ฮอปกินส์เป็นพ่อค้าเร่
เขาเป็นพ่อค้าเร่ที่เริ่มต้นมาจากนิริวตัวเล็กกับเกวียนหุ้มผ้าซึ่งใช้เงินทุนที่เขาสั่งสมมาหลายสิบปีจากการฝึกงานกับบ้านพ่อค้าในเมือง ฮอปกินส์เริ่มต้นด้วยการนำของใช้จากในเมืองไปยังหมู่บ้านชาวไร่ แลกเปลี่ยนกับผลผลิตทางกสิกรรมอย่างพวกข้าวสาลี
เขามุ่งมั่นเดินทางไปยังหมู่บ้านห่างไกลเพื่อจะได้ไม่เจอการแลกเปลี่ยนที่เหมือนกับคนอื่น เขาต้องยอมรับว่าผลกำไรที่ได้นั้นค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทาง ทว่าด้วยวิธีนี้ ฮอปกินส์จึงอยู่ในจุดที่มีประสบการณ์คุ้นเคยกับชาวบ้านทำให้อีกฝ่ายเป็นมิตรกับเขาได้
ด้วยความมั่นอกมั่นใจในตัวเองเช่นนี้เอง เขาจึงได้เอ่ยปากขอแต่งงานกับสตรีที่รู้จักกันในยามทำงานอยู่บ้านพ่อค้า ครอบครัวที่น่ารักของเขายามนี้นั่งอยู่ท้ายเกวียน นอกจากนั้น เมื่อสามปีก่อน ครอบครัวที่แสนสำคัญยังขยับขยายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน เป็นลูกชายที่แสนภาคภูมิใจ
กล่าวได้ว่าแม้จะไม่หรูหรา ทว่าก็เป็นชีวิตที่ประสบความสำเร็จ
เมื่อฮอปกินส์ไปเยือนเมืองในรัฐฮอลเมีย หัวข้อซุบซิบที่กำลังร้อนแรงคือเรื่องของกองทัพที่ออกเดินทางไปจัดการโซออนที่อาศัยอยู่ในที่ราบซลเบียงต์บัดนี้ประสบอุบัติเหตุสูญเสียผู้คนไปเพราะความผิดพลาดจนเกิดเป็นไฟไหม้ในหมู่บ้านโซออน
ฮอปกินส์เชื่อว่านี่คือโอกาสทางการค้า
เพราะก่อนหน้านี้ทุ่งหญ้าซลเบียงต์เป็นของโซออน จึงเป็นธรรมเนียมที่พ่อค้าแร่จะรวมตัวกันเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ หรืออาจติดตามกองทัพไปเพื่อแลกเปลี่ยนกับป้อมปราการและหมู่บ้านทดลองที่ตั้งกระจายอยู่ในทุ่งหญ้า
ทว่าหากเข้าร่วมขบวนคาราวาน กำไรที่ได้ก็ต้องแบ่งปันกันโดยเท่าเทียมกับทุกคน เป้าหมายต่อไปของกองทัพก็ไม่ทราบว่าเป็นที่แห่งใดในที่ราบซลเบียงต์ ทั้งอีกฝ่ายยังอาจร้องขอข้อแลกเปลี่ยนหากต้องการร่วมขบวนไปด้วย
เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงไม่เดินทางไปขายของให้ทางป้อมปราการเองเสียเลยเล่า? เขาคิดขึ้นมา
แน่นอนว่าที่ราบซลเบียงต์คืออาณาเขตของโซออน แต่ก็นับเป็นอดีตไปแล้ว
โซออนถูกกองทัพขับไล่จนระหกระเหินหนีไปอาศัยในหุบเขาห่างไกลทางเหนือ โอกาสถูกโซออนโจมตีกล่าวได้ว่าแทบไม่มี หากจะมีอะไรให้เป็นห่วงย่อมเป็นโจร แต่ก็ไม่มีโจรใดโง่งมพอจะก่อเรื่องในบริเวณที่มีทั้งกองทัพและโซออนอาศัยอยู่ เขาคิดเช่นนั้น
