ความเงียบงันดำเนินไปชั่วขณะ ก่อนเสียงคัดค้านจะดังลั่น
“เมืองนี้อยู่นอกทุ่งหญ้า! ”
“ทำไมพวกเราโซออนต้องละทิ้งทุ่งหญ้าไปเพื่อต่อสู้กัน?! ”
โซออนหลายรายส่งเสียงค้าน ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้
โลกของโซออนมีเพียงทุ่งหญ้า การถูกบอกให้ละทิ้งโลกใบนั้นไป พวกเขาไม่มีทางจะบอกว่า ‘เห็นด้วย ไปกันเลย’ ได้ง่ายๆ สำหรับพวกเขา ก็เหมือนการได้รับบอกเล่าว่ามีปลาเดินอยู่บนชายฝั่ง
“ข้าไม่เห็นว่าการโจมตีเมืองจะเป็นอะไรนอกจากการกระทำแห่งความบ้าคลั่งเท่านั้น”
“ถูกต้องที่สุด! พวกเราคือจ้าวแห่งท้องทุ่ง การจู่โจมเมืองหินนับเป็นการกระทำสิ้นคิด! ”
ถึงอย่างนั้น แม้แต่โซออนเองก็สามารถคิดภาพความยากลำบากของการโจมตีเมืองแห่งหนึ่งได้ พวกเขาไม่สามารถบุกยึดป้อมปราการได้จนปัจจุบัน การบุกยึดเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่มากมายนั้นไม่ต่างไปจากความฝันในความฝันอีกต่อหนึ่ง
หากเป็นเพียงการขับไล่กองกำลังมนุษย์ โซวมะก็จะเลือกให้เผชิญหน้าในทุ่งหญ้าราบ หากเป็นที่ราบกว้างการทำลายกองทัพสำหรับโซออนก็ไม่ยากนักด้วยจำนวนที่มากกว่า ตราบใดที่โซออนสามารถกำจัดศัตรูได้ด้วยพละกำลังช้างสารและความคล่องแคล่วปราดเปรียว
ทว่าโซวมะก็มีเห็นผลที่ทำให้พวกเขาต้องออกจากทุ่งหญ้า
“แต่ถ้าคุณยังปิดตัวอยู่ในทุ่งหญ้า ไม่ช้าก็เร็วโซออนจะต้องถูกกำจัด! ”
ต่อให้สามารถขับไล่กองกำลังมนุษย์ที่รุกรานเข้ามาในทุ่งหญ้าได้ครั้งสองครั้ง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำได้ตลอดไป ฝั่งมนุษย์ก็ไม่ได้โง่เช่นกัน เขาจะต้องคิดแผนรับมือออกมาได้แน่นอน เช่นนั้นโซออนก็แพ้แล้ว
ทุ่งหญ้านี้ล้อมรอบด้วยภูเขาสามด้าน มีทิศใต้เป็นทางออก ภูเขาเหล่านี้เสมือนกำแพงตามธรรมชาติที่จะป้องกันการรุกรานของกองกำลังอื่น ทั้งยังช่วยแยกทุ่งหญ้านี้ออกจากโลกภายนอกทั้งใบได้
หากในท้องทุ่งนี้ยังมีสิ่งใดที่เจริญรุ่งเรือง เขายังมีตัวเลือกให้กักเก็บขุมกำลัง เฝ้ารักษาท้องทุ่งเอาไว้ ทว่าในความเป็นจริงกลับมีเพียงหมู่บ้านทดลองซึ่งไม่ใช่ของโซออนเท่านั้น
ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ความแตกต่างทางด้านขุมกำลังระหว่างโซออนที่แยกตัวอยู่แต่เพียงในท้องทุ่งกับมนุษย์ที่อาศัยอยู่โลกภายนอกก็จะยิ่งแตกต่างกันมากขึ้นเท่านั้น
