มอบหมายหน้าที่ต้อนรับให้แก่คนในเผ่าแล้ว การัมก็นำเพียงสมาชิกสำคัญของแต่ละเผ่าเข้าไปในกระโจมใหญ่
เมื่อทั้งหมดถูกนำทางมายังสถานที่หารือ เผ่าดวงตาและเผ่าแผงคอก็นั่งลงด้านในฝั่งซ้าย ในขณะที่เผ่ากรงเล็บนั่งลงที่ฝั่งขวา
การจัดที่เช่นนี้ทำให้คล้ายว่าเผ่าดวงตาและเผ่าแผงคอประจันหน้ากับเผ่ากรงเล็บ กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในระดับอารมณ์ ยกตัวอย่างเช่นบานูก้าที่ได้ทำตัวโง่งมต่อหน้าทุกคนนั่งประจันกับเซอร์กู ย่อมแสดงถึงความปฏิปักษ์ชัดเจน
ทว่าก็ยังอาจกล่าวได้ว่าเป็นการสะเพร่า
ไม่เพียงบานูก้าจะไม่สามารถกดดันอีกฝ่ายได้ทั้งทางด้านกำลังทหารและความดุดัน เขายังไร้ซึ่งพละกำลังของเผ่าช่วยหนุนหลัง ชุนปาซึ่งคาดการณ์เอาไว้แล้วจึงได้นั่งลงข้างบานูก้าเพื่อรักษาสมดุล
ความรู้สึกหม่นหมองที่ค้างคาเป็นเช่นนี้ก่อนการหารือจะเริ่มเสียอีก การัมนั่งลงด้านในสุดของสถานที่หารือ แม่เฒ่าและเชมุลนั่งติดกับเขาขนาบซ้ายขวา เชมุลนั่งติดกับเขาในฐานะพระบุตรผู้สนับสนุนหัวหน้าเผ่าคมเขี้ยว
อันดับแรกสุด การัมเริ่มจากอธิบายเรื่องราวทั้งหมดของการต่อสู้ตั้งแต่การจู่โจมยามค่ำเป็นต้นไป
ไม่นานนัก แม้แต่สมาชิกเผ่าอื่นก็ยังตกตะลึงไปกับแผนการบ้าระห่ำเช่นการลอบโจมตีด้วยเพลิงซึ่งไม่เคยปรากฏในหมู่โซออนมาก่อน ทั้งยังวิธีขับไล่กองกำลังทหารที่มีมากกว่าแปดร้อยนายด้วยกองกำลังแสนขาดแคลนของเผ่าคมเขี้ยว
ผู้ที่การัมให้ความใส่ใจที่สุดในระหว่างเล่าคือเซอร์กู
อุปสรรคชิ้นใหญ่สุดของการหารือในคราวนี้คือการจะให้เซอร์กูผู้เป็นหัวหน้าเผ่ากรงเล็บซึ่งเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดยอมรับ
ดังนั้นการให้เซอร์กูยอมรับผลสำเร็จของโซวมะนับเป็นเรื่องที่จำเป็นยิ่ง
เท่าที่การัมเห็นในตอนนี้ เซอร์กูดูท่าจะสนใจไม่น้อยทีเดียว
ต่างจากการตกใจของชุนปาที่ห่างไกลจากสนามรบ ไม่เหมือนบานูก้าที่ไร้เดียงสา ตื่นเต้นกับนิทานผู้กล้าจากนักเล่าเรื่อง เซอร์กูตั้งอกตั้งใจฟังทุกคำที่การัมกล่าว ถึงกับเอนตัวมาข้างหน้าน้อยๆ เพื่อไม่ให้พลาดแม้แต่คำเดียว
