงกังวลว่าโซออนอาจล่มสลายเพราะเจ้า”
เหล่านี้ล้วนแต่เป็นความรู้สึกที่เชมุลไม่อาจเปิดเผยต่อหน้าโซออนตนอื่น
“และแม้จะเป็นเช่นนั้น ข้ายังคงเชื่อมั่นในมนุษย์ผู้อ่อนโยน ผู้อ่อนแอ ผู้เจ็บปวดนามโซมะ คิซากิ ที่พยายามจะกระทำการให้สำเร็จเพื่อผองเรา ข้าศรัทธาในตัวเจ้า”
สิ่งที่เชมุลเชื่อ ไม่ใช่แผนการของโซวมะ
เธอเชื่อในตัวตนของโซวมะ
“แม้แต่ข้าผู้โง่งมก็ยังเข้าใจว่านายแห่งนาภีของข้ากำลังพยายามกระทำการบางสิ่งที่ใหญ่โตอยู่ เช่นนั้นย่อมเป็นเกียรติของข้าที่ได้ติดตามไปไม่ว่าเจ้าจะไปที่แห่งใด ความรู้สึกอับอายที่ร่างกายนี้ถูกเยาะเย้ยมิใช่เป็นการเสียเกียรติหรอกหรือ? ”
เชมุลวางนิ้วลงบนปลอกคอที่มีโซ่ล่าม
“อีกประการ สิ่งนี้อย่างมากยังเป็นเพียงปลอกคอ แน่นอนย่อมดูย่ำแย่ไปบ้าง และกระทั่งร่างกายของข้ายังถูกช่วงชิงอิสระไป ทว่า แล้วอย่างไรเล่า? ”
เธอหัวเราะ ราวกับของชิ้นนี้ไม่มีอะไรให้น่าใส่ใจ
“ผู้ที่อับอายจากการถูกมองอย่างย่ำแย่ล้วนเป็นผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ สำหรับนักรบผู้หนึ่งแล้ว การถูกสบประมาทคือการหยามหมิ่นเกียรติยศของตน ร่างกายที่ถูกขโมยอิสระมิใช่เรื่องใหญ่แม้เพียงนิด ด้วยอย่างไร ก็ไม่มีผู้ใดสามารถล่ามตรวนหัวใจและจิตวิญญาณข้าได้”
“ไม่มีใครสามารถล่ามตรวนหัวใจและจิตวิญญาณได้…? ”
โซวมะทวนคำของเชมุลอีกครั้ง เขาคิดตาม
“ใช่! สิ่งที่ตรวนหัวใจและจิตวิญญาณของผู้หนึ่งได้ มีเพียงตัวของผู้นั้นเท่านั้น”
ที่ท่วมท้นจากร่างของเชมุล คือความดุดันและความสง่างาม
“สิ่งที่ล่ามรั้งทาสไว้มิใช่โซ่เหล็ก หากเป็นความหวาดกลัวและการยอมแพ้ของพวกเขาเอง! ความหวาดกลัวจะถูกแย่งชิงชีวิต ความหวาดกลัวจะถูกเฆี่ยนตีด้วยแส้ เหล่านั้นคือสิ่งที่ล่ามหัวใจและจิตวิญญาณของทาสทั้งหลาย พวกเขาล้วนกลัวอิสระในจิตใจ และยอมตกสู่ความเป็นทาส พวกเขายอมแพ้ที่จะหลบหนีจากน้ำหนักของการตัดสินชะตาชีวิตตน ปล่อยผู้อื่นใช้โซ่เหล่านั้นรั้งดวงใจและวิญญาณ พวกเขาเป็นผู้ปล่อยตนเองให้กลายเป็นทาสที่แท้จริง”
เชมุลใช้มือขวาทุบอกตนเองโดยแรง
“ทว่า ศักดิ์ศรีที่ผูกรั้งในดวงใจและวิญญาณนักรบคือการตัดสินใจ ความปรารถนา นักรบสังหารศัตรู ไม่ว่าจะเอ่ยด้วยถ้อยคำงดงามเพียงใดก็ยังเป็นการเข่นฆ่าผู้อื่น เช่นนั้นนักรบจึงต้องล่ามดวงใจและจิตวิญญาณไว้ด้วยเกียรติ เพื่อมิให้ต้องกลายเป็นเพียงฆาตกร พวกเขาล้วนบังคับใจตนเอง เพื่อการเป็นผู้มีเกียรติ! ”
เชมุลยิ้มให้โซวมะ
