[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 27: สรวงสวรรค์


“พระบุตรนั่นเป็นอะไรไปแล้ว!?”
เมื่อเซอร์กูเข้าไปในกระโจมที่พักของตนเองก็เริ่มเยาะเย้ยถากถาง ถึงขั้นแยกเขี้ยวหายใจอย่างหงุดหงิดจนไหล่สะท้านขึ้นลง เป็นภาพดั่งอสูรร้ายเกรี้ยวกราดที่แท้จริง
แม้แต่คนในเผ่ายังเกรงกลัวเขา ทำเพียงมองจากที่ไกลๆ เท่านั้น

โซออนขนส้มตนหนึ่งก้าวออกมาจากบรรดาผู้ร่วมเผ่า นางมีร่างกายเล็กกว่าบุรุษทั่วไปสองช่วงหัว ดูราวกับเด็กหญิงตัวเล็กเพราะเพราะช่วงอกที่นูนออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ท่านอา! ใจเย็นก่อน!”
เสียงของเด็กสาวที่เรียกอย่างไม่เกรงกลัวทำให้เซอร์กูที่เกรี้ยวกราดหยุดชะงัก
“ชิชุลรึ?”
นามของเด็กสาวคือ ครากา บูนูก้า ชิชุล เป็นหลานของเซอร์กู
นางเป็นลูกของพี่สาวที่อายุห่างจากเขาหลายปี เขากับหลานอายุต่างกันเพียงแปดปีเท่านั้น เซอร์กูจึงปฏิบัติต่อนางเหมือนน้องสาวมากกว่าหลานสาว
“ท่านแม่บอกท่านแล้ว เมื่อกลายเป็นหัวหน้าเผ่า ท่านต้องระมัดระวังทุกเรื่องเพราะหน้าที่ ทว่าภายในลึกๆ ท่านก็ยังเป็นชายขี้โมโหธรรมดา ท่านจะต้องทำผิดอะไรแน่ๆ ท่านแม่จึงให้ข้าคอยดุท่านเวลาทำผิด”
เซอร์กูไม่เคยเอาชนะพี่สาวที่เปรียบเสมือนแม่ได้ในยามเด็ก กระทั่งทุกวันนี้เองก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ ได้ยินว่านั่นคือถ้อยคำของนาง เซอร์กูตบหน้าตัวเอง
“ดีเหลือเกิน ข้าตีพี่สาวไม่ได้”
เซอร์กูทรุดฮวบ
หนึ่งในพี่น้องชงชาเตรียมไว้แล้ว ยกมาให้เซอร์กูในทันที
เมื่อเซอร์กูดื่มชาทั้งหมดในอึกเดียวเสร็จ ก็ผ่อนลมหายใจยาวเหยียดราวกับจะคายเอาความโมโหที่ปั่นป่วนอยู่ภายในออกมา
เมื่อใจเย็นลงในที่สุด เซอร์กูเอ่ยปากถามชิชุล
“ความเห็นเจ้า เจ้าคิดยังไงกับเจ้านั่น”
“แม้จะเห็นเพียงด้านข้าง แต่ก็สมแล้วที่เป็นนักรบผู้เอาชนะท่านลุงได้ แม้จะอยู่ไกลข้าก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเขาเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้หมายถึงการัมโว้ย”
เซอร์กูกลับไปหงุดหงิดเมื่อความทรงจำไม่พึงประสงค์ถูกขุดขึ้นมาอีกคราว
“เช่นนั้นท่านหมายถึงใครเจ้าคะ?”
“หมายถึงเจ้าเด็กมนุษย์ที่ชื่อโซมะอะไรนั่น”
“ไร้ค่า ข้าไม่เข้าใจว่าการัมคิดอะไรอยู่จึงได้มอบหน้าที่สำคัญให้คนเช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องบ้าๆ อย่างให้เขาเป็นนายแห่งนาภีเลย”
เซอร์กูผลิยิ้มเมื่อคำตอบนางตรงดังที่คาดการณ์ไว้
“ล้วนแต่คิดเช่นเดียวกับเจ้า ดังที่เจ้าว่า เขาดูไม่มีอะไรโดดเด่น ดูธรรมดา ทว่ายังได้รับหน้าที่สำคัญจากการัม ทั้งพระบุตรยังให้เขาเป็นนายแห่งนาภี เจ้าสิ่งนี้นี่เองคือสิ่งที่พิเศษ”
เซอร์กูมองเหม่อไปไกล
“ชิชุล ในอดีตข้าก้าวข้ามการต่อต้านจากพี่น้องในเผ่าเรา ปิดล้อมหมู่บ้านด้วยรั้วไม้ใช่หรือไม่?”