“นี่คือเรื่องราวทั้งหมด คือเรื่องจริงของการรบกับมนุษย์ที่เกิดขึ้น”
เมื่อเขาพูดทุกสิ่งจนจบจึงเปิดให้ถามคำถามอยู่หลายคำถาม เล่าซ้ำอีกหลายครั้ง เวลาก็ผ่านไปพอสมควร
เมื่อรู้สึกว่าเล่าเรื่องจนจบสำเร็จ การัมก็รู้สึกเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นจากคำกล่าวต่อมาของเซอร์กู
“ฮึ่ม ข้าไม่คิดว่าการต่อสู้เช่นนี้จะเหมาะสมกับความเป็นนักรบผู้ทรงเกียรติของโซออน เขี้ยวคลั่ง"
ราวกับท่าทางตั้งอกตั้งใจฟังก่อนหน้านี้เป็นเรื่องโกหก เซอร์กูเยาะหยันการัมทั้งยังทำท่าแคะหูข้างหนึ่งราวกับเบื่อหน่ายเต็มที
แม้สีหน้าจะหดหู่ การัมกลับไม่ปฏิเสธ มีเพียงนิ่วหน้าเล็กน้อยเพราะการกระทำดังกล่าว เซอร์กูเชื่อว่าความคิดเขาถูกต้องแล้ว
หากแผนขับไล่กองกำลังมนุษย์เป็นความคิดการัมหรือคนอื่นในเผ่า อีกฝ่ายย่อมต้องลุกขึ้นโต้แย้งแล้ว
ทว่าอีกฝ่ายกลับเงียบลงเพราะถูกโจมตีจุดเจ็บ เหตุผลที่นิ่วหน้าเป็นเพราะไม่อาจปฏิเสธคำกล่าวที่เขาพูดได้ราวกับคิดเช่นเดียวกัน
“กรงเล็บวิปลาส เช่นนั้นบอกเราที เจ้าจะสู้กับมนุษย์พวกนั้นอย่างไร ด้วยกองกำลังเพียงน้อยนิด? ”
ผู้เอ่ยแย้งเขากลับมิใช่การัม แต่เป็นบานูก้า
เจ้าเด็กนี่เข้าใจว่าเหตุการณ์นี้คือโอกาสสร้างความประทับใจต่อหน้าพระบุตร เซอร์กูเห็นจึงเอ่ยเพิ่มเติม
“ข้าชื่นชมเจ้า เขี้ยวคลั่ง เจ้าผู้เอ่ยถึงความภาคภูมิของโซออนเป็นคำพูดติดกายกลับใช้วิธีที่ข้าไม่อาจคาดคิดได้ ไปถึงจุดที่สามารถเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่เพื่อเผ่าของเจ้า! ”
สีหน้าการัมเปลี่ยนวาบเพราะคำเยาะหยันชัดเจนนั้น
คำเสียดสีของเซอร์กูมีเป้าหมายเพื่อทำให้การัมไร้หนทางอื่น ต้องยอมเผยตัวผู้วางแผนเนื่องจากไม่อาจปิดบังไว้ได้อีกต่อไป
“ดังที่กรงเล็บวิปลาสกล่าว เหตุการณ์เมื่อเร็วๆ นี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าคิดขึ้นเอง ข้าเพียงทำตามคำแนะนำของบุคคลหนึ่งเท่านั้น”
คำพูดการัมที่เอ่ยออกมา ทำให้เซอร์กูลอบกำหมัดแน่น ในใจคิดว่า ได้ตัวแล้ว!