ฮอปกินส์อยากจะหักคอฮอปกินส์เมื่อหลายวันก่อนเสียจริงๆ
“เช่นนั้น การัม เราจะทำอย่างไรกับเจ้านี่ดี? ”
“โซมะบอกว่าให้ควบคุมตัวทหารเอาไว้โดยไม่สังหารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คงไม่มีทางอื่นนอกจากนำเขาไปกับเราด้วย”
โซออนขนแดงและโซออนขนดำยืนสนทนากันอยู่เบื้องหน้าฮอปกินส์ ทั้งคู่มีร่างกายกำยำล่ำสันจนคล้ายว่าบิดแขนทีเดียวก็กระชากหัวเขาหลุดจากบ่าได้แล้ว
นอกจากนั้น เกวียนของเขายามนี้ยังถูกล้อมด้วยโซออน
“เซอร์กู ให้คนวิ่งไปแจ้งทางป้อมปราการเรื่องนี้เถอะ”
“อา เข้าใจแล้ว”
โซออนขนแดงเดินไปหาโซออนตนอื่น โซออนขนดำก้าวเข้ามาที่ม้านั่งซึ่งฮอปกินส์นั่งอยู่
“แล้วก็ขออภัยด้วย เจ้าจะมากับเราได้หรือไม่? ”
ฮอปกินส์ไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่พยักหน้ารัวๆ ปกป้องลูกและภรรยาด้านหลังตน
◆◇◆◇◆
เมื่อถูกโซออนห้อมล้อมเกวียนนำทางมาจนถึงป้อมปราการ ฮอปกินส์ก็แทบจะไม่เชื่อสายตา
ในป้อมปราการมีกระโจมโซออนอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน ไม่เท่านั้น โซออนยังเดินผ่านประตูป้อมอย่างผ่าเผย ลืมเรื่องหมู่บ้านโซออนที่ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปเสียเถิด ในทางกลับกัน ราวกับว่าป้อมปราการต่างหากที่ยามนี้ตกอยู่ใต้ความควบคุมของโซออนแล้ว
เมื่อเกวียนแล่นผ่านประตูป้อม กลับปรากฏมนุษย์อยู่จำนวนมากจนน่าตกใจ เป็นดังเช่นในข่าวลือ พวกเขาล้วนบาดเจ็บมีแผลกันมากมาย
“เอาล่ะ รอที่นี่ก่อน พวกเจ้าไปขนของลงจากเกวียนเสีย”
ประโยคหลังนั้นโซออนขนดำกล่าวกับโซออนใต้บัญชา พวกเขานำเอาหยูกยาลงจากเกวียน วางลงบนพื้นทีละกล่อง ฮอปกินส์เกรงว่าพวกเขาจะทำร้ายภรรยาและลูกในชั่วขณะใดขณะหนึ่ง ทว่าโซออนกลับมิได้สนใจแตะต้องแม้แต่น้อย
ไม่นานนัก เด็กมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งก็เดินลงมาจากอาคาร มีโซออนหญิงตามมาด้วย
“ได้ยินว่ามีพ่อค้าเร่มาเหรอครับ? ”
เขาคิดว่าเด็กชายคงจะโดนโซออนจับตัวมาเช่นเดียวกับ ทว่าเหตุใดอีกฝ่ายกลับพูดคุยกับโซออนขนดำอย่างเป็นมิตรเพียงนั้นเล่า? โซออนขนดำย่อมต้องไม่พอใจอย่างมากเป็นแน่ เขาเกรงว่าโซออนจะเข้าทำร้ายเด็กชาย ทว่าอีกฝ่ายกลับตอบโดยแทบไม่ใส่ใจ
