[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 32: เจ็ดแขน 1



ในอดีต ได้เกิดมหาสงครามระหว่างโซออนและรัฐฮอลเมียขึ้น ณ ทุ่งหญ้าซลเบียงต์

ฮอลเมียเริ่มการยึดครองพื้นที่เหนือทุ่งหญ้าซลเบียงต์มากว่าสามสิบปี

ทว่าราชาแห่งฮอลเมียเริ่มไม่พอพระทัยที่การยึดครองพื้นที่ไม่คืบหน้าดังแผนที่วางไว้

ที่แผนการล่าช้าไปหลายปีเนื่องจากการต่อต้านของโซออนนั้นรุนแรงเกินคาด ดังนั้นพระองค์จึงได้ออกราชโองการ เดินทัพกวาดล้างโซออน

เมื่อได้รับพระราชโองการ กองทัพหลวงแห่งรัฐฮอลเมียก็เตรียมการอย่างระมัดระวัง เดินทัพสู่ทุ่งหญ้าซลเบียงต์ด้วยนายทหารกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันนาย เผ่าแรกที่ประสบเคราะห์กรรมคือเผ่าหางที่มีพื้นที่อยู่ทางใต้ของทุ่งหญ้า

เนื่องจากกองทัพฮอลเมียบุกกะทันหัน พื้นที่ของพวกเขาจึงถูกรุกราน บ้านล้วนถูกเผาทำลาย กระทั่งเด็กและคนชราล้วนถูกสังหาร เผ่าหางที่เหลือรอดจึงได้หลบหนีขึ้นทางเหนือ

พวกเขาร้องขอต่อเผ่าที่อาศัยในทุ่งหญ้า ให้ร่วมมือกันขับไล่มนุษย์

เผ่าดวงตา คมเขี้ยว กรงเล็บ และแผงคอตอบรับคำขอทันที นับเป็นกองทัพผสมโซออนที่ก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในทุ่งหญ้าซลเบียงต์

กองทัพใหญ่มีนักรบกว่าสองหมื่นสี่พันนาย พันนายจากเผ่าดวงตา หกพันจากเผ่าคมเขี้ยว เจ็ดพันจากเผ่ากรงเล็บ แปดพันจากเผ่าแผงคอ และสองพันจากเผ่าหาง

ทัพผสมโซออนเข้าปะทะทัพหลวงฮอลเมีย ณ บริเวณใจกลางทุ่งหญ้า ไม่นานก่อนฤดูร้อนจะเริ่มต้นขึ้น

คราแรก นักรบที่มีชื่อเสียงของแต่ละเผ่าก้าวออกมา ทำตามธรรมเนียมโซออน เอ่ยนามของตน ท้าทายกองทัพฮอลเมียให้ประลองตัวต่อตัว ทว่าฮอลเมียกลับตอบด้วยฝนธนูจากมือธนูแห่งกองทัพ

นักรบที่ก้าวออกมาท้าประลองกับฮอลเมียถูกยิงตายด้วยศรเหล่านี้ ทำให้โซออนต่างเกรี้ยวกราด

เหล่าโซออนที่โกรธเกรี้ยวเริ่มพุ่งไปข้างหน้า ทว่าจังหวะของกองทัพนั้นไม่สม่ำเสมอเนื่องจากคำสั่งล้วนเป็นหัวหน้าเผ่าแต่ละเผ่าสั่งการ นอกจากนั้น เหล่านักรบเองก็ต้องการได้เปรียบในสนามรบ ต่างต้องการสร้างชื่อเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ จึงไม่อาจควบคุมได้

ดังนั้น โซออนจำนวนมากจึงตกเป็นเหยื่อของฝนธนู แม้จะเป็นเช่นนั้น เนื่องจากทั้งจำนวนและร่างกายที่ปราดเปรียวว่องไว ฝั่งโซออนจึงสามารถพุ่งเข้าใกล้ทัพฮอลเมียได้