มีการลอบโจมตีด้วยไฟ และการบุกยึดป้อมปราการ เปลวเพลิงถูกจุดขึ้นแล้ว พวกเขามีแต่ต้องเริ่มลงมือให้เร็วที่สุด
“พวกคุณไม่มีทางอื่นแล้วนอกจากเลิกแยกตัวอยู่ในทุ่งแคบๆ นี่ แล้วออกไปสู่โลกกว้างได้แล้ว! ”
โซออนส่วนใหญ่ในที่นี้ไม่อาจตามทันความคิดของโซวมะ พวกเขาไม่อาจเข้าใจสิ่งที่เด็กชายกำลังบอกกล่าว
ทว่าในความไม่เข้าใจ ก็ยังมีผู้ที่รู้สึกถึงบางสิ่งได้จากถ้อยคำของโซวมะ
พวกเขาคือโซออนวัยหนุ่มสาว เฉกเช่นเชมุลและการัม
เพราะพวกเขาล้วนแต่มีวิธีการคิดที่ยืดหยุ่นเพราะความเยาว์วัย พวกเขาสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย แม้จะไม่อาจเข้าใจทุกสิ่งที่โซวมะเอ่ยก็ตามที
และยังมีอีกผู้หนึ่งในกระโจมนั้นที่ผิดคาดยิ่ง
“...อุ๊บบ! อะฮ่าฮ่า..ฮ่าฮ่าฮ่า…! ”
ทันใดนั้น ใครคนหนึ่งระเบิดหัวเราะ
ทุกชีวิตหันไปมองยังต้นเสียง พบว่าเป็นเซอร์กูที่ยกมือขึ้นขอโทษทั้งที่ยังพยายามกลั้นหัวเราะ
“อา ขอโทษด้วย”
ในที่สุดก็กลั้นหัวเราะได้ เซอร์กูโน้มกายมาเบื้องหน้าในท่านั่ง และเอ่ยถามโซวมะด้วยดวงตาที่เปล่งประกายราวกับเด็กน้อยที่รอคอยสิ่งแปลกใหม่
“เจ้าหนู เจ้าพูดจริงหรือไม่ที่จะให้เราโจมตีเมือง? ”
“ครับ ถ้าเราไม่ทำ โซออนจะต้องถูกทำลาย”
“เช่นนี้ก็จะถึงตาของพวกเราเผ่ากรงเล็บเป็นผู้จู่โจม...ใช่หรือไม่? ”
เมื่อโซวมะพยักหน้า ตาขวาของเซอร์กูซึ่งมิได้ถูกทำลายก็หรี่ลงคล้ายกับมีรอยยิ้ม
จากนั้นเขาตบเข่าขวาของตนเสียงดังลั่น
“น่าสนใจ! น่าสนใจยิ่งนัก เจ้าหนู! ”
คราวนี้เซอร์กูไม่ข่มมันไว้อีกแล้ว เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ท่าทีไม่เคารพของเซอร์กูที่นิ่งเงียบมาจนบัดนี้ ทำให้โซออนตนอื่นรวมไปถึงในเผ่ากรงเล็บเองต่างก็โง่งมไป
ด้วยคาดว่าเซอร์กูคงจะดีใจที่ได้อาละวาด โซวมะจึงรีบเอ่ยเตือน
“แต่สิ่งสำคัญคือพวกคุณต้องฟังผม! ”
“อา เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะมอบสิ่งนี้ให้แก่เจ้า”
สิ่งที่เซอร์กูนำออกมาจากกระเป๋าหลังเอ่ยจบ คือสร้อยคอที่ทำจากเชือก ผูกเข้ากับอัญมณีหลากสีสันและเขี้ยวสัตว์
