[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 28: เล่นไปตามสถานการณ์ 1



โซวมะพยายามบรรเทาหัวใจที่เต้นรัวอย่างกังวลด้วยการหายใจเข้าลึกๆ หลายๆ ครั้ง

“มันต้องไม่เป็นไร ใจเย็น ใจเย็นไว้”

เขาบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เห็นโซวมะดูกังวลเพียงนี้ เชมุลร้องเรียก

“ไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม โซมะ? ”

“อืม...ไม่สิ ผมคงไม่ได้ปกติดีขนาดนั้นนะ”

เขายิ้มฝืนให้เชมุล

“แต่เป็นสิ่งที่ผมตัดสินใจเองนี่”

“ทว่า แท้จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องไปโน้มน้าวเซอร์กูกับผู้อื่นเช่นนี้เองมิใช่หรือโซมะ? ข้าเป็นพระบุตรแห่งเทพสรรพสัตว์ ข้าสามารถทำแทนเจ้าได้”

“แบบนั้นไม่ดีนะเชมุล”

มันคือคำแนะนำที่เขาอยากทำตามใจจะขาด แต่กลับต้องสะบัดไล่ความเย้ายวนนั้นทิ้งไป

“แบบนั้นมันจะไม่จบสักที แล้วยังมีเรื่องหลังจากนั้นอีกล่ะ? ถ้าผมทำให้พวกเขายอมรับที่นี่ตอนนี้ไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์”

โซวมะเชื่อว่าตอนนี้สถานการณ์ยังไม่แน่นอน

โซออนทุกตนเป็นนักรบที่หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี เขาต้องยืนอยู่เบื้องหน้าพวกนั้นด้วยตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับ เขาไม่มีทางจะหลบอยู่หลังเชมุลไปตลอดกาลได้

“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่มือยังสั่นไม่หยุดก็น่าสังเวชอยู่นะ เพราะความกังวลรึเปล่านะ? ”

โซวมะยกมือสั่นเทาของตนให้เชมุลดู

ตอนนั้นเอง เชมุลกุมสองมือของโซวมะไว้อย่างอ่อนโยนด้วยสองมือของตน และมองตาเขาอย่างตรงไปตรงมา

“การหวาดหวั่นต่อความล้มเหลวล้วนแต่เป็นเรื่องธรรมดา เจ้าผู้พยายามมุ่งหน้าต่อแม้จะเป็นเช่นนั้น คือผู้เป็นนายแห่งนาภีของข้า! ”

“ขอบคุณนะ เชมุล”

ไม่รู้ทำไม รู้สึกเหมือนมือจะหยุดสั่นแล้ว

“เช่นนั้น นายแห่งนาภีของข้า นับจากนี้ไป จะเป็นสมรภูมิของท่านแล้ว”

เชมุลนำทางเขาไปยังที่หารืออีกครั้งด้วยท่าทีราวกับแสดงละคร

เมื่อเขาเดินผ่านฉากกั้นที่ตั้งไว้ สายตาของโซออนในที่แห่งนั้นล้วนแต่มองมาเพื่อกดดัน

โดยเฉพาะสายตาของบานูก้าที่รุนแรงราวกับจะสามารถฆ่าคนได้ด้วยสายตาทีเดียว

หลังด่าตัวเองที่เกือบจะยอมแพ้ทรุดฮวบคาที่ โซวมะก็บังคับตัวเองให้เดินไปยังที่นั่งที่จัดไว้ให้เขาได้

จากนั้น เขาทำตามเชมุลและคนอื่นๆ ก้มหัวลงต่ำ โดยมีกำปั้นวางบนพื้น

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับทุกท่านอีกครั้ง ผม คิซากิ โซวมะครับ! ”

◆◇◆◇◆


คนที่เปิดปากเพื่อเริ่มการหารืออีกครั้งคือเซอร์กู

“ก่อนอื่น ให้ข้าได้ยืนยันบางสิ่งก่อน เจ้าคือผู้ที่คิดแผนให้เผ่าคมเขี้ยว และยังตั้งใจจะโจมตีป้อมปราการอีก ใช่หรือไม่? ”

