[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 30: ป้อมปราการ



แม้ยามนี้ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปเนิ่นนานพอสมควร ป้อมปราการอันตระหง่านบนที่ราบซลเบียงต์ยังคงสว่างไสวราวกับยามกลางวันด้วยกองเพลิงอันชัชวาล
เหล่าทหารล้วนแต่ส่งเสียงเกรี้ยวกราด วิ่งวุ่นวายไปทุกที่

ผู้ช่วยผู้บัญชาการมาโครนิสผู้ได้รับคำสั่งให้เฝ้าระวังปราการ วุ่นวายอยู่กับการสั่งการทหารใต้บังคับบัญชาที่เร่งร้อนเข้ามาขอคำสั่ง บ้างก็เพื่อรายงาน

“ท่านผู้ช่วยผู้บัญชาการขอรับ! ที่พักทหารบาดเจ็บมีไม่พอแล้วขอรับ! ”

“ต้องให้พวกเขานอนตามทางเดินก็ไม่เป็นไรข้าไม่ว่า! ยามนี้จิตใจพวกเขาไม่ไหวอยู่แล้ว หากต้องให้นอนตากลมเย็นจะยิ่งย่ำแย่ ตรวจอาการบาดเจ็บ ขนย้ายผู้บาดเจ็บสาหัสก่อนเป็นสำคัญ! ”

“ท่านผู้ช่วยผู้บัญชาการ! ตอนนี้ยารักษาขาดแคลนขอรับ! ผ้าพันแผลก็เช่นกัน! ”

“ไปเอาถังเหล้ามาจากห้องเสบียง! อย่างน้อยต้องล้างแผลด้วยแอลกอฮอล์ก่อน! ในห้องเสบียงยังต้องมีเสื้อผ้าอยู่เช่นกัน ฉีกเอามาใช้แทนผ้าพันแผล! ”

ความวุ่นวายนี้เกิดจากทหารบาดเจ็บที่มาถึงป้อมปราการเมื่อยามดวงอาทิตย์ลดต่ำลง

ผ่านไปเกินครึ่งเดือนนับตั้งแต่กองกำลังจากไปเพื่อกวาดล้างโซออนที่เรียกว่าเผ่าคมเขี้ยวที่ซุ่มซ่อนอยู่ที่เนินเขาฮอกห์นาเรียห์ทางเหนือ ทุกคนต่างคิดว่าจัดการโซออนเป็นเรื่องง่าย โซออนสูญเสียความได้เปรียบมาเนิ่นนานแล้ว

ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสามวันนับจากที่เดินทัพสู่เนินเขานั้น เพลิงยักษ์ก่อตัวขึ้นรอบบริเวณหมู่บ้านโซออน ใหญ่โตเสียจนสามารถเห็นได้จากป้อมปราการ

มาโครนิสสังหรณ์ใจไม่ดีเมื่อเห็นพระเพลิงยักษ์นั้น คาดว่ามันคงมอดไหม้หมู่บ้านโซออน

เขาทราบว่าลางสังหรณ์นั้นเป็นจริงในอีกสามวันถัดมา

ทหารจากกองพันที่ถูกส่งไปกวาดล้างโซออนกลับมาในสภาพเลวร้ายย่ำแย่ ตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนถูกอาบด้วยคราบเขม่าดำและโคลนจนเกือบถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้อพยพไม่ทราบที่มา เมื่อมาถึงป้อมปราการแล้ว คนส่วนมากล้วนแต่หมดสติล้มลงคาที่ด้วยความเหนื่อยล้าสาหัส ไม่อาจขยับได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว

เมื่อถามทหารหลายนายว่าเจอเรื่องเลวร้ายใดมา ก็ได้รับแจ้งว่ากองพันพ่ายแพ้ลง ยังอาจเรียกว่าเป็นการ ‘สังหารหมู่’ จากการจู่โจมไม่คาดฝันด้วยไฟจากเหล่าโซออน