โซออนมิใช่ถูกเรียกขานว่าผู้ปกครองแห่งท้องทุ่งโดยไร้ที่มา

ทว่าแนวหน้าที่เข้ามาแทนพลธนูคือทัพหอกหนักที่ประเทศโดยรอบเรียกขานในนาม ‘กำแพงดำแห่งฮอลเมีย’ อันโดดเด่นในด้านร่างกายที่หุ้มห่อด้วยเกราะสีดำสนิท

กลุ่มทัพหอกหนักก้าวมาข้างหน้า จัดทัพให้โล่ยักษ์ของพวกตนเรียงติดกัน มีหอกชี้ออกมา การจัดทัพนี้ราวกับเม่นทะเล หรือหนามของเกาลัดขนาดใหญ่ สำหรับโซออนที่สวมใส่เพียงเกราะเบาถักทอด้วยเถาวัลย์ที่ป้องกันเพียงช่วงอก การฝืนเข้าโจมตีจึงนับเป็นการฆ่าตัวตายอันโง่งม

การทำให้อีกฝ่ายถูกแทงตายจึงเป็นผลสำเร็จของกลยุทธ์นี้ โซออนมากมายต้องจ่ายค่าความรู้ด้วยชีวิตตน

เมื่อสถานการณ์ความได้เปรียบตกเป็นของทัพหอกหนัก เครื่องยิงหินที่อยู่สองปีกซ้ายขวาก็เริ่มโจมตีขนาบข้างและแนวหลังของทัพโซออน การโจมตีนี้คือการปิดฉาก โซออนถูกต้อนจนมุม

ยิ่งกว่านั้น ทัพฮอลเมียยังจัดเตรียมเครื่องยิงหินและเตรียมรับมือกับโซออนที่หลบหนี พวกเขาเอาชนะโซออนได้อย่างขาดลอย ทัพโซออนสูญเสียไปถึงหนึ่งหมื่นห้าพันชีวิต ความจริงอันโหดร้ายที่สูญเสียสมาชิกกว่าครึ่งภายในเวลาอันสั้น ในทางกลับกัน ผู้เคราะห์ร้ายของฝั่งฮอลเมียกลับมีไม่กี่ร้อยเท่านั้น สรุปความได้ว่า นี่คือโศกนาฏกรรมของฝั่งโซออน

หลังจากนั้น ทัพฮอลเมียจัดการเผาหมู่บ้านโซออนที่หลงเหลือในทุ่งหญ้าจนกลายเป็นเถ้าถ่านในไม่กี่เดือน ไม่หลงเหลือสิ่งใดไว้นอกเสียจากป้อมปราการที่สร้างขึ้นติดภูเขาทางเหนือ และถอนทัพหลักกลับไป กองพันนี้ในภายหลังได้ลดจำนวนลงจนเหลือเพียงกองร้อยเดียว

ทว่าโซออนทุกเผ่ากลับสูญเสียกำลังรบเพื่อรับมือการโจมตีหลังจากถูกขับไล่เข้าสู่ภูเขา และกระจัดกระจายกันออกไป

โซออนที่พ่ายแพ้ในมหาสงครามเนื่องจากใช้กลยุทธ์ดั้งเดิม พึ่งพาเพียงจำนวนของแต่ละบุคคลในการรับมือกับมนุษย์ที่ต่อสู้อย่างเป็นระบบ ทั้งกองทัพยังเป็นกองทัพเพียงแต่ในนาม ที่โครงสร้างการสั่งการและแนวทางการปฏิบัติไม่ชัดเจน ทั้งแต่ละเผ่ายังเป็นเพียงการรวมตัวของแต่ละครอบครัวเท่านั้น

