[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 34: กระตุ้น



หลายวันต่อมาหลังความพ่ายแพ้ของป้อมปราการ ผู้ช่วยผู้บัญชาการมาโครนิสที่ถูกจับมัดแขนไพล่หลังก็ถูกนำตัวมายังห้องที่เคยเป็นของตนเอง

เขาคิดว่าคงจะได้พบกับโซออนขนดำที่ต่อสู้เอาชนะเขา ทว่ากลับได้รับการทักทายจากเด็กมนุษย์คนหนึ่ง และโซออนหญิงตนหนึ่งแทน

ดูจากสถานการณ์แล้ว เขาคาดว่าหนึ่งในสองคนนี้คงเป็นผู้เรียกเขามา

ขณะคิดเช่นนั้น มาโครนิสก็สำรวจทั้งสองไปด้วย ก่อนจะต้องตกใจ โซออนหญิงดูท่าทางระแวงระวังสูงยิ่ง จับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเขาทีเดียว

ไม่ว่าดูอย่างไรก็มิใช่ท่าทีของผู้ที่จะเรียกผู้อื่นมาเจรจารับฟัง เช่นนั้นผู้ที่เรียกเขาย่อมเป็นเด็กมนุษย์แล้ว

เขาได้รับรายงานจากเซเทียสแล้วว่ามีเด็กมนุษย์คนหนึ่งเป็นผู้นำโซออน ทว่าเมื่อเห็นกับตา เขาก็อดมิได้ให้สงสัยว่าเรื่องเช่นนี้เป็นไปได้หรือ

“ขอโทษที่เรียกตัวคุณมานะครับ ผมชื่อโซวมะ ด้านข้างผมคือเชมุลแห่งเผ่าคมเขี้ยวครับ”

ท่าทางตกประหม่ายากยิ่งจะเหมาะสมกับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพผู้เรียกตัวนักโทษ จ้องหน้าโซวมะอยู่ชั่วครู่ มาโครนิสก็เอ่ย

“ข้ามีนามว่ามาโครนิส มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการ”

สลักประทับลึกลับนั้นมิได้ปรากฏเนื่องจากถูกผ้าคาดศีรษะปิดบัง ทว่าเขายังจำใบหน้านั้นได้

“เช่นนั้นก็เป็นเจ้าจริงๆ…”

เขาคือพระบุตรลึกลับที่เซเทียสนำตัวมายังป้อมปราการแน่นอน

“คุณรู้จักผมเหรอครับ?”

“เจ้าย่อมจำไม่ได้ ทว่าข้าอยู่ด้วยตอนเจ้าถูกนำตัวมายังป้อมปราการแห่งนี้”

“ถูกพามา...จากที่ไหนครับ?”

มาโครนิสเห็นว่าโซวมะถามอะไรแปลกนัก

เขาจะกล่าวว่าไม่ทราบว่าตนเองถูกพบตัวที่ไหนหรือ?

“ในรายละเอียด ข้าคงต้องขอให้เจ้าถามเอาจากลูกน้องข้าที่เป็นผู้นำตัวเจ้ามา หากเขายังไม่ตาย”

เมื่อเขาเอ่ยเสียดสี โซวมะก็มีท่าทีคล้ายลังเลเล็กน้อย

“...อืม ตอนนี้เขาสบายดีนะครับ”

โซวมะหันไปพูดกับโซออนที่เป็นผู้นำตัวมาโครนิสเข้ามาในห้อง ยามนี้อีกฝ่ายยิ่งดึงเชือกที่มัดเขาจนแน่นกว่าเดิม

“ช่วยคลายเชือกให้หน่อยได้ไหมครับ? ผมจะคุยกับเขาสักหน่อย”

“จะไม่เป็นไรหรือ?” เขาถามโซวมะ มองเชมุลอย่างสงสัย

“อืม เขาดูไม่เหมือนคนที่จะทำให้ลูกน้องยิ่งเดือดร้อนเพราะทำตัวไม่ยั้งคิดนะครับ อีกอย่าง เชมุลก็อยู่ที่นี่ด้วย”

“เช่นนี้มิได้ทำให้ข้าประทับใจมากมายนักหรอกนะ”