คนยังบอกเขาว่าหัวหน้ากองพันลูกินาซที่นำกองพัน และทุกคนที่มียศระดับหัวหน้ากองร้อยล้วนแต่หายสาบสูญไปในความวุ่นวาย เหล่าทหารไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องหนีออกมาทันที พวกเขาถูกไฟไล่ล่า ล้วนต้องเดินเท้าถึงสามวันเต็มโดยไม่กินไม่ดื่มจนกระทั่งกลับถึงป้อมปราการ

ดังคาด นั่นคือสิ่งที่มาโครนิสเชื่อไม่ลงในคราวแรก

ทว่าเมื่อเห็นทหารบาดเจ็บทยอยกลับมายังปราการต่อเนื่องหลายต่อหลายวัน เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากยอมรับความจริง

ยามนี้ทหารบาดเจ็บที่กลับมาล้วนแต่พักผ่อนอยู่ในปราการ การต้องทนฟังเสียงครวญครางไม่จบสิ้นนั้นเป็นประสบการณ์ดังนรก

เมื่อจัดการปฐมพยาบาลให้กับทหารบาดเจ็บที่มาใหม่แล้ว ในที่สุดป้อมปราการก็กลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง ยามนี้ดวงจันทร์อยู่กลางฟ้า ดวงอาทิตย์ลับหายไปทางตะวันตกเนิ่นนานแล้ว

“ท่านมาโครนิสขอรับ ขอเวลาสักครู่ได้หรือไม่? ”

นายทหารผู้หนึ่งที่มีพู่หัวหน้าหมวดติดหมวกเกราะเดินเข้าหามาโครนิส

“อะไรหรือเซเทียส? ”

“มีเรื่องที่ข้าต้องแจ้งให้ทราบขอรับ”

“อะไรเล่า? เล่ามาเถอะ”

“สถานที่นี้ออกจะ…”

เขาลังเลที่จะพูด มองไปยังทหารมากมายที่นอนรายล้อม มีทหารอีกหลายรายคอยรักษาพยาบาล

“เข้าใจแล้ว ตามข้ามา”

มาโครนิสออกเดินไปยังอาคารหลังหนึ่ง

กระทั่งขั้นบันไดและทางเดินในอาคารก็เต็มไปด้วยทหารบาดเจ็บนอนเรียงราย มาโครนิสระมัดระวังไม่รบกวนพวกเขา มุ่งหน้าตรงไปยังห้องบัญชาการของป้อมปราการ

แผนที่ขนาดใหญ่แขวนอยู่บนผนัง มาโครนิสนั่งลงเบื้องหลังโต๊ะซึ่งตั้งอยู่หน้าแผนที่นั้นด้วยท่าทีราวกับล้มลง

“ท่านคงเหน็ดเหนื่อยยิ่ง ท่านผู้ช่วยผู้บัญชาการ”

“เจ้าพูดถูกต้องเลยล่ะ”

คราวแรกผู้บัญชาการก็ตายตกลงอย่างทรมานหลังเข้าหาพระบุตรชาวโซออน ยังมีเหตุการณ์อีกมากมายเกิดขึ้นให้ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่ใกล้เกษียณจากกองทัพให้ต้องรับมือ

“ข้ามิคาดว่าทหารบาดเจ็บจะถูกส่งมาทุกวันเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงคนมากกว่าสี่สิบคนที่ใช้รถเกวียนวันนี้”

“ราวกับโซออนกำลังโจมตีเราอยู่เลยใช่ไหมขอรับ? ”

เขาก็คิดแบบเดียวกับเซเทียส

ทหารบาดเจ็บขึ้นตรงต่อรัฐฮอลเมียเช่นเดียวกับเขา ละทิ้งย่อมเป็นไปไม่ได้ ทว่าการถูกส่งทหารบาดเจ็บมาให้มากมายยิ่งกว่าจำนวนทหารที่ประจำการในป้อมเช่นนี้ เหล่าทหารในป้อมปราการเองก็เหน็ดเหนื่อยจนถึงขีดสุดกับการรักษาพยาบาลอาการบาดเจ็บแล้ว

“อย่างไรข้าก็ห้ามโซออนไม่ให้ส่งพวกเขามาไม่ได้ กลับกัน ทหารหลายรายยังรอดชีวิตเพราะได้รับการรักษา ข้ายังออกจะขอบคุณพวกเขาด้วยซ้ำ ยังไม่อาจกล่าวโทษพวกเขาได้เช่นกัน ใช่หรือไม่เล่า? ”