แม้โซออนจะพ่ายแพ้ กลับไม่เคยใช้สิ่งนี้มาเป็นบทเรียน หลังสงครามในคราวนี้ โซออนยังคงสืบทอดวิถีดั้งเดิม สละชีวิตนักรบมากมายโดยไร้ความหมาย ไม่เพียงเท่านั้น ยังเคยพยายามรวมกองกำลังให้เป็นหนึ่งเดียวโดยการตั้งผู้นำขึ้น ทว่ากลับกลายเป็นการเผชิญหน้าของแต่ละเผ่าแทนจนต้องล้มเลิกไป

อาจเพราะนิสัยของโซออนควรเรียกได้ว่าเอาจริงเอาจังและหยิ่งทระนง ด้วยนิสัยเช่นนี้ หากอยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสมนับเป็นเรื่องดี ทว่ากลับกลายเป็นตัวขัดขวางของการมาถึงยุคสมัยใหม่

หลังจากนั้น โซวมะจึงได้ทำการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงไปมากมาย

เหล่าโซออนภักดีถึงขั้นถูกเสียดสีหยามเหยียดเป็น ‘ปศุสัตว์ของบุตรเทพแห่งหายนะ’ จากฝ่ายตรงข้าม ทว่าจากมุมของโซวมะแล้ว พวกโซออนกลับไม่อาจยอมรับการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงที่นำมาได้โดยง่าย

บางคนถึงกับประเมินว่านี่คือสนามรบของโซวมะ คิซากิ การต่อสู้กับแนวคิดอนุรักษนิยมของผู้ที่ไม่อาจยอมรับการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงที่เขากระทำขึ้นได้

หมายความถึง การต่อสู้ที่หนักหนาที่สุดของโซวมะ คิซากิในทุ่งหญ้าซลเบียงต์นั้น คือการต่อสู้กับแนวคิดอนุรักษนิยมของโซออนนั่นเอง




◆◇◆◇◆




“โซมะ เจ้าฟังอยู่หรือไม่? ”

โซวมะที่กำลังครุ่นคิดรู้สึกตัวขึ้นมาเพราะถูกเชมุลสะกิด

ตอนนี้พวกเขาอยู่ในกระโจมที่ตั้งขึ้นอย่างเร่งรีบนอกป้อมปราการ

ตามกำหนดการ ตอนนี้พวกเขาควรจะประชุมกันในป้อมปราการแล้ว แต่ทุกอาคารในป้อมกลับเต็มไปด้วยทหารบาดเจ็บจนไม่มีที่ให้จัดประชุม อีกอย่าง ด้วยเทคโนโลยีวิศวกรรมในยุคนี้ ห้องก็ยังไม่กว้างพอจะให้คนสิบกว่าคนอยู่ได้ ต่อให้นับแค่พวกหัวหน้าเผ่าก็เถอะ

ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจตั้งกระโจมขึ้นนอกป้อมอย่างเลี่ยงไม่ได้เพื่อจัดประชุมที่นั่นแทน

สิ่งแรกที่ทุกคนพูดคุยกันคือจะดูแลโซวมะยังไง

ตอนนี้ตำแหน่งของโซวมะคือแขกของเผ่าคมเขี้ยว

แต่ถ้าโซวมะอยากจะแสดงความเห็นอะไรกับโซออน หรือโซออนเผ่าอื่นอยากจะฟังความเห็นโซวมะ พวกเขาต้องเข้าหาผ่านทางการัมหัวหน้าเผ่าคมเขี้ยวซึ่งเป็นผู้รับรองโซวมะอยู่ ทำให้ไม่ค่อยสะดวกนัก

สำหรับการัมแล้วนับเป็นข้อได้เปรียบ การสามารถครอบครองโซวมะไว้เพียงผู้เดียวได้ทำให้อิทธิพลของเผ่าคมเขี้ยวมีมากขึ้น แต่เนื่องจากเคารพความตั้งใจของโซวมะที่จะปฏิบัติต่อทุกเผ่าอย่างเท่าเทียมกัน เขาจึงให้โซวมะเป็นแขกของทุกเผ่าที่มารวมตัวกันในที่นี้

