อู่หานอิ้งมีเรียนเช้า ก่อนออกเขาเลยเข้าเกมตั้งแผงขายของ กวาดตามองดูในช่องเก็บของก็รู้ว่าไม่มีอะไรมีค่าพอให้ขายได้เลยนอกจากคัมภีร์สกิลของเอ๋อร์เหมย เขาเลยตั้งราคาไว้ 300 ทอง แล้วออกไปเรียน
เมื่ออู่หานอิ้งกลับมาตอนบ่ายก็เห็นหนังสือสกิลถูกขายไปแล้ว รูมเมทรู้ว่าเขาขายไปแค่ 300 ก็รุมด่าเขาว่าโง่เง่าไม่รู้จักขายของเอากำไรซะบ้าง ยิ่งเป็นของที่อยู่ในมืออีก อู่หานอิ้งรีบแย้งว่าถ้าขายแพงไปก็ต้องไม่มีคนซื้อแน่ เพราะงั้น 300 ทองนั่นแหละกำลังดี อีกอย่างเขาอยากได้เงินเร็วๆ จะได้ซื้อสัตว์พาหนะได้ ให้บู๊ตึ๊งสาวน้อยวิ่งด๊อกแด๊กแบบนั้นน่าสงสารออก
พอทานข้าวเที่ยงเสร็จ อีกสามคนก็โดดเรียนคลาสสุดท้ายกลับบ้าน ทุกคนรู้ว่าบ่ายวันศุกร์แบบนี้ อาจารย์สอนวรรณคดีจีนไม่เคยเข้าสอน
อาทิตย์นี้อู่หานอิ้งไม่คิดจะกลับบ้าน เลยรั้งอยู่และเข้าห้องเรียน จริงๆ จะเข้าหรือไม่เข้าเรียนคลาสนี้ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเกรดเขาอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเขาสอบตกด้วย แต่เขารักวรรณคดีจีนโบราน เขาเลยรีบมาเพื่อหาที่นั่งดีๆ ให้ตัวเอง
วันนี้เป็นวันศุกร์ มีหลายคนที่กลับบ้านไวเพื่อจะได้ไม่ตกรถสาธารณะ เป็นที่รู้กันว่าโรงเรียนเลิกตอนสี่โมงเย็น ใกล้ๆ นี้ยังมีโรงเรียนประถมอีก แปลว่ารถที่แน่นอยู่แล้วจะยิ่งแน่นกว่าเดิม แถมเต็มไปด้วยเด็กๆ ซึ่งน่ารำคาญมาก
กล่าวได้ว่า ก็ยังมีอีกมากที่มาเข้าเรียนในคลาสนี้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ว่าสาวๆ จะสนใจวรรณคดีจีนโบราณอะไรหรอก แต่เป็นเพราะศาสตราจารย์เซี่ยต่างหาก เขาเป็นอาจารย์สอนวรรณคดีจีนโบราณที่หน้าตาดูดี อย่างน้อยอู่หานอิ้งก็คิดแบบนั้น แต่สาวๆ ไม่ได้คิดอย่างนั้น พวกเธอบอกว่าเขาหล่อมาก ยังมีอีกหลายคนที่บอกว่าแทบจะเป็นลมเพราะความหล่อแล้ว ถึงกับมีหลายคนบูชาเซี่ยเฉินเป็นตำนานที่มีชีวิตเลยทีเดียว
เซี่ยเฉิน ข้อดีเพียงหนึ่งเดียวของคนๆ นี้คือหน้าตาดูดีนั่นแหละ ดวงตาเขาเหมือนกลีบดอกวอเตอร์ไฮยาซินท์ที่ได้รูป ยาวเรียวมีออร่าเย็นชาต่อคนอื่น รูปลักษณ์ภายนอกดูสมบูรณ์แบบผิวเนียนไร้ที่ติ อู่หานอิ้งคิดว่าเขาเป็นคนที่เย็นชา อารมณ์บูด แถมไม่สนใจโลก เก่งเรื่องทำให้คนอื่นสัมผัสได้ถึงความหยิ่งผยอง สาวๆ บอกว่า แบบนี้แหละถึงจะเรียกว่า “มาดแมน”! ความคิิดในแง่ลบที่อู่หานอิ้งมีดูจะไม่ได้ทำให้ความป๊อบหายไป มีแต่ทำให้คนชื่นชมเขามากกว่าเดิม อู่หานอิ้งกลอกตา ไม่พูดอะไรอีก
วอเตอร์ไฮยาซินท์
สาวๆ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่ข้างกาย ศาสตราจารย์เซี่ยเพียงแค่มุ่นคิ้วเล็กน้อย ก็ทำให้ดูเหมือนหมดความอดทนแล้ว
“ศาสตราจารย์ คุณก็เล่นเกมออนไลน์เหรอคะ?” สาวน้อยคนหนึ่งมองไปยังแล็บท็อปที่เปิดอยู่ ดวงตาเบิกกว้าง
“อือ” เซี่ยเฉินตอบ
“ดราก้อนโอร์ธ!” เด็กสาวอีกคนร้องออกมา
เซี่ยเฉินไม่พูดอะไร
“ไอ้หยา! งั้นฉันต้องเล่นเกมนี้บ้างแล้ว”
“แต่ฉันเล่นเกมออนไลน์ไม่เก่งเลย ไม่ทันทำอะไรก็ตายแล้ว”
“ใช่ๆ”
“เล่นบู๊ตึ๊งเลเวล 90 เหรอคะ? สุดยอด!”