คำพูดดั่งคือคมมีด เปี่ยมด้วยแรงกดดันจนใครต่อใครมองว่าราวกับเขาจะฉีกเฉือนชีวิตโซวมะหากตอบได้ไม่ดีพอ ดังนั้นเชมุลที่นั่งอยู่เบื้องหลังโซวมะจึงยกเท้าขึ้นในทันที ทว่า โซวมะกลับยืดอกขึ้นราวกับจะทำลายแรงกดดันนั้นลงเสีย เขากดเอวตัวเองลงต่ำ ยืดตัวตรงแน่ว

“อย่างที่คุณพูดครับ ผมสอนวิธีขับไล่มนุษย์ให้เผ่าคมเขี้ยว และถ้าพวกคุณติดตามผม เราจะบุกยึดป้อมปราการ ทวงคืนทุ่งหญ้าได้”

โซวมะตอบอย่างหนักแน่น แต่ในความจริง เขาแทบจะเป็นลมได้ทุกขณะ

เขาสามารถควบคุมความกลัวเอาไว้ไม่ให้แสดงออกทางใบหน้าได้ แต่ไม่อาจห้ามใบหน้าตัวเองไม่ให้แข็งทื่อได้ สิ่งที่โซวมะโชคดีคือโซออนไม่เข้าใจระดับการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของมนุษย์เท่าไหร่นัก

“พวกเราล้วนแต่เป็นนักรบโซออนผู้ทรงเกียรติ! ย่อมไม่มีทางเชื่อฟังมนุษย์อ่อนแอเช่นเจ้า! ”

‘เจ้าย่อมต้องถูกวิจารณ์’ นั่นคือสิ่งที่เขาสรุปผลได้ในตอนที่เตรียมการหารือครั้งนี้กับการัมและเชมุล ดังนั้นโซวมะจึงสามารถตอบคำถามนั้นได้โดยไม่แม้แต่จะหงุดหงิด

“ถึงแม้พวกคุณจะติดตามผม คุณก็ไม่มีวันเสียเกียรติโซออนครับ”

“เจ้ามีหลักฐานอะไรมายืนยันเล่า!? ”

“ลืมแล้วเหรอครับ? พระพรที่เชมุลได้รับในฐานะพระบุตรน่ะ”

เซอร์กูหมดคำพูด

ในหมู่โซออน ไม่มีใครไม่ทราบพระพรของเชมุล

พระพรที่นางได้รับ คือให้นางได้รับการปกป้องเกียรติยศและศักดิ์ศรี หากการเชื่อฟังโซวมะเป็นการกระทำเสื่อมเกียรติ เชมุลย่อมไม่มีทางให้โซวมะขึ้นเป็นนายแห่งนาภีของนาง

“ข้าได้ทำการยืนยันแล้ว เชมุลเป็นพระบุตรอย่างแน่นอนไม่ผิดพลาด”

ได้ชุนปาทำการยืนยัน น้องสาวของผู้นำสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าดวงตาผู้ดูแลด้านพิธีกรรมย่อมเป็นการรับรองได้ ไม่มีสิ่งใดน่าเชื่อถือยิ่งกว่านี้แล้ว

หากพวกเขาค้านว่าการเชื่อฟังโซวมะนับเป็นการเสื่อมเกียรติ เช่นนั้นย่อมเป็นการหยามหมิ่นพระบุตรเชมุลแล้ว ทั้งยังเป็นการแสดงออกถึงการต่อต้านเทพแห่งสรรพสัตว์ผู้ยกให้นางเป็นพระบุตรด้วยเช่นกัน

ในยามที่เซอร์กูได้ยินว่าเชมุลได้รับพระพรใดหลังกลายเป็นพระบุตร เซอร์กูหัวเราะเยาะนางว่าไม่มีพระพรที่มีประโยชน์นอกเหนือจากนี้แล้วหรือ