เผ่าอื่นๆ ยอมรับได้โดยไร้ข้อโต้แย้ง

นี่ยังเป็นความตั้งใจจะทำให้โซวมะรู้สึกดีกับเผ่าอื่นมากขึ้นสำหรับการตัดสินใจเรื่องพื้นที่ของแต่ละเผ่าหลังจากนี้ ยังเป็นไปเพื่อป้องกันไม่ให้เผ่าใดเผ่าหนึ่งมีอิทธิพลสูงมากเกินไปจากการยึดครองโซวมะไว้

ทว่าการเจรจาก็เพิ่งจะมาถึงจุดนี้เท่านั้น

เมื่อมาถึงการเจรจาเรื่องการครอบครองทุ่งหญ้า การพูดคุยก็ติดขัดโดยสิ้นเชิง

โซวมะที่คิดว่าโซออนจะรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน เลยตัดสินใจเลื่อนเรื่องการแบ่งอาณาเขตของแต่ละเผ่าออกไปก่อนเพราะเกรงว่าจะกลายเป็นข้อพิพาทระหว่างเผ่าได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่คิดขึ้นเมื่อได้คุยกับการัมและเชมุลก่อนเข้าประชุม

แต่การกระทำนี้ถูกเผ่าอื่นเข้าใจไปว่าเผ่าคมเขี้ยวคิดจะครอบครองทุ่งหญ้าไว้เพียงลำพัง

แน่นอนว่าการัมพยายามแก้ไขความเข้าใจผิดนี้แล้ว แต่เผ่าที่คัดค้านยังคงเป็นเผ่าแผงคอ

พวกเขาเข้าใจดีว่าการตัดสินใจเป็นสิทธิของโซวมะและเผ่าคมเขี้ยวที่จะเลือกว่าจะกระทำอย่างไรต่อทุ่งหญ้าในฐานะผู้กอบกู้ ยิ่งทำให้เข้าใจสถานการณ์ผิดไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาเอ่ยปากขัดคำแถลงการณ์ของโซวมะและการัม เกรงว่าจะเสียโอกาสได้พื้นที่แม้เพียงตารางนิ้วหลังเลื่อนการพูดคุยเรื่องนี้ออกไป กลัวเผ่าคมเขี้ยวจะเข้าครอบครองทุ่งหญ้าโดยไม่เอ่ยคำ

เนื่องจากเผ่าดวงตาที่ได้ประกาศให้การสนับสนุนเผ่าคมเขี้ยวไปก่อนหน้านี้มีท่าทีงุนงงกับการเลื่อนการเจรจา เผ่าแผงคอเองก็หมดความอดทน มีความต้องการอยากจะแทรกเข้าไปในที่ว่าง พวกเขาคาดว่าเผ่ากรงเล็บและหัวหน้าเผ่าเซอร์กูที่นั่งนิ่งเงียบจนน่าขนลุกมีสีหน้าไม่พอใจจะคัดค้านยิ่งกว่า

ผลคือเผ่าแผงคอจึงได้เอ่ยสุนทรพจน์จืดชืด เรียกร้องให้การัมแบ่งพื้นที่ทุ่งหญ้า เพื่อเปิดทางให้เซอร์กูมีบทบาท ทว่าอีกฝ่ายกลับทำเพียงนั่งกอดอกฟังการหารือ ตาขวาปิดสนิท สีหน้ามืดหม่นไม่เปลี่ยนแปลง

ด้วยเหตุนั้น โซออนผู้เฒ่าที่ทำหน้าที่ที่ปรึกษาให้แก่บานูก้าที่ขาดประสบการณ์จึงได้เริ่มพูดถึงพี่น้องทั้งสิบที่ต่อมากลายมาเป็นบรรพบุรุษของโซออนถูกสร้างขึ้นโดยเทพแห่งสรรพสัตว์ แล้วจึงต่อด้วยพูดถึงว่าแต่ละเผ่าควรมีพื้นที่เท่าใดจึงจะเหมาะสมด้วยเหตุผลต่างๆ