เพราะเป็นฝั่งมนุษย์ที่ส่งกองพันออกไปด้วยหมายจะกวาดล้างโซออน จึงไม่อาจบ่นได้แม้ทหารจะถูกกวาดล้าง ทว่าฝั่งโซออนกลับยังช่วยทำการรักษาบาดแผลฉุกเฉินให้ ยังใจกว้างสร้างเกวียนให้แก่ผู้ที่เดินไม่ได้อีกด้วย

ในกองทัพล้วนแต่สอนว่าโซออนเป็นสัตว์ร้ายป่าเถื่อน ทว่าเมื่อเห็นเช่นนี้ เขากลับไม่ทราบว่าฝ่ายใดกันแน่ที่เป็นสัตว์ร้ายป่าเถื่อน

“แล้ว เจ้ามีเรื่องใดต้องการรายงานข้าหรือ? ”

“ที่จริง ทหารที่กลับมาได้เอ่ยถึงเรื่องน่ากังวลขึ้นมาขอรับ”

“เรื่องอะไรกัน? ”

“ทหารที่ถูกจับกล่าวว่าเห็นเด็กมนุษย์อยู่ในหมู่โซออนขอรับ ยิ่งกว่านั้น ยังมีรายงานแบบเดียวกันจากทหารหลายนาย”

“เด็กมนุษย์รึ? ถูกลักพาตัวมาจากหมู่บ้านใกล้เคียงหรือไม่?

“ดูไม่คล้ายเช่นนั้นขอรับ เรื่องนี้อาจฟังดูไม่น่าเชื่อ ทว่าพวกเขาล้วนกล่าวว่าเห็นโซออนกระทำตามคำสั่งที่เด็กผู้นั้นเอ่ยขอรับ”

เป็นไปไม่ได้ มาโครนิสคิด

ความเกลียดชังมนุษย์ฝังรากลึกในจิตใจโซออน พวกนั้นถูกขับไล่จากทุ่งหญ้าที่อยู่อาศัยด้วยฝีมือมนุษย์ ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าจะมีโซออนทำตามคำที่มนุษย์อันเป็นที่เกลียดชังได้

ทว่า กลับมีบางสิ่งติดอยู่ในใจมาโครนิสที่พยายามจะหัวเราะ

“ท่านผู้ช่วยผู้บัญชาการลืมแล้วหรือขอรับ? เรื่องพระบุตรที่หายตัวไปจากป้อมปราการในวันเดียวกับที่โซออนแหกคุกนั่น”

ทันใดนั้นมาโครนิสก็นึกออก

ไม่นานก่อนหน้านี้ยังมีเหตุพระบุตรผู้สังหารผู้บัญชาการอย่างทารุณหลบหนี ในยามนั้น ยังมีพระบุตรที่เซเทียสนำกลับมาจากสถานพิธีนอกรีตหายตัวไปพร้อมกัน

เขาคิดสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่โซออนจะเป็นผู้พาเขาออกไป ทว่าอย่างไรก็เชื่อไม่ลงว่าโซออนที่เกลียดชังมนุษย์จะนำตัวเด็กชายไปด้วยทำให้ยิ่งอันตรายต่อตนเองกว่าเดิม คล้ายว่าจะเป็นเด็กชายผู้นั้นสบโอกาสที่โซออนแหกคุกเล็ดลอดหนีออกไปด้วยตนเอง

เนื่องจากมุขนายกมิลดาสเป็นผู้สั่งการให้นำตัวพระบุตรผู้นั้นไปขังห้องเดียวกับพระบุตรโซออนทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ พวกเขาจึงต้องค้นหาตัวเด็กชาย ร่วมมือกับทั้งกองพัน ทว่าสุดท้ายก็ไม่อาจหาตัวเขาเจอ ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเด็กคนหนึ่งจะเอาตัวรอดได้อย่างไรในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่นี้ มาโครนิสจึงคิดเอาง่ายๆ ว่า เขาคงตายตกลงข้างทางที่ไหนสักแห่งไปแล้ว