สิ่งนี้แตกต่างจากสร้อยที่ได้รับจากจีต้าและเชโพม่า รูปทรงและขนาดของลูกปัดอัญมณีนั้นเป็นระเบียบเรียบร้อย อัญมณีแตะละเม็ดต่างก็มีรอยแกะสลักอันละเอียดลออ สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดคือเขี้ยวขนาดใหญ่สองอันที่อยู่ตรงกึ่งกลาง ไม่ทราบว่ามาจากสัตว์ชนิดใด ทว่าลวดลายงดงามย้อมสีที่สลักอยู่บนเขี้ยวนั้นดูคล้ายกับเสือเขี้ยวดาวยิ่ง
“หัวหน้าเผ่า! นี่มัน…! ”
สีหน้าเซอร์กูเปลี่ยนไป เขาประกาศกร้าวกับคนในเผ่าตนที่พยายามจะคัดค้าน
“หากไม่ใช้ตอนนี้แล้วจะให้ใช้เมื่อใดเล่า! ”
“นี่คือ…? ”
เขารับสร้อยคอที่เซอร์กูส่งมาให้ แต่ต้องหันไปถามเชมุลด้านหลังว่ามันคืออะไรกันแน่เมื่อเขาไม่เข้าใจความหมาย
เชมุลจ้องสร้อยคอในมือโซวมะด้วยสีหน้าไม่เชื่อสายตา
“นี่คือสร้อยคอแห่งผู้ภาวนาต่อชัยชนะที่หัวหน้าเผ่ากรงเล็บใช้สวมใส่ยามออกรบ ทว่ามอบให้เจ้านี่คือ…!? ไม่มีทางน่า! ”
“ม...มันเรื่องอะไรกันครับเนี่ย? ”
เห็นท่าทางปั่นป่วนร้อนรนของเชมุลแล้ว โซวมะก็รู้สึกได้ว่ามันคงไม่ใช่สร้อยคอธรรมดาจึงเริ่มวิตกขึ้นมา
ผู้สวมสิ่งนี้จะมีอำนาจในกองทัพเท่าเทียมหัวหน้าเผ่า! อีกนัยหนึ่งคือสามารถสั่งการนักรบแห่งเผ่ากรงเล็บได้ทั้งสิ้น ไม่ใช่สิ่งที่จะมอบให้แก่ผู้อื่นนอกเสียจากมีเหตุฉุกเฉินที่หัวหน้าเผ่าไม่อาจไปต่อได้!! ”
นี่คือไพ่ตายที่เซอร์กูเตรียมไว้
สำหรับเผ่าคมเขี้ยวที่สูญเสียนักรบไปมากจากการสู้รบกับมนุษย์หลายต่อหลายครั้ง ย่อมปรารถนาสิ่งนี้เป็นแน่ เซอร์กูตั้งใจจะใช้มันเป็นข้อต่อรองในการขอแบ่งพื้นที่อาณาเขต
ทว่า เพราะสิ่งนี้เทียบเท่ากับการยอมจำนนต่อเผ่าอื่น เซอร์กูจึงไม่ยอมหยิบไพ่ตายออกมาโดยง่าย กระทั่งตอนนี้ก็เพียงแต่นั่งเงียบดูสถานการณ์พัฒนาไปเท่านั้น
“ข้าเรียกนักรบมาสามร้อยนาย เลือกจากผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเผ่ากรงเล็บมายังที่แห่งนี้แล้ว”
“เซอร์กู! เจ้าสารเลวมิได้พูดจริงใช่ไหม!? ”
“อย่าเข้าใจผิดไปการัม! ข้าเพียงเรียกมาเผื่อไว้เท่านั้น”
เซอร์กูรีบหยุดการัมที่ตั้งท่าโมโห
“เช่นนี้ก็ทำให้มีจำนวนเทียบเท่าทหารแถวๆ นี้ ยามนี้ข้าจะมอบนักรบสี่ร้อยนายแห่งเผ่ากรงเล็บให้แก่เจ้าหนู...ไม่สิ โซมะ โปรดใช้พวกเขาตามความเหมาะสมเถอะ แน่นอนว่าตัวข้าเองก็นับอยู่ในจำนวนนั้นเช่นกัน”
เซอร์กูวางหมัดทั้งสองข้างลงบนผืนผ้า ก้มหัวลง เหล่าโซออน ณ ที่นั้น ล้วนแต่ตกตะลึงกับข้อเสนอที่เขายื่นให้
เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงว่าจะได้รับจากเซอร์กูที่เลื่องชื่อด้านความหยิ่งยโส