ทีแรกโซวมะยังฟังประวัติศาสตร์โซออนอย่างสนอกสนใจ แต่พอเข้าใจว่าก็เป็นแค่การพูดโอ้อวดถึงอดีตอันรุ่งโรจน์เท่านั้น ความสนใจของโซวมะก็ค่อยๆ เลือนหาย ไม่เพียงเท่านั้น เนื่องจากเขาอยากให้แผนต่อไปเริ่มดำเนินการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาเลยเริ่มรู้สึกหงุดหงิดที่อีกฝ่ายทำให้เสียเวลาด้วยเรื่องพวกนี้โดยเปล่าประโยชน์

แต่ประโยคหนึ่งที่เอ่ยขึ้นนั้นกระตุกความสนใจเสียจนแม้แต่โซวมะก็ไม่อาจละเลย

“เรายังทวงคืนท้องทุ่งไม่เสร็จสิ้น! ”

เมื่อได้รับความสนใจจากทุกคนในห้องราวกับแปลกใจว่าหมายความว่าอะไร โซออนแห่งเผ่าแผงคอที่เริ่มมีขนหงอกขาวปะปนก็ยืดอกขึ้นด้วยท่าทีมั่นใจกับประโยคต่อไป

“มิใช่ยังมีหมู่บ้านมนุษย์ในท้องทุ่งอยู่อีกรึ!? จะเอ่ยว่าได้ท้องทุ่งแห่งนี้กลับคืนมา ก็ต่อเมื่อขับไล่มนุษย์ออกไปจนหมดสิ้นแล้วเท่านั้น! ”

เป็นเรื่องจริง แม้พวกเขาจะยึดป้อมปราการได้แล้ว แต่ก็ยังมีหมู่บ้านทดลองที่มนุษย์เข้ามาก่อตั้งไว้กระจัดกระจายอยู่อีกมายมายในทุ่งหญ้า กระทั่งยามนี้ก็ยังดำรงชีพด้วยการเผาทุ่งและเก็บเกี่ยวผลผลิต

“ได้ยินว่าเผ่าคมเขี้ยวสูญเสียนักรบไปมากมาย มอบส่วนนี้ให้พวกเราเผ่าแผงคอได้หรือไม่? ”

กล่าวโดยง่ายคือพวกเขาต้องการสร้างผลงานก่อนจะตัดสินใจแบ่งอาณาเขต ทว่าผลงานเหล่านี้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการฆาตกรรมมนุษย์ที่ถูกส่งมาอาศัยในทุ่งหญ้าเท่านั้น

บรรยากาศรอบตัวโซวมะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

“! เกิดอะไรขึ้น โซมะ!? ”

อยู่ๆ โซวมะก็ผุดลุกขึ้นเงียบๆ เชมุลถามเขาอย่างตกใจ

บรรยากาศเงียบงันอันน่ากลัวที่ส่งออกมาจากแผ่นหลังของโซวมะนั้น นางจำได้

เหมือนกับคืนนั้น คืนที่นางไม่อาจลืมเลือนได้เช่นกัน

เหมือนกับช่วงเวลาที่นางยืนอยู่ต่อหน้าการัมและคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน ในตอนที่นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะเขา หลังจากที่เขาตะโกนด่าโซออนที่ไร้ซึ่งความกระตือรือร้น

“พวกคุณอยากทำอะไรก็ทำเลย! ผมไปแล้ว! ”

เชมุลไม่มีเวลาพอจะหยุดเขา โซวมะตะโกนลั่นอย่างเดือดดาล

“มีอะไรให้เจ้าไม่พอใจหรือ…? ”