ชิชุลพยักหน้า
นั่นเป็นเรื่องเมื่อตอนที่เซอร์กูเพิ่งจะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่า
เซอร์กูเริ่มตัดต้นไม้จากเขาใกล้ๆ ในทันที เขากล่าวว่าจะสร้างกำแพงสูงล้อมรอบหมู่บ้านด้วยไม้
เดิมทีโซออนเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในทุ่งกว้าง จึงล้วนแต่ต่อต้านการต้องล้อมหมู่บ้านด้วยกำแพง เกิดเป็นการต่อต้านครั้งใหญ่ หากรับมือไม่ดี เซอร์กูย่อมถูกลากลงจากเก้าอี้หัวหน้าเผ่า ทว่าเขายังสามารถเลี่ยงปัญหาไปได้ ด้วยทางครอบครัวของทางสามีพี่สาวทำตามคำสั่งเซอร์กูจากแรงกดดันของฝ่ายหญิงที่แต่งเข้า
“ข้าถูกก่นด่า ถามว่าข้าต้องการจะเป็นโซออนผู้มีเกียรติ หรือจะทำตัวเอาอย่างมนุษย์”
นึกถึงเหตุการณ์ในยามนั้น เซอร์กูยิ้มขม
“ข้าคิดว่าหากยังเป็นเช่นนั้นต่อไป โซออนย่อมต้องถูกทำลายด้วยฝีมือของมนุษย์”
“ท่านลุง...!”
“เพื่อไม่ให้โซออนต้องถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เราจำเป็นต้องเปลี่ยน! ละทิ้งหนทางการต่อสู้เก่าๆ เช่นโซออน เราต้องเรียนรู้สิ่งใหม่! เราต้องเปลี่ยน! แม้ต้องรวมไปถึงวิธีการต่อสู้เช่นมนุษย์ก็ตามที”
นั่นคือเหตุผลที่เขาสร้างกำแพงล้อมรอบหมู่บ้าน
ทว่าเซอร์กูไม่ทราบเลย ว่าคำพูดเหล่านั้น ล้วนแต่เหมือนที่การัมเอ่ยปากเมื่อได้เห็นภูเขาที่ถูกไฟเผาจนราบในอดีต
“โซออนล้วนแต่ทระนงในศักดิ์ศรี เผ่าอื่นๆ ล้วนแต่กลัวการเปลี่ยนแปลงไม่อาจพึ่งพาได้! เช่นนั้นข้าและเผ่ากรงเล็บของข้าจะนำทัพโซออนขับไล่มนุษย์เอง เราจะสร้างสรวงสวรรค์ของโซออน บนแผ่นดินของบรรพบุรุษเรา!”
เซอร์กูยกมือขวาขึ้นเบื้องหน้า กำหมัดแน่น
ราวกับกำลังคว้าจับบ้างสิ่ง ที่มีเขาเห็นเพียงผู้เดียว

◆◇◆◇◆

“ข้ามิคาดว่าจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเพียงนั้น”
น้ำเสียงนั้นห่างไกลจากความสำนึกผิดอยู่มากโข เชมุลพูดด้วยท่าทางยินดี การัมจึงปวดหัวตุบ
“เอ่อ...การัม ผมไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่เลย ขอโทษนะครับ”
โซวมะโค้งตัวต่ำให้การัม
ราวกับชายหนุ่มที่พยายามขอร้องให้พ่อของแฟนอนุญาตให้แต่งงาน เขาไม่คิดว่าตัวเองจะได้เจอประสบการณ์ตั้งแต่อายุเท่านี้ โชคชะตาเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้จริงๆ 
อยู่ดีๆ เขาก็คิดแบบนั้นขึ้นมา
ทว่าฝั่งการัมกลับตอบโต้ด้วยท่าทีง่ายๆ
“ไม่หรอก ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องกังวลหรอกโซมะ”
“ใช่ ใช่ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องกังวลแม้แต่น้อย!”