“ไม่มีทางน่ะ! เป็นเด็กนั่นรึ!? ไม่สิ เดี๋ยวนะ เดี๋ยวก่อน! เจ้าบอกว่าโซออนเชื่อฟังเด็กนั่นหรือ!? อย่าบอกนะว่าเหตุจู่โจมด้วยไฟนั่น…! ”

ในที่สุดมาโครนิสก็ได้ชิ้นส่วนคำใบ้ที่เผยคำตอบต่อปริศนาในช่วงหลายวันมานี้แล้ว

สำหรับเขาผู้ไม่อาจเชื่อว่ากองพันจะถูกโจมตีด้วยไฟเมื่อเห็นรายงาน นั่นเพราะมันคือสิ่งที่ห่างไกลจากวิถีการสู่ของโซออนที่เคยรู้มามากเกินไป

ทว่า หากโซออนทำตามคำสั่งของเด็กมนุษย์ดังที่ทหารหลายนายได้เห็น เขาก็ไม่อาจจินตนาการเป็นอื่นได้ นอกเสียจากวิธีการสู้ที่ไม่เหมือนโซออนนี้ เป็นความคิดของเด็กมนุษย์นั่น

“เด็กนั่นเป็นตัวอะไรกันแน่…? ”

แม้เขาจะอยากถามมิลดาสที่ดูจะทราบตัวตนที่แท้จริงของพระบุตร อีกฝ่ายก็ออกจากป้อมปราการไปแล้ว ในวันเดียวกับที่การค้นหาของกองพันหยุดลง เขาก็โวยวายอย่างโมโห และเดินทางกลับเมืองหลวงไป

“สั่งห้ามไม่ให้ทหารเอ่ยถึงเรื่องนี้ได้หรือไม่? ”

หากทหารทราบว่าถูกมนุษย์เช่นเดียวกันทรยศเข้าฝ่ายโซออน คงก่อให้เกิดความสับสนแล้ว

“มีทหารหลายรายเห็นขอรับ ข่าวลือเริ่มแพร่ไปยังทหารที่เป็นผู้ให้การพยาบาลแล้วเช่นกัน คาดว่าสายไปแล้วขอรับ”

“บัดซบ! หากข้าบีบให้ไอ้คางคกอุบาทว์นั่นคายออกมาได้แต่ต้นย่อมดีกว่านี้มาก”

ทว่ามานั่งคร่ำครวญให้กับสิ่งที่สูญเสียไปแล้วก็ไร้ประโยชน์

“อย่างไรตอนนี้ฝั่งโซออนก็ยังได้เปรียบอยู่อาจบุกเข้าโจมตีที่นี่ได้ ทุกคนคงเหนื่อยแล้ว ทว่าอย่างไรก็เพิ่มการเฝ้าระวังให้ดี ย่นระยะเวลาเฝ้ายามแต่ละกะลง เปลี่ยนให้ถี่ขึ้น”

ทหารที่เหน็ดเหนื่อยย่อมไม่อาจตั้งสมาธิได้นานนัก

“รับบัญชา! ”

เมื่อเซเทียสทำความเคารพแล้วจากไป เหลือเพียงมาโครนิสในห้อง เขาก็ทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างเหน็ดเหนื่อย

“มนุษย์ที่โซออนเชื่อฟังหรือ? มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่!? ”

ผู้ที่สามารถตอบคำถามมาโครนิสได้ไม่มีปรากฏ

◆◇◆◇◆


ทหารนายหนึ่งห่อตัวอยู่ในผ้าห่ม ยืนเฝ้ายามอยู่บนกำแพงที่ลมเย็นพัดผ่านรุนแรง เขาเห็นบางสิ่งทางทุ่งหญ้าตะวันออกที่เริ่มสว่างขยับใกล้เข้ามา

เมื่อเบิกตากว้าง ก็เห็นเกวียนขนาดใหญ่สองหลังและทหารหลายรายที่กำลังผลักเกวียน

“นั่นมัน...ทหารบาดเจ็บอีกหรือ…? ”

