[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 36: เมือง



บอลนิสเป็นเมืองสุดขอบตะวันออกของฮอลเมีย

แรกเริ่มเดิมที ความตั้งใจของฮอลเมียคือเพื่อขยายอิทธิพลครอบคลุมเหนือทุ่งหญ้าซลเบียงต์ทางเหนือ จึงได้เริ่มก่อสร้างป้อมปราการใกล้แม่น้ำ ชาวไร่ที่เกรงกลัวโซออนไปจนถึงพ่อค้า และช่างฝีมือผู้ดำเนินธุรกิจกับชาวไร่จึงได้มารวมตัวกันใกล้ป้อมปราการ ไม่นานก็พัฒนาขึ้นจนกลายเป็นเมือง

หากโซออนโจมตีเพราะมนุษย์รวมตัวกันเยอะเกินไป กำแพงหินแข็งแกร่งที่สูงห้าเมลต์ หนาสามเมลต์ที่ล้อมรอบเมืองอยู่ย่อมป้องกันได้ (1 เมลต์ = ประมาณ 1 เมตร) เมื่อสร้างกำแพงเมืองเสร็จ สิ่งก่อสร้างที่เคยเป็นป้อมกราการก็กลายมาเป็นสำนักงานบริหารทรัพยากร กระทั่งตอนนี้ก็ยังใช้งานเป็นจุดศูนย์กลางเมือง

เวลาผ่านไป เมืองเปลี่ยนไปจนสิ้น ยามนี้ไม่เพียงการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากสิกรรมจากที่ราบซลเบียงต์ทางเหนือเท่านั้น ยังมีขบวนคาราวานที่มุ่งหน้ามาจากรัฐสมุทรเจบัวซึิ่งอยู่ห่างไกลออกไปทางตะวันตกของเมืองแวะเข้ามาหยุดพักระยะสั้นอยู่บ่อยๆ

เมื่อเกวียนบรรทุกโซวมะของฮอปกินส์มาถึงประตูเมืองบอลนิสก็เพิ่งจะผ่านยามเที่ยงมาเล็กน้อยเท่านั้น

“เอาล่ะ คันต่อไป!”

ยามรักษาการณ์ร้องเรียกเพื่อตรวจสอบ ฮอปกินส์บังคับเกวียนให้ขยับไปด้านหน้าช้าๆ

“เจ้ามาจากที่ใด มีธุระอะไรที่เมืองนี้?”

“ขอรับ ข้ามีนามว่าฮอปกินส์ เป็นพ่อค้าเร่จากเจบัว เพิ่งจะแลกเปลี่ยนกับหมู่บ้านแถบนี้เสร็จขอรับ”

กล่าวเช่นนั้น ฮอปกินส์ก็ชี้ไปยังธงสมาคมพ่อค้าที่แขวนอยู่บนเกวียน

สมาคมพ่อค้าเป็นองค์กรที่พ่อค้าทั้งหลายมารวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อผลประโยชน์เดียวกัน รวมไปถึงเพื่อการป้องกัน

ทุกคนจะต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งทุกปีตามที่สมาคมกำหนด ทว่าหากมีธงสมาคมพ่อค้าแล้วก็จะได้รับสิทธิประโยชน์และความสะดวกหลายประการ นอกจากนั้น สมาคมพ่อค้ายังไม่เคยให้อภัยโจรที่เข้าปล้นพ่อค้าในสมาคม เป็นที่รู้กันว่าโจรเหล่านั้นย่อมต้องถูกไล่ล่าอย่างไร้ปราณี เงินค่าหัวมากมายจะถูกตั้งขึ้น เช่นนี้จึงนับได้ว่า หนึ่งในสิทธิประโยชน์ของการเข้าสมาคมพ่อค้าคือการได้รับการป้องกันจากโจร

“เป็นธงของสมาคมพ่อค้าจริงๆ เช่นนั้นเราขอตรวจสอบภายในรถสินค้าหน่อย”

“ได้ขอรับ ถึงจะเรียกว่ารถสินค้าทว่าภายในก็ว่างเปล่าแล้วขอรับ ข้าขายของได้จนหมดด้วยความคุ้มครองจากองค์เทพขอรับ”

นายกองที่มีผู้ใต้บังคับบัญชากำหอกในมือเตรียมพร้อม ขยับเปิดผ้าคลุมเกวียนด้านหลังเพื่อตรวจสอบภายใน

“เหวอ! นี่มันโซออนมิใช่รึ?”