เห็นเชมุลหยอกล้อ การัมหันขวับไปแยกเขี้ยวข่มขู่
“ข้าทราบมาว่าเจ้าคือเด็กผู้ร่วงหล่น โซมะ เจ้าย่อมไม่ทราบว่านายแห่งนาภีคือสิ่งใด มันคือหลักฐานว่าเจ้าโง่นี่เป็นผู้แนะนำ”
ก่อนที่เชมุลที่เริ่มไฟลุกอีกครั้งเพราะถูกเรียกว่าเจ้าโง่ แม่เฒ่าก็ขัดขึ้นก่อน
“แต่ว่า การัม เรื่องนี้ย่อมไม่ได้มีแต่ข้อเสียไปทั้งหมด”
“ท่านยายหมายความว่าอย่างไร?”
“แม้เชมุลจะฉี่รดที่นอน นางก็ยังเป็นพระบุตรผู้ได้รับพระพรแห่งองค์เทพ เรื่องนี้ย่อมมีวิธีใช้งานได้หลากหลาย”
แม่เฒ่าไม่สนใจเชมุลที่บ่นอุบว่า ‘ฉี่รดที่นอนนั่นไม่จำเป็นต้องมีก็ได้’
“ข้ามีความคิดดีๆ อยู่ ตามที่ข้าคาด อีกไม่นานนางน่าจะมาถึงแล้ว”
ราวกับได้เวลาพอดี เสียงกระแอมเบาอ่อนโยนดังมาจากอีกด้านนอกกระโจม
“โอ เรารอท่านอยู่เชียว รีบเข้ามาด้านในเถอะ”
ผู้ที่เข้ามาหลังได้รับอนุญาตจากแม่เฒ่าคือน้องสาวของผู้นำสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าดวงตา ชุนปา
“เป็นเกียรติยิ่ง ท่านหญิงชุนปา”
การัมจัดท่านั่งของตน ก้มศีรษะให้ชุนปา
“ท่านมีธุระใดกับพวกเราหรือ? พวกเรากระทำเรื่องเสียมารยาทใดไปหรือไม่?”
“ไม่เลย ข้าหวังเพียงได้แสดงความขอบคุณต่อสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีแห่งเผ่าคมเขี้ยวจากความสะดวกสบายที่ได้รับ ข้ายังมาเพราะพี่สาวเป็นผู้เรียกหา”
เห็นทุกสายตาจับจ้อง แม่เฒ่ายิ้มกว้าง
“ก่อนอื่น ข้าขอให้ท่าน ท่านหญิงชุนปา โปรดยืนยันสลักประทับของเชมุลด้วย”
เห็นจุดประสงค์แม่เฒ่ามีเพียงเท่านั้น ชุนปาก็ผลิยิ้ม
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็ให้เป็นดังนั้นเถอะ -- ท่านพระบุตรผู้ทรงเกียรติ ข้าขออภัยในความไม่เหมาะสม ทว่าขอให้ข้าได้ตรวจสอบสลักประทับของท่านด้วย”
“อ๊ะ ข้าไม่ถือหรอก”
เชมุลตั้งท่าจะถอดเกราะอกทันที
“นี่ เจ้าพวกผู้ชาย หันหน้าไปเดี๋ยวนี้!”
ถูกแม่เฒ่าแยกเขี้ยวขู่ โซวมะและการัมรีบหันหลังขวับอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้น ท่านพระบุตร ข้าขออนุญาต”
เมื่อกล่าวแล้ว ชุนปาก็แหวกกลุ่มขนบนอกซ้ายของเชมุลเพื่อตรวจสอบสลักประทับ
“เป็นที่แน่นอน ข้าเห็นได้ชัดเจน นี่ย่อมเป็นหลักฐานว่าเชมุลคือพระบุตรอย่างแน่นอน”
แม่เฒ่าพยักหน้าหลายครั้งอย่างพอใจ จากนั้นจึงถามชุนปาอีกครั้ง
“เช่นนั้น ข้าขอให้ท่านช่วยตรวจสอบสลักประทับอีกหนึ่งตราด้วย ท่านหญิงชุนปา”
“อีกหนึ่งตราหรือ? ยังมีผู้ได้รับเลือกให้เป็นพระบุตรตนใหม่รึ?”