มาโครนิสกล่าวเช่นนั้น เขาขยับปากเล็กน้อย พยายามห้ามไม่ให้ตัวเองหลุดรอยยิ้มออกมาเมื่อได้ยินถ้อยคำไว้วางใจของโซวมะ

“ขอบคุณ เช่นนี้สบายขึ้นมาก”

เชมุลเป็นผู้ปลดเชือกให้เขาเอง มาโครนิสหมุนแขนไปมาเพื่อคลายไหล่ที่แข็งทื่อ จากนั้นก็เห็นโซวมะมองตนด้วยสายตาแปลกประหลาด

“มีอะไรหรือ?”

“แค่ไม่คิดว่าคุณจะขอบคุณเธอน่ะครับ”

หันไปมองเชมุลครู่หนึ่ง มาโครนิสก็ร้อง ‘อ้อ!’ ออกมา

“เจ้าเห็นว่าแปลกรึ? ที่ข้าทำตัวปกติกับโซออน”

“ครับ เท่าที่ผมเจอมนุษย์มาจนถึงตอนนี้ทำเหมือนโซออนเป็นสัตว์ร้าย”

“แท้จริงเช่นนั้นก็ไม่ปกติเช่นกัน ในกองทัพ ทหารจะได้รับการสอนว่าโซออนเป็นเดรัจฉานต่ำต้อย หากอยู่ลำพังก็เรื่องหนึ่ง ทว่าเมื่ออยู่เป็นกลุ่ม ทหารมักจะกระทำรุนแรงต่อโซออน ข้ากล้ากล่าวว่าผู้ที่เจ้าพบเจอคงเป็นทหารกระมัง”

“ถ้างั้น แล้วคุณล่ะครับ?”

“ข้าย้ายมาจากการเป็นทหารรับจ้าง ในกลุ่มทหารรับจ้างที่ข้าเกิดและเติบโต พวกครึ่งมนุษย์อย่างคนแคระหรือไดโนซอเรี่ยนนั้น-- อา ขออภัยด้วย”

มาโครนิสขออภัยเพราะการเรียกเผ่าพันธุ์อื่นว่า ‘พวกครึ่งมนุษย์’ ถือเป็นการดูแคลนอย่างหนึ่ง

“ที่นั่นยังมีทหารรับจ้างจากเผ่าอื่นๆ เช่นกัน ยามเยาว์วัย ข้าได้รับกำปั้นจากคนแคระช่างทำขนมปังเพราะไปขโมยขนมปังเขา ข้ายังมีมิตรผู้หนึ่งเป็นไดโนซอเรียนที่ให้ข้านั่งบนบ่า ในยามนั้นข้ายังไม่เคยได้รู้จักศาสนจักร กระทำกับทุกคนได้เป็นปกติ”

“ถ้าอย่างนั้น อะไรทำให้คุณคิดว่าโซออนเป็นเดรัจฉานต่ำต้อยครับ?”

มาโครนิสคิดว่าเป็นคำถามที่แปลกทีเดียว มนุษย์โดยมากไม่ถามเช่นนี้พราะมันคือแนวคิดกองทัพและนโยบายของประเทศ เพราะนั่นคือกษัตริย์ผู้มอบนโยบาย พระองค์ยังเป็นสมมุติเทพ ยังเป็ฯเรื่องปกติที่องค์กษัตริย์จะไว้วางใจทหารในกองทัพ ประชาชนมองว่าเหล่านี้เป็นเรื่องปกติยิ่ง เหมือนมีองค์เทพเป็นผู้สร้างขึ้น

ทว่ามาโครนิสที่เดินทางหลากหลายประเทศในฐานะทหารรับจ้าง เปลี่ยนนายที่รับใช้หลายต่อหลายครั้ง ทราบดีว่าล้วนแต่เป็นความคิดของผู้ปกครองทั้งนั้น

“เพราะเช่นนี้สะดวกกว่ามาก”

เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ทั่วไปที่ยินดีสอนสั่งเด็กน้อยฉลาดเฉลียว มาโครนิสเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาอยากจะลองบอกเล่าความคิดตนให้แก่เด็กชายที่ไม่ธรรมดาผู้นี้