“โอ น่าประหลาดใจเหลือเกิน”
เซอร์กูกล่าวด้วยสีหน้าราวได้รับชัยชนะ
“เช่นนั้นข้าเชื่อว่าการเจรจาคงไปไม่ถึงไหน นอกเสียจากเจ้าจะแนะนำบุคคลผู้นั้นเสียก่อน”
การัมลังเล ตามแผนเติม เขาควรจะแนะนำโซวมะเมื่อสังเกตสถานการณ์แล้วว่าพวกเขาจะให้การยอมรับแน่นอน ทว่าสิ่งที่เซอร์กูกล่าวก็สมเหตุสมผล
ดูแล้วการปฏิเสธย่อมไม่ดี นำไปสู่เรื่องราวที่ไม่จำเป็น การัมจึงร้องเรียกเชมุล
“เชมุล พาเขามา”
เมื่อพยักหน้าเบาๆ แล้ว เชมุลก็ถอยเข้าไปที่ส่วนในของกระโจม จากนั้น เมื่อโซวมะปรากฏกายขึ้นด้วยท่าทีเขินอาย ความสับสนวุ่นวายก็บังเกิด
“เขามีนามว่าคิซากิ โซมะ เป็นผู้บอกแผนการให้แก่พวกเรา”
◆◇◆◇◆
มันเป็นมนุษย์ เช่นนี้ยังคงอยู่ในความคาดหมายของเซอร์กู
ทว่า คนในจินตนาการเขายังเป็นนักรบผ่านศึก หรือแม่ทัพ
เป็นบุรุษผู้มีกล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง ร่างสูงกำยำ ใบหน้ากล้าหาญดั่งผู้รอนแรมผ่านสมรภูมิรบมามากมาย
นั่นคือรูปร่างในจินตนาการของเซอร์กู
ทว่า คนที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ากลับเป็นเพียงเด็กมนุษย์
แตกต่างจากที่เขาจินตนาการโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็ไม่ใช่ทั้งนักรบผ่านศึกหรือแม่ทัพ เป็นเพียงเด็กหนุ่มมนุษย์ที่ไม่เคยแม้แต่จะจับดาบ
“ไม่มีทาง! เขี้ยวคลั่ง ท่านจะกล่าวว่าบุรุษผู้กล้าหาญเช่นท่านถึงกับยืมแรงของมนุษย์ผู้หนึ่งรึ? ”
คล้ายเป็นเป็นตัวแทนของทุกชีวิตที่อยู่ในกระโจม บานูก้าลุกพรวด ถามกดดันการัมโดยไม่ปิดบังความโกรธเกรี้ยว
เนื่องจากปฏิกิริยาเช่นนี้อยู่ในคาดการณ์ การัมจึงตอบอย่างใจเย็น
“เป็นความจริง ว่าพวกเราขับไล่กองทัพมนุษย์ได้ตามแผนของโซมะ ทั้งเขายังเป็นผู้กล่าวว่าจะกอบกู้ทุ่งหญ้ากลับคืนมา”
ทุกคนมองสำรวจการัม ทว่าไร้วี่แววล้อเล่นหรือโกหก
เซอร์กูแปลกใจอีกครั้ง
การัมเป็นนักรบโซออนที่ไม่ด้อยไปกว่าเขาแม้แต่นิด หากเป็นเขาย่อมทราบนานแล้วว่าเด็กมนุษย์ผู้นี้ไม่ใช่ทั้งนักรบหรือแม่ทัพ
ทว่าการัมก็ยังแนะนำเด็กมนุษย์ผู้นี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
ไม่ใช่คือการแสดงให้เห็นคุณค่าที่แท้จริงของเด็กผู้นี้หรือ?
เช่นนี้จึงได้น่าสนใจยิ่งขึ้น!
คิดเช่นนั้น เซอร์กูลอบมองตัวแทนเผ่าอื่นๆ
บานูก้ายังอ่อนหัด แสดงท่าทีเกลียดชังต่อมนุษย์ผู้นี้
ในทางกลับกัน ชุนปากลับกระซิบกระซาบกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ติดตามนางมา ดูคล้ายกำลังพูดคุยเรื่องจุดยืนของเผ่าดวงตา
เช่นนั้น เขาควรจะทำอย่างไรเล่า?