“เกวียนขนพวกยาและผ้าพันแผลมา คาดว่าคงตั้งใจจะมาขายของพวกนี้ให้กับทางป้อมปราการกระมัง”
“ช่วยได้มากเลยครับ เราขอซื้อทั้งหมดเลย เท่าไหร่ครับ? ”
“พ-พะ-พูดอะไรกันเล่า! ท่านไม่ต้องจ่ายหรอก เช่นนั้น ขอเพียงชีวิตของครอบครัวข้า…! ”
“แปลว่า…”
“ท่านไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่น้อย ท่านจะช่วยไว้ชีวิตครอบครัวข้าได้หรือไม่!? ”
“...ยุ่งยากจังน้า เชมุล โทษทีนะ ช่วยไปเรียกมาโครนิสมาให้หน่อยได้มั้ย? ”
ได้ยินคำของเด็กชาย โซออนหญิงข้างกายเขาก็กลับเข้าไปในอาคาร ครู่หนึ่งก็กลับออกมาพร้อมชายวัยกลางคนที่มีรอยแผลจากดาบพาดอยู่บนหน้า
“มีธุระอะไรกับข้ารึ? ”
“ขอโทษที่ต้องเรียกตัวมาที่นี่นะครับคุณมาโครนิส พอดีว่ามีพ่อค้ามาขายพวกยารักษา แต่ผมไม่รู้ราคาตลาดน่ะครับ เลยขอให้คุณมาช่วยหน่อย”
บุรุษนามมาโครนิสตรวจสอบจำนวนและประเภทของสินค้าที่วางเรียงรายอยู่บนพื้น
“ยารักษายี่สิบไห ผ้าพันแผลสองร้อยม้วน ขี้ผึ้งทาแผลสิบไห และยาระบายห้าสิบห่อ… อืม รวมสินน้ำใจสำหรับความกล้าหาญที่ต้องฝ่าอันตรายมาขายของที่นี่ คาดว่าจะได้อยู่ที่ประมาณสามสิบเจ็ดเหรียญเงินกระมัง”
เป็นจำนวนเงินเท่ากับที่ฮอปกินส์คิดจะขายพอดิบพอดี
“เงินเท่านี้ได้ไหมครับ? ”
ต่อให้ไม่ได้ ฮอปกินส์ก็ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากตกลงไปตามที่เด็กชายว่าอยู่ดี
เขาพยักหน้าไม่หยุดหย่อน เด็กชายที่เห็นฮอปกินส์ตกลงก็สั่งโซออนให้ขนยารักษาทั้งหลายเข้าไปในอาคาร
“จะว่าไป คุณมาจากทางเมืองใช่ไหมครับ? ”
“ขอรับ ดังที่ท่านว่า! ”
“ถ้างั้น ผมจะจ่ายให้คุณสองเท่า แต่มีเรื่องเล็กน้อยที่ต้องขอความร่วมมือจากคุณสักหน่อย…”
รอยยิ้มหวานหยดบนใบหน้าของเด็กชาย กระตุ้นให้ฮอปกินส์นึกถึงตัวร้ายอันน่าสยองขวัญในละครเหลือเกิน
◆◇◆◇◆
หลายวันต่อมา รถเกวียนของฮอปกินส์ก็เดินทางลงทางฝั่งใต้ของทุ่งหญ้า
แทนที่จะมีครอบครัว ท้ายเกวียนเขากลับมีแขกแปลกหน้าสองชีวิตแทนที่ พร้อมทั้งความว่างเปล่าหลังขนย้ายสินค้าทั้งหมดเข้าไปในป้อมปราการแล้ว
“อืม จริงด้วย ข้าทำใจให้ชอบเกวียนเช่นนี้ไม่ลงจริงๆ ”
“อดทนหน่อยนะ เป้าหมายเราคราวนี้คือเข้าเมืองน่ะ”
“อ๊ะ ไม่หรอก ตราบใดที่ยังอยู่กับโซมะ ข้าจะไม่บ่นเลยแม้แต่น้อย จริงๆ นะ! ”
