[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 35: พ่อค้าเร่



ฮอปกินส์เป็นพ่อค้าเร่

เขาเป็นพ่อค้าเร่ที่เริ่มต้นมาจากนิริวตัวเล็กกับเกวียนหุ้มผ้าซึ่งใช้เงินทุนที่เขาสั่งสมมาหลายสิบปีจากการฝึกงานกับบ้านพ่อค้าในเมือง ฮอปกินส์เริ่มต้นด้วยการนำของใช้จากในเมืองไปยังหมู่บ้านชาวไร่ แลกเปลี่ยนกับผลผลิตทางกสิกรรมอย่างพวกข้าวสาลี


เขามุ่งมั่นเดินทางไปยังหมู่บ้านห่างไกลเพื่อจะได้ไม่เจอการแลกเปลี่ยนที่เหมือนกับคนอื่น เขาต้องยอมรับว่าผลกำไรที่ได้นั้นค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทาง ทว่าด้วยวิธีนี้ ฮอปกินส์จึงอยู่ในจุดที่มีประสบการณ์คุ้นเคยกับชาวบ้านทำให้อีกฝ่ายเป็นมิตรกับเขาได้

ด้วยความมั่นอกมั่นใจในตัวเองเช่นนี้เอง เขาจึงได้เอ่ยปากขอแต่งงานกับสตรีที่รู้จักกันในยามทำงานอยู่บ้านพ่อค้า ครอบครัวที่น่ารักของเขายามนี้นั่งอยู่ท้ายเกวียน นอกจากนั้น เมื่อสามปีก่อน ครอบครัวที่แสนสำคัญยังขยับขยายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน เป็นลูกชายที่แสนภาคภูมิใจ

กล่าวได้ว่าแม้จะไม่หรูหรา ทว่าก็เป็นชีวิตที่ประสบความสำเร็จ

เมื่อฮอปกินส์ไปเยือนเมืองในรัฐฮอลเมีย หัวข้อซุบซิบที่กำลังร้อนแรงคือเรื่องของกองทัพที่ออกเดินทางไปจัดการโซออนที่อาศัยอยู่ในที่ราบซลเบียงต์บัดนี้ประสบอุบัติเหตุสูญเสียผู้คนไปเพราะความผิดพลาดจนเกิดเป็นไฟไหม้ในหมู่บ้านโซออน

ฮอปกินส์เชื่อว่านี่คือโอกาสทางการค้า

เพราะก่อนหน้านี้ทุ่งหญ้าซลเบียงต์เป็นของโซออน จึงเป็นธรรมเนียมที่พ่อค้าแร่จะรวมตัวกันเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ หรืออาจติดตามกองทัพไปเพื่อแลกเปลี่ยนกับป้อมปราการและหมู่บ้านทดลองที่ตั้งกระจายอยู่ในทุ่งหญ้า

ทว่าหากเข้าร่วมขบวนคาราวาน กำไรที่ได้ก็ต้องแบ่งปันกันโดยเท่าเทียมกับทุกคน เป้าหมายต่อไปของกองทัพก็ไม่ทราบว่าเป็นที่แห่งใดในที่ราบซลเบียงต์ ทั้งอีกฝ่ายยังอาจร้องขอข้อแลกเปลี่ยนหากต้องการร่วมขบวนไปด้วย

เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงไม่เดินทางไปขายของให้ทางป้อมปราการเองเสียเลยเล่า? เขาคิดขึ้นมา

แน่นอนว่าที่ราบซลเบียงต์คืออาณาเขตของโซออน แต่ก็นับเป็นอดีตไปแล้ว

โซออนถูกกองทัพขับไล่จนระหกระเหินหนีไปอาศัยในหุบเขาห่างไกลทางเหนือ โอกาสถูกโซออนโจมตีกล่าวได้ว่าแทบไม่มี หากจะมีอะไรให้เป็นห่วงย่อมเป็นโจร แต่ก็ไม่มีโจรใดโง่งมพอจะก่อเรื่องในบริเวณที่มีทั้งกองทัพและโซออนอาศัยอยู่ เขาคิดเช่นนั้น