หัวหน้าหมวดร้องลั่นเมื่อเห็นเชมุล ทำให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาตัวแข็งทื่อ

“รอประเดี๋ยวก่อน! นั่นเป็นทาสของหลานชายข้าขอรับ!”

“หลานเจ้างั้นรึ!?”

เมื่อนายกองมองเข้าไปข้างในเกวียน ก็เห็นโซวมะนั่งอยู่ใกล้เชมุล ในมือเขากำโซ่ที่เชื่อมอยู่กับปลอกบนคอเชมุล

“เขาเป็นลูกชายของน้องสาวข้าที่แต่งงานไปไกลถึงประเทศตะวันออกขอรับ ทว่าเขาอยากศึกษาการเป็นพ่อค้าเร่ที่นี่ จึงได้ตามข้ามาช่วยงานขอรับ”

นายกองมองโซวมะอีกครั้ง สีผมเช่นนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ กระทั่งใบหน้าก็ยังนุ่มนวลแทบจะไร้รอยหยาบกร้าน ดูไปแล้วเขาไม่ใช่มนุษย์จากแถวนี้จริงๆ

“ทว่าช่วงหลังมานี้การเคลื่อนไหวของโซออนแถวนี้ค่อนข้างคึกคักทีเดียว แม้จะเป็นทาส ข้าก็ไม่อาจให้นางเข้าเมืองได้”

“นายท่านขอรับ ท่านทำอะไรไม่ได้เลยหรือ? นางเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของหลานชายข้า! เขาถึงกับพานางเดินทางติดตามมาจากประเทศทางตะวันออกเลยนะขอรับ”

กล่าวเช่นนั้น ฮอปกินส์ก็ติดสินบนเขาด้วยการลอบส่งเหรียญสัมฤทธิ์หลายเหรียญเข้ามืออีกฝ่าย หากจ่ายมากเกินไปจะยิ่งน่าสงสัย จึงให้เป็นจำนวนที่เพียงพอให้ทหารยามในที่นี้สามารถดื่มเหล้าได้คนละแก้วหลังเลิกงาน

“เอาล่ะ เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ ทว่าอย่าได้สร้างปัญหาเชียว เข้าไปได้!”

เมื่อนายกองตะโกนสั่ง มือข้างหนึ่งเขาก็ตกลงเพราะน้ำหนักของเหรียญสัมฤทธิ์ในมือ ทหารทีี่ขวางต่างแยกย้ายเปิดทาง

“ฟู่ น่ากลัวจริงๆ…”

ฮอปกินส์มองจนแน่ใจว่าประตูปิดสนิทแล้วจึงยกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นๆ ที่เกิดจากความตระหนกในการเจรจา

“ขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือนะครับ”

โซวมะก้มหัวขอโทษขอโพย จากนั้นจึงหันไปหาเชมุลที่อยู่ติดกันแล้วถาม

“เชมุล ปลอกคอนี่ทำเธอเจ็บรึเปล่า?”