ผู้ที่พูดคุยกันอย่างสบายอารมณ์อยู่ในพื้นที่สัมภาระนั้นคือเด็กชายมนุษย์ลึกลับนามโซมะ และโซออนหญิงที่แม้แต่ในมุมมองของฮอปกินส์ก็ยังจัดว่านางงดงามยิ่ง ดูจากแขนขาได้รูป และเส้นขนอันงดงามของนาง
สิ่งที่เด็กชายร้องขอเป็นการแลกเปลี่ยนกับการซื้อของทุกอย่างในราคาสองเท่าคือให้นำเด็กชายเข้าเมือง แน่นอนว่าเด็กชายรั้งตัวภรรยาและลูกของฮอปกินส์ไว้ดูแลที่ป้อมปราการ
คราวแรกเด็กชายตั้งใจจะไปเพียงลำพัง ทว่าโซออนหญิงคัดค้านอย่างรุนแรงและเสนอตัวตามมาด้วย ซึ่งแน่นอนว่าถูกปฏิเสธ โซออนขนดำโมโหดุเดือดพยายามขัดขวางนาง ทว่าโซออนหญิงกลับดื้อดึงปฏิเสธ ท้ายสุดนางจึงติดสอยห้อยตามเด็กชายมาในฐานะทาส
เมื่อโซออนหญิงประกาศว่านางจะปลอมตัวเป็นทาส โซออนที่รายล้อมอยู่ตกตะลึงจนแทบจะเป็นลม บางตนถึงกับร้องห่มร้องไห้ขอให้นางล้มเลิกความคิดนั้นเสีย ดูไปแล้วนางย่อมเป็นคนสำคัญในหมู่โซออน
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขากังวลที่สุด คือการที่โซออนหญิงตนนี้ดูแลเด็กชายอย่างเอาใจใส่
เฝ้ามองทั้งสองมาหลายวัน เขาแปลกใจกับความศรัทธาที่นางมอบให้เด็กชายเหลือเกิน
ในยามเช้านางจะรีบตื่นก่อนเด็กชาย ตระเตรียมเสื้อผ้าและอาหาร จากนั้นจึงอดทนรอเขาตื่น ในยามค่ำ นางจะไม่ยอมล้มตัวลงนอนก่อนเด็กชายจะหลับใหล และหากไหล่ของเด็กชายสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาวจากลมเหนือ นางจะห่มผ้าขนแกะลงบนไหล่เขาอย่างอ่อนโยน หากเด็กชายผล็อยหลับไปในยามเดินทางด้วยเกวียน นางจะขยับเขาให้นอนหนุนตักนาง
ราวกับนางเป็นดรุณีน้อยชาวมนุษย์ที่เพิ่งเคยประสบพบรักแรก
มีมนุษย์ผู้หนึ่งที่ได้รับความเอาใจใส่จากโซออนเพียงนี้ ในขณะที่มนุษย์และโซออนต่างเกลียดชังกันและกัน หากเขาได้ยินเรื่องนี้จากปากคนอื่น ฮอปกินส์คงหัวร่อจนตัวงอ
อีกเรื่องหนึ่งที่ฮอปกินส์เห็นว่าแปลกนัก คือการที่เด็กชายไม่ทราบอะไรมากมายเหลือเกิน
“เหรียญนี้คือหนึ่งดิน่าเหรอครับ? ใช่มั้ยครับ? ”
เด็กชายถามฮอปกินส์ ในมือหนึ่งถือเหรียญสัมฤทธิ์ที่นำมาจากสินสงครามป้อมปราการ
“ถูกต้อง นั่นคือหนึ่งเหรียญสัมฤทธิ์ เรียกอีกอย่างว่าหนึ่งดิน่า”
“นี่คือเหรียญทองใช่มั้ยครับ? ”
ต่อมา เขาชี้ไปยังเหรียญที่มีสีทองเข้มประกาย
“ผิดแล้ว นั่นคือเหรียญทองเหลือง”
มันเป็นเหรียญที่ทำจากทองเหลือง ซึ่งเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับสังกะสี
เป็นวัตถุดิบเดียวกันกับเหรียญห้าเยนในญี่ปุ่น
