“ไร้สาระ! เช่นนั้นจะให้เราทำอะไรเล่า? ”
บานูก้าตะโกนขึ้นราวกับกำลังกรีดร้อง
“ถ้าได้พวกคุณช่วยส่งเสียงให้กำลังใจและตีกลองปลุกความกล้าให้กับนักรบเผ่าเขี้ยวที่จะเข้าต่อสู้ได้ จะดีมากครับ”
เหล่านักรบที่เงียบฟังบทสนทนาอยู่เบื้องหลังเซอร์กูตะโกนสบถด่ามารยาทของโซวมะขึ้น
“อย่ามาล้อเล่นกับพวกข้า! เจ้าจะบอกให้พวกเรา นักรบทรงเกียรติแห่งเผ่ากรงเล็บร้องตะโกนและตีกลองเช่นนั้นรึ!? ”
“เจ้าลูกหมา กล่าวว่ากองกำลังของเราไร้ประโยชน์รึ!? ”
“หยามหมิ่นพวกเรานักรบนัก! ”
ยิ่งกว่านั้น บานูก้าและนักรบเผ่าแผงคอเองก็ไม่ยอมเช่นกัน
“เราไม่เห็นด้วยเช่นกัน! ”
“ใช่แล้ว เจ้าจะบอกให้พวกเรานักรบเล่นดนตรีเปล่งเสียงดั่งนักแสดงรึ!? ”
สำหรับโซออน นักรบที่ถูกสั่งไม่ให้สู้ ก็เหมือนถูกบอกว่าไร้ประโยชน์ ไม่เพียงนักรบเผ่ากรงเล็บ แม้แต่นักรบเผ่าแผงคอก็ไม่อาจเห็นด้วย
ทว่าบรรดานักรบกลับเงียบลงเมื่อเซอร์กูยกมือขึ้น
“ไม่ดีหรอกรึ? เขากล่าวว่าไม่ต้องการกำลังพวกเรา เผ่าแผงคอเองก็ไม่น่าจะมีปัญหา หากได้เป็นผู้สังเกตการณ์ ดูชมความลำบากที่เผ่าคมเขี้ยวจะได้รับ ”
เขาไม่ยอมถูกล่อลวงด้วยการยั่วยุต่ำช้าเช่นนี้แน่ เซอร์กูหัวเราะ แยกเขี้ยว
การจู่โจมป้อมปราการด้วยการใช้เพียงเผ่าคมเขี้ยวที่สูญเสียนักรบจากการต่อสู้หลายต่อหลายคราวนั้นไม่ต่างจากการกระทำอันบ้าคลั่ง เช่นนี้ทั้งสองที่พูดไม่คิด ผู้ผลักดันให้เผ่าตนเข้าสู่ความหายนะด้วยคำพูดของตนจะอ้อนวอนขอร้องอย่างไรเล่า? เซอร์กูรอคอยสิ่งนั้นอยู่อย่างตื่นเต้น
“พวกคุณยอมเข้าใจแบบนี้ก็ช่วยเราได้มากครับ”
ทว่าโซวมะกลับยิ้มออกมา
“เช่นนั้น เราจะบอกพวกเจ้าเรื่องสิ่งที่ต้องทำและตารางเวลาในอนาคต ตอนนี้สามารถจบการหารือได้ ยังมีสิ่งใดต้องการหารืออีกหรือไม่? ”
ผู้ที่แตกตื่นจากคำพูดของการัมกลับเป็นเซอร์กู
“ดะ เดี๋ยวก่อน! ”
โซวมะโคลงหัวไปด้านหนึ่งอย่างสงสัย ถาม “มีอะไรหรือครับ? ”
“อา ไม่สิ เจ้าตั้งใจจะวางแผนบุกยึดป้อมปราการด้วยเผ่าของการัมเผ่าเดียวจริงๆ รึ…? ”
ตามการคาดการณ์ของเซอร์กู นี่ควรจะเป็นการยั่วยุของโซวมะ