ทว่ายามนี้เขาคงต้องคิดเสียใหม่ พระพรนี้คือสิ่งที่บ่งบอกว่าเทพแห่งสรรพสัตว์จะเฝ้ามองเกียรติยศศักดิ์ศรีของนาง เท่ากับการที่เทพแห่งสรรพสัตว์ได้ทำการรับรองว่าทุกการกระทำที่เชมุลแสดงออกล้วนแล้วแต่ถูกต้องเช่นกัน เพราะข้อเท็จจริงอันน่าตกตะลึงนี้ โซวมะจึงสามารถแก้ไขปัญหากับเหล่าโซออนไปได้อย่างง่ายดายเพียงมีเชมุลอยู่ข้างกาย

เป็นพระพรที่น่ากลัวได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? เซอร์กูรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

แน่นอนว่าเชมุลไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นในยามที่นางได้รับพระพร ทว่านี่ก็ยังเป็นตัวอย่างที่ดีว่า บางครั้งผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ก็ได้ให้กำเนิดพลังอันแข็งแกร่งขึ้นมาได้

เซอร์กูตัดสินใจหันไปโจมตีเรื่องอื่นแทน

“เจ้าเป็นมนุษย์ไม่ใช่รึ?! เหตุใดหนึ่งในมนุษย์ที่หยามหมิ่นเราเป็นสัตว์ต่ำต้อย พยายามทำลายเรา ยามนี้จึงพยายามเข้าเป็นพวกเราเสียเล่า!? ดูราวกับเจ้ายังมีจุดประสงค์ซ่อนเร้นอยู่อีก! ”

“ผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับมนุษย์ที่นี่ครับ”

“ไม่ได้เกี่ยวข้องงั้นรึ? ”

“ใช่ครับ ผมเป็น ‘เด็กผู้ร่วงหล่น’ มาจากโลกที่ต่างออกไปจากที่นี่ ผมยังไม่เคยคุยกับมนุษย์ในโลกนี้ด้วยซ้ำ”

แม้เซอร์กูจะมีสีหน้าสับสน แม่เฒ่าก็รับรองคำโซวมะ

“ข้าสาบานต่อพระนามเทพแห่งสรรพสัตว์ ก่อนจะเชื่อมต่อเข้ากับที่นี่ด้วยฝีมือข้าและเชมุล เขายังไม่อาจแม้แต่จะพูดภาษาเราได้อย่างปกติ”

“มนุษย์ในโลกนี้จับผมที่ไม่เข้าใจภาษาโยนเข้าคุก ผมไม่ได้ติดค้างบุญคุณอะไรกับพวกเขา ยังออกจะไม่ชอบอยู่บ้าง”

แม้ตั้งใจจะแทงเข้าจุดตายที่โซวมะเป็นมนุษย์ ไม่ใช่โซออน เซอร์กูก็พลาดเป้าไปอีกครั้งเพราะการโต้กลับที่ไม่คาดคิด ในเสียงเขาเริ่มมีความลังเล

“ช เช่นนั้น กับโซออนก็เหมือนกันไม่ใช่รึ!? ”

ในเมื่อไม่อาจคาดเดาล่วงหน้าได้ว่าโซวมะคือเด็กผู้ร่วงหล่น ไม่ว่าใครก็หาคำบรรยายให้ความโชคร้ายของเซอร์กูไม่ได้

ทว่า โซวมะไม่คิดจะใจกว้างต่ออีกฝ่ายอยู่แล้ว ในช่วงเวลาคับขัน เขายิ่งโจมตีเซอร์กูอย่างรุนแรง

“ไม่ครับ ชีวิตผมได้เชมุลช่วยไว้ ผมได้ยินว่าโซออนมีคำว่า ‘บุญคุณได้รับกระต่ายในยามอดอยากย่อมต้องตอบแทนแม้สิ้นชีพ’ อยู่ ซึ่งจริงๆ ที่บ้านเกิดของผมเองก็มีสำนวน ‘บุญคุณหนึ่งคืนหนึ่งมื้อ’ อยู่ครับ มีความหมายว่าบุญคุณของการที่ได้รับการดูแลด้วยที่พักหนึ่งคืนและอาหารหนึ่งมื้อนั้น เป็นสิ่งที่ต้องทดแทนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ดังนั้นแล้วผมจึงจะให้เผ่าเขี้ยวยืมพลังครับ”