โซวมะแยกแยะสีหน้าซับซ้อนของโซออนไม่ออก แต่มีเพียงคราวนี้ ที่เขาเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเชมุล แล้วรู้สึกราวกับเห็นดอกไม้ผลิบาน
“โซมะ ข้ายกเจ้าเป็นนายแห่งนาภี ทว่านั่นมิใช่เพราะความกลัวหรือการยอมแพ้ มันคือความปรารถนาของข้าที่จะได้เดินไปในเส้นทางเดียวกับเจ้า เป็นการตัดสินใจของข้า เพื่อรับบาปทุกประการที่เจ้าอาจต้องก่อขึ้น”
โซวมะคิดว่าเธองดงามยิ่ง
จากก้นบึ้งของหัวใจ เขาเห็นว่าโซออนเบื้องหน้าเขางดงามเหลือเกิน
“เช่นนี้เอง ข้าจึงยังคงเป็น ‘เขี้ยวสูงศักดิ์’ โซออนผู้กระทั่งในยามนี้ยังคงโลดแล่นข้ามท้องทุ่งอย่างอิสระด้วยฝีเท้าของตน”
โซวมะเพิ่งเข้าใจเป็นครั้งแรก ว่าทำไมเหล่าโซออนจึงขานนามเธอว่า ‘เขี้ยวสูงศักดิ์’
เธอคือโซออนที่งดงามและหยิ่งทระนงยิ่งกว่าใคร
‘เขี้ยวสูงศักดิ์’ เหมาะกับเธอแล้ว
“เชมุล! ”
โซวมะหน้าแดงก่ำ เขาจับสองมือของเชมุลไว้โดยไม่รู้ตัว
“ผมเอาแต่คร่ำครวญที่ร่วงหล่นมาโลกนี้ ผมยังคิดว่าอยากจะกลับไปในทันทีถ้าทำได้ แต่ผมไม่เสียใจแม้แต่นิดเดียวที่ได้เจอเธอ เชมุล ไม่เสียใจสักนิดเดียว! ”
“ข้าก็ไม่เสียใจได้ให้เจ้าเป็นนายแห่งนาภีของข้า”
เชมุลบีบมือโซวมะแน่น
ในตอนนั้นเอง บางสิ่งร้อนๆ ก็ก่อตัวขึ้นในลำคอโซวมะ
แม้จะพยายามกลั้นเอาไว้ แต่มันก็ยังพุ่งขึ้นมา
โซวมะที่ควบคุมมันไม่ได้ส่งเสียงครางเบาๆ
“เป็นอะไรไปโซวมะ? ”
เชมุลเห็นสภาพโซวมะเปลี่ยนไป เธอเอียงคอไปด้านหนึ่งเล็กน้อยอย่างกังวล
ทว่าโซวมะกลับไม่สามารถตอบเธอได้
ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวซีดขาวอย่างกะทันหัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังแดงก่ำจากบทสนทนา
“ขะ ขอตัวแป๊บนะ”
โซวมะสะบัดมือเชมุลออกแล้ววิ่งไปยังกำแพงเมือง
เด็กชายใช้สองมือยันกำแพงเมือง ก้มหน้าลง
“ระ รู้สึกแย่ชะมัด…”
จากนั้น เขาก็อ้วกเอาทุกอย่างในกระเพาะออกมาจนหมดสิ้น
◆◇◆◇◆
“ให้ตายซี เจ้าเมาหรือ..? ”
ตอนนี้โซวมะกำลังนอนหนุนตักเชมุลอยู่ รู้สึกอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกลลิบเพราะน้ำเสียงของเชมุลเหลือเกิน
“หากเจ้าไม่ดูแลตัวเองให้ดีย่อมเป็นปัญหาของข้าแล้ว นายแห่งนาภีของข้า”
“...ผมรู้สึกอับอายแล้วครับ”