ชุนปายกสองมือทาบแก้ม สีหน้าคิดหนัก ร้องอุทานว่า “อุ๊ยแหม”
บานูก้าตบแก้มตนเอง และการัมก็กำลังสงสัยว่าที่อยู่เบื้องหน้านี้คือเซอร์กูตัวจริงหรือไม่
“โปรดเงยหน้าขึ้นเถอะครับเซอร์กู แบบนี้ช่วยแก้ปัญหาให้ผมได้เยอะทีเดียว เป็นฝั่งผมต่างหากที่ต้องคิดว่าควรขอบคุณคุณยังไงดี…”
ตอนเขาพูด เขาพูดด้วยความโมโห แต่เขาก็กังวลจริงๆ ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเข้าหูโซออนรึเปล่า ด้วยเหตุนั้น โซวมะจึงดีใจมากทีเดียว ซ้ำยังโล่งอกเมื่อได้ยินเซอร์กูกล่าวว่าเชื่อมั่นในตัวเขา ถึงขั้นยอมมอบนักรบให้เขาอีกด้วย
“ผมจะตั้งตารอการทำงานร่วมกับคุณนะครับ”
โซวมะวางสองหมัดลงบนพื้นเบื้องหน้า ก้มหัวลงต่ำให้แก่เซอร์กู
ทว่ากลับมีคนที่ไม่พอใจกับภาพสะเทือนอารมณ์เบื้องหน้านัก
“หา! เฮ้ย เขี้ยวคลั่ง พวกเราเผ่าคมเขี้ยวตามหลังแล้วนะ! ”
“อ...อื้ม…”
ถูกน้องสาวที่อารมณ์เสียสุดขีดโวยใส่ การัมรีบหันไปหาโซวมะ ทำท่ากำหมัดวางบนพื้นแล้วก้มหัวให้อีกฝ่ายเช่นกัน
“แน่นอนว่าพวกเราเผ่าคมเขี้ยวย่อมเชื่อฟังเจ้า โซมะ”
“ขอบคุณครับคุณการัม”
เชมุลกอดอกพยักหน้า ดูท่าทางพึงพอใจ จากนั้นจึงหันไปมองบานูก้าแห่งเผ่าแผงคอที่ยังไม่ประกาศจุดยืนของตน
“ท่านบานูก้า ท่านจะทำอย่างไร? ”
“ขะ-ขอรับ ท่านพระบุตร! ”
ถูกเชมุลเรียกอย่างเคารพ บานูก้ายืดตัวตรง ดวงตาเปียกชื้น
“แน่นอน พวกเราแผงคอจะเชื่อฟังโซมะ! ”
“...! นายน้อย! ไม่ยั้งคิดไม่ได้นะขอรับ”
สมาชิกในเผ่ารอบตัวเขารีบร้องห้ามบานูก้าอย่างแตกตื่น
“นี่มิใช่ไม่ยั้งคิด จริงที่ข้าอาจขาดประสบการณ์ แต่ข้าก็ยังทราบได้ เผ่าคมเขี้ยวและแผงคอที่กล่าวว่าไม่ยอมร่วมมือกันต่างก็พยายามที่จะทำงานภายใต้โซมะ มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในท้องทุ่งแห่งนี้มิใช่หรือ? ใครจะคิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้เล่า? ”
ไม่มีใครตอบคำถามนี้ของบานูก้าได้
“ข้าคิดว่านี่คือสัญญาณใหญ่ หากเราไม่ตามธารกระแสไปในคราวนี้ เผ่าแผงคอจะต้องเสียใจไปตลอดกาล พวกเจ้าไม่คิดเช่นนี้หรือ? ข้าทราบว่าข้าอาจมิได้เป็นสิ่งใดมากกว่าเด็กหัดเดินที่ไม่น่าเชื่อถือในสายตาทุกท่าน ทว่าข้าขอถาม พวกท่านจะสามารถเชื่อในคำข้า ทำตามข้าได้หรือไม่? ”