“ไม่เลย ไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย”

แม้จะกล่าวเช่นนั้น เชมุลกลับยังมีท่าทีเหมือนไม่สบายนัก เธอยังคอยแต่จะขยับปลอกคออยู่ตลอดเวลา

ถึงจะเป็นไปเพื่อแทรกซึมเข้าเมือง แต่การใส่ปลอกคอให้เชมุล ทั้งยังต้องจับโซ่ล่ามเอาไว้แบบนี้เป็นการทำร้ายจิตใจโซวมะจริงๆ

“อีกประการ เมืองนี้กลิ่นแรงนัก…”

โซวมะก็คิดอย่างเดียวกัน

ตั้งแต่เข้าเมืองมา กลิ่นเหม็นฉุนยากบรรยายก็ลอยอวลในอากาศ เป็นกลิ่นของขยะที่เน่าเสียและกลิ่นลึกลับผสมกับสิ่งอื่นๆ จนกลายเป็นกลิ่นประหลาดเข้มข้น

เมื่อมองผ่านช่องว่างของเกวียน เขาก็เห็นซากศพสัตว์ที่เน่าเสียอันเป็นต้นกำเนิดของกลิ่นที่ว่า มันถูกทิ้งไว้ข้างหนึ่งของถนน ยังมีเด็กกำพร้าที่ตัวเปรอะเปื้อนดินโคลนจนดำนั่งอยู่ไม่ไกล

ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่ยังอยู่ในยุคที่ไม่มีแนวคิดเรื่องสุขอนามัย แต่ถึงยังไง สภาพแวดล้อมนี้ก็เลวร้ายเกินไปแล้ว

โซออนมีประสาทสัมผัสด้านกลิ่นดีกว่ามนุษย์หลายเท่า...เชมุลคงต้องอดทนอย่างมาก

“กลิ่นว่าเหม็นสุดๆ แล้ว แต่ฝุ่นเองก็แย่พอกันเลย”

แม้ถนนจะไม่ได้ปูหินเป็นแค่ทางเดินธรรมดา เมื่อถึงหน้าแล้งที่ฝนแทบจะไม่ตก ฝุ่นควันก็กระจายไปในอากาศจนเห็นเมืองเป็นสีเหลือง ยังมีบ้านที่สร้างจากอิฐตั้งอยู่สองข้างทาง ภาพที่เห็นนี้ดูคล้ายกับเมืองทะเลทรายที่พบเห็นได้ตามแถบตะวันออกกลาง

เกวียนของโซวมะแล่นไปตามถนนหลักช้าๆ ถนนสายนี้เชื่อมต่อจากประตูตะวันออกไปถึงประตูตะวันตก เขาเห็นมีคนเดินเท้ามากมาย ชุดเครื่องแต่งกายของชาวเมืองก็ใกล้เคียงกับที่เขาใส่อยู่

ผู้ชายสวมเสื้อทูนิค คล้ายๆ กับเสื้อชิ้นเดียวที่ชายเสื้อยาวลงมาถึงช่วงเหนือเข่า มีหนังคาดเอว ด้านใต้สวมกางเกงเทราเซอร์ ส่วนผู้หญิงสวมชุดชิ้นเดียวชายยาวถึงหน้าแข้ง แม้โซวมะจะมองไม่เห็นแต่ก็พอทราบได้ว่ามีแค่ผู้ชายที่สวมกางเกง ส่วนผู้หญิงไม่ได้สวมอะไรไว้ด้านใน

“ที่นี่มีมนุษย์อาศัยอยู่เท่าไหร่ครับ?”

“หึหึ อย่าตกใจไปเชียว เมืองนี้มีประชากรมากกว่าหนึ่งหมื่นคน! สุดยอดไหมเล่า หือ?”

ฮอปกินส์โอ้อวด แต่โซวมะกลับไม่มีท่าทีอะไรนอกจากรอยยิ้มที่ผสมผสานหลากหลายความรู้สึก

ถ้าพูดถึงประชากรหนึ่งหมื่นคนในญี่ปุ่นปัจจุบัน ก็ยังนับเป็นแค่หมู่บ้านหรือตำบลหนึ่งเท่านั้น ทว่าในโลกนี้กลับนับเป็นเมืองที่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว

เขาตั้งใจจะโจมตีเมืองนี้ โซวมะจึงกังวลเมื่อไม่เห็นทหารประจำการในเมืองมากนัก ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาต้องตรวจสอบให้ดี

“เห็นทหารน้อยกว่าที่คิดไว้ซะอีกนะครับ”

“เป็นเรื่องธรรมดา ทหารส่วนมากย่อมประจำการอยู่ที่กำแพงเมืองหรือประตูเมือง”

“ที่นั่นมีทหารเท่าไหร่น่ะครับ?”