แม้เมื่อเย็นวานจะมีมาสี่สิบคน จำนวนในคราวนี้กลับยิ่งมากกว่าเดิมเสียอีก

เขานึกเสียใจเมื่อคิดถึงความวุ่นวายเมื่อวาน ทว่าอย่างไรก็ไม่อาจละทิ้งสหายร่วมรบที่เอาตัวรอดมาอย่างยากลำบากนี้ได้ ทหารเฝ้ายามเอนตัวเข้าหากำแพง ร้องตะโกนไปเบื้องล่าง

“มีทหารบาดเจ็บมาอีกแล้ว! คราวนี้มีเยอะทีเดียว”

ได้ยินเสียงเขา ที่ประตูก็เกิดวุ่นวายขึ้นมา

“เปิดประตู~! ”

การเปิดประตูต้องใช้คนหลายคน พวกเขานำทหารบาดเจ็บเข้ามา

ผู้ได้รับบาดเจ็บเข้าประตูมาในสภาพย่ำแย่

พวกเขาล้วนแต่พันผ้าพันแผลจากหัวจรดเท้า ราวกับกลุ่มมัมมี่ที่ผ่านพิธีกรรมรำลึกผู้วายชนม์ตามธรรมเนียมทะเลทรายทางใต้อันห่างไกลในคำร่ำลือ

แม้แต่ทหารที่เข้ามาต้อนรับที่เริ่มชินกับทหารบาดเจ็บในช่วงหลายวันมานี้ เมื่อได้เห็นสภาพเลวร้ายเบื้องหน้า ก็ยังมีสีหน้าเจ็บปวด

“ไม่เป็นไรแล้ว ทำใจให้สงบเถอะ”

ทหารที่เร่งร้อนเข้ามากล่าวเช่นนั้น พลันสัมผัสถึงความแปลกประหลาดที่ไม่อาจบรรยายด้วยถ้อยคำ

ทหารที่ผลักเกวียนทั้งหมดไม่เพียงพันผ้าพันแผลทั่วร่าง ทว่ายังถึงกับห่อหุ้มใบหน้าจดมิดชิด หากพิจารณาว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บจากเพลิงไหม้แล้ว ก็ดูเหมือนร่างกายพวกเขาจะเปี่ยมไปด้วยเรี่ยวแรงทีเดียว

ทหารอีกนายที่วิ่งเข้ามายังเกวียนพยายามจะช่วยยกตัวทหารบาดเจ็บที่นอนอยู่เพื่อช่วยปฐมพยาบาลหยุดชะงัก เบิกตากว้าง

ผิวที่ปรากฏออกมาระหว่างรอยต่อของผ้าพันแผลนั้นแปลกประหลาด ดูไม่เหมือนถูกไฟไหม้ กลับมีขนรุงรังจนน่ากลัว ไม่เพียงจะมีขนดกเท่านั้น ยังมีมากเกินไป ราวกับสวมหนังสัตว์ไว้ใต้ผ้าพันแผลอย่างไรอย่างนั้น

อึดใจต่อมา เขาได้ยินเสียงคล้ายสัตว์ร้ายขู่ในลำคอ

เมื่อหันไปยังต้นเสียงอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก็สบตาเข้ากับทหารที่พันผ้าบนใบหน้า ลองมองดูดีๆ เขาก็รู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นแปลกประหลาดนัก ดวงตาใหญ่ ตาดำกลมโตราวกับแมวในความมืด

ยังมีฟันเขี้ยวที่ปรากฏออกมาจากปากนั้นดูยาวและคมจนผิดปกติ ราวกับเขี้ยวสัตว์เลยมิใช่หรือ?