ไม่ใช่เพราะถูกเชมุลบอกให้ทำ
แม้แต่บานูก้าที่ไม่เข้าใจถ้อยคำทั้งหมดของโซวมะก็ยังรู้สึกถึงบางสิ่งในจิตใจที่สั่นสะเทือน
ได้ยินคำของบานูก้าที่นับเป็นคนตรงไปตรงมา พี่น้องในเผ่าที่ช่วยเหลือเขามาตลอดจนถึงยามนี้ต่างก็กลั้นน้ำตาแห่งความปีติโดยไม่รู้ตัว
ยามนี้ไม่มีแม้สักชีวิตที่คัดค้านบานูก้าแล้ว
เห็นเผ่าอื่นเป็นเช่นนี้แล้ว ชุนปาที่มีสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าดวงตาติดตามมาลอบถอนใจเบา
“โอ ทวยเทพ เช่นนี้เผ่าดวงตาของเราย่อมไม่มีทางอื่นนอกจากต้องเชื่อฟังเช่นกัน”
ไม่ต้องเอ่ยคำ ชุนปาก็ยอมรับผลไปเรียบร้อยแล้ว
นางทราบดีว่า เชมุลไม่มีทางยอมรับคนผู้นั้นขึ้นเป็นนายแห่งนาภีเพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นพระบุตรเทพีแห่งความตายและหายนะแน่นอน นางไม่ทราบเหตุผล ทว่าโซวมะย่อมได้กระทำบางสิ่งที่ทำให้แม้แต่เชมุลผู้หยิ่งทระนงยอมติดตามรับใช้แล้วเป็นแน่
สิ่งนั้นคงจะเป็นธารกระแสแห่งกาลเวลาที่บานูก้าเอ่ยถึงกระมัง ชุนปาคิด
ในยามนี้ นางรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่ไหลวนเข้าหาโซวมะ
เพียงผู้เดียวที่พยายามจะช่วยเหลือกอบกู้โซออนที่ถูกจับมาเล่นราวของเล่นหลังจากถูกลากเข้าสู่ช่วงเวลาอันทารุณจากอำนาจของเหล่ามนุษย์ที่เพิ่มขึ้นทุกที
ทว่าสิ่งที่รออยู่ ณ ปลายสุดของกระแสนั้นอาจมิใช่ความรอด หากเป็นความตายและหายนะดังเช่นสัญลักษณ์ที่องค์เทพีทรงประทานให้แก่เขาราวกับพระพร
ทว่า แม้เช่นนั้น ชุนปาก็ยังรู้สึกแปลกใจที่ส่วนหนึ่งของนางกลับต้องการยอมจำนนต่อธารแห่งกระแสนั้น
ราวกับเพื่อปิดซ่อนความรู้สึกรุนแรงที่ก่อตัวในอก ชุนปาหมอบกราบลงไปกับพื้น
“พวกเราเผ่าดวงตา ขอสาบานจะเชื่อฟังท่านเช่นกัน ท่านโซมะ”
◆◇◆◇◆
“เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ เซอร์กู”
เป็นการัมที่ร้องเรียกเซอร์กู ที่ยามนี้กำลังทอดสายตามองเทือกอันห่างไกล ทุ่งหญ้าถูกย้อมจนแดงฉานด้วยแสงอาทิตย์อัสดง
ต่างฝ่ายต่างอยู่ตามลำพัง การัมก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างเซอร์กู
“เจ้าถามถึงความตั้งใจของข้าหรือ? ”
“เรื่องเจ้าสิ่งบัดซบที่เจ้ามอบให้โซมะนั่น”
มอบนักรบเผ่ากรงเล็บให้แก่โซวมะที่มิใช่โซออน ยังไม่ต้องกล่าวว่าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ เพียงเท่านั้นก็นับเป็นการกระทำที่ไม่อาจจินตนาการได้จากเซอร์กูที่การัมรู้จัก