“ให้เจ้าได้เห็นย่อมเร็วกว่าปากพูด โซมะ ช่วยถอดผ้าคาดศีรษะนั่นด้วย”
เมื่อมั่นใจว่าเชมุลสวมเพราะอกกลับเข้าไปแล้ว โซวมะก็หันหน้ากลับมา ลังเลไปครู่หนึ่ง แต่แม่เฒ่าเป็นคนบอก เขาจึงถอดผ้าคาดหัวออก
ชุนปาเบิกตากว้างในทันได
“ไม่จริง นี่มัน…!”
นางใช้มือสั่นเทาปัดผมม้าที่ปรกหน้าผากโซวมะ จับจ้องสลักประทับนั้นราวกับจะไม่ให้พลาดไปแม้แต่รายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุด
“ออร่า! แม็กลูน่าออร่า! แม็กลูน่า ออร่า!”
ชุนปาหวีดเสียงสูงจนแทบจะเป็นกรีดร้อง
“...เช่นนั้นก็ไม่ผิดพลาดสินะ หืม?”
ชุนปารู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงแม่เฒ่า นางให้รู้สึกอับอายกับท่าทีที่แสดงออกไปยิ่ง
“ข้าขออภัยเป็นอย่างสูงที่กระทำการหยาบคายต่อท่านผู้เป็นพระบุตรผู้ทรงเกียรติแห่งเทพีออร่า ข้าขอหมอบกราบขออภัยท่าน”
ชุนปาทรุดฮวบคุกเข่าลง นางหมอบกราบราบกับพื้นต่อหน้าโซวมะจนทำให้โซวมะแตกตื่นแทนเสียเอง
“หยุดเถอะครับ ผมไม่ว่าคุณสักนิด!”
“ข้าซาบซึ้งในความกรุณาของท่านเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ โอ ท่านพระบุตรผู้ทรงเกียรติแห่งเทพีออร่า”
ในที่สุดชุนปาก็เงยหน้าขึ้น หันไปโวยใส่แม่เฒ่าที่กำลังทำหน้าชั่วร้าย
“พี่สาว ท่านตั้งใจดึงข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นใช่หรือไม่?”
“อะไรหรือ? เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน?”
เห็นแม่เฒ่าแกล้งโง่ ชุนปาก็ยิ้มอ่อน
“ข้าเข้าใจแล้วพี่สาว พวกเราเผ่าดวงตาจะสนับสนุนเผ่าคมเขี้ยวและพระบุตรแห่งออร่า”
“โอ้! ท่านพูดจริงหรือ?!”
การัมส่งเสียงยินดีกับข้อเสนออันไม่คาดคิดของชุนปา
เช่นนั้นพวกเขาก็ได้รับแรงสนับสนุนจากเผ่าดวงตาผู้ดูแลด้านพิธีกรรมแล้ว
“พระบุตรแห่งเทพสรรพสัตว์ตัดสินใจให้พระบุตรแห่งออร่าเป็นนายแห่งนาภี เช่นนี้นับเป็นโชคชะตา ในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าดวงตาผู้เฝ้ามองโชคชะตา ข้าต้องการเป็นประจักษ์พยานผู้เฝ้ามองด้วยตาข้าเอง”
“ผมขอขอบคุณคุณด้วยนะครับ”
เชมุลมองโซวมะก้มหัวต่ำให้พูดกับชุนปาอย่างพอใจ  หลังจากนั้นนางก็ตบมือ
“เท่านี้ก็เหลือเพียงเผ่าแผงคอและเผ่ากรงเล็บแล้วกระมัง”
“เรื่องนั้น ด้านเจ้าหนูบานูก้า…” ชุนปามองเชมุล “เรื่องราวย่อมงายดายด้วยคำพูดสั้นๆ ของท่านเท่านั้น ท่านพระบุตร”
“แค่นั้นก็ได้หรือ?”