“อืม คาดว่าราวๆ สี่หรือห้าร้อยคนกระมัง?”

“น้อยเกินคาดนะเนี่ย”

“จริงรึ? ข้าคิดว่าปกติก็เป็นเช่นนี้”

ทหารไม่ได้ทำอะไร

เพราะพวกเขาไม่ได้ปลูกข้าวสาลีแม้แต่เม็ดเดียว ยังต้องได้รับการสนับสนุนจากคนอื่นๆ เพื่อให้มีกองทัพ หากมีจำนวนทหารต่อประชากรมาก พวกเขาย่อมกลายเป็นภาระหนัก

อีกอย่างหนึ่ง ผู้ที่เป็นทหารได้ต้องเป็นคนหนุ่มแข็งแรง ประชาชนส่วนมากมักทำงานในสายการผลิตหรือขนส่ง การเพิ่มจำนวนทหารไม่ใช่เพียงการเพิ่มภาระด้านเสบียงอาหาร ทว่ายังเป็นการดึงตัวประชากรที่จะมาทำงานเหล่านี้ไปด้วย

ดังนั้นจำนวนทหารที่ทำงานในกองทัพโลกนี้จึงมีเพียงสองถึงสี่เปอร์เซ็นต์จากจำนวนประชากรทั้งหมดเท่านั้น ถือว่าจำนวนทหารในเมืองนี้ไม่น้อยเลย

“แล้วคุณจะทำอะไรต่อครับ คุณฮอปกินส์”

“อืม มาถึงเมืองแล้ว ข้าจะไปดื่มเหล้าสักแก้วในร้านเหล้า แล้วค่อยไปทักทายที่สมาคมเสียหน่อยกระมัง”

ได้ยินคำว่าร้านเหล้า ความสงสัยในใจโซวมะพุ่งปรี๊ด

ตามที่รู้มาจากในเกมและนิยายแฟนตาซี ร้านเหล้าในเมืองทำหน้าที่เป็นจุดแลกเปลี่ยนข้อมูล เขาจินตนาการถึงพ่อค้าที่ใฝ่ฝันอยากรวยทางลัดจากการแลกเปลี่ยนข่าวสาร และนักผจญภัยที่พูดคุยถึงการเดินทางในร้านเหล้าซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นสุราและยาสูบ

“ผมตามคุณไปร้านเหล้าได้รึเปล่าครับ?”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลป้องกันว่าข้าจะหักหลังพวกเจ้าหรอก ต่อให้ข้าดูยากจนอย่างไรก็ยังเป็นพ่อค้า ข้ารับเงินเจ้ามาแล้ว ย่อมทำหน้าที่ของข้า อีกประการเจ้ายังจับตัวภรรยาและลูกชายข้าเอาไว้”

“เปล่าครับ ผมสนใจร้านเหล้าที่ว่าน่ะ”

“เช่นนั้นข้าก็ไม่ถือ แต่เจ้าคงพาสาวน้อยทางนี้ตามไปด้วยไม่ได้”

โซวมะรีบหันไปปลอบใจเชมุลที่ดูไม่พอใจอย่างรุนแรงกับคำของฮอปกินส์

“เชมุล ช่วยดูแลสินสงครามพวกนี้เอาไว้หน่อยได้ไหม? ถ้าโดนขโมยไปต้องแย่แน่”