ฮอปกินส์อยากจะหักคอฮอปกินส์เมื่อหลายวันก่อนเสียจริงๆ

“เช่นนั้น การัม เราจะทำอย่างไรกับเจ้านี่ดี? ”

“โซมะบอกว่าให้ควบคุมตัวทหารเอาไว้โดยไม่สังหารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คงไม่มีทางอื่นนอกจากนำเขาไปกับเราด้วย”

โซออนขนแดงและโซออนขนดำยืนสนทนากันอยู่เบื้องหน้าฮอปกินส์ ทั้งคู่มีร่างกายกำยำล่ำสันจนคล้ายว่าบิดแขนทีเดียวก็กระชากหัวเขาหลุดจากบ่าได้แล้ว

นอกจากนั้น เกวียนของเขายามนี้ยังถูกล้อมด้วยโซออน

“เซอร์กู ให้คนวิ่งไปแจ้งทางป้อมปราการเรื่องนี้เถอะ”

“อา เข้าใจแล้ว”

โซออนขนแดงเดินไปหาโซออนตนอื่น โซออนขนดำก้าวเข้ามาที่ม้านั่งซึ่งฮอปกินส์นั่งอยู่

“แล้วก็ขออภัยด้วย เจ้าจะมากับเราได้หรือไม่? ”

ฮอปกินส์ไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่พยักหน้ารัวๆ ปกป้องลูกและภรรยาด้านหลังตน


◆◇◆◇◆


เมื่อถูกโซออนห้อมล้อมเกวียนนำทางมาจนถึงป้อมปราการ ฮอปกินส์ก็แทบจะไม่เชื่อสายตา

ในป้อมปราการมีกระโจมโซออนอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน ไม่เท่านั้น โซออนยังเดินผ่านประตูป้อมอย่างผ่าเผย ลืมเรื่องหมู่บ้านโซออนที่ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปเสียเถิด ในทางกลับกัน ราวกับว่าป้อมปราการต่างหากที่ยามนี้ตกอยู่ใต้ความควบคุมของโซออนแล้ว

เมื่อเกวียนแล่นผ่านประตูป้อม กลับปรากฏมนุษย์อยู่จำนวนมากจนน่าตกใจ เป็นดังเช่นในข่าวลือ พวกเขาล้วนบาดเจ็บมีแผลกันมากมาย

“เอาล่ะ รอที่นี่ก่อน พวกเจ้าไปขนของลงจากเกวียนเสีย”

ประโยคหลังนั้นโซออนขนดำกล่าวกับโซออนใต้บัญชา พวกเขานำเอาหยูกยาลงจากเกวียน วางลงบนพื้นทีละกล่อง ฮอปกินส์เกรงว่าพวกเขาจะทำร้ายภรรยาและลูกในชั่วขณะใดขณะหนึ่ง ทว่าโซออนกลับมิได้สนใจแตะต้องแม้แต่น้อย

ไม่นานนัก เด็กมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งก็เดินลงมาจากอาคาร มีโซออนหญิงตามมาด้วย

“ได้ยินว่ามีพ่อค้าเร่มาเหรอครับ? ”

เขาคิดว่าเด็กชายคงจะโดนโซออนจับตัวมาเช่นเดียวกับ ทว่าเหตุใดอีกฝ่ายกลับพูดคุยกับโซออนขนดำอย่างเป็นมิตรเพียงนั้นเล่า? โซออนขนดำย่อมต้องไม่พอใจอย่างมากเป็นแน่ เขาเกรงว่าโซออนจะเข้าทำร้ายเด็กชาย ทว่าอีกฝ่ายกลับตอบโดยแทบไม่ใส่ใจ

“เกวียนขนพวกยาและผ้าพันแผลมา คาดว่าคงตั้งใจจะมาขายของพวกนี้ให้กับทางป้อมปราการกระมัง”