เหงื่อเย็นหลั่งรินตามใบหน้าที่สังเกตเห็น

“ปะ...เป็นโซออนนนน!! ”

คอของทหารที่ตะโกนถูกมีดดาบแบะผ่าเกิดเป็นเสียงเชือดเฉือน

เมื่อได้สัญญาณ โซออนที่แสร้งทำเป็นทหารบาดเจ็บลุกขึ้นฉีกกระชากผ้าพันแผลออก เผยตัวตนที่แท้จริงให้เห็น

“ข้าคือการัม บุตรแห่งการ์กัสแห่งเผ่าคมเขี้ยว หนึ่งในสิบสองเผ่าโซออน! เราจะไม่สังหารหากเจ้าไม่ต่อต้าน หากหันคมดาบแก่เรา เราจะไม่ปรานี! ”

การัมที่ยามนี้ยืนอยู่บนหลังคาเกวียน ถือมีดดาบในสองมือประกาศด้วยเสียงอันดัง

จากนั้น เมื่อสูดอากาศเข้าปอดจนเต็ม เขาก็ส่งกู่เสียงสิงหนาทที่ทำให้บรรยากาศต้องสั่นสะเทือน

ที่ตอบกลับมา คือเสียงรัวกลองบ้าคลั่งและเสียงกู่ร้องนับไม่ถ้วนจากภายนอกป้อมปราการ

“โซออนจู่โจมกะทันหัน! ”

“ป้อมปราการถูกล้อมแล้ว!! ”

ภายในป้อมปราการตกเข้าสู่ความโกลาหล

“เราคือนักรบโซออนผู้มีเกียรติ! เราจะไม่เมตตาต่อผู้ต่อต้าน! ทว่าเราจะไม่ทำร้ายผู้ยอมศิโรราบ! ”

ประกาศแล้ว การัมกระโดดลงไปวิ่งเข้าหาศัตรู

จากนั้น นักรบแห่งเผ่าคมเขี้ยวที่ตามเขาเข้าไปต่างเอ่ยประสานเสียง

“เราจะไม่เมตตาผู้ต่อต้าน! และจะไม่แตะต้องผู้ยอมแพ้! ”

ทหารที่อยู่เบื้องหน้ากลุ่มการัมต่างยกสองมือขึ้นทีละคนเป็นสัญญาณว่ายอมแพ้

โซวมะให้นักรบเผ่าคมเขี้ยวสัญญาตั้งแต่ก่อนจะเข้าโจมตีป้อมปราการ ว่าจะไม่ทำร้ายคนที่ยอมแพ้

เพราะโซวมะยังรู้สึกลังเลที่จะสังหารผู้คน ในการรบที่ฮอกห์นาเรียห์ เขาตั้งใจจะแสดงให้เห็นการเตรียมใจของเขา แต่ไม่ว่ายังไง โซวมะที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นอันสงบสุขก็ยังไม่สามารถรู้สึกดีกับการฆาตกรรมได้ ที่จริงเขาอยากจบเรื่องโดยไม่ฆ่าคนเลยหากเป็นไปได้

ทว่า เป้าหมายในคราวนี้คือเพื่อทำลายจิตใจอยากต่อสู้ของทหารในป้อมปราการ

จำนวนทหารประจำปราการปัจจุบันมีอยู่ประมาณสามร้อยนายไม่นับทหารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถต่อสู้ได้ หากอีกฝ่ายแค่ยกจำนวนคนมาก็สามารถรับมือกับนักรบหกสิบสามนายของเผ่าคมเขี้ยวที่รุกรานป้อมได้ง่ายๆ แล้ว

แต่หากแยกย่อยทหารสามร้อยนายออกมา จะมีทหารหนึ่งร้อยนายที่ประจำอยู่ที่ปราการแต่แรก และอีกสองร้อยนายคือที่รอดชีวิตกลับมาจากเนินเขาฮอกห์นาเรียห์

ทั้งสองร้อยคนไม่ได้มีบาดแผลสาหัสจนสู้ไม่ได้ แต่หลายคนถูกทำลายความกล้าที่จะต่อสู้ไปจากการลอบโจมตีด้วยไฟแล้ว ยิ่งกว่านั้น ยังมีทหารอีกหลายรายที่เคยถูกโซออนจับตัวไว้ได้ครั้งหนึ่งแล้วค่อยปล่อยตัวออกมา

พวกเขาล้วนแต่เคยได้รับประสบการณ์มาแล้วว่าโซออนจะไม่ทำร้ายมนุษย์ที่จับตัวได้ พวกเขาเคยทราบแล้วว่าโซออนรักษาสัญญาที่บอกว่าจะปล่อยตัว แล้วจะยังมีสักกี่คนที่จะดื้อดึงต่อสู้เมื่อได้ยินโซออนกล่าวว่าจะไม่ทำร้ายหากยอมแพ้เล่า?