ทว่าห่างไกลจากท่าทีผิดแผนมาก ทั้งโซวมะและการัมต่างก็เตรียมลุกจากที่นั่งหลักเอ่ยจบการประชุมแล้ว กลับเป็นเซอร์กูเสียเองที่สับสน
“ครับ อย่างที่บอกไป ใช้แค่กำลังของเผ่าคมเขี้ยว---”
โซวมะปรบมือเข้าหากันอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
“อ๊ะ หรือคุณจะคิดว่านั่นเป็นการยั่วยุครับ? ถ้าอย่างนั้นต้องขอโทษด้วย ผมไม่ได้คิดว่าทุกคนไร้ประโยชน์หรืออ่อนแอครับ นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผมไม่ให้พวกคุณเข้าสนามรบ”
“เช่นนั้น ทำไมเล่า…? ”
“ก่อนหน้านี้ คุณบอกว่า คุณไม่ไว้ใจผม ใช่มั้ยครับ? ”
“ใช่ ข้ากล่าวเช่นนั้น”
“ผมก็ไม่ไว้ใจคุณเหมือนกันครับ ผมไม่รู้ว่าคุณจะทำตามที่ผมแนะนำมั้ย คุณจะนำคนแบบนั้นเข้าไปในสนามรบสำคัญๆ มั้ยครับ? ถึงคนพวกนั้นจะแข็งแกร่งก็ตามที”
เซอร์กูพูดไม่ออกกับคำกล่าวของโซวมะ
ผู้ที่กล่าวว่าไม่อาจไว้วางใจในตัวโซวมะได้คือเซอร์กูเอง ยามนี้ย่อมไม่อาจเปลี่ยนใจถอนคำพูดได้แล้ว เขาตั้งใจจะหลอกล่อให้อีกฝ่ายให้สัญญา ทว่าผู้ถูกหลอกล่อกลับเป็นเซอร์กูเสียเอง เมื่อทราบดังนี้แล้ว เซอร์กูก็สำนึกเสียใจขึ้นมา
หากป้อมปราการใช้เพียงเผ่าคมเขี้ยวในการบุกยึดจริง ย่อมไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาแล้ว มนุษย์สร้างป้อมปราการเพื่อใช้จับตามองทุ่งหญ้าทั้งหมด การบุกยึดป้อมปราการเชื่อมโยงโดยตรงกับการทวงคืนทุ่งหญ้า หากพวกเขาได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ อาณาเขตของเผ่าที่รอดูการกระทำต่อจากนั้นย่อมได้เผ่าคมเขี้ยวเป็นผู้ตัดสินโดยตรง ไม่เพียงเท่านั้น ต่อให้เผ่าคมเขี้ยวยึดอาณาเขตทั้งทุ่งหญ้า เผ่าอื่นยังไม่อาจบ่นว่าได้สักคำ
ทว่าเขาไม่อาจละทิ้งความเป็นไปได้ว่าสิ่งนี้คือการยั่วยุดังที่ได้คาดไว้
“ทว่าการบุกยึดป้อมปราการโดยใช้เพียงเผ่าคมเขี้ยวนั้นไร้เหตุผลสิ้นดี! การัม จำนวนนักรบที่ใช้การได้ของเจ้ายามนี้มีไม่เกินหนึ่งร้อย ที่ป้อมปราการยังมีทหารเหลืออยู่ เป็นทหารที่ไม่ได้ถูกโจมตีจากเหตุก่อนหน้า! ยังเพราะเจ้าปล่อยตัวทหารที่บุกโจมตีก่อนหน้านี้ออกไป จำนวนทหารในป้อมนั้นย่อมมีหลายร้อย!