“มนุษย์ทวีจำนวนขึ้น ทั้งยังมากขึ้นทุกที หากมีจำนวนมากกว่านี้ ปากท้องที่ต้องหาเลี้ยงก็มากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนพื้นที่เพาะปลูกที่สามารถปลูกข้าวสาลีและมันฝรั่งได้เพื่อมิให้ทุกคนอดตาย เพื่อการนั้น ที่ดินคือสิ่งจำเป็น”

“ผมทราบครับ โซออนถูกขับไล่เพื่อชิงพื้นที่ในทุ่งหญ้า”

“ดังที่เจ้าว่า”

น้ำเสียงเขาราวกับอาจารย์ที่ชื่นชมนักเรียนหัวดี

“มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับ แม้จะกระทำการป่าเถื่อน พวกเขายังคงรักความถูกต้องยุติธรรม แม้จะต้องการขโมยพื้นที่เพื่อเพาะปลูกของกิน พวกเขายังคงเอ่ยว่าการไล่โซออนจากทุ่งหญ้าเป็นความยุติธรรม จึงให้เหตุผลว่าโซออนเป็นเผ่าพันธุ์ต่ำต้อยที่สมควรถูกทำลาย วิธีการนี้ทำให้ทหารไร้ความลังเล เป็นนโยบายกองทัพ”

“ถึงคุณจะไม่เชื่อก็ตามน่ะเหรอครับ?”

“ถูกต้อง แม้ข้าจะขัดแย้งนโยบายกองทัพ เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นเล่า? ข้าก็จะถูกไล่ออก และให้ผู้อื่นเข้ามาทำงานแทนข้า”

เขาเอ่ยถึงความเป็นจริงด้วยรอยยิ้มขม

“ทหารใหม่มากมายรู้สึกต่อต้านการขโมยชีวิตผู้อื่นแม้จะเป็นผู้ต่างเผ่าพันธุ์ ทว่าหากใครคนหนึ่งลังเลยามอยู่ในการศึกสงครามย่อมต้องลงเอยด้วยชีวิต เช่นนั้นพวกเขาจึงได้รับการสอนสั่งว่าการสังหารเผ่าอื่นล้วนไม่เป็นไร หรือมิเช่นนั้น จะเป็นชีวิตพวกเขาที่สูญสิ้น พวกเขาจึงไร้ความลังเลเมื่อต้องลงมือ”

มาโครนิสหันไปสนใจเชมุล

“พวกเจ้าได้ยินเช่นนี้คงไม่น่าฟังนัก ทว่าความปลอดภัยของผู้ใต้บังคับบัญชาข้าสำคัญกว่าโซออนที่ไม่รู้จักมาก”

“เป็นเรื่องที่ไม่น่าฟังจริงๆ”

เชมุลเอ่ยอย่างขยะแขยง เห็นความตรงไปตรงมาของเชมุล มาโครนิสก็คอตก เหลือบตามอง

“ข้าไม่มีคำใดจะแก้ตัว เทียบกับเราแล้ว โซออนไม่เพียงจะให้การดูแลนักโทษ ทั้งยังรักษาบาดแผลให้อีกด้วย”

“แน่นอน! พวกเราโซออนล้วนเป็นนักรบผู้ทรงเกียรติ!”

ขณะที่เชมุลยืดอกโอ้อวด โซวมะกลับยิ้มอ่อน

มีมาโครนิสคอยยกยอโซออนด้วยการดูถูกตนเอง เพียงนี้เขาก็มั่นใจในความปลอดภัยของเหล่าทหารที่ตกเป็นนักโทษได้แล้ว

แม้โซวมะจะทราบถึงจุดประสงค์ที่แอบแฝง เขากลับรู้สึกเป็นมิตรกับมาโครนิสขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ทำให้ไม่อาจเกลียดอีกฝ่ายได้ลงด้วยความเคารพ คงเพราะอีกฝ่ายยอมลดเกียรติตนเองเพื่อความปลอดภัยของผู้ใต้บังคับบัญชากระมัง