“ช่วยได้มากเลยครับ เราขอซื้อทั้งหมดเลย เท่าไหร่ครับ? ”

“พ-พะ-พูดอะไรกันเล่า! ท่านไม่ต้องจ่ายหรอก เช่นนั้น ขอเพียงชีวิตของครอบครัวข้า…! ”

“แปลว่า…”

“ท่านไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่น้อย ท่านจะช่วยไว้ชีวิตครอบครัวข้าได้หรือไม่!? ”

“...ยุ่งยากจังน้า เชมุล โทษทีนะ ช่วยไปเรียกมาโครนิสมาให้หน่อยได้มั้ย? ”

ได้ยินคำของเด็กชาย โซออนหญิงข้างกายเขาก็กลับเข้าไปในอาคาร ครู่หนึ่งก็กลับออกมาพร้อมชายวัยกลางคนที่มีรอยแผลจากดาบพาดอยู่บนหน้า

“มีธุระอะไรกับข้ารึ? ”

“ขอโทษที่ต้องเรียกตัวมาที่นี่นะครับคุณมาโครนิส พอดีว่ามีพ่อค้ามาขายพวกยารักษา แต่ผมไม่รู้ราคาตลาดน่ะครับ เลยขอให้คุณมาช่วยหน่อย”

บุรุษนามมาโครนิสตรวจสอบจำนวนและประเภทของสินค้าที่วางเรียงรายอยู่บนพื้น

“ยารักษายี่สิบไห ผ้าพันแผลสองร้อยม้วน ขี้ผึ้งทาแผลสิบไห และยาระบายห้าสิบห่อ… อืม รวมสินน้ำใจสำหรับความกล้าหาญที่ต้องฝ่าอันตรายมาขายของที่นี่ คาดว่าจะได้อยู่ที่ประมาณสามสิบเจ็ดเหรียญเงินกระมัง”

เป็นจำนวนเงินเท่ากับที่ฮอปกินส์คิดจะขายพอดิบพอดี

“เงินเท่านี้ได้ไหมครับ? ”

ต่อให้ไม่ได้ ฮอปกินส์ก็ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากตกลงไปตามที่เด็กชายว่าอยู่ดี

เขาพยักหน้าไม่หยุดหย่อน เด็กชายที่เห็นฮอปกินส์ตกลงก็สั่งโซออนให้ขนยารักษาทั้งหลายเข้าไปในอาคาร

“จะว่าไป คุณมาจากทางเมืองใช่ไหมครับ? ”

“ขอรับ ดังที่ท่านว่า! ”

“ถ้างั้น ผมจะจ่ายให้คุณสองเท่า แต่มีเรื่องเล็กน้อยที่ต้องขอความร่วมมือจากคุณสักหน่อย…”

รอยยิ้มหวานหยดบนใบหน้าของเด็กชาย กระตุ้นให้ฮอปกินส์นึกถึงตัวร้ายอันน่าสยองขวัญในละครเหลือเกิน

◆◇◆◇◆


หลายวันต่อมา รถเกวียนของฮอปกินส์ก็เดินทางลงทางฝั่งใต้ของทุ่งหญ้า

แทนที่จะมีครอบครัว ท้ายเกวียนเขากลับมีแขกแปลกหน้าสองชีวิตแทนที่ พร้อมทั้งความว่างเปล่าหลังขนย้ายสินค้าทั้งหมดเข้าไปในป้อมปราการแล้ว

“อืม จริงด้วย ข้าทำใจให้ชอบเกวียนเช่นนี้ไม่ลงจริงๆ ”

“อดทนหน่อยนะ เป้าหมายเราคราวนี้คือเข้าเมืองน่ะ”

“อ๊ะ ไม่หรอก ตราบใดที่ยังอยู่กับโซมะ ข้าจะไม่บ่นเลยแม้แต่น้อย จริงๆ นะ! ”