หากพวกเขาได้ยินว่าตนเองจะต้องถูกสังหาร ทหารย่อมรวบรวมแรงใจเฮือกสุดท้ายที่มีและต่อต้านอย่างบ้าคลั่งแน่นอน

แต่ เมื่อได้ยินว่าพวกเขาจะไม่ถูกทำร้ายหากยอมวางอาวุธ พวกเขาก็เลือกหนทางยอมแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว

การกระทำของพวกเขายังส่งผลต่อทหารที่ประจำการอยู่ที่ป้อมด้วย

แม้จะมีทหารชักดาบออกมาเตรียมใจต่อสู้หลังพบว่าโซออนบุกโจมตี แต่ทุกคนก็รีบยอมแพ้อย่างรวดเร็วเมื่อเห็นสถานการณ์รอบตัว สภาพโดยรอบเป็นแบบนี้ แม้จะมีใจอยากสู้ก็หายวับไปได้ในพริบตา

แม้แต่ทหารที่คาดว่าจะต้องต่อสู้ก็ยังยอมแพ้โดยไม่ได้ใช้อาวุธออกไปแม้แต่ครั้งเดียว

เช่นนี้เอง เหล่านักรบของการัมแห่งเผ่าคมเขี้ยว จึงสามารถบุกยึดป้อมปราการโดยไม่ใช้สิ่งใดเลยนอกจากวาจาเท่านั้น

◆◇◆◇◆


มาโครนิสที่งีบหลับอยู่ ตื่นขึ้นด้วยเสียงกลองที่ก้องสะท้อนในปราการ เมื่อเขาสวมชุดเกราะที่ถอดออกจากนอน ทหารนายหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาในห้อง

“หายนะแล้วขอรับท่าน! เป็นโซออนบุกโจมตีกะทันหัน! ”

“รายงานสถานการณ์ตอนนี้มา! ”

“ดูเหมือนโซออนจะควบคุมป้อมปราการไว้ได้แล้ว โดยรุกรานเข้ามาทางประตูขอรับ! ”

“เข้ามาทางประตูงั้นรึ!? ยามเฝ้าประตูหลับยามรึไง? ”

มีประสบการณ์ถูกโซออนบุกรุกและพระบุตรที่หลบหนีไป เขาได้เพิ่มกำลังเฝ้าระวังในป้อมปราการแล้ว โดยเฉพาะบริเวณประตูที่เขาต้องให้มีทหารประจำการเสมอ ไม่เพียงจะเพิ่มจำนวนทหารเฝ้าระวัง ยังตั้งกระท่อมสำหรับพักผ่อนเพื่อไม่ให้ประตูเปิดได้โดยง่าย สำหรับในกรณีที่ศัตรูบุกเข้ามา

“นั่น...เพราะโซออนแสร้งทำเป็นทหารบาดเจ็บ ใช้ผ้าพันแผลห่อร่างไว้ ฝั่งเราจึงเปิดประตูให้ขอรับ”

“โง่งมนัก! พวกเจ้าเปิดประตูโดยไม่ตรวจสอบเลยรึ!? ”

“ขะ...ขออภัยขอรับ นั่นเพราะ…”

มาโครนิสอดกลั้นไม่ตะโกนไปมากกว่านี้

เพราะมีทหารบาดเจ็บมาที่ป้อมทุกวันในช่วงหลายวันมานี้ ทหารจึงได้เคยชินจนไม่สงสัยกับจำนวนที่เพิ่มขึ้น

ยังมีเรื่องที่ได้เห็นสหายร่วมทัพบาดเจ็บสาหัส ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมต้องการให้การรักษา ให้ผู้บาดเจ็บเข้ามาในป้อมเร็วขึ้นอีกสักนิดก็ยังดี

จะกล่าวโทษพวกเขาก็ไร้หัวใจเกินไป

ครุ่นคิดถึงตรงนี้ เขาก็ชะงัก

“บัดซบ เราจบแล้ว! ทุกสิ่งถูกปูทางมาเพื่อการนี้หรอกรึ!? ”