เซอร์กูครุ่นคิดสักครู่ ก่อนจะเริ่มกระทำ
“โซออนผู้ทระนงแห่งเผ่ากรงเล็บย่อมไม่อาจร่วมมือกับกลุ่มที่เข้าร่วมกับมนุษย์ได้ ข้าคงต้องขอตัวกลับบ้านก่อน”
เซอร์กูลุกขึ้นยืนอย่างอืดอาด สมาชิกในเผ่าทำตามเขาเช่นกัน
“เดี๋ยวก่อน กรงเล็บวิปลาส! ”
การัมร้องเรียกเซอร์กูที่แสร้งทำทีว่าจะจากไป เซอร์กูชะงักเท้า หันกลับไปมอง เขาเอ่ยด้วยท่าทีคล้ายกำลังอดกลั้น
“ยังมีสิ่งใดให้กล่าวอีกหรือ? ”
“กรงเล็บวิปลาส ข้าเข้าใจความไม่สะดวกใจของเจ้า ทว่าโปรดฟังให้จบก่อน”
“บอกข้าทีว่ายังมีสิ่งใดสำคัญยิ่งกว่านี้อีก? ”
เซอร์กูกล่าว หันไปเผชิญหน้ากับเหล่าโซออนทั้งหลายข้างกายการัม
“โง่งม ที่เจ้ากล่าวล้วนแต่เป็นการหมิ่นเกียรติแห่งนักรบโซออนทั้งสิ้น! เจ้าจะกล่าวให้พวกเราทำตามสิ่งที่มนุษย์ผู้หนึ่ง ซ้ำยังเป็นมนุษย์อ่อนแอกล่าวงั้นรึ!? เจ้ามนุษย์อ่อนแอที่ต่ำช้ากว่าผีร้ายกินซากน่ะรึ!? ”
คำพูดเหล่านี้ดูไม่เหมือนคำของเซอร์กูที่มักโอ้อวดเสมอว่าตราบใดที่ชนะ คำพูดผู้อื่นก็เป็นเพียงการคร่ำครวญของผู้แพ้ ทว่าหากเป็นนักรบโซออนแล้ว ย่อมต้องคิดแบบเดียวกัน
เป็นสิ่งที่ปฏิเสธได้ยากยิ่ง
หากตั้งใจจะรั้งเซอร์กูไว้ การัมต้องรักษาท่าทีสงบนิ่ง
รู้สึกเช่นนั้น เซอร์กูจึงได้พยายามถือไพ่เหนือกว่าทางด้านอารมณ์ด้วยการใช้ท่าทียอมรับโซวมะอย่างไม่เต็มใจ
ทว่า เขากลับถูกโจมตีอย่างไม่คาดคิด
“เซอร์กู! เจ้าสารเลว เจ้าบังอาจหยามหมิ่นโซวมะรึ!? ”
เป็นเชมุลที่ยามนี้เกรี้ยวกราดจนคล้ายทั้งร่างมีไฟลุกโชน
“ใช่ แล้วอย่างไร!? ”
เซอร์กูโต้แย้ง ทว่าเขากลับไม่เข้าใจการกระทำของเชมุล
ตามที่เซอร์กูคาดการณ์ ผู้ที่รู้สึกไม่พอใจมากที่สุดที่ต้องทำตามคำพูดของมนุษย์ย่อมต้องเป็นเชมุล ผู้ได้รับฉายานามว่า ‘เขี้ยวสูงศักดิ์’ อันเลื่องลือ นางคือโซออนผู้หยิ่งทระนง ผู้ไม่สมควรจะยอมรับการเชื่อฟังมนุษย์ที่ควรถูกเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อโชคชะตาของเผ่าก็ตามที
แม้ในรายงานจะกล่าวว่านางตามติดเด็กมนุษย์ผู้นี้ ก็ดูเหมือนว่าพระบุตรน่าจะถือเป็นโอกาสจับตามองเขา เพื่อหาทางขับไล่หากมีเหตุไม่ปกติเสียมากกว่า