เหล่าโซออนล้วนแต่สับสน

การยึดป้อมปราการเป็นผลงานของโซวมะโดยแน่นอน หากให้เขาจากไปโดยมิได้แม้แต่จะตอบแทนสักสิ่งแก่ผู้กระทำสิ่งยิ่งใหญ่เพียงนั้น เหล่าโซออนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ก็ล้วนแต่จะถูกมองเป็นพวกไร้ความคิดแล้ว

ทว่าโซวมะไม่ได้รับรู้ด้วย

เหตุผลที่เขาหายป่วยจากการต่อสู้ที่เนินเขาฮอกห์นาเรียห์ได้ ก็เป็นเพราะเขาอยากจะช่วยเหลือโซออนที่ยังเด็กเหมือนๆ กับจีต้าและเชโพม่า

แม้เขาจะทำตัวเห็นแก่ตัว ก็เป็นเพราะชีวิตน้อยๆ ที่เขาได้ช่วยเหลือไว้ และโซออนที่ขอบคุณเขา เพราะเหตุนั้น

แต่ตอนนี้ โซออนที่ควรจะได้รับความช่วยเหลือ กำลังคุยกันว่าจะทำในสิ่งเดียวกันกับที่มนุษย์ทำ

มีแค่เรื่องนั้นที่โซวมะไม่อาจให้อภัย

“พออ้าปากก็มีแต่อาณาเขตเผ่านั้น อาณาเขตเผ่านี้! สำหรับผมมันก็ไม่ต่างจากคนเรือแตกที่คว้าจับเอาเศษไม้เล็กๆ ในมหาสมุทรแล้วมาคร่ำครวญเรื่องขนาดของไม้ที่ตัวเองถืออยู่! ทะเลาะแย่งเศษไม้ที่ถูกคลื่นใหญ่ๆ ซัดทีเดียวก็จมแม่งไร้สาระฉิบหายเลย! ”

แม้พวกเขาจะทราบว่าถึงขนาดความสำเร็จของโซวมะ เหล่าโซออนก็อดมิได้ให้หน้าขึ้นสีอย่างเกรี้ยวกราดจากคำด่ารุนแรงเหล่านั้น

โซวมะชี้นิ้วขวับไปยังพวกโซออนแล้วว่า

“คุณคิดหรือ ว่าแค่ไล่มนุษย์ออกไปจากทุ่งหญ้าก็จบเรื่องแล้ว?! พวกมนุษย์ ต้อง.! กลับ.! มา.! แน่.! แต่คราวหน้าจะมาเพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โซออนแบบไม่ปรานี! ”

คำพูดของโซวมะประหนึ่งน้ำเย็นจัดสาดซัดใส่อารมณ์ของโซออนที่ยังตื่นเต้นยินดีกับชัยชนะ

“คิดหรือว่าแค่ชนะก็จบแล้ว? ตรงข้ามต่างหาก! นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น! มันคือการเริ่มต้นการต่อสู้ที่จะยาวต่อเนื่องไปจนกว่าฝ่ายไหนฝ่ายหนึ่งจะยอมแพ้! หนทางรอดของโซออนมีแต่จะต้องชนะ ชนะ แล้วก็ชนะ ต่อไปเท่านั้น! ”

บรรดาโซออนเห็นภาพทัพมนุษย์ที่เคลื่อนทัพมาดังคำโซวมะ

เสียงของกลองที่ก้องสะท้อนตามจังหวะการเดินทัพ เสียงฝีเท้าของเหล่าทหาร เสียงชุดเกราะและอาวุธ ยังมีเสียงทหารมากมายที่ร้องตะโกนเพื่อคร่าสังหารโซออน กลับกลายเป็นเสียงและภาพที่หลอกหลอน ทำให้แก้วหูต้องสั่นสะเทือน

“นี่มัน…! ”

“ดังคาด เขาเป็นพระบุตรแห่งออร่า เทพีแห่งความตายและหายนะ! เขาจะนำความตายและหายนะมาสู่พวกเรา! ”

