[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 31: แผนที่



“พวกเขายึดป้อมปราการได้จริงๆ หรือ…? ”

เซอร์กูพึมพำอย่างเหม่อลอย จ้องมองนักรบเผ่าคมเขี้ยวที่ยามนี้ยืนโบกสะบัดธงผืนใหญ่อยู่บนกำแพง

โซออนพยายามบุกโจมตีป้อมปราการอันเป็นเสาหลักของมนุษย์มาเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน

ทว่าไม่ว่าเผ่าใดก็ล้วนแต่ไม่อาจยึดป้อมปราการได้ แม้จะสูญเสียโซออนไปหลายร้อยชีวิต

แม้เซอร์กูจะตั้งใจบุกจู่โจมป้อมปราการเป็นอย่างแรกหลังรวบรวมกำลังจากเผ่าโซออนทั้งหมดได้แล้ว เขายังปรึกษากับพี่น้องในเผ่าอีกหลายต่อหลายครั้งว่าควรจะยึดปราการด้วยวิธีใด ทว่ากลับไม่อาจคิดสิ่งใดได้นอกเสียจากการใช้จำนวนโซออนที่เหนือกว่าเข้าสู้ จึงได้เตรียมใจจะสูญเสียกำลังรบมากมายไปในสนามรบแล้ว

ทว่าราวกับจะหัวเราะเยาะกัน โซวมะและนักรบเผ่าคมเขี้ยวสามารถบุกยึดป้อมปราการได้อย่างง่ายดาย

ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าคืออะไรก่อตัวขึ้นในอก

“สมกับที่เป็นหัวหน้าเผ่าการัม ใช่หรือไม่เล่าท่านอา? ”

เซอร์กูทำหน้าบึ้งใส่ดวงตาที่ส่องประกายของชิชุล นางแสดงท่าทีตื่นเต้นชัดเจนจนไม่สังเกตอารมณ์ซับซ้อนของเขา

“ไม่ใช่ความสำเร็จของการัม ล้วนแต่เป็นการกระทำของเจ้าเด็กนั่น”

เขาหันเหความสนใจไปยังโซมะที่ยืนมองป้อมปราการด้วยท่าทีพึงพอใจ

ภาพลักษณ์ของโซวมะที่ยามนี้ยิ้มกระอักกระอ่วนให้กับเชมุล ซึ่งดูจะยินดีกับผลสำเร็จของเขาราวกับเป็นของของตน ไม่อาจมองเป็นอื่นนอกเสียจากเด็กมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง ซึ่งในมุมมองของโซออน เขาเป็นตัวตนที่ไร้ค่า

และเขายังสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาอีกครั้ง หลังการสู้รบที่เนินเขาฮอกห์นาเรียห์

ใช่แล้ว มันคือปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง

ยึดป้อมปราการโดยใช้เพียงนักรบเผ่าคมเขี้ยวที่มีอยู่หกสิบกว่าตน บรรยายได้เพียงคำเดียวว่าคือปาฏิหาริย์

เมื่อมองสำรวจรอบบริเวณ ไม่เพียงแต่ชิชุล โซออนจากทุกเผ่าล้วนแต่มารวมตัวกัน ส่งเสียงตะโกนยินดีให้กับโอกาสอันดี

เช่นนี้ อารมณ์ของเซอร์กูจึงยิ่งย่ำแย่

ทุกตนต่างเห็น ย่อมไม่มีใครสงสัยว่านี่คือผลงานของโซวมะและเผ่าคมเขี้ยว อีกสามเผ่าเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ เฝ้ามองพวกเขาบุกยึดป้อมปราการเท่านั้น

เช่นนี้ย่อมไม่มีที่ให้คัดค้านแม้เผ่าคมเขี้ยวจะกล่าวว่าตนจะยึดทุ่งหญ้าทั้งหมดเป็นอาณาเขตตน ไม่นับเผ่าดวงตาที่ให้การสนับสนุน สถานการณ์ของเผ่าแผงคอและเผ่ากรงเล็บไม่อยู่ในจุดที่สามารถบ่นว่าได้ แม้แต่ได้ผืนดินแม้สักตารางนิ้ว