ทั้งกำแพงป้อมปราการนั้นยังสูงถึงหกเมลต์ (ประมาณ 6 เมตร) กว้างถึงสี่เมลต์ (ประมาณ 4 เมตร) ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะปีนข้ามไปได้โดยง่าย ต่างจากยามที่เจ้าแทรกซึมเข้าช่วยเหลือพระบุตร คนกลุ่มใหญ่ย่อมต้องถูกสังเกตเห็นตั้งแต่ก่อนจะเข้าถึงกับแพงแล้ว อีกทางหนึ่ง ต่อให้ข้ามกำแพงไปได้ ยังจะกลายเป็นเจ้าถูกล้อมก่อนจะมีเวลาเปิดประตู! ”
“รู้สึกว่าคุณจะรู้ข้อมูลพอสมควรเลยนะครับ”
โซวมะเอ่ยชื่นชมจากใจ
แม้แต่การัมเองก็ยังไม่อาจปิดบังความแปลกใจได้เมื่อเห็นเซอร์กูล่วงรู้กระทั่งเรื่องที่เขาบุกเดี่ยวเข้าช่วยเชมุล
รู้ตัวว่าหลุดปากพูดข้อมูลที่ไม่ควรพูดออกไป เซอร์กูรีบหุบปากสนิท
ทว่าเขาต้องเสียท่าอีกครั้งกับคำกล่าวต่อมาของโซวมะ
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าเป็นระดับป้อมปราการก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก”
ได้ยินว่าป้อมปราการที่ไม่เคยแพ้พ่ายแม้จะถูกทั้งเผ่าคมเขี้ยวและเผ่ากรงเล็บโจมตีนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร เซอร์กูรู้สึกหัวหมุน
“เจ้า เจ้าไปเอาความมั่นใจเช่นนั้นมาจากที่ใดกัน เจ้าบ้านี่!? ”
เซอร์กูสติหลุดร้องด่าโซวมะลั่น
โซวมะหันหน้าไปเพื่อให้โซออนทั้งหมดในที่แห่งนั้นเห็นได้ชัดเจน เขายกมือขึ้นจับผ้าโพกหัว กำเข้าอย่างเชื่องช้า ก่อนจะกระชากมันออกมา
สิ่งที่เปล่งประกายอยู่บนหน้าผากที่เผยออกมา คือสลักประทับที่ดูคล้ายการผสมผสานระหว่าง 8 และ ∞ ดูราวกับงูสองตัวที่บิดกายทาบทับและขบกัดหางกันและกัน มันคือสลักประทับแห่งออร่า
“ผมคือพระบุตรแห่งออร่า เทพีแห่งความตายและหายนะ ผมมาที่นี่เพื่อทำลายมนุษย์ที่ทำให้พวกคุณต้องทนทุกข์”
เป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของโซวมะ
ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น เซอร์กูและคนอื่นๆ ต่างตัวแข็งทื่อขยับถอยหลัง
ในชั่วขณะนั้นเอง เหล่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าดวงตาที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดต่างเอ่ยประสานเสียงโดยพร้อมเพรียง
“เทพีผู้ควบคุมชั่วขณะสุดท้ายของทุกสรรพชีวิต”
“เทพีผู้เป็นประจักษ์พยานแก่ทุกสรรพสิ่งในช่วงเวลาแห่งการสิ้นสุด”
“เทพีออร่าผู้เป็นมารดาเพียงหนึ่งเดียว เป็นพี่หญิงผู้ได้รับความเคารพและหวาดหวั่นโดยสัตตเทพ”
ชุนปาจัดท่านั่งของตนเอง หันหน้าไปยังโซวมะ
“พวกเราเผ่าดวงตาจะสนับสนุนคิซากิ โซมะผู้เป็นพระบุตรแห่งเทพีออร่า”
“พวกเราจะสนับสนุนท่าน! ”
ชุนปาและเหล่าสตรีศักดิ์สิทธิ์เบื้องหลังก้มลงหมอบกราบต่อหน้าโซวมะ
ท่าทีของชุนปาและเหล่าสตรีศักดิ์สิทธิ์มีไว้เพื่อลบล้างความหวาดกลัวว่าพระบุตรแห่งหายนะจะนำความพินาศมาสู่โซออน ในขณะเดียวกันยังเป็นการยืนยันถึงการดำรงอยู่ของออร่า เทพีผู้ที่เซอร์กูและผู้อื่นล้วนเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก พวกนางไม่เป็นที่เอ่ยถึงในด้านการต่อสู้ในสนามรบ ทว่าหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทวยเทพ อิทธิพลของเผ่าดวงตานับว่ายิ่งใหญ่ เมื่อพวกนางประกาศว่าจะสนับสนุน เผ่าอื่นก็ไม่สามารถหาความผิดที่โซวมะเป็นพระบุตรเทพีแห่งความตายและหายนะได้
เซอร์กูตัวสั่น
เจ้านี่มันอะไรกัน!? มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่!?