เพื่อให้คนในป้อมปราการเคยชินกับการมีทหารบาดเจ็บถูกส่งมาทีละน้อย ไม่ใช่ในคราวเดียว ทำให้พวกเขาเริ่มไม่ระมัดระวัง

การส่งคนมามากกว่าสี่สิบคนเมื่อวานเพื่อให้เกิดความเหน็ดเหนื่อย ความสามารถในการตัดสินใจลดลง

แม้แต่การส่งทหารบาดเจ็บกลับมาอย่างสุภาพ ทำการรักษาพยาบาลให้ก็เพื่อสร้างสถานการณ์ จะได้ดูไม่ผิดปกติในยามที่พวกเขาหุ้มร่างด้วยผ้าพันแผล ฝั่งโซออนจึงไม่ถูกเปิดเผยมาจากระยะไกล

“ผู้คิดแผนการนี้ช่างสารเลวนัก”

สบถด่าระบายความโมโหในอก มาโครนิสคว้าดาบของตน เร่งร้อนออกจากห้อง ออกจากอาคาร ที่นั่นเอง เขาพบเข้ากับพวกโซออน

โซออนขนดำยืนอยู่เบื้องหน้ากลุ่ม ชี้มีดดาบมายังเขา

“พู่ติดหมวกนั่น! ดูคล้ายว่าจะเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการของป้อมปราการนี้! ”

มาโครนิสสงสัยว่าชายผู้นี้ใช่ผู้นำโซออนหรือไม่ จากรูปลักษณ์อันโดดเด่นของโซออนขนดำเบื้องหน้าตน

คล้ายกับการพูดคุยไม่จำเป็น มาโครนิสยกดาบในมือ ปัดป้องมีดดาบจากมือซ้ายของอีกฝ่ายหนึ่งในคราวเดียว

การัมพุ่งพรวดไปข้างหน้า แทงมีดดาบในมือขวาใส่มาโครนิส มาโครนิสปล่อยมือซ้ายจากด้ามดาบของตน ใช้ศอกซ้ายกระทุ้งข้อมือขวาการัมเพื่อหยุดมีดดาบไว้ให้ทันท่วงที

ทว่า ชั่วขณะที่ร่างของมาโครนิสไร้การป้องกัน การัมกลับขยับไปอีกขั้น ใช้หัวโขกเข้าที่จมูกมาโครนิสเต็มแรง มาโครนิสถอยร่นจากการจู่โจมไม่คาดฝัน ล้มหงายหลังลงพื้นในทันที

“ยอมแพ้เสีย! หาไม่ข้าจะปาดคอเจ้า! ”

มาโครนิสที่ยามนี้ถูกมีดดาบสองเล่มกดแนบลำคอ ทั้งยังถูกอีกฝ่ายกดตัวแนบพื้นกัดฟันอย่างไม่ยินยอมอยู่ชั่วครู่ ทว่าเมื่อเห็นทหารใต้บังคับบัญชาเขาล้วนแต่ถูกโซออนจับกุมก็โยนดาบของตนทิ้งไป คลายแรงทั้งหมดที่มี

“ข้าแพ้ ข้ายอมแพ้แล้ว...”

“น่าเสียใจนัก ทว่าข้าจะยอมรับมัน”

เห็นการัมมีท่าทีหดหู่และคำพูดดูมีนัย มาโครนิสเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย

“น่าเสียใจ เจ้าหมายความว่าอย่างไรหรือ? ”

“นั่นเพราะข้าถูกบอกไม่ให้ทำร้ายผู้ที่ยอมแพ้”

มาโครนิสที่บัญชาการป้อมปราการแห่งนี้ควรถูกเกลียดชังที่สังหารโซออนไปมากมาย ถึงขั้นที่อีกฝ่ายปรารถนาอย่างแท้จริง ต้องการสังหารเขาเสียตรงนั้น

“เข้าใจล่ะ เช่นนั้นข้าก็รู้สึกยินดีขึ้นมาบ้าง”

การเห็นการัมทำหน้านิ่วช่วยรักษาศักดิ์ศรีที่เสียไปของมาโครนิสได้เล็กน้อย

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น