เขาไม่เฉลียวใจ มองเจ้าเด็กมนุษย์นั่นพลาดไป มาเสียใจภายหลังก็สายไปแล้ว

“นักรบที่เราเรียกมาเป็นอย่างไร? ”

หัวหน้านักรบเผ่ากรงเล็บตอบเบาไม่ให้เผ่าอื่นได้ยิน

“มาถึงบริเวณใกล้ๆ เป็นที่เรียบร้อย สามารถเคลื่อนไหวตามคำสั่งท่านได้ทุกเมื่อ”

“เข้าใจล่ะ…”

นอกจากนักรบร้อยนายที่เซอร์กูนำมา ยังมีอีกสามร้อยที่ถูกเรียกมาเป็นการลับ มีพวกเขาย่อมสามารถสังหารเผ่าอื่นลงได้ที่นี่ ขโมยป้อมปราการ ควบคุมทุ่งหญ้าในนามเผ่ากรงเล็บได้ทันที

แม้เขาจะคิดเองก็ยังเห็นว่าเป็นวิธีการต่ำช้า เซอร์กูยิ้มเหยียดหยันตนเอง

“หัวหน้าเผ่า ท่านไม่อาจเลินเล่อได้…! ”

เห็นหัวหน้าเผ่าดูจะมีความคิดชั่วร้ายอีกแล้ว หัวหน้านักรบรีบเตือนเขา

“...ข้ารู้ ข้าไม่ทำอะไรโง่ๆ หรอก”

ต่อให้พวกเขาขโมยป้อมปราการได้ ยึดทุ่งหญ้าได้ ก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น

เซอร์กูถูกเรียกเป็นผู้ขี้ขลาดหลายต่อหลายครั้ง ทว่าการขโมยทุ่งหญ้านี้มิใช่การกระทำขี้ขลาด

นับเป็นการกระทำอันอำมหิต

ชื่อเสียงของเผ่ากรงเล็บและตัวเซอร์กูย่อมตกต่ำสกปรกยิ่งกว่าดินโคลน จะไม่จบเพียงถูกเผ่าอื่นมองเป็นศัตรู ทว่าเผ่ายังอาจแตกแยกหายไป

หากเกิดเรื่องเช่นนั้น เผ่ากรงเล็บย่อมกลายเป็นเผ่าสูญหายเผ่าที่สอง

หากเขานิ่งเฉยไม่ทำอะไรในตอนนี้ เผ่ากรงเล็บก็ไม่อาจลงจากหุบเขา ต้องผจญความลำบากต่อไป แม้จะกล่าวเช่นนั้น เขาก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เช่นกัน

ความคิดเหล่านั้นราวกับมีดที่จ้วงแทงในอกจนเจ็บปวด

เช่นนั้นเขาคงต้องคุกเข่าให้โซวมะและการัมยกโทษให้ ไม่ว่าจะเสื่อมเสียเกียรติเพียงใด เขาก็ตัดสินใจไว้ตั้งแต่ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าแล้วว่าจะยอมรับมันทั้งสิ้น

“คงจะดียิ่งหากเรื่องจบได้ด้วยเพียงให้ข้าคุกเข่าลง…”

หัวหน้านักรบนิ่งงันไปกับน้ำเสียงราบเรียบไม่สมเป็นเซอร์กู ทว่าเขาจงใจไม่กล่าวสิ่งใดอีก



◆◇◆◇◆


ในตอนที่เห็นนักรบเผ่าคมเขี้ยวโบกสะบัดธงอยู่เหนือกำแพงป้อมปราการ โซวมะก็แทบจะทรุดฮวบ

ในทางกลับกัน เชมุลที่อยู่ใกล้ๆ กลับดีอกดีใจแทบจะแทนส่วนของเขาได้เลย

“โซมะ! เราทำสำเร็จแล้ว! เรายึดป้อมปราการได้แล้ว! ”