ผู้ที่พูดคุยกันอย่างสบายอารมณ์อยู่ในพื้นที่สัมภาระนั้นคือเด็กชายมนุษย์ลึกลับนามโซมะ และโซออนหญิงที่แม้แต่ในมุมมองของฮอปกินส์ก็ยังจัดว่านางงดงามยิ่ง ดูจากแขนขาได้รูป และเส้นขนอันงดงามของนาง

สิ่งที่เด็กชายร้องขอเป็นการแลกเปลี่ยนกับการซื้อของทุกอย่างในราคาสองเท่าคือให้นำเด็กชายเข้าเมือง แน่นอนว่าเด็กชายรั้งตัวภรรยาและลูกของฮอปกินส์ไว้ดูแลที่ป้อมปราการ

คราวแรกเด็กชายตั้งใจจะไปเพียงลำพัง ทว่าโซออนหญิงคัดค้านอย่างรุนแรงและเสนอตัวตามมาด้วย ซึ่งแน่นอนว่าถูกปฏิเสธ โซออนขนดำโมโหดุเดือดพยายามขัดขวางนาง ทว่าโซออนหญิงกลับดื้อดึงปฏิเสธ ท้ายสุดนางจึงติดสอยห้อยตามเด็กชายมาในฐานะทาส

เมื่อโซออนหญิงประกาศว่านางจะปลอมตัวเป็นทาส โซออนที่รายล้อมอยู่ตกตะลึงจนแทบจะเป็นลม บางตนถึงกับร้องห่มร้องไห้ขอให้นางล้มเลิกความคิดนั้นเสีย ดูไปแล้วนางย่อมเป็นคนสำคัญในหมู่โซออน

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขากังวลที่สุด คือการที่โซออนหญิงตนนี้ดูแลเด็กชายอย่างเอาใจใส่

เฝ้ามองทั้งสองมาหลายวัน เขาแปลกใจกับความศรัทธาที่นางมอบให้เด็กชายเหลือเกิน

ในยามเช้านางจะรีบตื่นก่อนเด็กชาย ตระเตรียมเสื้อผ้าและอาหาร จากนั้นจึงอดทนรอเขาตื่น ในยามค่ำ นางจะไม่ยอมล้มตัวลงนอนก่อนเด็กชายจะหลับใหล และหากไหล่ของเด็กชายสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาวจากลมเหนือ นางจะห่มผ้าขนแกะลงบนไหล่เขาอย่างอ่อนโยน หากเด็กชายผล็อยหลับไปในยามเดินทางด้วยเกวียน นางจะขยับเขาให้นอนหนุนตักนาง

ราวกับนางเป็นดรุณีน้อยชาวมนุษย์ที่เพิ่งเคยประสบพบรักแรก

มีมนุษย์ผู้หนึ่งที่ได้รับความเอาใจใส่จากโซออนเพียงนี้ ในขณะที่มนุษย์และโซออนต่างเกลียดชังกันและกัน หากเขาได้ยินเรื่องนี้จากปากคนอื่น ฮอปกินส์คงหัวร่อจนตัวงอ

อีกเรื่องหนึ่งที่ฮอปกินส์เห็นว่าแปลกนัก คือการที่เด็กชายไม่ทราบอะไรมากมายเหลือเกิน

“เหรียญนี้คือหนึ่งดิน่าเหรอครับ? ใช่มั้ยครับ? ”

เด็กชายถามฮอปกินส์ ในมือหนึ่งถือเหรียญสัมฤทธิ์ที่นำมาจากสินสงครามป้อมปราการ

“ถูกต้อง นั่นคือหนึ่งเหรียญสัมฤทธิ์ เรียกอีกอย่างว่าหนึ่งดิน่า”

“นี่คือเหรียญทองใช่มั้ยครับ? ”

ต่อมา เขาชี้ไปยังเหรียญที่มีสีทองเข้มประกาย

“ผิดแล้ว นั่นคือเหรียญทองเหลือง”

มันเป็นเหรียญที่ทำจากทองเหลือง ซึ่งเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับสังกะสี

เป็นวัตถุดิบเดียวกันกับเหรียญห้าเยนในญี่ปุ่น

“อ๋อ อืมม งั้น โลกนี้ใช้เงินตราหมุนเวียนประเภทไหนครับ? ”

แม้จะนึกสงสัยขึ้นมาว่า เจ้าเด็กนี่ใช้คำได้แปลกนัก อย่าง ‘โลกนี้’ แต่ฮอปกินส์ก็ยังเอ่ยตอบ

“เงินที่หมุนเวียนในรัฐฮอลเมียมี เหรียญเหล็ก เหรียญสัมฤทธิ์ เหรียญทองเหลือง เหรียญเงิน และเหรียญทอง กระทั่งในประเทศอื่นก็คล้ายๆ กัน”

“มูลค่าของแต่ละเหรียญคิดยังไงครับ? ”

“เหรียญเหล็กมีค่าเป็น 1/20 ของเหรียญสัมฤทธิ์ สี่เหรียญสัมฤทธิ์เท่ากับหนึ่งเหรียญทองเหลือง ยี่สิบห้าเหรียญทองเหลืองได้หนึ่งเหรียญเงิน ห้าสิบเหรียญเงินสามารถแลกได้เป็นหนึ่งเหรียญทองคำ”

“หนึ่งเหรียญทองคำก็จะได้ 5000 เหรียญสัมฤทธิ์ หรือก็คือ 5000 ดิน่า สินะครับ? ”

น่าประหลาดใจนัก เขาสามารถคาดเดามูลค่าเงินตราได้อย่างถูกต้อง

เขามั่นใจว่าในยุคนี้ การคำนวณเป็นศาสตร์ที่มีเพียงผู้คนซึ่งทำงานเกี่ยวข้องกับการเงิน ดังเช่นพ่อค้า เจ้าหน้าที่รัฐ หรือมนุษย์ที่เกิดในตระกูลขุนนางและอัศวินเท่านั้นจึงจะทราบ

ทว่าไม่ว่าฮอปกินส์จะคิดอย่างไร ทฤษฎีเหล่านั้นก็ใช้กับโซวมะไม่ได้ หากนับว่าเป็นพ่อค้าและเจ้าหน้าที่รัฐ เขาก็มีเรื่องที่ไม่รู้มากเกินไป และมนุษย์ผู้หนึ่งที่เกิดในตระกูลชั้นสูงย่อมไม่มีทางใกล้ชิดกับโซออน

“อืม ถูกต้อง แต่ปกติเหรียญสัมฤทธิ์จะเรียกกันว่าเดเมอรานิส หนึ่งเหรียญเงินเรียกแอกนิส และหนึ่งเหรียญทองเรียกกัลโคนิส”

“ว้าว! แต่ละเหรียญมีชื่อต่างกันด้วยเหรอเนี่ย? ยุ่งยากจังน้า”

เขาจึงควรเป็นผู้ตกใจมิใช่หรือ...ฮอปกินส์ประท้วงอยู่ในใจ

เขาอดมิได้ให้สงสัยว่าเรื่องธรรมดาเช่นนี้มีอะไรน่าประหลาดใจกัน

“หนึ่งดิน่านี่มีค่าเท่าไหร่ครับ? ”

“อืม ประมาณว่า หากเจ้าเดินเข้าไปในร้านเหล้าในเมือง เหล้าหนึ่งเหยือกจะมีราคาประมาณหนึ่งดิน่า และ--”

ฮอปกินส์ยื่นแขนออกไปยังเบาะนั่ง เปิดกล่องอาหาร ดึงเอาขนมปังกลมออกมา”

“ขนมปังนี้ราคาสองดิน่า”

“ขนมปังชิ้นหนึ่งสองดิน่า เป็นราคานี้ตลอดรึเปล่าครับ? ”

“ใช่แล้ว มิเช่นนั้นทุกคนก็มีปัญหามิใช่หรือ? ”