ทว่าเมื่อมีสิ่งนั้นเป็นแรงกระตุ้น เผ่าอื่นที่เหลือจึงได้รวมตัวกันและยอมศิโรราบให้แก่โซวมะ กล่าวได้ว่าเซอร์กูได้สร้างความประทับใจแรงกล้าให้แก่โซวมะแล้ว
ดังนั้นการัมที่สงสัยว่าเหตุนี้เกิดจากความตั้งใจเลวร้ายหรือไม่จึงรู้สึกว่าตนสมควรต้องไถ่ถามความรู้สึกที่แท้จริงของเซอร์กูก่อนสถานการณ์จะสายเกินแก้ ตัดสินใจมาเผชิญหน้ากับเซอร์กูตามลำพัง
เซอร์กูยิ้มขมเมื่อได้ยินคำของการัมที่ดูจะไม่ปิดบังความระแวงแม้แต่น้อย
“นี่การัม ยามเจ้ายังเล็ก เคยคิดหรือไม่ว่าอีกฝั่งหนึ่งของภูเขาที่ล้อมรอบทุ่งแห่งนี้มีสิ่งใด? ”
“อะไรเล่า อยู่ๆ ก็ถามเช่นนี้? ”
การัมนิ่วหน้า ไม่เข้าใจสิ่งที่เซอร์กูต้องการกล่าว
“ข้าคิด ข้าเชื่อว่ายังมีอาณาจักรแห่งเพลิงอยู่ที่อีกฟากของภูเขา เป็นที่ที่สร้างดวงอาทิตย์ขึ้นทุกเช้า ข้าต้องการจะไปยังสถานที่แห่งนั้นเมื่อเติบโตขึ้น”
เซอร์กูกางสองแขนใหญ่โตของตนออกกว้าง
“แล้วยามนี้เล่า? เมื่อข้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทุ่งหญ้าแห่งนี้กลายมาเป็นโลกของข้า เมื่อข้ากลายเป็นหัวหน้าเผ่า โลกของข้าก็ยิ่งเล็กลง เหลือเพียงอาณาเขตของเผ่ากรงเล็บ มีข้าสิ้นหวังในโลกใบเล็กนั้น”
เซอร์กูหัวเราะตัวเอง ไหล่ลู่ลง
“นี่ การัม โซออนจะต้องสูญสิ้นหากยังไม่เปลี่ยนแปลง ข้าคิดเช่นนั้น”
การัมตกตะลึง
เพราะมันคือสิ่งที่เขาคิดเช่นเดียวกัน
“ทว่าแล้วอย่างไรเล่า!? ก่อนจะเอ่ยว่าควรทำอย่างไรกับโซออน ข้าย่อมต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน! หากเจ้าไม่เรียกว่าน่าขัน เช่นนั้นอะไรจะน่าขันเล่า!? ”
ยามเขาเอ่ยกับพี่น้องในเผ่าว่าพวกเขาล้วนต้องเปลี่ยนแปลง ต้องเรียนรู้วิถีทางต่อสู้อย่างมนุษย์เพื่อความรอดของโซออน เซอร์กูก็ทราบได้ว่าตนยังคงผูกติดกับวิถีดั้งเดิมของโซออน
และผู้ที่ทำให้เขารู้ตัวคือโซวมะ
“โซมะทำให้ข้าประหลาดใจ! ไม่ใช่เพราะการลอบโจมตีด้วยเพลิง ไม่ใช่เพราะการบุกยึดป้อมปราการ หากเป็นเพราะขนาดของโลกที่เขามอง! ”
แม้แต่การัมก็ยังเห็นพ้องอย่างรุนแรง
สิ่งที่เขาสัมผัสหลังเข้าใกล้โซวมะ คืออีกฝ่ายมองไปยังสถานที่ห่างไกลอย่างไม่น่าเชื่อ
นั่นย่อมเป็นเรื่องธรรมชาติ