เชมุลมองนักรบสามเผ่าที่ยืนดูแลทั้งสองอยู่ใกล้ๆ ในฐานะองครักษ์ป้องกันไม่ให้โซวมะหลบหนีในกรณีที่ยึดป้อมปราการไม่สำเร็จ

“ไม่เห็นหรือ? ไม่ต้องมีองครักษ์อีกแล้ว รีบไปไหนก็ไป”

นักรบที่ถูกไล่ด้วยท่าทีเช่นนี้กลับไม่อาจบ่นว่าผู้อื่นที่เป็นพระบุตรได้ ได้แต่ถอยกลับไปยังเผ่าของตนอย่างไม่เต็มใจ

“ดีเหลือเกิน มีแต่พวกไร้มารยาทที่ไม่เชื่อเจ้า โซมะ”

โซวมะยิ้มขมกับท่าทีตื่นเต้นสุดขีดของเชมุล

“ช่วยไม่ได้นี่นา แม้แต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะสำเร็จ”

“นั่นคือข้อเสียของเจ้า โซมะ เจ้าต้องมั่นใจในตัวเองมากกว่านี้หน่อย”

“จะปรับปรุงนะ”

เห็นโซวมะตอบพร้อมรอยยิ้มประหลาด เชมุลก็ถอนหายใจคล้ายจะพูดว่า ‘ก็ช่วยไม่ได้นะ’

“มีที่ข้าอยากจะพูดอีกมาก ทว่าไปที่ป้อมปราการก่อนเถอะ เผ่าอื่นจะมีปัญหาเอา

เพราะนักรบเผ่าคมเขี้ยวเป็นผู้บุกยึดป้อมปราการ ให้เผ่าอื่นมุ่งหน้าเข้าไปภายในป้อมก่อนเชมุลและผู้อื่นจากเผ่าคมเขี้ยวนับว่าไม่สุภาพ

เมื่อเดินผ่านประตูป้อมปราการเข้าไปโดยมีเชมุลติดตามมา โซวมะหยุดเดินกะทันหัน

“เป็นอะไรไป โซมะ? ”

เมื่อมองตามสายตาโซวมะไปว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นคราบสีแดงเข้มสาดกระจายอยู่บนพื้นที่สุดสายตา

“นั่นมันออกจะ…”

แม้เขาจะบอกตัวเองให้เตรียมใจ ว่าแผนเขาต้องมีคนได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อได้เห็นรอยเลือดด้วยตาตนเอง เขาก็อดรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้

เขาเก็บซ่อนความไม่สบายใจเอาไว้ ยิ้มฝืนๆ

เชมุลไม่เข้าใจรายละเอียดเล็กน้อยบนสีหน้ามนุษย์นัก ทว่าก็ไม่นับเป็นปัญหาใหญ่อะไร เมื่อนางยกให้โซวมะเป็นนายแห่งนาภี เชมุลก็พยายามจะเข้าใจเข้าอย่างหนักหน่วง อย่างน้อยนางก็สามารถคาดเดาได้ว่าโซวมะกำลังคิดอะไรอยู่

“ความเปลี่ยนแปลงย่อมไม่เป็นไปโดยเร็วนัก อีกประการ หากเจ้าเกิดหัวเราะลั่นเมื่อเห็นเลือดได้ดังเช่นเซอร์กูขึ้นมากะทันหัน ข้าคงมีปัญหาแล้ว”

สิ่งที่เธอพูดทำให้โซวมะรู้สึกตลกๆ ขึ้นมาเล็กน้อย เขาดีใจที่เชมุลคิดเผื่อเขา จึงยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

ในตอนนั้น การัมก็ปรากฏตัวขึ้น ในมือถือบางสิ่งที่ดูคล้ายผ้ากลมผืนใหญ่

“การัม ขอบคุณที่เหน็ดเหนื่อยนะครับ”

“อืม จริงๆ แล้วข้าแทบไม่ได้ทำอะไรสำคัญเลย เมื่อทำตามที่เจ้าบอกเรา ผลลัพธ์ก็ออกมาน่าตะลึงนัก”