“ไม่ต้องห่วงครับ แต่แรกเราก็ไม่คิดจะทำอะไรนักโทษอยู่แล้ว จะรักษาอาการเจ็บป่วยตามปกติก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”

ทราบถึงความตั้งใจ โซวมะจึงเอ่ยปากยืนยันความปลอดภัยของลูกน้องอีกฝ่ายหนึ่ง มาโครนิสเบิกตากว้าง ก่อนจะยืดตัวตรง แล้วก้มหัวลงต่ำ

“ข้าขอขอบพระคุณท่านจากก้นบึ้งของหัวใจสำหรับความใจกว้างนี้”

“แต่ว่า เพื่อป้องกันการต่อต้าน ผมตั้งใจจะกำหนดบริวณ กิจกรรม และจำนวนคนผู้คนที่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กันได้นะครับ แน่นอนว่าต้องถูกจับตามองด้วย”

“เช่นนั้นย่อมสมเหตุสมผลแล้ว ให้ข้าเป็นผู้บอกทุกคนได้ใช่หรือไม่?”

ยังไงหมอนี่ก็เจ้าเล่ห์อยู่ดี โซวมะคิด เขาบอกโซออนไปแล้วว่าห้ามทำร้ายนักโทษ แต่ถ้าจะให้นักโทษเชื่อแล้ว ได้ยินจากปากของผู้บังคับบัญชาย่อมดีกว่ามาก ถือเป็นการยืนยันให้มั่นใจอีกชั้นหนึ่ง สถานการณ์ตอนนี้เกิดนักโทษต่อต้านขึ้นมาก็มีแต่หายนะเท่านั้น

“ครับ ถ้าทำแบบนั้นจะช่วยได้มากทีเดียว”

“อย่าได้พูดเช่นนั้นเลย อย่างไรก็เป็นไปเพื่อทั้งสองฝ่าย”

เพราะอย่างนั้น โซวมะจึงยิ้มเผล่

“ระหว่างนั้น ผมจะขอให้คุณช่วยสอนผมหลายๆ เรื่องเพื่อเราทั้งสองฝ่ายได้ไหมครับ?”

“...หลายๆ เรื่องรึ?”

“ยกตัวอย่างเช่น เรื่องเมืองที่อยู่ทางใต้ของทุ่งหญ้า อะไรแบบนั้น”

รอยยิ้มของมาโครนิสพลันแข็งทื่อ

จะมีหน่วยปราบปรามมาที่ทุ่งหญ้าไหม? จะมาเมื่อไหร่ หากพวกเขามา ทัพจะมีขนาดใหญ่เพียงใด? เขาล้วนเชื่อว่าหากถูกถามย่อมได้ยินคำถามดังกล่าว ทว่าเมื่อกลายเป็นคำถามถึงเมืองแล้ว อาจกล่าวได้ว่า อีกฝ่ายได้เล็งที่นั่นเอาไว้แล้ว

“ขอเตือนไว้ก่อนนะครับ ผมตั้งใจจะถามลูกน้องของคุณเรื่องนี้หลังจากนี้เหมือนกัน”

นั่นคือคำเตือน ว่าปิดเป็นความลับหรือโกหกก็ล้วนแต่ไร้ประโยชน์

เพราะมิได้มีการเตรียมเรื่องราวไว้ให้ตรงกันตั้งแต่ต้น หากโกหกหรือปิดบังขึ้นมาย่อมความแตกทันทีที่นำข้อมูลทุกส่วนมาเทียบกัน

มาโครนิสไหล่ตก ถอนหายใจเฮือก

“...ให้ตาย ข้าลืมไปเสียสนิท”

“ลืมอะไรหรือครับ?”

“ในตอนที่ป้อมปราการถูกบุกยึดได้ด้วยแผนการณ์ของเจ้า ข้าคิดเช่นนี้ ผู้ที่คิดแผนการเหล่านี้ตั้งใจโจมตีทหารมิใช่ป้อมปราการ ทหารล้วนเป็นมนุษย์ หากเหน็ดเหนื่อยจากการรักษาทหารบาดเจ็บทุกวัน ความระมัดระวังย่อมลดลง เมื่อคิดว่าสหายร่วมทัพบาดเจ็บมาถึง พวกเขาจึงเปิดประตูโดยไม่สงสัยแม้แต่น้อย และ เมื่อพวกเขาได้รับการบอกกล่าวว่าจะไม่ถูกสังหารหากไม่ต่อต้าน ทำให้พวกเขาทิ้งอาวุธ เจ้าใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนในใจมนุษย์ได้เฉียบขาดงดงามยิ่ง”

“...กำลังหมายความว่าไม่ยุติธรรมรึเปล่านะครับ?”