ในเมื่อที่นี่ดูเป็นสถานที่ที่แทบจะไร้กฏเกณฑ์ ใครที่แบกสินสงครามจากป้อมปราการไปไหนมาไหนในเกวียนแบบนี้ก็เหมือนกับแขวนป้าย “ช่วยขโมยผมที!” เอาไว้บนหัว

แม้แต่เชมุลก็เข้าใจว่าเธอต้องทำอะไร

ทว่าเชมุลก็ยังไม่อาจข่มความลังเลลงได้เมื่อต้องแยกจากโซวมะแม้เพียงชั่วขณะเดียวในเมืองแห่งนี้ที่นางไม่รู้ว่าจะถูกเปิดเผยตัวตนจนโดนทหารมนุษย์รุมล้อมเมื่อใด ดังนั้นน้ำเสียงนางจึงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“โซมะ เจ้าเริ่มมีฝีมือในการรับมือข้าขึ้นมาจริงๆ แล้วหรือนี่?”

โซวมะหันมองไปทางอื่นทันทีตามสัญชาติญาณ



◆◇◆◇◆




โซวมะเดินเข้าไปในร้านเหล้า ในอกสั่นสะท้านจากความคาดหวัง ทว่าสถานที่แห่งนี้กลับแตกต่างจากจินตนาการโดยสิ้นเชิง

เขาเห็นผู้คนนั่งดื่มเหล้าร่วมกัน ทานอาหารอย่างตะกละตะกลามบนโต๊ะหยาบๆ ที่วางเรียงกันเป็นแถว แต่คนพวกนี้ก็เหมือนกับที่เขาเห็นอยู่นอกร้าน ไร้ซึ่งวี่แววของนักเวทผู้ลึกลับพร้อมคทาเวทมนตร์ หรือนักรบผู้กล้าหาญถืออาวุธสวมชุดเกราะให้เห็น

เมื่อฮอปกินส์เจอโต๊ะว่างๆ โซวมะและเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้

“เฮ้! ทางนี้!”

เพื่อไม่ให้จมหายไปกับเสียงวุ่นวายในร้าน ฮอปกินส์ร้องเรียกเด็กเสิร์ฟเสียงดังลั่น เมื่อเด็กเสิร์ฟมาถึงพร้อมท่าทีหยิ่งยโสไม่แม้แต่จะเอ่ยทักทาย ‘ยินดีต้อนรับ’ สักนิด ฮอปกินส์ก็เป็นฝ่ายส่งเหรียญสัมฤทธิ์ออกไปก่อน

“พวกเราอยากได้น้ำและอาหารเสียหน่อย”

“เครื่องดื่มหนึ่งดิน่า ส่วนอาหารสองดิน่า”

ฮอปกินส์วางเหรียญสัมฤทธิ์ลงบนโต๊ะเพิ่มอีกสามเหรียญ

โซวมะสำรวจการตกแต่งภายในร้านแล้วก็แปลกใจกับเมนู เพราะดูเหมือนที่นี่จะไม่มีเมนู โซวมะจึงสั่งแบบเดียวกันแล้วส่งเหรียญสัมฤทธิ์ไปสามเหรียญ

ทว่า แม้จะมีท่าทีดูถูกโซวมะ พนักงานเสิร์ฟกลับไม่มีทีท่าจะจากไป

เห็นแบบนั้น เขาจึงนึกได้ว่าฮอปกินส์ให้เงินเธอหนึ่งเหรียญสัมฤทธิ์ตั้งแต่แรก โซวมะเคยได้ยินจากในทีวีว่าคนญี่ปุ่นไม่มีธรรมเนียมการให้ทิปแม้จะเป็นในยุคปัจจุบัน แต่ในประเทศอื่นแล้วกลับเป็นเรื่องปกติ เขาส่งเหรียญสัมฤทธิ์ไปอีกเหรียญอย่างเร่งรีบ หลังจากนั้นพนักงานจึงรับมันไป แล้วเดินไปห้องครัวโดยไม่กล่าวคำใดอีก