เชมุลที่อยู่ใกล้ๆ การัมได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าอย่างพอใจพร้อมส่งเสียง ‘ใช่ๆ ’ ประกอบ ดูเหมือนแม้แต่การัมเองก็คร้านจะพูดอะไรเรื่องนั้นแล้ว นอกจากถอนหายใจเบาๆ ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

“ทำยังไงกับพวกทหารที่เป็นนักโทษครับ? ”

“ข้าสั่งการลงไปอย่างเข้มงวดไม่ให้ย้ายทหารบาดเจ็บแล้ว ส่วนทหารที่ดูต้องการต่อสู้ก็ให้ไปรวมกันทางหนึ่ง ยึดอาวุธเอาไว้”

ทราบว่าการัมและคนอื่นๆ ไม่ได้ทำร้ายมนุษย์โดยไม่จำเป็น โซวมะก็คลายความตึงเครียดที่ติดอยู่บนบ่าลงได้ และถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ถ้าอย่างนั้นการจับตามองพวกเขาไว้ก็ไม่น่ามีปัญหาเพราะยึดอาวุธเอาไว้แล้ว ตอนนี้ผมขอให้ให้ความสำคัญกับเรื่องการดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บเป็นอันดับแรกครับ ถ้ามีคนตายเพราะไม่ได้รับการรักษาที่ดีจะก่อให้เกิดความไม่พอใจเอาได้”

“เข้าใจแล้ว เราจะทำเช่นนั้น”

การัมเรียกนักรบใกล้ๆ เข้ามาถ่ายทอดคำสั่ง

หลังจากนั้น การัมก็ส่งของที่คล้ายผ้าผืนใหญ่ให้กับโซวมะ”

“นี่ก็คือสิ่งที่เจ้าขอไว้เช่นกัน”

“เยี่ยมเลย! ช่วยได้มากเลยครับ”

โซวมะที่ได้รับของที่เหมือนผืนผ้าจากการัมดูสว่างไสวขึ้นในทันที

“มันอยู่ในห้องของคนที่สำคัญที่สุดในป้อมปราการ ตามที่เขากล่าวดูเหมือนจะมีเพียงคนเดียว”

“ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียใจอยู่ แต่ดีกว่าไม่มีเลยครับ อีกอย่าง ถ้าเป็นไปได้หลังจากนี้ผมขอคุยกับคนคนนั้นหน่อยนะครับ”

“เข้าใจแล้ว ทว่ายามนี้มนุษย์ล้วนแต่ยังเคร่งเครียด รอจนพวกมันใจเย็นลงย่อมดีที่สุด”

การัมขยิบตาให้เชมุล เชมุลที่คาดเดาความคิดเขาได้พยักหน้าเล็กน้อย

ต่อหน้าโซวมะออกจะพูดยากไปบ้าง ไม่เพียงแต่นักโทษอาจคิดไม่ดีเมื่อเห็นเขาพูดคุยกับโซออนได้อย่างเสมอภาค พวกมนุษย์ย่อมต้องค้นพบว่าเขาเป็นผู้นำในสงครามทั้งที่เนินเขาและป้อมปราการแห่งนี้

หากมนุษย์นำทั้งสองเหตุการณ์มารวมเข้าด้วยกัน โซวมะก็ตกอยู่ในอันตรายที่มนุษย์หลายคนจะพุ่งเป้าความเกลียดชังเข้าหา

เมื่อมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือโซวมะอาจถูกผู้คนเหล่านี้สังหาร เผ่าคมเขี้ยวที่ยกย่องให้เขาอยู่ในตำแหน่งสำคัญย่อมเสียเกียรติเป็นอย่างมาก