มาโครนิสส่ายหน้าโดยแรงเมื่อได้ยินคำถามของโซวมะ

“มิใช่ ตัวอย่างเช่น หากคนธรรมดาอย่างข้าคิดวางแผนบุกยึดป้อมปราการ ข้าจะเตรียมอาวุธเอาไว้ล่วงหน้า ข้าอาจคิดสงสัยว่าจะต้องข้ามกำแพงอย่างไร ใช้เวลาเพียงใดจึงสามารถทำลายกำแพงได้

ทว่าเจ้ากลับจู่โจมเข้าไปยังช่องว่างในจิตใจผู้คนภายในป้อมปราการมิใช่ตัวป้อมปราการ ถูกต้องที่สุดแล้ว ในเมื่อศัตรูคือทหารในป้อมปราการ และป้อมปราการนี้เป็นของศัตรู เช่นนั้นเมื่อเจ้าทำลายป้อมปราการลงได้ หรือบังคับทหารฝ่ายศัตรูให้ยอมแพ้ได้ ผลลัพธ์ก็ออกมาเช่นเดียวกัน

และในเมื่อผลเป็นเช่นเดียวกัน หากเจ้าตั้งใจเพียงพยายามปกป้องโซออน เจ้าย่อมครุ่นคิดหาหนทางขับไล่มนุษย์ที่จะเข้าโจมตีทุ่งหญ้า ทว่าเจ้ากลับไม่หยุดเพียงแค่นั้น”

มาโครนิสมองตาโซวมะลึกล้ำ

“เจ้าดูแตกต่างจากพวกข้าคนธรรมดา และเจ้าทราบหรือไม่ ว่าคนธรรมดาอย่างเราเรียกคนเช่นนั้นว่าอย่างไร?”

โซวมะส่ายหน้า มาโครนิสจึงเผยรอยยิ้มชั่วร้าย

“เรียกกันว่าวีรบุรุษ หรือผู้ทำลายล้าง ข้าสงสัยยิ่ง ว่าเจ้าจะเป็นแบบใดกัน?”


◆◇◆◇◆


“นี่ เชมุล ผมสงสัยนะว่าอันไหนจะเหมาะกับพวกเรามากกว่ากัน?”

โซวมะถามเชมุลที่อยู่ข้างกายหลังการสนทนาจบลงและมาโครนิสถูกนำตัวออกไป

“อย่าไปฟังเรื่องแปลกๆ เลย มิใช่นั่นเป็นธรรมดาของพวกทหารมนุษย์หรอกหรือ?”

คำตอบของเชมุลเรียบง่ายยิ่ง

ทว่าคำตอบนั้นไม่ได้ผลกับโซวมะ

กระทั่งถึงตอนนี้ ภาพของทหารที่เล่นกับซากศพโซออน และภาพมนุษย์ในโลกนี้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โซออนยังติดอยู่ในใจโซวมะ

แม้จะเป็นเช่นนั้น มาโครนิสที่ควรรับผิดชอบต่อการกวาดล้างโซออนกลับเป็นคนดี กล่าวได้ว่าเขาทำไปโดยหน้าที่ ไม่ได้เป็นเพราะคลั่งศาสนา หรือมีความสุขกับการทรมาณผู้อื่น

แน่นอนว่าเป็นความจริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการคร่าล้างโซออนจะเป็นเรื่องที่ทนได้อีกนั่นแหละ