ชุนปายิ้มอ่อนเมื่อเห็นเชมุลทำหน้าสงสัยจริงจัง
แม้อีกฝ่ายจะพยายามแสดงออกเพียงนั้น นางกลับไม่ทราบความในใจของบานูก้าแม้แต่น้อย น่าสงสารจริงๆ
“เช่นนั้นปัญหาก็เหลือเพียงเซอร์กูกับเผ่ากรงเล็บใช่ไหม?”
ครุ่นคิดถึงหนทางในการโน้มน้าวเจ้าสัตว์ป่าหัวแข็งนั่นแล้ว การัมอดมิได้ให้ขมวดคิ้ว
“แทนที่จะเกลี้ยกล่อม ท่านก็ท้าเขาประลองสิเขี้ยวคลั่ง ให้ท่านอัดเขามิใช่ทางที่ไวที่สุดให้เขาฟังหรือ?”
ดังที่เชมุลว่า เวลาที่นักรบโซออนมีความคิดขัดแย้งกัน ยังมีวิธีตัดสินเรื่องให้ลงตัวด้วยการประลอง
ทว่าการัมส่ายหน้า
“มีเขาเป็นคู่ต่อสู้ ข้าไม่มั่นใจว่าจะชนะได้อย่างแน่นอนหรอก เขี้ยวสูงศักดิ์”
ไม่เอ่ยถึงการประดาบในอดีตนั้นเป็นไปเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น หากเป็นการประลอง เซอร์กูย่อมต้องใช้ลูกไม้ทั้งหมดที่มีแน่นอน เช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะแล้ว”
“โอ๊ย! ไม่มีโน้มน้าวเจ้าตัวหัวแข็งนั่นเลยรึ?”
เหล่าโซออนในที่นั้นจมดิ่งสู่ความเงียบด้วยคำของเชมุล
ทว่ามีเพียงผู้เดียวที่กังวลเรื่องอื่น นั่นคือโซวมะ
ถึงแม้เขาจะลังเลสุดขีด แต่ก็ยังพูดสิ่งที่คิดออกมาอย่างเขินอาย เพื่อยืมความรู้จากทุกคนในที่นี้
“ผมรู้สึกว่าคนที่ชื่อเซอร์กูนั่นต่างจากที่ได้ยินอยู่พอสมควรเลย”
เท่าที่เขาได้ยินจากการัม เชมุล และคนอื่นๆ เซอร์กูคือคนหยาบคายที่ไม่คิดถึงสถานการณ์
แต่สำหรับโซวมะแล้ว บานูก้าที่ลุกขึ้นโจมตีเขาตรงๆ ในตอนที่เขาแนะนำตัวนั่นต่างหาก ถึงจะดูเหมือนคนที่จิตใจเรียบง่าย
เทียบกันแล้ว เซอร์กูน่าประหลาดใจกว่า อีกฝ่ายไม่เพียงสำรวจโซวมะ แต่ยังดูท่าทีโต้ตอบของเผ่าอื่นๆ ในที่แห่งนั้นด้วย
ยิ่งกว่านั้น เขายังสงสัยว่าทำไมเซอร์กูที่ตัดสินใจลุกจากที่นั่งหลังจากที่โมโหถึงได้หยุดฝีเท้าลงแค่เพราะการัมรั้งตัวไว้
ถ้าเขาโมโหจริงๆ ก็ควรจะผลุนผลันออกไปโดยไม่สนใจว่าโดนการัมเรียกรึเปล่า?
และ...ถึงเขาจะหยุดเท้า เขาก็ยังดึงความสนใจจากทุกคนข้างกายการัมได้ ดูเหมือนคนที่น่าจะครุ่นคิดมาแล้วอย่างใจเย็น
“ทว่า เซอร์กูจะครุ่นคิดถึงเพียงนั้นจริงๆ น่ะรึ?”
ชุนปาเอ่ยแย้งการัมพร้อมรอยยิ้มอ่อนใจ
“เจ้าหนูเซอร์กูเป็นเด็กที่พึ่งพาในความแข็งแกร่งของตนเองโดยแท้จริง ทว่าหากเกี่ยวเนื่องกับการเป็นหัวหน้าเผ่าที่ต้องดูแลเผ่าแล้ว เขาไม่อาจทำตัวบ้าคลั่งได้จากภาระหนักหนาที่ต้องดูแล เจ้าก็เป็นเช่นเดียวกันมิใช่หรือ เจ้าหนูการัม?”