ตรงข้ามกับเปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์ในเบียร์ญี่ปุ่นยุคปัจจุบันที่มีปริมาณแค่สี่ถึงหกเปอร์เซ็นต์ เอลที่โซวมะดื่มนั้นใกล้เคียงกับเบียร์ของยุคอียิปต์โบราณที่มีปริมาณแอลกอฮอล์มากกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ ปริมาณใกล้เคียงกับไวน์ เสริมด้วยการที่เขาไม่เคยชินกับการดื่มแอลกอฮอล์ คราวนี้เขาดื่มเข้าไปหนึ่งเหยือกเต็มๆ ถึงจะเป็นเหยือกเล็กๆ ก็เถอะ แล้วสุดท้ายยังวิ่งซะรอบเมือง ถ้าไม่มีอาการเมาบ้างก็แปลกแล้ว
“อืม แต่ถ้าเจ้าสมบูรณ์แบบไปเสียทุกเรื่อง ข้าก็คงมีปัญหาเช่นกัน เพราะข้าคงไม่มีโอกาสได้ช่วยเหลือเจ้า ให้เจ้าเป็นเช่นนี้บ่อยๆ ก็ทำให้ใจข้าสงบได้เช่นกัน”
เชมุลปัดผมโซวมะคล้ายกับกำลังแต่งผมให้เขา
เวลาก็ผ่านไปอย่างนี้เอง
โชคดีที่ลานโล่งๆ ที่ทั้งสองอยู่เป็นทิศต้นลมจึงปราศจากกลิ่นเหม็นของเมือง พวกเขาจึงสามารถสูดอากาศรับลมบริสุทธิ์เข้าปอดได้ ทั้งสองจึงปล่อยตัวดื่มด่ำกับความรู้สึกอิสระนี้อยู่ชั่วครู่
“เชมุล…”
“อะไรหรือโซวมะ? ”
“ขอบคุณที่ทำให้คิดวิธีจัดการเมืองนี้ออกนะเชมุล”
สีหน้าอ่อนโยนของเชมุลหายวับเพราะคำพูดของโซวมะ ที่ปรากฏบนใบหน้า คือสีหน้าของนักรบ
“กำลังวางแผนอะไรอยู่หรือ นายแห่งนาภีของข้า? ”
โซวมะยกหัวจากตักเชมุล ลุกยืนขึ้น
สิ่งที่อยู่ในสายตาเขา คือเมืองที่มีกลิ่นเหม็นลอยในอากาศ
เมืองปิดที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกและปฏิกูล
“ผมวางแผนจะซื้อทาส”
เชมุลสวยมากจริงๆ ค่ะ Y-Y อ่านถึงตรงนี้แล้วขนลุกเลย
พยายามอย่างมากที่จะแปลให้เชมุลพูดแล้วให้ความรู้สึกพุ่งพล่านในจิตใจเหมือนต้นฉบับ แต่มันก็แปลยากจริงๆ
รู้สึกว่า "เขี้ยวสูงศักดิ์" นี่แหละเหมาะกับเชมุลที่สุด เพราะเธอมีความหยิ่งทระนง มีความสูงศักดิ์ สูงส่งจากภายในจริงๆ นึกคำอื่นที่เหมาะกับเธอไม่ออกเลย Noble Fang จริงๆ
โน้ตจากผู้เขียน
อย่าดื่มแอลกอฮอล์ก่อนอายุ 20 นะ
ค่าอาหารขั้นต่ำของครอบครัวคนทั่วไปสี่ชีวิต (แทบจะไม่มีอะไรนอกจากขนมปัง!) ได้แก่:
2 ดิน่า ต่อวัน*4 คน = 8 ดิน่า
240 ดิน่า ต่อเดือน
โดยประมาณ 3000 ดิน่า ต่อปี
ค่าอาหารสำหรับชนชั้นกลางสี่ชีวิต: ตีกลมๆ ประมาณ 20,000 ดิน่าต่อปี
ค่าแรงทหารชั่วคราวที่ถูกจ้างมาเพื่อจัดการเผ่าคมเขี้ยว: 8 ดิน่า
8 ดิน่า*800 คน*30 วัน = 192,000 ดิน่า
ยังมีทหารพิเศษอย่างกองพันลูกินาซที่ไม่ต้องจ่าย แต่ก็รวมโบนัสรางวัลสำหรับทหารที่มีความชอบแล้ว นี่คือเงินทุนสำรองที่เก็บไว้ในป้อมปราการที่เซตไว้
ส่วนเหรียญทองนั้นไม่ค่อยถูกนำมาคำนวณเท่าไหร่นัก เพราะมักจะใช้แค่ในการแลกเปลี่ยนของสำคัญ หรือในการเจรจาธุรกิจใหญ่ๆ มากกว่า
0 ความคิดเห็น