แน่นอนว่าทหารมนุษย์ของมาโครนิสเป็นศัตรูที่พยายามทำลายโซออน

เขาไม่ต้องสงสัยเรื่องนั้นเลย

เขาเข้าใจตรรกะ แต่ในใจกลับรู้สึกว่าไม่เห็นด้วยนััก

ความรู้สึกขุ่นๆ ในใจนี้เหมือนตอนที่เล่นเกมอาร์พีจีเกมโปรด แต่ดันเคลียร์เนื้อเรื่องรองทั้งหมดไม่ได้ทั้งๆ ที่จัดการจอมมารไปเรียบร้อยแล้ว ถึงปริศนาทั้งหมดจะหายไปทันทีที่จอมมารถูกทำลาย แต่เขาก็ยังสงสัยว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงถ้าเขาลองเคลียร์เนื้อเรื่องรองไปพร้อมๆ กัน

ถ้าทหารมนุษย์ไม่ใช่ศัตรูที่แท้จริง แล้วกองทัพทหารนี้ควรจะเป็นของใคร? เขาสงสัย

แต่ยังไงเขาก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลกไปอยู่ดี

เขาครุ่นคิดไปว่าศัตรูคือประเทศที่กองทัพสังกัด ไม่ใช่ตัวกองทัพเอง แต่ก็ได้ข้อสรุปว่าไม่ใช่แบบนั้นอีกเช่นกัน

เขาสงสัยว่าหากไม่ใช่ประเทศนี้ก็อาจเป็นศาสนจักร แต่ก็ไม่เข้าเค้าอีกเช่นกัน

ถ้าอย่างนั้น หรือจะเป็นตัวมนุษย์เองนะ? แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่แบบนั้นอยู่ดี

แล้วใครคือศัตรูที่แท้จริงกันแน่?

ในยามนี้มันยังเป็นบางสิ่งที่ไร้รูปลักษณ์ ไร้สี ไร้ร่าง แต่สิ่งนี้กลับเริ่มผลิบานอยู่ภายในใจของโซวมะ

◆◇◆◇◆


บรรยากาศผิดปกติปกคลุมในถ้ำเล็ก ณ ซอกมุมหนึ่งของเนินเขาฮอกห์นาเรียห์

ถ้ำแห่งนั้นคือรังของลัทธิบูชาปีศาจที่ครั้งหนึ่งเคยลักพาตัวสตรีและเด็กจากหมู่บ้านทดลอง เพื่อนำมาบูชายัญแด่ปีศาจ

ทว่าลัทธิบูชาปีศาจเหล่านั้นได้ถูกทหารแห่งฮอลเมียกำจัดจนหมดสิ้นไม่เหลือรอดแม้แต่ชีวิตเดียว ซากศพยังคงถูกปล่อยทิ้งไว้ ยามนี้พวกมันกลายเป็นแหล่งอาหารอันล้ำค่าแก่สรรพสัตว์เพื่อให้ผ่านพ้นฤดูหนาว พวกมันไม่หลงเหลือสิ่งใดนอกจากชิ้นเนื้อเล็กๆ ที่เริ่มเน่าเปื่อย กระดูก และเส้นผม

และ ยังบริเวณแท่นบูชา ณ รูปบูชาเทพีปีศาจอันเป็นศูนย์รวมแห่งความเชื่อของลัทธิบูชาปีศาจนั้นได้ถูกทำลายลงจนกลายเป็นเศษหินชิ้นเล็กชิ้นน้อย

เสียงจี๊ดแผ่วเบา หนูตัวหนึ่งยืนขึ้นจากกองหิน

เจ้าหนูสูดจมูกดมรอบข้างไม่หยุด มันโล่งอกเมื่อรอบข้างไร้ซึ่งศัตรู กระโดดออกมาจากซากกองหิน เร่งร้อนวิ่งเข้าหาซากศพลัทธิบูชาปีศาจด้วยความรวดเร็ว มันเริ่มกัดแทะเนื้อหนังที่เน่าเปื่อยซึ่งยังคงเหลือติดกระดูกด้วยฟันหน้า

เจ้าหนูกัดแทะจนเกิดเป็นเสียงสะท้อน ทว่าทันใดนั้นมันก็หยุดขยับตัว หนวดของมันเริ่มสั่นสะท้าน มันวิ่งออกจากถ้ำไป ส่งเสียงแหลมเล็กตลอดทาง