“ข้าเชื่อไม่ลง! เจ้ากล่าวว่า เจ้าจะทรยศเผ่าพันธุ์ของตนเอง เพียงเพราะได้รับอาหารเท่านั้นน่ะหรือ!? ”

เซอร์กูชะงักไปด้วยเสียงตะโกนของบานูก้า นั่นเพราะบานูก้าไม่เข้าใจ เหตุใดโซวมะจึงจงใจเอ่ยถึงสำนวน ‘บุญคุณได้รับกระต่าย’

การัมที่ยืนนิ่งเงียบมานานเผยรอยยิ้มแสยะผิดธรรมชาติ เอ่ยต่อบานูก้า

“โฮ่ ดูท่าชาวเผ่าแผงคอจะประเมิน ‘บุญคุณได้รับกระต่าย’ อย่างเบาบางนัก”

“ม...ไม่ใช่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้--…! ”

บานูก้าเริ่มหงุดหงิดเพราะการตอกย้ำของการัมซึ่งเป็นนักรบที่เขาชื่นชม

สำหรับนักรบโซออนผู้เชิดชูศักดิ์ศรีเหนืออื่นใด การไม่ตอบแทนบุญคุณที่ได้รับนับว่าเป็นความเสื่อมเกียรติยิ่ง ในทางกลับกัน การตอบแทนบุญคุณกระต่ายตัวหนึ่งถึงขั้นหันหลังให้แก่เผ่าพันธุ์ตนเองนั้นมิใช่สิ่งที่นักรบทั่วไปจะสามารถทำได้

นั่นคือบุคคลตัวอย่างในนิทานอันน่าประทับใจ

พวกเขาจะได้รับยกย่องและเชิดชูจากนักรบมากมาย หากผู้ใดต้องการเล่นงานบานูก้า พวกเขาย่อมสามารถหยามหมิ่นบานูก้าได้ในทันที

แม้แต่จากมุมมองของเซอร์กูที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ยิ่งกว่าศักดิ์ศรี เขาก็ไม่เคยลดเกียรติตนเอง

นักรบผู้ใส่ใจแต่เพียงผลประโยชน์ ท้ายสุดจะถูกหักหลังได้โดยง่ายเมื่อผลประโยชน์นั้นจางหาย ทว่าหากเชิดชูเกียรติยศผู้อื่นอย่างใจกว้าง ให้ที่ยืนอันทรงเกียรติ คือการเชื่อมโยงอันนำไปสู่การได้รับความนิยมจากนักรบ และนักรบเหล่านั้นจะกลายมาเป็นพรรคพวกที่สามารถไว้วางใจได้เมื่อรวมตัวกัน

โซวมะจัดเตรียมแผนการนี้ เพื่อให้เซอร์กูมองว่าการลดคุณค่าของตนเองด้วยการทำลายโซวมะ ซึ่งเป็นนิทานที่ยังมีชีวิตนี้จะไม่ก่อให้เกิดผลกำไร ไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้ผลประโยชน์มากกว่าเดิมเลย

เมื่อทำให้การกระทำของตนเองกลายเป็นนิทานอันน่าประทับใจไปแล้ว โซวมะก็สามารถปิดกั้นการโจมตีจากเซอร์กูและคนอื่นๆ ได้สนิท

“...เช่นนั้นให้พวกข้าได้ฟังแผนการ เจ้าจะโจมตีป้อมปราการอย่างไร”

เซอร์กูเค้นคำพูดเหล่านั้นออกมาด้วยสีหน้าราวกับเพิ่งกลืนยาขมลงคอ

เดิมทีเขาต้องการควบคุมจิตใจโซวมะด้วยการหาความผิดของเผ่าพันธุ์โซวมะรวมไปถึงตัวตนอีกฝ่าย จู่โจมจุดอ่อนเหล่านั้นก่อนจะเริ่มพูดคุยถึงการโจมตีป้อมปราการ