หากเอ่ยถึงโลกในยุคปัจจุบัน นั่นหมายความถึงโลกทั้งใบ สำหรับโซวมะแล้ว ไม่ว่าทุ่งหญ้าแห่งนี้จะกว้างใหญ่แค่ไหน มันก็ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าชิ้นส่วนเล็กๆ ในทวีปที่เรียกว่าเซลดีส ไม่เพียงแค่นั้น ต่อให้ได้รับการบอกเล่าว่าพวกเขาค้นพบทวีปอื่นที่อีกฟากของมหาสมุทรในโลกนี้ เขาก็ยังไม่คิดว่ามันแปลกตรงไหน ในเมื่อเขารู้ประวัติศาสตร์การค้นพบทวีปของโคลัมบัสอยู่แล้ว
โลกที่ปรากฏในใจโซวมะที่เติบโตขึ้นมาในประเทศญี่ปุ่นยุคปัจจุบันนั้นกว้างใหญ่ยิ่งกว่าโลกของใครๆ ในโลกนี้
“ข้าอยากจะเห็นมัน! โลกแสนกว้างใหญ่นั้น! โลกที่โซมะเห็น! ”
บ่ากระทบบ่าเคียงกัน เซอร์กูเป็นผู้ตะโกนคำนั้น การัมจ้องมองไปยังเทือกเขาด้วยท่าทีเฉกเช่นเดียวกัน
ยามนี้ มีบางสิ่งอุ่นร้อนก่อตัวขึ้นในอกของทั้งสอง
แม้จะมิได้เอ่ยคำใด ทั้งการัมและเซอร์กูต่างก็สัมผัสได้
ผ่านไปพักใหญ่ การัมจึงเดินกลับไปยังเส้นทางที่เดินมา ทิ้งเซอร์กูที่ยังคงจ้องมองเทือกเขาเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง
“เซอร์กู ข้าลืมเอ่ยไปเรื่องหนึ่ง”
การัมกล่าวขณะกำลังจะจากไป
“ข้าคิดว่าเมืองที่อยู่อีกฝั่งของภูเขานั้นทำมาจากทอง”
เซอร์กูนิ่งงันไปชั่วครู่อย่างไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกล่าวสิ่งใด
เมื่อร่างการัมหายลับไปจากสายตา ไหล่ของเซอร์กูก็เริ่มสั่นสะท้าน รุนแรงขึ้นทีละน้อย จนท้ายที่สุดทั่วร่างเขาก็เริ่มสั่นตาม
เมื่อไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป เซอร์กูก็ระเบิดหัวเราะออกมา
◆◇◆◇◆
ยังมีคำกล่าวว่า ‘พระบุตรแห่งหายนะมีเจ็ดแขน หนึ่งลิ้น สามเขา หนึ่งลำตัว และสองหัว’ ในกลุ่มชนรุ่นหลัง
คำพูดเหล่านี้มีที่มาจากภาพจิตรกรรมฝาผนัง ‘พระบุตรแห่งหายนะ โซมะ คิซากิ’ อันโด่งดังในวิหารใหญ่คอนทาร์ท
ภาพจิตรกรรมฝาผนังดังกล่าวเป็นภาพวาดมือโดยศิลปินนูมารี่ผู้เป็นปรมาจารย์ศิลปิน นูมารี่เป็นผู้ศรัทธาแรงกล้าในศาสนจักร แม้แต่ภาพฝาผนังนั้นก็มีขึ้นเพื่อยั่วยุผู้เชื่อถือศรัทธาใน ‘พระบุตรแห่งหายนะ โซมะ คิซากิ’ และสร้างขวัญกำลังใจแก่ฝ่ายศาสนจักร
ด้วยเหตุนั้น ภาพวาดโซวมะจึงกลายเป็นสิ่งที่ดูไม่คล้ายมนุษย์แม้แต่น้อย