“อ๋อ อืมม งั้น โลกนี้ใช้เงินตราหมุนเวียนประเภทไหนครับ? ”
แม้จะนึกสงสัยขึ้นมาว่า เจ้าเด็กนี่ใช้คำได้แปลกนัก อย่าง ‘โลกนี้’ แต่ฮอปกินส์ก็ยังเอ่ยตอบ
“เงินที่หมุนเวียนในรัฐฮอลเมียมี เหรียญเหล็ก เหรียญสัมฤทธิ์ เหรียญทองเหลือง เหรียญเงิน และเหรียญทอง กระทั่งในประเทศอื่นก็คล้ายๆ กัน”
“มูลค่าของแต่ละเหรียญคิดยังไงครับ? ”
“เหรียญเหล็กมีค่าเป็น 1/20 ของเหรียญสัมฤทธิ์ สี่เหรียญสัมฤทธิ์เท่ากับหนึ่งเหรียญทองเหลือง ยี่สิบห้าเหรียญทองเหลืองได้หนึ่งเหรียญเงิน ห้าสิบเหรียญเงินสามารถแลกได้เป็นหนึ่งเหรียญทองคำ”
“หนึ่งเหรียญทองคำก็จะได้ 5000 เหรียญสัมฤทธิ์ หรือก็คือ 5000 ดิน่า สินะครับ? ”
น่าประหลาดใจนัก เขาสามารถคาดเดามูลค่าเงินตราได้อย่างถูกต้อง
เขามั่นใจว่าในยุคนี้ การคำนวณเป็นศาสตร์ที่มีเพียงผู้คนซึ่งทำงานเกี่ยวข้องกับการเงิน ดังเช่นพ่อค้า เจ้าหน้าที่รัฐ หรือมนุษย์ที่เกิดในตระกูลขุนนางและอัศวินเท่านั้นจึงจะทราบ
ทว่าไม่ว่าฮอปกินส์จะคิดอย่างไร ทฤษฎีเหล่านั้นก็ใช้กับโซวมะไม่ได้ หากนับว่าเป็นพ่อค้าและเจ้าหน้าที่รัฐ เขาก็มีเรื่องที่ไม่รู้มากเกินไป และมนุษย์ผู้หนึ่งที่เกิดในตระกูลชั้นสูงย่อมไม่มีทางใกล้ชิดกับโซออน
“อืม ถูกต้อง แต่ปกติเหรียญสัมฤทธิ์จะเรียกกันว่าเดเมอรานิส หนึ่งเหรียญเงินเรียกแอกนิส และหนึ่งเหรียญทองเรียกกัลโคนิส”
“ว้าว! แต่ละเหรียญมีชื่อต่างกันด้วยเหรอเนี่ย? ยุ่งยากจังน้า”
เขาจึงควรเป็นผู้ตกใจมิใช่หรือ...ฮอปกินส์ประท้วงอยู่ในใจ
เขาอดมิได้ให้สงสัยว่าเรื่องธรรมดาเช่นนี้มีอะไรน่าประหลาดใจกัน
“หนึ่งดิน่านี่มีค่าเท่าไหร่ครับ? ”
“อืม ประมาณว่า หากเจ้าเดินเข้าไปในร้านเหล้าในเมือง เหล้าหนึ่งเหยือกจะมีราคาประมาณหนึ่งดิน่า และ--”
ฮอปกินส์ยื่นแขนออกไปยังเบาะนั่ง เปิดกล่องอาหาร ดึงเอาขนมปังกลมออกมา”
“ขนมปังนี้ราคาสองดิน่า”
“ขนมปังชิ้นหนึ่งสองดิน่า เป็นราคานี้ตลอดรึเปล่าครับ? ”
“ใช่แล้ว มิเช่นนั้นทุกคนก็มีปัญหามิใช่หรือ? ”
ในยุคนี้อาหารหลักคือขนมปัง เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ผู้นำประเทศส่วนมากจึงได้กำหนดราคาขนมปังแบบตายตัว เนื่องจากหากเกิดเหตุขนมปังขึ้นราคากะทันหัน ประชาชนจำนวนมากย่อมไม่อาจซื้อขนมปัง ทำให้ขาดแคลนอาหารได้ และหากประชาชนขาดแคลนอาหารเริ่มก่อการปล้นชิงและประท้วงเพื่อขนมปังขึ้นมา ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ
แต่ก็เช่นเดียวกัน ยังมีเรื่องที่ข้าวสาลีมีข้าวบาร์เลย์และสิ่งอื่นคล้ายกันปะปน ยังมีคนใช้ข้าวสาลีเก่าค้างหลายปีจากรอบปีที่การเก็บเกี่ยวไม่ดีปรากฏอยู่บ้าง ทว่าหากมีผู้กระทำความผิดมากเกินไป พวกเขาย่อมได้รับบทลงโทษ
อีกอย่างหนึ่ง ราคาขนมปังตายตัวยังเป็นการทำให้มูลค่าเงินมั่นคงขึ้น
ค่าเงินนี้จะกลายเป็นสื่อกลางสำหรับการแลกเปลี่ยน สมมติว่ามีมนุษย์สองคน นายเอ อยากขายปลา นายบีอยากขายเนื้อ หากนายเออยากได้เนื้อ และนายบีอยากได้ปลา พวกเขาก็สามารถแลกของกันได้เลย แต่ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการอาหารของอีกฝ่ายจะกลายเป็นว่าไม่อาจแลกของได้ เช่นนี้ธุรกิจย่อมหยุดชะงัก
ทว่าหากมีเงินตราเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น นายเอและนายบีก็จะสามารถแลกเปลี่ยนสินค้ากันได้ด้วยการตีมูลค่าออกมาเป็นเงิน หากฝ่ายใดต้องการของของอีกฝ่ายก็สามารถเอาเงินไปแลกเนื้อหรือปลาได้ ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าผู้อื่นจะต้องการของที่ตนเองมีหรือไม่ เพราะสามารถเก็บเงินเอาไว้ซื้อสิ่งที่ต้องการจากคนอื่นได้ ทำเช่นนี้การแลกเปลี่ยนด้วยเงินตราจึงสะดวกกว่าการแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งของมาก
ถึงอย่างไร ค่าเงินนี้ต้องเป็นสิ่งที่ทั้งฝ่ายนายเอและนายบีตกลงเห็นพ้องกันเรื่องมูลค่าที่มี
มีผู้นำประเทศประกาศกำหนดราคาให้ขนมปังหนึ่งชิ้นมีมูลค่าสองดิน่า เท่ากับว่ามูลค่าของเงินได้รับการยืนยันแล้ว ทั้งยังหมายความว่าประชาชนสามารถเข้าใจและใช้จ่ายได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากราคาขนมปังนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกตน
“ทำไมขนมปังถึงมีรอยแบ่งบนผิวด้วยล่ะครับ? ”
“จะได้ง่ายต่อการทานในยามเช้า กลางวัน และเย็น ด้วยการแบ่งเช่นนี้อย่างไรเล่า”
“ขนมปังหนึ่งชิ้นสำหรับหนึ่งวัน แล้วก็โลกนี้ก็ทานสามมื้อต่อวันเหมือนกันสินะ”
ในโลกยุคปัจจุบันการทานอาหารสามมื้อต่อวันเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ยังมีบางที่ที่ทานอาหารวันละสองมื้ออยู่เหมือนกัน อย่างในอดีต โรมโบราณในยุโรปก็ทานอาหารวันละสามมื้อ กระทั่งเมื่อกลายเป็นยุคกลางก็เหลือสองมื้อต่อวัน แม้แต่ในญี่ปุ่นเองก็ยังทานอาหารแค่สองมื้อต่อวันจนถึงช่วงยุคกลางเอโดะ (1603-1868)