ทว่ายามนี้กลับไม่ได้ผลดังคาด เขาต้องหาทางดึงกระแสการหารือให้เข้าข้างตน แม้แผนการวิพากษ์โซวมะจะล้มเหลว เขาจึงรอให้โซวมะเปิดปากด้วยตั้งใจจะไม่ให้พลาดสักปัญหาที่มีอยู่ในแผนการเหล่านั้น

ทว่า โซวมะกลับเอ่ยบางสิ่งที่คาดไม่ถึง

“ตอนนี้ผมยังพูดรายละเอียดของแผนการไม่ได้”

“อ- อะไรนะ!? ”

“มีสำนวนว่า ‘แผนจะไม่สำเร็จ เว้นแต่จะเก็บเป็นความลับ’ อยู่นะครับ”

โซออนในที่นั้นต่างทำหน้าเบี้ยวคล้ายว่าไม่อาจเข้าใจคำพูดของโซวมะ

แม้แต่เซอร์กูก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แม้จะเป็นเช่นนั้น เขายังหยิ่งในศักดิ์ศรีเกินกว่าจะยอมรับ

“ผมไม่รู้ว่าแผนสำคัญจะล้มเหลวหรือหลุดไปถึงฝ่ายศัตรูรึเปล่า เพราะฉะนั้นดำเนินการอย่างเป็นความลับดีที่สุดครับ”

“ช- ใช่ดังเจ้าว่า! ”

เซอร์กูพยักหน้าให้กับคำอธิบายของโซวมะด้วยท่าทีคล้ายกับเห็นด้วยเต็มที่

“ตะ… แต่หากเป็นเช่นนั้น เราย่อมไม่อาจตัดสินใจได้ว่าควรจะร่วมมือกับพวกเจ้าหรือไม่!? ”

คำแย้งของบานูก้ามีเหตุผลเช่นกัน

แต่ให้พวกเขาถูกร้องขอให้ช่วยเหลือในการบุกยึดป้อมปราการ พวกเขาก็ไม่ทราบจะประเมิณแผนของโซวมะอย่างไร หรือควรร่วมมือหรือไม่ หากส่วนสำคัญล้วนถูกปิดเป็นความลับ

“เรื่องนั้น ผมพูดอะไรไม่ได้ นอกจาก ‘โปรดเชื่อใจผมด้วย’”

“เรากำลังกล่าวอยู่ว่าเราไม่อาจตัดสินใจได้! แล้วเจ้าอาศัยอะไรให้พวกเราเชื่อใจเจ้า!? ”

“อาศัยความสำเร็จที่สามารถขับไล่ทหารมนุษย์แปดร้อยนาย ด้วยการใช้แค่เด็ก คนแก่ และนักรบไม่กี่รายครับ”

หากประณามเรื่องนั้นอย่างเปิดเผย ย่อมถูกโต้แย้งด้วยคำว่า ‘แล้วเจ้าสามารถทำได้หรือไม่เล่า? ’

บานูก้าไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากปิดปากสนิทด้วยท่าทีไม่พอใจ

ทว่า เซอร์กูกำลังสงสัย

ไม่ว่าจะมองอย่างไร คำตอบของโซวมะก็แปลกมาก หากเขาต้องการความร่วมมือจากเผ่าอื่นจริง เขาย่อมควรหาทางให้ได้รับความเชื่อใจ อาศัยโอกาสนี้เปิดเผยแผนการบุกยึดป้อมปราการ หากมั่นใจในแผนการแล้ว วิธีดังกล่าวย่อมง่ายที่สุด

แน่นอนเขาต้องคาดว่าเซอร์กูจะพยายามขโมยตำแหน่งผู้นำในการหารือ ทว่าเขากลับยังทำพลาดในตอนท้าย ปิดแผนการไว้เป็นความลับเพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกแย่งตำแหน่งไป ไม่ทราบว่าแผนนั้นเป็นอย่างไร ทว่าหากเขาปรารถนาความร่วมมือจากเผ่าอื่นเพื่อบุกยึดป้อมปราการ การปิดเป็นความลับเช่นนี้มีแต่จะทำให้ความไม่ไว้วางใจจากพวกแบบบานูก้ามากขึ้นเท่านั้น