โซวมะ เด็กชายชาวญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน แน่นอนว่าไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย แต่ในโลกนี้การให้ทิปกลับเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้

อันที่จริงแล้วพนักงานเสิร์ฟไม่ได้รับเงินเดือนจากทางร้านแม้แต่น้อย ทิปที่ได้รับจากแขกคือรายได้ของพวกเขา หรือก็คือทางร้านเสนอสถานที่ให้เด็กเสิร์ฟมาเก็บทิปไป แลกกับการช่วยเหลือเพื่่อแลกเปลี่ยนกัน

“ที่นี่ไม่มีนักผจญภัยเหรอครับ?”

เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ โซวมะก็พยายามถามจากฮอปกินส์ เพราะดูไม่มีใครเหมือนนักผจญภัยเลย

“นักผจญภัยหรือ?”

“อืม...คนที่ออกค้นหาสมบัติ รับคำร้องจัดการปีศาจแลกกับเงิน อะไรแบบนั้นน่ะครับ”

“เจ้าเล่าเรื่องตลกใช่หรือไม่? นั่นคือพวกแรงงานรายวันไม่ใช่หรือ? หรือนักสำรวจเล่า?”

โซวมะสัมผัสถึงความคาดหวังที่แห้งเหี่ยวหายไปจากคำตอบของฮอปกินส์

ถึงจะเป็นโลกแฟนตาซีที่รอคอยมานาน แต่นักผจญภัยแบบในเกมเหมือนจะไม่มีในโลกนี้ซะงั้น

“หากมีคำร้องสำหรับแรงงานรายวัน เจ้าก็ปิดประกาศเช่นนั้นได้หากไปขอร้องและจ่ายเงินให้เจ้าของร้านเหล้า”

โซวมะหันมองตามทิศที่ฮอปกินส์ชี้ เขาเห็นกระดานไม้ที่พิงกำแพงอิฐอันหนึ่ง ดูเหมือนจะมีโฆษณาตอกตะปูติดอยู่เต็มไปหมด

ภาพของ ‘คนใช้พลั่วในภูเขา’ และ ‘คนถือลังไม้’ ถูกวาดเอาไว้บนกระดาษ ใต้ภาพวาดนั้นยังมีเส้นขีดๆ แนวตั้งหลายเส้น ภาพวาดนั่นคงเป็นรายละเอียดงาน ส่วนเส้นขีดน่าจะหมายถึงจำนวนคนที่ต้องการ

“อัตราการรู้หนังสือของโลกนี้ค่อนข้างต่ำใช่มั้ยครับ?”

“อัตราการรู้หนังสือหรือ? ใช่หมายถึงคนที่สามารถอ่านและเขียนหนังสือหรือไม่? อืม หากไม่ใช่นักวิชาการหรือเจ้าหน้าที่รัฐแล้วเรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องใช้นัก แม้แต่ข้าก็รู้เพียงคำง่ายๆ ไม่กี่คำที่ใช้ในการค้าขายเท่านั้น”

เขาคิดไว้แล้วว่าน่าจะเป็นแบบนั้น ตั้งแต่เห็นบนป้ายประกาศพวกนั้นเป็นภาพวาดแถมยังไม่มีตัวหนังสือแม้แต่ตัวเดียว แต่ดูเหมือนว่าอัตราการรู้หนังสือของโลกนี้จะต่ำมากจริงๆ

คิดถึงตรงนี้ พนักงานเสิร์ฟคนเดิมก็เดินมากระแทกแก้วกับถ้วยลงบนโต๊ะโดยไม่ปริปากพูดแม้แต่คำเดียว ถ้าเป็นที่ญี่ปุ่น การบริการแบบนี้ต้องเกิดเรื่องแล้วแน่นอน แต่ในเมื่อฮอปกินส์ไม่มีท่าทีอะไร ก็แสดงว่าน่าจะเป็นเรื่องปกติแถวนี้

“เช่นนั้น จะทานเลยหรือไม่?”