ปัญหาไม่ใช่เพียงแค่เกียรติยศศักดิ์ศรีเท่านั้น

การัมเชื่อมั่นถึงขั้นที่มองว่าโซวมะเป็นตัวตนที่ไม่อาจขาดได้ต่ออนาคตของโซออนทั้งปวงไม่เพียงเผ่าคมเขี้ยวเท่านั้น หากสูญเสียโซวมะไปในยามนี้ โซออนย่อมถูกขับไล่กลับไปอยู่ในภูเขาอีกแน่ ทั้งยังจะถูกลดค่าให้กลายเป็นเพียงสัตว์ป่าที่มนุษย์ไล่ล่า

ยิ่งกว่านั้น ปล่อยให้เขาตายง่ายดายโดยมิได้ตอบแทนบุญคุณหลังได้รับสิ่งต่างๆ มากมายเพียงนี้ ย่อมเป็นการเสียเกียรติแห่งโซออนทั้งปวง

เพื่อเลี่ยงเหตุการณ์เหล่านั้น ต้องมีใครสักคนคอยเฝ้าระวังให้โซวมะ

โชคดีที่เชมุลซึ่งสวามิภักดิ์ต่อโซวมะไม่เพียงแต่จะเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น นางยังเป็นผู้คอยขวางมิให้โซออนรู้สึกไม่ดีต่อโซวมะ เพราะนางคือพระบุตรแห่งเทพสรรพสัตว์

ในฐานะผู้เป็นพี่ เขาย่อมไม่อาจวางใจที่น้องสาวผู้อยู่ในวัยออกเรือนได้สวามิภักดิ์ต่อบุรุษต่างเผ่าพันธุ์ ทว่ายามนี้เขากลับไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมไม่สนใจ

“เช่นนั้น ให้เผ่าอื่นรอคอยอยู่ภายนอกไปตลอดย่อมผิดแล้ว ข้าควรจะเป็นพบพวกเขาเสียทีกระมัง”

การัมเดินออกไปเพื่อให้เซอร์กูและโซออนตนอื่นที่รออยู่หน้าประตูป้อมปราการได้เห็นหลังจากเริ่มหงุดหงิดหมดความอดทนขึ้นทุกที

เมื่อการัมจากไป ดวงตาเชมุลก็ทอประกายอย่างสงสัยยามจ้องมองผ้ากลมบนท่อนแขนโซวมะ

“โซมะ นั่นมันอะไรกัน? ให้ข้าทราบได้หรือไม่? ”

ใครมองสิ่งของในอ้อมแขนโซวมะก็สามารถรู้ได้ว่ามันไม่ใช่ผ้า พื้นผิวหยาบแตกต่างจากผ้าที่ถักทอขึ้น

สิ่งนี้ปะติดปะต่อขึ้นจากหนังสัตว์ผืนใหญ่

โซวมะเดินไปที่มุมหนึ่งของป้อมปราการที่ไร้ผู้คน กางมันลงบนพื้น

เมื่อมันกางออกกว้าง ก็เห็นว่าผิวหน้ามีเส้นที่เขียนด้วยมือ ดูคล้ายภูเขาและอาคาร

“นี่คือแผนที่น่ะ”

อย่างที่โซวมะกล่าว เป็นแผนที่ทุ่งหญ้าขณะนี้

ตอนที่โซวมะวางแผนยึดป้อมปราการ เขาขอแผนที่เพื่อดูที่ตั้งของป้อมปราการ แต่น่าแปลกใจที่โซออนไม่มีการสร้างแผนที่ขึ้น

เมื่อโซวมะถามว่าปกติเวลาอธิบายเส้นทาง พวกเขาทำยังไง ก็ได้รับคำตอบว่าวาดลงบนพื้นกัน

แล้วเมื่อถามว่า จะรู้อาณาเขตของแต่ละเผ่าได้ยังไง ก็ถูกบอกว่าใช้วิธีพูดประมาณ “จากหินกลมก้อนนั้น” หรือ “จากต้นไม้สองต้นนั้น”

เพราะเป็นเผ่าพันธุ์แห่งการไล่ล่า โซออนจึงมีประสาทสัมผัสด้านทิศทางได้ดีโดยธรรมชาติจนเพียงแค่นั้นก็พอแล้ว