ถ้ำที่สูญเสียเจ้าผู้ครองที่ตัวน้อยถูกปกคลุมด้วยความเงียบงันอันน่าอึดอัด

ราวกับปฏิเสธต่อความเงียบนั้น เสียงหัวเราะแผ่วไม่รู้ที่มาจึงสะท้อนเบา

เสียงหัวเราะที่อาจเรียกได้ว่าคล้ายคลึงกับเสียงคราวญครางของเดรัจฉานแก่เฒ่าและเสียงหัวเราะของเด็กสาวตัวน้อยไร้เดียงสา

ทันใดนั้น ซากศพของลัทธิบูชาปีศาจที่กระจัดกระจายอยู่ในถ้ำก็เริ่มขยับ มันลากแขนขาของตนไปตามพื้น ราวกับถูกจับด้วยมือที่มองไม่เห็น

หากมองจากด้านบนไกลๆ จะเห็นว่าพวกมันเข้ามารวมตัวกัน ณ จุดหนึ่ง ราวกับทรายเหล็กที่ถูกแม่เหล็กดึงดูดเข้าหา

จุดศูนย์กลางของพวกมันคือซากกองหินที่เคยเป็นรูปปั้นของเทพี และเกิดเป็นเนินเขาแห่งซากศพ

จากนั้น แขนขาวข้างหนึ่งโผล่ขึ้นจากเนินแห่งศพนั้นพร้อมเสียงแปลกประหลาด แขนเรียวขาวนั้นมิได้มีรอยแปดเปื้อนแม้แต่น้อย มันคว้าจับอากาศ ดึงตนเองขึ้นจากเนินคนตาย

สิ่งที่ปรากฏขึ้นคือเด็กหญิงผู้หนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่ายสีขาวราวหิมะ ไร้ซึ่งร่องรอยแปดเปื้อนแม้แต่น้อย

“อา โซวมะที่รักของข้า! โซวมะผู้เฉลียวฉลาดของข้า! ในที่สุดเจ้าก็รู้สึกตัวแล้ว ใช่หรือไม่!?”

เด็กหญิงพลันหัวเราะเสียงแหลม ดวงตาจับจ้องไปยังทิศทางอันเป็นผนังถ้ำ

“โซวมะผู้โง่งมของข้า! เจ้ากำลังพยายามคว้าจับมันแม้ไม่ทราบสิ่งใดใช่หรือไม่!?”

หากสามารถเห็นโลกทั้งใบ ย่อมทราบได้ว่านั่นคือทิศทางของป้อมปราการที่ถูกสร้างอยู่ในทุ่งหญ้าซลเบียงต์ก่อนจะได้สบตากับเด็กหญิงเสียอีก

“เหล่านั้นล้วนเป็นประกายแห่งความตายที่เจ้ากำลังจะนำมา! ไม่เพียงแต่โซออน ทว่าทั้งไดโนซอเรียน ทั้งมาร์แมน ทั้งคนแคระ ทั้งเอลฟ์ ทั้งฮาปี้ แม้แต่มนุษย์! ประกายอันน้อยนิดนี้จะเติบโตเป็นเปลวเพลิงที่ดื่มกินทั้งวิญญาณและร่างกาย! เพลิงนั้นจะไม่หยุดเพียงเผาผลาญผู้คนทั่วทวีปนี้จนสูญสิ้น มันจะทำลายล้างโลกใบนี้ด้วยความเกรี้ยวกราดอีกต่อไปในอนาคต!

เมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างนี้เจ้าจะเป็นผู้หว่านมัน! เมล็ดพันธุ์อันน้อยนิดที่จะผลิบานและเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง หมู่บ้าน เมือง และประเทศทั้งหลายจักพังทลาย หน่ออ่อนของมันจักกลายเป็นไม้ใหญ่ในเวลาไม่นาน และจะแผ่กิ่งก้านปกคลุมไปทั่วทวีปนี้!”

เสียงหัวเราะของเด็กหญิงก้องสะท้อนในถ้ำหนาทึบ

“โซวมะเอ๋ย! เจ้าคือบุตรเพียงหนึ่งเดียวของข้า! ที่รักข้า โซวมะที่รักของข้า!”

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น