ก่อนหน้านี้ ตอนที่กาจีต้าดื้อดึงจะกู้หมู่บ้านคืน การัมได้พูดถึงน้ำหนักของการตัดสินใจในฐานะหัวหน้าเผ่า ยามนี้เขาจึงไม่อาจกล่าวอะไร
การัมทราบว่าผู้คนล้วนเติบโตได้เมื่อมีภาระหน้าที่ให้รับผิดชอบหลังประสบพบเจอด้วยตนเอง
หลังจากเขาได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่า เขามักจะครุ่นคิดถึงเรื่องเผ่าเสมอ ความคิดกว้างไกลกว่าตอนยังเป็นเพียงนักรบผู้หนึ่ง เขามองไปถึงอนาคต
เขานึกถึงตอนที่ตอนเองโต้เถียงกับบิดาซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าคนก่อนในทุกโอกาสเพื่อจะโจมตีมนุษย์ ยามนี้เขาเป็นหัวหน้าเผ่าแล้ว เขาทำได้เพียงอับอายในความโง่เขลาที่คิดถึงเพียงแต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเท่านั้น
เมื่อสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าเผ่ามา เขาทำได้เพียงเท่านั้น
เขาไม่อาจดูเบาเซอร์กูที่แบกรับความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าเผ่ามานานกว่าเขามากนักได้อีก การัมเตือนตนเอง
“เชื่อมั้ยว่าความรู้สึกจริงๆ ของคนที่ชื่อการัมนั่น คืออยากร่วมมือกับเรา”
หากไม่ได้นำมาพิจารณาอย่างจริงจัง การกระทำของเซอร์กูที่ดึงดูดความสนใจเผ่าอื่นด้วยความเห็นของตนเองก็ดูเข้าใจได้ยากเหลือเกิน ไม่เพียงแต่เดินออกจากห้องหารือกลางคัน ยังมีท่าทีดุร้ายต่อต้านโซวมะอีกด้วย
“แต่ว่า โซมะ เช่นนั้นเขาก็เสนอขอความร่วมมืออย่างตรงไปตรงมาได้มิใช่หรือ?”
“เป็นไปไม่ได้ เขี้ยวสูงศักดิ์”
การัมปฏิเสธเชมุลด้วยคำพูดสั้นๆ
มีชุนปาช่วยให้ได้สติ การัมพยายามคาดเดาความคิดของเซอร์กูในฐานะผู้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าเผ่าโดยเท่าเทียมกัน
“แม้แต่ข้า หากอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็คงทำแบบเดียวกันกับเขา หลังจัดการป้อมปราการ กอบกู้ท้องทุ่งคืนมาได้ เรายังต้องแบ่งเขตแดนแต่ละเผ่าอีกครั้ง ในยามนั้นไม่ฟังคำพูดของโซมะอย่างจริงจังย่อมเป็นไปไม่ได้แล้ว เผ่าที่ใกล้ชิดโซมะที่สุดจึงมีโอกาสได้รับเขตแดนกว้างที่สุด ในฐานะผู้ดูแลเผ่าย่อมไม่อาจทำเป็นเรื่องเล็กได้”
ขนาดเขตแดนของเผ่าไม่เพียงจะเป็นสิ่งแสดงออกถึงอิทธิพลเท่านั้น ทว่ายังข้องเกี่ยวกับการพัฒนาเผ่าหลังก่อตั้งที่อยู่อาศัย ไม่ว่าเผ่าใดก็ล้วนแต่ต้องการพื้นที่กว้างขวางทั้งสิ้น แม้จะมากกว่าเพียงฝ่ามือเดียวก็ตามที
“เข้าใจล่ะ เช่นนั้นหมายความว่าเซอร์กูไม่สามารถร่วมมือกับเราได้ ตราบได้ที่เขายังไม่อาจแบ่งหรือแยกเราออกจากโซมะได้สินะ”
โซวมะเอ่ยแย้งขึ้นมาทันที
“การัม ผมเคยบอกไปแล้ว แต่ผมอยากร่วมมือกับทุกเผ่าอย่างเท่าเทียมกัน”
สำหรับโซวมะแล้ว เรื่องนี้คือสิ่งที่เขาไม่อาจยินยอมได้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
แม้โซวมะจะเติบโตขึ้นในญี่ปุ่นที่มีอยู่ชาติพันธุ์เดียวและไม่เคยประสบพบเจอกับตนเองมาก่อน แต่เขาก็ยังเห็นข่าวสงครามกลางเมืองและความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกันในยุคปัจจุบัน ดังนั้นโซวมะจึงสามารถจินตนาการถึงปัญหาใหญ่ๆ ที่จะตามมาหลังเลือกปฏิบัติได้ง่ายกว่า
โดยเฉพาะตอนนี้ ที่มนุษย์มีกำลังเหนือกว่า เป็นเวลาที่โซออนควรจะร่วมมือกัน
โซวมะที่เป็นผู้นำจะต้องแสดงความคิดเห็นเรื่องการปฏิบัติต่อแต่ละเผ่าให้ชัดเจน
“สมกับที่เป็นนายแห่งนาภีของข้า!”