แต่โซวมะไม่ใช่โซออน เขาต้องใช้แผนที่ ดังนั้น หากป้อมปราการนี้เป็นฐานสำคัญทางการทหารของทุ่งหญ้า อย่างน้อยก็จะต้องมีแผนที่ทุ่งหญ้าอยู่แน่นอน เขาเลยขอให้การัมช่วยหามาให้หน่อย

“อ้อ ทุ่งหญ้าหน้าตาเป็นแบบนี้เอง”

สำหรับโซวมะที่ไม่รู้เรื่องของโลกนี้เลยสักนิด แผนที่ที่ได้เห็นเป็นครั้งแรก คือแผนที่โลกแฟนตาซีที่เปี่ยมไปด้วยความฝันและการผจญภัย แค่ได้คิดว่าตรงนั้นมีอะไรนะ? หรือจะมีสัตว์ชนิดไหนอยู่ตรงนี้นะ? ก็ตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว

“นี่ เชมุล แผนที่นี่ถูกต้องไหม? ”

ถูกโซวมะถาม เชมุลก็หรี่ตามองแผนที่

“อืม…ข้าว่ารูปทรงก็ถูกต้องอยู่”

ทุ่งหญ้าซลเบียงต์ในแผนที่เหมือนถุงใบใหญ่ที่ปากถุงเปิดอ้าชี้ลงล่าง ภาพที่ดูน่าจะเป็นหมู่บ้านโซออนและป้อมปราการถูกวาดไว้ช่วงบนของแผนที่ บริเวณก้นถุง ส่วนอีกด้านมีภาพอะไรสักอย่างที่ดูคล้ายเมืองหรือหมู่บ้านอยู่ตรงบริเวณปากถุงที่ค่อนข้างแคบ





โซวมะชี้ไปยังภาพนั้น

“รู้มั้ยว่านี่คืออะไร? ”

“น่าจะเป็นเมืองของมนุษย์กระมัง ข้าได้ยินว่ามนุษย์สร้างเมืองขนาดใหญ่จากหินอยู่แถวๆ นั้นไม่นาน ก่อนจะปรากฏขึ้นในทุ่งหญ้า”

โซวมะจ้องมองเมืองที่ถูกวาดไว้ในแผนที่

จากหน้าแผนที่ เขาดูไม่ออกว่าเมืองจะใหญ่แค่ไหน มีคนอาศัยอยู่เท่าไหร่ ใช้ชีวิตกันอย่างไร

ทว่า เขาตัดสินใจสิ่งที่ต้องทำไว้แล้ว

โซวมะกำหมัดแน่น

“ต่อไปเราจะโจมตีเมืองนี้…”

◆◇◆◇◆


การล่มสลายของป้อมปราการแห่งท้องทุ่ง ดูเหมือนทุกสิ่งจะประสบความสำเร็จดังที่โซวมะตั้งใจให้เป็น

ทว่า ในช่วงเวลานี้ มีเหตุเล็กๆ เกิดขึ้น

คือการอาละวาดของโซออนหนุ่มตนหนึ่ง

ไม่นานมานี้เขาได้กระทำความผิดอันเสื่อมเสียเกียรติครั้งใหญ่

หากปล่อยไปเช่นนั้น เขาจะสูญเสียคุณสมบัติแห่งการเป็นนักรบ สำหรับโซออนผู้หยิ่งทระนง นั่นคือความอับอายที่ยากเกินกล้ำกลืน

ด้วยเหตุนั้น เขาจึงได้ไร้ความอดทนยิ่ง เขาต้องการสร้างความชอบในสนามรบแห่งป้อมปราการ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ระหว่างการบุกยึดป้อมปราการ โซวมะได้บอกกับนักรบแห่งเผ่าคมเขี้ยว ประการแรก สั่งมนุษย์ให้ยอมศิโรราบ และสั่งการอย่างเข้มงวด ห้ามโซออนเอาชีวิตของผู้ยอมแพ้ที่เชื่อฟังคำกล่าว