ที่วางอยู่หน้าโซวมะคือขนมปังกลมที่ถูกแบ่งออกมาหนึ่งในสาม แก้วใบเล็กที่ถือได้ด้วยมือเดียว และถ้วยไม้ที่มีน้ำซุป

เมื่อมองไปในแก้ว ก็เห็นของเหลวสีน้ำตาลเข้มที่มีอะไรสักอย่างดูคล้ายๆ ฟองลอยอยู่ด้านบน

ส่วนซุปเหมือนซุปจับฉ่ายที่มีผักกับเนื้อปลาต้มรวมๆ จนแทบจะเปื่อยเป็นเนื้อเดียวกัน แถมยังมีสีคล้ายน้ำโคลนอีกด้วย

“...นี่คือ?”

“เอล กับซุปและขนมปัง”

พูดถึงเอล ก็นับเป็นแอลกอฮอล์ประเภทหนึ่งที่รู้จักกันดีในงานเขียนแนวแฟนตาซี มันเป็นเบียร์ชนิดหนึ่งที่ใช้ข้าวบาร์เลย์ มอลต์ และยีสต์หมัก หากพูดถึงเบียร์ในญี่ปุ่นปัจจุบัน ก็จะต้องเป็นลาเกอร์ แต่ถ้าพูดถึงเบียร์ก่อนที่ลาเกอร์จะกลายเป็นที่นิยม ก็ต้องนึกถึงเอลซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

“ท...ทานกันยังไงครับเนี่ย…”

เขาสงสัยมาตั้งแต่อยู่บนเกวียนแล้ว ขนมปังในโลกนี้แข็งเกินไป ผิวหน้าแข็งเหมือนข้าวแข็งๆ ส่วนด้านในร่วนเหมือนเป็นแค่การเอาธัญพืชมาปั้นก้อนแล้วโยนเข้ากองไฟ

“เอลดื่มเปล่าได้ แต่เจ้าต้องเป่าฟองด้านบนออกเสียก่อน ส่วนขนมปังเจ้าทำให้มันนิ่มลงด้วยการจุ่มในซุป”

เขาทำตามที่ฮอปกินส์บอก เป่าฟองเบียร์ แล้วค่อยๆ จิบเอลอย่างระมัดระวัง

“...!”

รสชาติเหนือคำบรรยายแผ่ซ่านไปทั่วปากโซวมะ

มันเป็นบางสิ่งที่ไม่คล้ายกับเบียร์ที่พ่อของโซวมะแอบเอาให้เขาดื่มในงานฉลอง ถ้าให้เทียบกันแล้ว มันคือเบียร์อุ่นที่ไม่มีกรดคาร์บอนิค มีกลิ่นคล้ายๆ ยา และมีรสเปรี้ยวๆ ฉุนๆ

เพราะการหมักบ่มและกรองสิ่งเจือปนหลังต้มเบียร์ยังไม่เสถียร เอลในโลกนี้จึงเป็นของที่มีรสชาติค่อนข้างแสบฉุนจากสิ่งเจือปน และมีความเปรี้ยวจากการหมักบ่มที่ยาวนาน

และยังมีกลิ่นคล้ายยาจากสมุนไพรที่ใส่ลงไปเพื่อทำให้เอลมีอายุยาวนานขึ้น ป้องกันการแพร่พันธุ์ของจุลินทรีย์

พวกเขายังไม่มีเทคนิคการเติมกรดคาร์บอนิคเข้าไปในเอล ความซ่าจึงหายไป เหลือเพียงกรดคาร์บอนิคเล็กน้อยจากการหมักบ่มเท่านั้น

นอกจากนั้น การเก็บรักษายังไม่ดี ทำให้สุดท้ายกรดคาร์บอนิคที่ว่าก็แทบจะหายไปด้วยเช่นกัน