บานูก้าส่งเสียงตะโกนกรีดร้องชี้มือใส่โซวมะ

เพราะเสียงตะโกนนั้น เชมุลผู้เป็นพระบุตรเช่นกัน และสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าดวงตาจึงรู้สึกตัวจากความกลัวที่มีต่อพระบุตรแห่งออร่า กดข่มมันลงด้วยการช่วยประคองกันและกัน

“แล้วจะทำไม!? ”

โซวมะกลับยืดอกโอ้อวดอย่างผู้ชนะ

“พวกคุณก็ได้แต่ถูกจัดการอยู่ฝ่ายเดียวมานานแล้วไม่ใช่รึไง!? ”

คำวิจารณ์สั้นๆ นั้นดั่งสายฟ้าที่ฟาดใส่โซออนทุกชีวิต

เป็นเรื่องจริงที่ชาวโซออนต่างทราบ ทว่าโซออนที่หยิ่งทระนงเลี่ยงที่จะรับรู้ แต่โซวมะไม่ยอมให้พวกเขาทำอย่างนั้น เอ่ยปากถึงสถานการณ์ต่อหน้าต่อตา

ไม่อาจเลี่ยงได้ ทั้งยังไม่อาจยอมรับ พวกโซออนได้แต่คำรามอย่างไม่พอใจ

หนึ่งในผู้ที่ยอมรับคำโซวมะคือการัม

“ดังที่โซมะกล่าว พวกเราเผ่าคมเขี้ยวแทบจะสูญสิ้น ไม่สิ กระทั่งนามนี้ก็มิได้เปลี่ยนไปมากนัก”

ผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายใกล้หมดสิ้นที่สุดในบรรดาทุกเผ่าที่นี่คือเผ่าคมเขี้ยว กระทั่งในยามนี้แล้วเขาก็ไม่อาจทำเป็นมองไม่เห็นสถานการณ์ปัจจุบันได้เหมือนที่โซออนเผ่าอื่นทำไปเพื่อรักษาหน้า

“ข้าทราบว่าเราย่อมย่อยยับหากต่อสู้ ทว่าแม้แต่นักรบชั้นยอดก็มิอาจต่อสู้ไปตลอดกาล เจ้าตั้งใจจะทำสิ่งใดเล่าโซมะ? ”

ไถ่ถามเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคน การัมพยายามจะให้พวกเขาเห็นภาพรวมของสถานการณ์ที่โซออนกำลังเผชิญ

“ผมรู้ ถ้าเราไม่หาพื้นที่กลางสักที่ให้สำเร็จก็หมดหวัง แต่เรื่องนี้ยังไม่เกี่ยว”

โซวมะที่กลับมารักษาท่าทีได้เอ่ยตามความตั้งใจของการัม

“ได้ยินว่ามนุษย์เคยโจมตีด้วยกองทัพทหารหลายหมื่นในอดีต เทียบกันแล้วคราวนี้เราแค่ชนะทหารไม่กี่ร้อย จากสายตามนุษย์แล้วก็อยู่ในระดับแค่ถูกตีเบาๆ เท่านั้น เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่สนใจสักนิด มองยังไงก็ไม่ดีทั้งนั้น! ถ้าแค่นี้ เราก็ทำให้มนุษย์เชื่อไม่ได้ว่าการสู้กับเราเป็นความคิดที่เลวร้าย”

“เจ้าจะให้เราทำอะไรรึ? ”

ได้ยินคำถามของการัม โซวมะกางแผนที่ลง

“นี่คือป้อมปราการที่เราอยู่ในตอนนี้ ถ้าลงใต้ไปจากที่นี่ ดูเหมือนจะมีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง”

เมื่อชี้ส่วนบนของพื้นที่ โซวมะก็กวาดตามองโซออนทุกชีวิตที่ล้อมรอบ

“แค่สิ่งเดียวที่ต้องทำ เราจะจู่โจมเมืองนี้! ”

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น