ทว่า เนื่องจากเขาเร่งร้อนต้องการสร้างผลงาน จึงได้ฟาดฟันทหารมนุษย์หลายรายโดยมิได้ถามคำใด

แน่นอน เขามีความภาคภูมิและความแข็งแกร่ง ได้สู้กับทหารหลายราย เขาล้วนเด็ดหัวพวกมันได้

ทว่า แม้แต่หนูก็กัดแมวได้เมื่อจนตรอก

หนึ่งในทหารที่เขากำลังจะสังหารกลับส่งเสียงร้องและต่อต้านอย่างบ้าคลั่ง

เขาสังหารทหารรายนั้นลง ทว่าระหว่างการต่อสู้ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสที่แขนขวา

คราวแรก เขาคิดว่าเป็นเพียงการบาดเจ็บทั่วไป ไม่นานก็หายดีเพราะกล้ามเนื้อและเส้นเลือดไม่ได้รับความเสียหาย แต่ในวันต่อมา เขากลับล้มพับลงและมีไข้ขึ้นสูง เขาโชคร้าย บาดแผลที่แขนขวาติดเชื้อ

สามวันสามคืนที่อยู่ระหว่างความเป็นความตาย เขาฝันร้ายไม่หยุดหย่อน

หลังจากนั้น เมื่อได้สติกลับคืนมาในวันที่สี่ เขากลับได้ลิ้มรสความสิ้นหวังยิ่งกว่าสิ่งใดที่เคยประสบในชีวิต

ระหว่างไม่ได้สติ บาดแผลที่แขนขวาของเขาทรุดลง ในที่สุดก็เริ่มเน่า เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ แขนขวาจึงต้องถูกตัดออก

ไร้ซึ่งแขนขวา เขาไม่อาจวิ่งบนพื้นด้วยแขนขาทั้งสี่ได้อีกต่อไป เขาไม่อาจสู้ได้ด้วยมีดดาบ เขายังไม่ทันถูกยึดคืน ทว่ากลับสูญเสียคุณสมบัติแห่งนักรบไปด้วยตัวเอง

เขาร้องไห้และตะโกนด้วยความโศกเศร้าและเกรี้ยวกราด

คนรู้จักเขาล้วนแต่เป็นกังวลกับสภาพเขาในยามนั้น เพียงมองก็เจ็บปวด ทว่าไม่ว่าผู้อื่นจะพยายามเอ่ยถ้อยคำปลอบใจอย่างไรก็ไม่อาจช่วยเยียวยา พวกเขาล้วนไร้หนทาง ทำได้เพียงเฝ้ามองเขาอย่างเงียบงันกระทั่งความโศกเศร้าบรรเทาลงตามกาลเวลา

หลายวันหลังจากนั้น

ด้วยกังวลที่ไม่เห็นเขาออกจากกระโจมทั้งที่รู้สึกตัวแล้ว หนึ่งในสหายเขาจึงตัดสินใจไปเยี่ยมเยียน

ทว่า ร่างของเขากลับหายไปจากกระโจมนั้น

เหตุการณ์นี้ืทำให้สหายเขาพูดคุยกันว่า เขาตัดสินใจหายตัวไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครรู้ เนื่องจากอับอายที่สูญเสียคุณสมบัติความเป็นนักรบ ทว่าก็เป็นเวลาเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น

คำพูดคุยเหล่านั้นจมหายไปท่ามกลางหัวข้อพูดคุยต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และสงครามใหญ่ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น และก่อนที่ใครจะรู้สึกตัว เรื่องของเขาก็ถูกลืมเลือนไปจนสิ้น

นามของเขา คือ ฟากัล อูนูก้า กาจีต้า

ในอดีต เขาคือนักรบเยาว์ที่เป็นผู้นำคนหนุ่มมากมายในหมู่บ้านแห่งเผ่าคมเขี้ยว

นามของเขา ตัวตนของเขา หายไปจากกลางเวทีแห่งประวัติศาสตร์

เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น--

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น