เขาอยากลองชิมเอลที่พวกกลุ่มตัวเอกในนิยายแฟนตาซีหลายเรื่องชอบดื่มกัน แต่ภาพเหล่านั้นในใจโซวมะพังทลายไปซะแล้ว

เขาบอกตัวเองให้เลิกสนใจเรื่องนั้น ตัดสินใจมาท้าประลองกับขนมปังและซุปเป็นลำดับต่อไป

ทว่า แม้จะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว เขาก็ไม่สามารถฉีกขนมปังมาจิ้มซุปได้เพราะความแข็งของมัน เมื่อมองฮอปกินส์ ก็เห็นอีกฝ่ายเอาขนมปังทั้งก้อนจิ้มลงไปในซุปเลย

โซวมะทำตามเขา พยายามจุ่มขนมปังทั้งชิ้นลงในซุป ทว่าเมื่อมองดูดวงตาขาวขุ่นของปลาน้อยที่เหลือแต่หัว ส่วนตัวมีแต่ก้างซึ่งขณะนี้ว่ายอยู่ในถ้วยซุปแล้ว สุดท้ายโซวมะก็พ่ายแพ้ในสงครามจิตใจครั้งนี้

“อาา...ฉันต้องไม่สูญเสียจิตใจไปสิ!”

ด้วยสำนึกแห่งหน้าที่ โซวมะก็จุ่มขนมปังลงในถ้วยซุปอย่างดื้อดึงอีกครั้ง

ขนมปังที่ดูดซับซุปจนนิ่มลอยขึ้นมา แต่ภาพที่เห็นไม่ได้กระตุ้นความอยากอาหารสักนิด

ทว่า เขาก็ปลอบใจตัวเอง แล้วลองชิมมัน

“...!?”

พูดถึงซุปมาตรฐานที่เสิร์ฟในร้านเหล้าของโลกนี้ ก็ต้องเป็นซุปจับฉ่าย

ไม่นับผักที่ซื้อมาจากตลาดในวันนั้นแบบเหมาโหล ซึ่งแทบจะไม่ได้ผ่านกระบวนการใดและถูกปรุงด้วยเกลือ พวกเขายังไม่มีสูตรทำอาหารจริงจัง ทำให้น้ำซุปใช้วัตถุดิบที่ซื้อในวันนั้นตามอารมณ์ของพ่อครัว รสชาติของแต่ละวันก็เปลี่ยนไปไม่ซ้ำกัน

นอกจากนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ทำซุปใหม่วันต่อวัน ถ้าของในหม้อลดลง ก็แค่เติมน้ำและวัตถุดิบลงไป ดังนั้นซุปหนึ่งหม้อจึงอยู่ได้นานตั้งแต่หลายเดือนไปจนถึงหลายปี พวกมันถูกต้มกลายเป็นน้ำสต็อคซึ่งประกอบจากวัตถุดิบมากมายทำให้มีรสชาติซับซ้อน แต่ความขมและความแรงจากของทั้งหลายที่เป็นวัตถุดิบไม่เข้ากับลิ้นของโซวมะที่เคยชินกับอาหารแสนประณีตในญี่ปุ่นยุคปัจจุบันเลยสักนิด

“หมดกัน ความแฟนตาซีในฝัน…”

สุดท้าย โซวมะได้แต่คอตกอยู่หน้าเอลและซุปที่ว่านั่นเอง

โชคร้ายที่การทำอาหารอย่างดีในโลกนี้หมายถึงการย่างหมูป่าทั้งตัว ในโลกเดิมของเขา ของแบบนั้นจะปรากฏก็ในที่ที่คนแทบจะไม่มีอะไรกิน นี่ก็ช่วยไม่ได้

อย่างน้อย ถูกอัญเชิญมาทั้งที ก็ขอให้เป็นโลกที่การทำอาหารพัฒนาไปมากกว่านี้ไม่ได้รึไงเล่า? โซวมะคร่ำครวญอยู่ในใจ

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น