เซอร์กูมองไม่เห็นเป็นอย่างอื่น นอกเสียจากโซวมะกำลังพยายามไม่ขอความร่วมมือจากเผ่าอื่นๆ เสียแทน

“หากเป็นเช่นนั้น ข้าย่อมไม่ลังเลจะให้ยืมกำลัง”

ไม่เสียเวลาดื้อดึง เซอร์กูตัดสินใจเปลี่ยนวิธีโจมตี

“ทว่า ข้าและเผ่าข้าย่อมไม่อาจเชื่อสิ่งที่เจ้ากล่าวได้โดยทันที ใช่หรือไม่? ”

“ผมเชื่ออย่างที่คุณพูดครับ”

โซวมะเห็นด้วยกับเซอร์กูอย่างตรงไปตรงมา

เมื่อเป็นเช่นนั้น เซอร์กูก็หัวเราะ ในใจคิด เสร็จข้าล่ะ!

“เฮ้ย การัม ทีแรกเจ้าแห่งเผ่าคมเขี้ยวเริ่มก่อน หากเจ้าแสดงให้เราเห็นความเชื่อใจที่มีต่อเด็กมนุษย์นี่ เราจะทำตามเจ้าเช่นกัน เป็นอย่างไร? ”

โซวมะและการัมต้องตั้งใจลดกำลังต่อสู้ของเผ่ากรงเล็บเป็นแน่ เซอร์กูคาดเดา

เพราะเมื่อเผ่าคมเขี้ยวเริ่มต่อสู้ที่ป้อมปราการ พวกเขาต้องสูญเสียกำลังรบมากมาย เทียบกันแล้วเผ่ากรงเล็บที่เลี่ยงการต่อสู้กับมนุษย์ยังสามารถรักษาจำนวนนักรบเอาไว้ได้ เป็นสิ่งที่ทราบกันมานานแล้ว

ทว่าเซอร์กูผู้ไม่อาจต้านทานสถานการณ์เย้ายวนนี้ได้ แม้ไม่อาจเชื่อใจก็ยังต้องอาศัยคำมั่นจากโซวมะ มีคำนั้นเป็นกุญแจ เขาจึงโต้ตอบโดยให้เผ่าคมเขี้ยวขึ้นเป็นตัวอย่างแก่เผ่าอื่น ประจันอยู่แนวหน้าเพื่อบุกยึดป้อมปราการ

เซอร์กูตั้งใจป้องกันเต็มที่ คิดสงสัยว่าทั้งสองจะโต้ตอบการโจมตีนี้อย่างไร ทว่าปฏิกิริยาของการัมกลับเกินความคาดหมาย

“สิ่งที่กรงเล็บวิปลาสกล่าวนั้นสมเหตุสมผล พวกเราเผ่าคมเขี้ยวตั้งใจจะขึ้นนำเป็นแนวหน้าตั้งแต่แรกแล้ว”

เซอร์กูประหลาดใจ ตามข้อมูลที่ได้รับมา จำนวนนักรบของเผ่าคมเขี้ยวมีน้อยกว่าร้อยนาย เพียงดูสภาพเผ่าคมเขี้ยวยามนี้ก็เดาได้ว่าเป็นจริง มีจำนวนเพียงเท่านั้น ก่อนจะถึงกำแพงป้อมปราการย่อมพ่ายแพ้แก่ลูกธนูแล้ว

เช่นนั้นไม่เรียกความหาญกล้า หากแต่เป็นความประมาทเลินเล่อไม่ดูสถานการณ์

ทว่า คำตอบของโซวมะกลับยิ่งไปกว่านั้น

“อืม ผมตั้งใจจะบุกยึดป้อมปราการด้วยกำลังจากเผ่าคมเขี้ยวเท่านั้นครับ”

ทุกชีวิตในที่นั้นล้วนโง่งมไป

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น