ในยุคนี้อาหารหลักคือขนมปัง เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ผู้นำประเทศส่วนมากจึงได้กำหนดราคาขนมปังแบบตายตัว เนื่องจากหากเกิดเหตุขนมปังขึ้นราคากะทันหัน ประชาชนจำนวนมากย่อมไม่อาจซื้อขนมปัง ทำให้ขาดแคลนอาหารได้ และหากประชาชนขาดแคลนอาหารเริ่มก่อการปล้นชิงและประท้วงเพื่อขนมปังขึ้นมา ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ

แต่ก็เช่นเดียวกัน ยังมีเรื่องที่ข้าวสาลีมีข้าวบาร์เลย์และสิ่งอื่นคล้ายกันปะปน ยังมีคนใช้ข้าวสาลีเก่าค้างหลายปีจากรอบปีที่การเก็บเกี่ยวไม่ดีปรากฏอยู่บ้าง ทว่าหากมีผู้กระทำความผิดมากเกินไป พวกเขาย่อมได้รับบทลงโทษ

อีกอย่างหนึ่ง ราคาขนมปังตายตัวยังเป็นการทำให้มูลค่าเงินมั่นคงขึ้น

ค่าเงินนี้จะกลายเป็นสื่อกลางสำหรับการแลกเปลี่ยน สมมติว่ามีมนุษย์สองคน นายเอ อยากขายปลา นายบีอยากขายเนื้อ หากนายเออยากได้เนื้อ และนายบีอยากได้ปลา พวกเขาก็สามารถแลกของกันได้เลย แต่ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการอาหารของอีกฝ่ายจะกลายเป็นว่าไม่อาจแลกของได้ เช่นนี้ธุรกิจย่อมหยุดชะงัก

ทว่าหากมีเงินตราเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น นายเอและนายบีก็จะสามารถแลกเปลี่ยนสินค้ากันได้ด้วยการตีมูลค่าออกมาเป็นเงิน หากฝ่ายใดต้องการของของอีกฝ่ายก็สามารถเอาเงินไปแลกเนื้อหรือปลาได้ ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าผู้อื่นจะต้องการของที่ตนเองมีหรือไม่ เพราะสามารถเก็บเงินเอาไว้ซื้อสิ่งที่ต้องการจากคนอื่นได้ ทำเช่นนี้การแลกเปลี่ยนด้วยเงินตราจึงสะดวกกว่าการแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งของมาก

ถึงอย่างไร ค่าเงินนี้ต้องเป็นสิ่งที่ทั้งฝ่ายนายเอและนายบีตกลงเห็นพ้องกันเรื่องมูลค่าที่มี

มีผู้นำประเทศประกาศกำหนดราคาให้ขนมปังหนึ่งชิ้นมีมูลค่าสองดิน่า เท่ากับว่ามูลค่าของเงินได้รับการยืนยันแล้ว ทั้งยังหมายความว่าประชาชนสามารถเข้าใจและใช้จ่ายได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากราคาขนมปังนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกตน

“ทำไมขนมปังถึงมีรอยแบ่งบนผิวด้วยล่ะครับ? ”

“จะได้ง่ายต่อการทานในยามเช้า กลางวัน และเย็น ด้วยการแบ่งเช่นนี้อย่างไรเล่า”

“ขนมปังหนึ่งชิ้นสำหรับหนึ่งวัน แล้วก็โลกนี้ก็ทานสามมื้อต่อวันเหมือนกันสินะ”

ในโลกยุคปัจจุบันการทานอาหารสามมื้อต่อวันเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ยังมีบางที่ที่ทานอาหารวันละสองมื้ออยู่เหมือนกัน อย่างในอดีต โรมโบราณในยุโรปก็ทานอาหารวันละสามมื้อ กระทั่งเมื่อกลายเป็นยุคกลางก็เหลือสองมื้อต่อวัน แม้แต่ในญี่ปุ่นเองก็ยังทานอาหารแค่สองมื้อต่อวันจนถึงช่วงยุคกลางเอโดะ (1603-1868)