โซวมะในภาพวาดขี่อสูรสีดำที่โบยบินบนอากาศ ปล่อยเปลวเพลิงกระจัดกระจายใส่มนุษย์และเมืองที่อยู่เบื้องล่าง ตัวโซวมะเองมีภาพลักษณ์ราวสัตว์ประหลาดที่มีเจ็ดแขนและสองหัว หัวอสูรและหัวมนุษย์ สามเขาบิดเกลียวบนหัวมนุษย์ประดับประดาด้วยมงกุฎโกโรโกโส ไฟสีแดงจัดลุกโชนในดวงตามนุษย์ ลิ้นยาวเหยียดแลบออกจากปากที่แย้มยิ้มฉีกถึงใบหู แขนทั้งเจ็ดมีรูปร่างและสีแตกต่างกัน ทั้งยังถืออาวุธคนละชนิด โดยมีบาปเจ็ดประการเขียนกำกับไว้บนแต่ละแขนด้วยภาษาโบราณ ภาพนี้คือการสื่อว่าโซวมะคือรากฐานแห่งบาปทั้งปวง
อันที่จริงแล้ว ภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้มิได้กล่าวถึงเพียงโซวมะเท่านั้น กองทัพของเขาเองก็ปรากฏอยู่ในภาพด้วยเช่นกัน
ดังเช่น หัวอสูรที่อยู่ทางขวาของหัวมนุษย์ หัวอสูรนี้กำลังเอาอกเอาใจหัวมนุษย์ด้วยการแลบลิ้นเลียแก้ม กล่าวว่านี่คือเชมุล ผู้มีร่างกายและจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับโซวมะ
ยังมี อสูรรูปลักษณ์บิดเบี้ยวสีดำที่บินและปล่อยเปลวเพลิงนั้นคือการัม
แขนทั้งเจ็ดอันมีรูปร่างเป็นเอกลักษณ์นั้นคือแม่ทัพทั้งเจ็ดผู้รับใช้โซวมะ อันได้รับขนานนามว่า ‘เจ็ดแขนขุนพล’
อันที่จริงแล้วเจ็ดแขนขุนพลถูกสรรค์สร้างขึ้นในอนาคตอันยาวไกล ในห้วงเวลานั้น ชื่อตำแหน่งอย่างเป็นทางการมิได้มีอยู่
อ้างอิงจากนิทานพระบุตรแห่งหายนะในอนาคต เรื่องราวมาถึงจุดที่พวกเขาต่างถูกเรียกเจ็ดแขนขุนพล อันมีที่มาจากงานจิตรกรรมฝาผนังของปรมาจารย์ศิลปินนูมารี่ที่มิอาจลบเลือนได้อีกต่อไป พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้บัญชาการผู้โดดเด่นในกองทัพโซวมะ อันเป็นกองทัพผสมผสานเจ็ดเผ่าพันธุ์
หนึ่งในแขนทั้งเจ็ดจากภาพวาดของนูมารี่นั้นกำมีดดาบแน่น แขนข้างนั้นมีขนสีแดงปกคลุม
ความหมายของอักษรโบราณที่เขียนไว้ คือ ‘โทสะ’
‘เขี้ยววิปลาส’ ครากา บิกาน่า เซอร์กู
แม่ทัพที่กล้าหาญที่สุดจากกองทัพของ ‘พระบุตรแห่งหายนะ’ เขาเป็นบุรุษผู้ซึ่งภายหลังได้รับการขนานนามว่า ‘แขนแห่งโทสะ’ หนึ่งในเจ็ดแขนขุนพลนั่นเอง
โน้ตจากผู้เขียน:
เจ็ดแขนขุนพลนั้นคล้ายกับ ยี่สิบสี่ขุนพลของทาเคดะ ชิงเก็น
อย่างน้อยในตอนนี้ดูเหมือนโซวมะจะทำให้โซออนยอมศิโรราบต่อเขาได้สำเร็จจนได้
ในที่สุดเขาก็จะได้เริ่มมุ่งหน้าสู่การยึดเมือง
ทว่า ด้วยความยินดีจากความคืบหน้าของโซวมะนี้เอง เงาแห่งเทพีก็…!
0 ความคิดเห็น