เชมุลร้องชมขึ้นมาทันทีโดยไม่ชักช้า
เห็นน้องสาวตกหลุมรักโซวมะขนาดนี้ การัมก็เหนื่อยใจขึ้นมา แต่เขาก็ยังเข้าใจได้ว่าโซวมะจะสื่ออะไร
“ทว่าต่อให้พวกเราพูดไป เผ่าอื่นก็คงไม่เชื่อพวกเรา อย่างไรการเจรจาก็คงไม่คืบหน้าจนกว่าจะโน้มน้าวเซอร์กูได้”
ที่การัมพูดก็มีเหตุผลเช่นกัน
“ถ้าเป็นเซอร์กู เช่นนั้นลองยั่วโมโหเขา ป่วนเขาเป็นอย่างไร?”
“ท่านพระบุตร ข้าแนะนำให้หยุดความคิดนั้นเสีย เจ้าหนูเซอร์กูคุ้นชินกับการแข่งขันในยามยังเป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อน ในยามนี้เขายิ่งระมัดระวังการเคลื่อนไหวของเผ่าคมเขี้ยวเป็นพิเศษ การกระทำเช่นนั้นจะให้ผลตรงกันข้ามเสียแทน”
“เช่นนั้นทำอย่างไรจึงจะดีที่สุดเล่า ท่านหญิงชุนปา”
ชุนปานิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบคำถามเชมุล
“เช่นนั้นลองพูดเกลี้ยกล่อมเขาเป็นอย่างไร?”
โซวมะได้ยินคำตอบนั้นก็นิ่งคิดไป
เซอร์กูและคนอื่นๆ ต้องโจมตีเรื่องโซวมะมีค่าพอให้เชื่อถือหรือไม่แน่นอน เขาเจอเรื่องแบบเดียวกันจากเผ่าคมเขี้ยวมาแล้ว แต่โซวมะก็เข้าใจได้ว่าภาพลักษณ์ภายนอกของเขาทำให้ถูกดูแคลนได้ง่าย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องได้รับความเชื่อถือจากนักรบโซออนเลย
อีกอย่าง ตอนคุยกับเผ่าคมเขี้ยว เขาโน้มน้าวพวกนักรบได้เพราะมีเชมุลผู้เป็นพระบุตรคอยให้การสนับสนุน ยิ่งกว่านั้น เพราะเขาเองก็เป็นพระบุตรแห่งออร่า
แต่ว่าในคราวนี้ ถึงเชมุลจะเป็นพระบุตรก็ยังโน้มน้าวได้ยากเพราะเป็นคนต่างเผ่า
ถ้าอย่างนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือทำให้พวกนั้นอึ้งไปด้วยผลลัพธ์อย่างทีี่ชุนปาบอก โซวมะรู้สึกว่าทางนี้มีความเป็นไปได้
“คุณการัมครับ ตอนนี้คนในเผ่าคมเขี้ยวที่สามารถต่อสู้ได้มีทั้งหมดเท่าไหร่?”