“มีที่มาจากเรื่องที่สัตตเทพทรงเสวยพระกระยาหารสามครั้งต่อวันเพื่ออำนวยพรแก่ดวงอาทิตย์ อันเป็นจุดเริ่มต้นของโลกใบนี้”

เมื่อได้อธิบายเรื่องนี้ต่อเด็กชาย โซออนหญิงก็พูดด้วยท่าทีที่เรียกได้ว่าปีติเหลือแสน

“ยามเช้าเมื่อตะวันฟื้นคืน ยามกลางวันเมื่อสรรพชีวิตล้วนแต่กระฉับกระเฉงที่สุด และเย็นเมื่อตะวันสิ้นชีพ อธิษฐานเพื่อให้ตะวันถือกำเนิดใหม่ในวันพรุ่ง เราจึงทานอาหารของเราไปพร้อมกันเพื่ออำนวยพรแก่ดวงอาทิตย์”

“เข้าใจล่ะ”

หากนับว่าอีกฝ่ายเฉลียวฉลาดจนน่าประหลาดใจก็ถูกต้อง แต่เขากลับไม่ทราบกระทั่งเรื่องที่แม้แต่เด็กเล็กๆ ยังทราบ

นับเป็นเด็กที่แปลกโดยแท้

“ขนมปังออกจะแข็งอยู่นะครับ ใช่ไหม? ”

“เช่นนั้นหรือ? ขนมปังก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ”

โซออนหญิงโคลงหัวเมื่อเห็นเด็กชายใช้หลังนิ้วเคาะขนมปัง

เด็กชายมักทานอาหารเป็นแป้งและเนื้อที่โซออนหญิงจัดเตรียมให้ตลอดการเดินทางหลายวันนี้ ดูท่าเขาจะสนใจขนมปังมากทีเดียว

เหตุผลที่เด็กชายไม่มีโอกาสได้ทานขนมปังตลอดการเดินทางเพราะในยามที่ที่ฮอปกินส์พยายามจะเตรียมอาหารเผื่อทั้งสองในการเดินทางวันแรก โซออนหญิงกลับดื้อดึงปฏิเสธหนักแน่นว่าพวกเขาจะเตรียมอาหารของตนเองด้วยตัวเอง

“พวกเจ้า ตอนนี้เห็นเมืองแล้วนะ”

เมื่อเขาแจ้งต่อทั้งสองที่อยู่ด้านหลัง ภาพของเมืองก็ปรากฏสู่สายตาจากระยะไกล เด็กชายเอนกายมาด้านหน้า มองจากที่นั่งคนขับทั้งที่ยังนั่งอยู่ในเกวียน มีสีหน้าสดใส

“สุดยอด...นั่นคือเมืองสินะ”

“ใช่แล้ว ที่เจ้าเห็นตรงนั้นคือเมืองบอลนิส ซึ่งอยู่ทางสุดตะวันตกของรัฐฮอลเมีย”




จริงๆ ขึ้นเล่มสองตั้งแต่ราวๆ บทที่ 25 แล้วค่ะ
เราเพิ่งนึกได้ |||OTL

และนี่คือปกเล่มสองนั่นเอง!!!


ใครที่นึกหน้าตาโซออนไม่ออก...ยินดีด้วยค่ะ คุณได้เห็นพวกเขาแล้วววว

บนปกนี้มีไดโนซอเรี่ยน, โซออน และคนแคระค่ะ


เกวียนที่ฮอปกินส์ใช้ ในภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า Covered Wagon ค่ะ ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าภาษาไทยจะเรียกว่าอะไรดี

จริงๆ จะเรียกว่าเป็นรถม้าอย่างนึงก็ได้อะนะ

ภาพเกวียนจำลองที่ High Desert Museum ใน เบนด์, โอเรกอน


ภาพการข้ามธารน้ำแข็งที่แม่น้ำมิสซิสซิปปี

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น