“ใช่! ได้ยินว่าเล่นบู๊ตึ๊งเวลขึ้นยากมากเลย!”
“จริงด้วย!”
อู่หานอิ้งที่รู้สึกหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย กำลังพลิกหน้าหนังสือที่สุ่มหยิบขึ้นมาจากโต๊ะ พอได้ยินว่าศาสตราจารย์เซี่ยเล่นเกมออนไลน์เหมือนกันก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างแปลกใจ คนแบบนี้ก็เล่นเกมออนไลน์เหรอเนี่ย? แต่พอคิดไปคิดมา เซี่ยเฉิงเองก็อายุไม่เกิน 30 ดูเหมือนจะลือกันว่าเขาเพิ่งจะ 26 เท่านั้นเอง
ถึงเซี่ยเฉินจะถูกกลุ่มสาวน้อยรุมเร้า สีหน้าเขาก็ยังไม่มีวี่แววโกรธเคือง อู่หานอิ้งมองกลุ่มสาวๆ แอบมองจอแล็บท็อป เมื่อเห็นบู๊ตึ๊งเลเวล 90 ยืนอยู่ในหอการค้าแห่งลั่วหยาง ตัวละครที่สวมชุดบู๊ตึ๊งอาวุโส มือถืออาวุธเลเวล 84 อยู่นั้น
“ไอ้หยา! นี่ชื่อในเกมของศาสตราจารย์สินะคะ!”
เสียงแหลมทำให้เซี่ยเฉินนิ่วหน้า เขาถูหน้าผากก่อนจะปิดจอเกม สาวๆ ที่ไม่ทันเห็นชื่อในเกมเขาเริ่มร้อง “โอ๊ยยยย” แล้วหันไปดึงคนที่เห็นมาถามชื่อของเขาอีกที
เด็กสาวคนนั้นไม่ยอมบอกข้อมูล ทำให้คนอื่นๆ ยิ่งสงสัยกว่าเดิม จนเมื่อกริ่งดังขึ้น ทุกคนก็กลับไปนั่งที่
แม้ศาสตราจารย์เซี่ยจะมีสีหน้าเย็นชาเหมือนภูเขาน้ำแข็ง เขาก็มีความรู้กว้างขวาง เวลาสามชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อหมดคาบ อู่หานอิ้งเก็บของกลับหอพัก ระหว่างทางก็แวะซื้อข้าวเย็นเพื่อจะได้ไม่ต้องย้อนออกมาอีกครั้ง ถึงยังไงเขาก็อยู่ชั้นหก ต้องขึ้นลงบันไดไม่ใช่เรื่องสนุก
พออู่หานอิ้งล็อกอินเข้าเกมก็มุ่งหน้าไปยังพรรคบู๊ตึ๊งเพื่อซื้อยานพาหนะ เขาซื้อสัตว์พาหนะเลเวล 40 ทีนี้บู๊ตึ๊งน้อยจะได้บอกลาการเดินเท้าเปล่าสักที
อู่หานอิ้งมองจอ เห็นสาวน้อยขี่สัตว์ปีกสองสี ดูน่ารักมากจริงๆ เขาหมุนจอ 360 องศา ขนาดขาของเจ้าสัตว์พาหนะนั่นเขายังคิดว่าน่ารักเลย ราวกับตะเกียบไม้ไผ่ขยับไปมา เขามองไปยังสัตว์พาหนะเลเวล 60 ใกล้ๆ ก็เห็นว่าสีไม่เหมือนกัน ตัวนั้นเป็นสีทอง เขาว่ามันดูฉูดฉาดไปหน่อย ส่วนตัวเลเวล 80 ก็หลากสีเกินไป ทำให้ดูยิ่งฉูดฉาดกว่าเดิมอีก ดังนั้นเขาจึงพอใจกับสัตว์พาหนะของบู๊ตึ๊งน้อยที่กำลังบินไปคังเฉินเพื่อทำเควสต์ต่อตัวนี้มาก
ยามค่ำมาถึง บู๊ตึ๊งน้อยทำเควสต์เสร็จแล้ว แต่ก็ยังเวลไม่ถึง 50 อู่หานอิ้งเลือกใช้ค่าประสบการณ์ที่ได้รับอัพสกิลแทน
อู่หานอิ้งจำได้ว่ารูมเมทบอกว่าพวกเขาไปล่าโจรวันเสาร์ด้วยกันได้ มีโอกาสสูงมากที่ของดีๆ จะดรอประหว่างอีเว้นท์ แต่ถ้าจะร่วมได้ก็ต้องมีกิลด์ก่อน พวกนั้นจึงบอกให้เขาหากิลด์อยู่