“ให้ข้าคิดก่อน ยามนี้คาดว่ามีประมาณหกสิบ เราส่งสัญญาณควันฉุกเฉินออกไปแล้ว สมาชิกในเผ่าที่กระจัดกระจายออกไปย่อมต้องทยอยกลับมา หากรอคอยจำนวนย่อมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
โซวมะครุ่นคิดทบทวน ทอดสายตายาวไกล
“คราวนี้จำนวนจะพอมั้ยนะ…”
“คราวนี้รึ?”
“อืม ผมคิดอยู่ว่าจะใช้แค่คนในเผ่าคมเขี้ยวโจมตีป้อมปราการยังไงดี”
ทุกชีวิตล้วนแต่เบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำพูดของโซวมะ

◆◇◆◇◆

จากนั้น ชุนปาก็กลับไปยังที่พักของเผ่าตนเนื่องจากใกล้จะถึงเวลาหารือต่อตามคำแนะนำของโซวมะ
แม่เฒ่าเป็นผู้ส่งนางกลับ เลือกสถานทีที่ไม่มีผู้คน แล้วถามชุนปา
“ท่านหญิงชุนปา ท่านเห็นอย่างไรกับเรื่องที่พระบุตรเทพีแห่งความตายและหายนะปรากฏขึ้นท่ามกลางพวกเราเหล่าโซออนในยามนี้?”
ที่แม่เฒ่าตั้งใจมาส่งนางก็เพื่อคำถามดังกล่าว
แม่เฒ่าไม่คิดว่าการพบกันระหว่างโซวมะและเชมุลจะเป็นเรื่องบังเอญ แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโซวมะ ทว่าความตั้งใจของเทพีออร่าย่อมต้องมีส่วน
“เป็็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น ทว่า...ในบรรดาเจ็ดเผ่าพันธุ์ที่อาศัยในทวีปนี้ พวกเราโซออนย่อมนับได้ว่าอยู่ในสภาวะยากลำบากที่สุด”
เพราะสถานที่ของโซออนคือทุ่งราบ เพราะอิทธิพลของมนุษย์ขยายออกเพื่อสนับสนุนจำนวนประชาการที่มากขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นทุกที การจัดการเสบียงอาหารจึงเป็นปัญหาเร่งด่วน และผลลัพธ์คือมนุษย์ขยายอิทธิพลมาถึงทุ่งราบที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกธัญพืชเช่นข้าวสาลีอันเป็นอาหารหลัก โซออนที่อาศัยอยู่จึงได้รับความเสียหายสูงสุด
“หากออร่าเป็นเทพีผู้ดูแลความตายและหายนะ ข้าคาดว่าเป้าหมายของนางคือช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอที่สุด เพื่อทำลายเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุด”
“นั่น...คือสิ่งที่ท่านคือหรือ…?”
“ใช่ เพราะเช่นนี้เองจึงจะให้กำเนิดความตายและหายนะมากมาย…”
“ท่านว่า พระองค์ส่งโซมะมายังโลกนี้ เพื่อทำลายมนุษย์ ด้วยการช่วยโซออนรึ…?”
“ใช่ นั่นเป็นความคิดข้าที่มีจุดจบไม่งดงามนัก”
ทว่าแม่เฒ่าเองก็คิดเช่นเดียวกัน
หากความคิดนี้ถูกต้อง การติดตามโซวมะย่อมเป็นการเปิดทางสู่การรอดของโซออน
“ทว่า โปรดระวังพระบุตรแห่งความตายและหายนะด้วย”
ชุนปากล่าว ลดเสียงลง
“แม้ข้าจะกล่าวว่าเขาช่วยโซออนเพื่อทำลายมนุษย์ ก็ใช่ว่าจะจบสิ้นเพียงเท่านั้น”
“หมายความว่า?”
“แน่นอนย่อมต้องเพื่อทำลายมนุษย์ ทว่าเขาอาจมิได้ทำไปเพื่อช่วยเหลือโซออน”
“ท่านหญิงชุนปา หรือท่านจะกล่าวว่านั่น…?”
“ใช่ นั่นหมายความว่านอกจากมนุษย์แล้ว พวกเราโซออนยังอาจถูกทำลายลงโดยพระบุตรแห่งออร่าเช่นกัน…”

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น