นั่นคือเสียงกรีดร้องในใจเซอร์กูที่ไม่ได้หลุดรอดออกจากปาก ทว่าโซออนทั้งหมดในที่แห่งนั้นต่างรู้สึกอยู่เช่นเดียวกัน
◆◇◆◇◆
เมื่อการัมและแม่เฒ่ากลับเข้ามาที่ห้องใน ก็เห็นโซวมะที่นอนคว่ำหน้าตัวเปื่อยกับเชมุลที่ใช้ใบไม้ใบใหญ่ช่วยพัดวีให้เขาอยู่แล้ว
“โซมะเป็นอะไรไป? ”
แม้จะแปลกใจที่การัมถามไถ่ เชมุลก็ยังยิ้มอ่อน
“ดูเหมือนจะหมดสภาพเพราะตึงเครียดเกินไปกระมัง”
เมื่อการัมกับแม่เฒ่ามาแล้ว โซวมะก็เงยหน้าขึ้นอย่างอ่อนเปลี้ย เห็นท่าทีซูบซีดราวกับใช้สมองอย่างหนักนั่น ทั้งสองต่างก็คิดสงสัยอย่างแท้จริงว่าเขายังใช่พระบุตรแห่งออร่าที่ทำให้เซอร์กูตัวสั่นสะท้านรุนแรงก่อนหน้านี้อยู่หรือ
“การัม แม่เฒ่า ขอโทษที่ตัวแบบนี้นะครับ”
โซวมะจับมือเชมุลแล้วยกตัวขึ้นนั่ง
“แล้ว ท่าทีของเซอร์กูกับคนอื่นๆ เป็นยังไงบ้างครับ? ”
โซวมะที่ก่อนหน้านี้ได้แต่บลัฟทั้งที่ในใจกังวลไปหมดถามจากทั้งสองเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง
“สำหรับเด็กเช่นเจ้า นับว่าเป็นการแสดงที่ใช้ได้ทีเดียว”
“อือฮึ การตอบสนองโดยมากก็เป็นไปดังที่คาดไว้”
เขาได้รับการยืนยันจากเชมุลแล้ว แต่สำหรับรายนั้น โซวมะไม่สามารถเชื่อถือได้ง่ายๆ เพราะเธอมักจะตีค่าเขาสูงเกินจริงเสมอ เมื่อได้รับการรับรองจากทั้งสอง โซวมะก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกได้ในที่สุด
“เพราะผมได้รับความช่วยเหลือจากพวกคุณทั้งสองคนล่ะครับ”
โซวมะสามารถประสบความสำเร็จอย่างที่วางแผนไว้ได้เพราะได้ทำการฝึกฝนกับเชมุล การัม และแม่เฒ่าในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
โดยเฉพาะกับการัมที่เคยอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเซอร์กูเมื่อไม่กี่วันก่อน การคาดการณ์ว่าอีกฝ่ายจะโจมตีโซวมะอย่างไร และเขาจะมีมุมมองแบบไหนจึงเป็นเรื่องง่าย เพราะการคาดการณ์เป็นจริง โซวมะจึงสามารถใช้โอกาสนี้นำบทสนทนาได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
“แต่ว่า โซมะ เจ้าจะบุกยึดป้อมโดยใช้เพียงพวกเราจริงหรือ? ”
การัมเป็นกังวล หากบุกยึดป้อมปราการไม่ได้ ไม่เพียงแต่เผ่าคมเขี้ยวจะเสียหน้า โซวมะย่อมต้องถูกทรมาณและฆ่าสังหารแน่นอน ความรุนแรงยังอาจลามมาถึงเชมุลผู้ยกเขาขึ้นเป็นนายแห่งนาภีอีกด้วย
“เรื่องนั้นก็…”
โซวมะหยุดคำว่า ‘ก็เป็นไปได้’ ลงกลางคัน ตราบใดที่เขาเป็นคนตัดสินใจ การบอกว่าไม่มั่นใจมีแต่จะทำให้การัมและคนอื่นๆ วิตกไปเปล่าๆ เขาต้องไม่ใช้คำพูดส่งๆ เพื่อปกป้องตนเองแล้ว
“ไม่มีปัญหา ผมเริ่มเตรียมลงมือเตรียมการบุกยึดป้อมแล้ว”
“เจ้าเริ่มลงมือเตรียมการแล้วหรือ? ”
แม้แต่เชมุลเองก็แปลกใจ
เพราะนางอยู่ข้างกายโซวมะตลอดเวลา จึงเห็นการกระทำของโซวมะอย่างละเอียด ทว่านางนึกไม่ออกว่าช่วงหลายวันมานี้จะเห็นโซวมะเตรียมการยึดป้อมแต่อย่างใด
“จริงหรือโซมะ? ”
“อืม ถ้าจะให้พูด ก็โปรดตัดสินจากผลลัพธ์โดยไม่บ่นเรื่องวิธีการที่ใช้เถอะนะครับ”
โซวมะยิ้มกว้าง
1 ความคิดเห็น
ชอบบบบบ ทั้ง2เรื่องเลย('-') ความผิดพี่ชาลานั่นแลที่ทำให้เรา2จิต2ใจ...แค่ก ๆ
ตอบลบ