บู๊ตึ๊งน้อยขายของที่ไม่ได้ใช้หลายอย่างให้เอ็นพีซีที่ลั่วหยาง จากนั้นก็ขี่สัตว์พาหนะมุ่งไปยัง เขาคลิกกิลด์เอ็นพีซี เห็นมีรายชื่อกิลด์ยาวเหยียด คลิกๆ ไปหลายหน้าจนถึงกิลด์ที่ 300 อู่หานอิ้งก็คลิกหน้าต่อไป เน็ตโรงเรียนเริ่มมีปัญหาขึ้นมา แล็บท็อปเขาเริ่มกระตุก
อู่หานอิ้งรอไปอีกชาติเศษกว่าจะเปลี่ยนหน้าได้ พอเห็นรายชื่อกิลด์ที่ยุ่งเหยิงมากมาย ก็เริ่มเวียนหัวขึ้นมา แล้วเขาก็นึกได้ว่าลืมถามเจียงตาน ว่าพวกนั้นอยู่กิลด์อะไรกัน เขามองรายชื่อเพื่อนบนจอ ทุกชื่อเป็นสีเทา ไม่มีใครออนสักคน
{กระซิบ}[ซานสุยกง] พูดกับคุณ: แกมีกิลด์แล้วเหรอ? กิลด์ติ้งเฟิงปัว? ไม่เคยได้ยินเลยอะ
{กระซิบ} คุณพูดกับ [ซานสุยกง]: ฉันสร้างเอง
{กระซิบ}[ซานสุยกง] พูดกับคุณ: อ่อ
{กระซิบ}[ซานสุยกง] พูดกับคุณ: !!!! อะไรนะ?! แกสร้างเองเรอะ?
อู่หานอิ้งมองตัวหนังสือบนจอ ก่อนจะพิมพ์ตอบอย่างใจเย็น เจี่ยงตานทำตัวเว่อร์ไปแล้ว เจ้า “ซานสุยกง” ไพโรแมนเซอร์เลเวล 89 นี้คือตัวละครของเจี่ยงตาน เขาไม่ถนัดตั้งชื่อ เลยเอาตัวอักษร “เจี่ยง”(江) ในชื่อตัวเองมากระจาย พอเห็นชื่อนี้ ไม่ว่าใครก็อดรู้สึกสมเพชขึ้นมาไม่ได้
{กระซิบ} คุณพูดกับ [ซานสุยกง]: ฉันสร้างเองไม่ได้รึไง?
ติ้งเฟิงปัว 定風波 แปลว่า "ความยุติธรรมวุ่นวาย"
เป็นเพลงแมนดารินซึ่งภายหลังเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ "The Last Tycoon / เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้คนสุดท้าย"
โดยเพลงนี้ได้เทพแห่งเพลง จัง เสวียโหย่ว(จาง เซี๊ยะโหย่ว) (张学友) มาถ่ายทอดให้ฟัง
"ติ้งเฟิงปัว" (定风波) ซึ่งแปลว่า ยุติความวุ่ยวาย เดิมเป็นชื่อบทประพันธ์ร้อยแก้วเลื่องชื่อบทหนึ่งของนักกวีในสมัยเป่ยซ่ง นามว่า ซูซื่อ หรือ ซูตงพัว(ซูตงปอ) ซึ่งรับราชการในรัชสมัยของฮ่องเต้ซ่งเสินจง แห่งราชวงศ์ซ่ง
โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ซูซื่อมีความเห็นขัดแย้งกับขุนนางหวังอันซื่อ และพรรคพวก ซึ่งต้องการจะปฏิรูปการปกครอง ซูซื่อจึงถูกย้ายไปรับราชการยังชายแดนที่ห่างไกลหลายครั้งหลายแห่ง โดยร้อยแก้วบทนี้เขาแต่งขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ หลังถูกย้ายไปประจำที่หวงโจว
ซึ่งบทประพันธ์สะท้อนความในใจของเขาที่ผ่านทั้งความคับแค้น ความสิ้นหวัง จนกระทั่งเห็นซึ้งถึงสัจธรรมของชีวิต ว่าเคราะห์กรรมหรืออำนาจวาสนาที่ผ่านเข้ามาล้วนไม่ยั่งยืน เช่นเดียวกับธรรมชาติที่มีทั้งพายุฝน และวันฟ้าเปิด
บทประพันธ์ดังกล่าว ความว่า: "วันที่เจ็ดเดือนสามฝนกระหน่ำบนเส้นทางสู่ซาหู ผู้มีเครื่องกันฝนล้วนล่วงหน้าไปก่อน ที่เหลืออยู่ต่างเดินทางอย่างยากลำบาก มีเพียงเราที่ไม่รู้สึก ไม่นานฝนซาฟ้าใส" จึงแต่งบทร้อยแก้ว(สือ:词)นี้ขึ้นมา
แหล่งความรู้ + รายละเอียดเพิ่มเติม: ชอบฟังเพลงจีน
0 ความคิดเห็น