“มีที่มาจากเรื่องที่สัตตเทพทรงเสวยพระกระยาหารสามครั้งต่อวันเพื่ออำนวยพรแก่ดวงอาทิตย์ อันเป็นจุดเริ่มต้นของโลกใบนี้”
เมื่อได้อธิบายเรื่องนี้ต่อเด็กชาย โซออนหญิงก็พูดด้วยท่าทีที่เรียกได้ว่าปีติเหลือแสน
“ยามเช้าเมื่อตะวันฟื้นคืน ยามกลางวันเมื่อสรรพชีวิตล้วนแต่กระฉับกระเฉงที่สุด และเย็นเมื่อตะวันสิ้นชีพ อธิษฐานเพื่อให้ตะวันถือกำเนิดใหม่ในวันพรุ่ง เราจึงทานอาหารของเราไปพร้อมกันเพื่ออำนวยพรแก่ดวงอาทิตย์”
“เข้าใจล่ะ”
หากนับว่าอีกฝ่ายเฉลียวฉลาดจนน่าประหลาดใจก็ถูกต้อง แต่เขากลับไม่ทราบกระทั่งเรื่องที่แม้แต่เด็กเล็กๆ ยังทราบ
นับเป็นเด็กที่แปลกโดยแท้
“ขนมปังออกจะแข็งอยู่นะครับ ใช่ไหม? ”
“เช่นนั้นหรือ? ขนมปังก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ”
โซออนหญิงโคลงหัวเมื่อเห็นเด็กชายใช้หลังนิ้วเคาะขนมปัง
เด็กชายมักทานอาหารเป็นแป้งและเนื้อที่โซออนหญิงจัดเตรียมให้ตลอดการเดินทางหลายวันนี้ ดูท่าเขาจะสนใจขนมปังมากทีเดียว
เหตุผลที่เด็กชายไม่มีโอกาสได้ทานขนมปังตลอดการเดินทางเพราะในยามที่ที่ฮอปกินส์พยายามจะเตรียมอาหารเผื่อทั้งสองในการเดินทางวันแรก โซออนหญิงกลับดื้อดึงปฏิเสธหนักแน่นว่าพวกเขาจะเตรียมอาหารของตนเองด้วยตัวเอง
“พวกเจ้า ตอนนี้เห็นเมืองแล้วนะ”
เมื่อเขาแจ้งต่อทั้งสองที่อยู่ด้านหลัง ภาพของเมืองก็ปรากฏสู่สายตาจากระยะไกล เด็กชายเอนกายมาด้านหน้า มองจากที่นั่งคนขับทั้งที่ยังนั่งอยู่ในเกวียน มีสีหน้าสดใส
“สุดยอด...นั่นคือเมืองสินะ”
“ใช่แล้ว ที่เจ้าเห็นตรงนั้นคือเมืองบอลนิส ซึ่งอยู่ทางสุดตะวันตกของรัฐฮอลเมีย”
จริงๆ ขึ้นเล่มสองตั้งแต่ราวๆ บทที่ 25 แล้วค่ะ
เราเพิ่งนึกได้ |||OTL
และนี่คือปกเล่มสองนั่นเอง!!!
ใครที่นึกหน้าตาโซออนไม่ออก...ยินดีด้วยค่ะ คุณได้เห็นพวกเขาแล้วววว
บนปกนี้มีไดโนซอเรี่ยน, โซออน และคนแคระค่ะ
เกวียนที่ฮอปกินส์ใช้ ในภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า Covered Wagon ค่ะ ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าภาษาไทยจะเรียกว่าอะไรดี
จริงๆ จะเรียกว่าเป็นรถม้าอย่างนึงก็ได้อะนะ
ภาพเกวียนจำลองที่ High Desert Museum ใน เบนด์, โอเรกอน
ภาพการข้ามธารน้ำแข็งที่แม่น้ำมิสซิสซิปปี
0 ความคิดเห็น