เซอร์กูคาดการณ์ผิดไปไกล
“หากเจ้าหยามหมิ่นโซมะด้วยปากเน่าๆ ของเจ้าอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะไม่ยอมนิ่งเงียบ! สาบานด้วยศักดิ์ศรีข้า ข้าต้องทำให้เจ้าตัวบัดซบได้ชดใช้! ”
เซอร์กูอึ้งไปด้วยท่าทีคุกคามของเชมุล
อย่างไรเขาก็ไม่มีทางเป็นศัตรูกับพระบุตรต่อหน้าเผ่าอื่น แม้เซอร์กูจะไม่ได้รู้สึกเคารพนับถือพระบุตรนัก แต่ก็ไม่อาจดูเบาการกระทำของพระบุตรได้
“ให้ตาย! ข้าดึงเจ้ามาเกี่ยวข้องรึพระบุตร? ข้ามิได้คุยกับเจ้า หากเจ้ากล่าวว่าไม่อาจปล่อยให้มีการหยามหมิ่นได้ ผู้พูดก็ควรเป็นผู้เกี่ยวข้องกับผู้ถูกหยาม! ข้าขอให้เจ้าซึ่งมิได้เกี่ยวข้องเลิกเข้ามายุ่งเกี่ยวเสีย”
เซอร์กูพยายามกันไม่ให้พระบุตรเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยการกล่าวว่าปัญหานี้เกี่ยวกับเด็กมนุษย์เท่านั้น
อย่างไรเซอร์กูก็เพียงบ่นว่าเท่านั้น
ทุกคนล้วนแต่คิดว่าเชมุลไม่มีทางอื่น ได้แต่ต้องเงียบเสีย
“ข้าข้องเกี่ยวด้วย! ”
ทว่าเชมุลกลับประกาศขึ้น
“โซมะผู้อยู่ทางนี้คือผู้เป็น ‘นายแห่งนาภี’ ของข้า! เจ้าคิดว่าข้าจะยอมนิ่งเงียบหากเจ้าหยามหมิ่นนายแห่งนาภีของข้ารึ!!? ”
การหลู่เกียรติ ‘นายแห่งนาภี’ ที่นางยินยอมมอบทั้งใจ กาย และจิตวิญญาณนั้นไม่อาจทนได้เสียยิ่งกว่านางถูกหลู่เกียรติเองเสียอีก ความเกรี้ยวกราดของเชมุลนับว่าสมเหตุสมผล
ทว่าเนื่องจากความโมโหของนาง สถานที่แห่งนั้นจึงเงียบสงัด
แม้แต่เซอร์กูที่แน่วแน่มั่นคงยังอ้าปากค้าง
คนที่รู้สึกตัวเร็วที่สุดคือการัมที่อยู่กับเชมุลมายาวนานในฐานะพี่ชาย
“เชมุล...เจ้าว่าอะไรนะ? ”
ตรงข้ามกับการัมที่พยายามเต็มที่เพื่อสงวนท่าทีให้ถามแค่นั้น เชมุลตอบด้วยท่าทีไม่เปลี่ยนแปลง
“หืม? ข้ากล่าวว่า ข้าย่อมไม่ยอมนิ่งเงียบหากเจ้าหยามหมิ่น ‘นายแห่งนาภี’ ของข้า”
“เจ้าพูดว่านายแห่งนาภีรึ? ”
“อือฮึ ข้าให้โซมะเป็นนายแห่งนาภีของข้า”
เชมุลยืดอกโอ้อวด
ชั่วอึดใจนั้นเอง โซออนทุกตนในสถานที่นั้นร้องตะโกนลั่นชนิดที่ไม่ทราบว่าเป็นเสียงกรีดร้อง หรือเป็นเสียงคำรามอย่างโมโหกันแน่
“เป็นอะไรไป? มีอะไรน่าตกใจรึ? ”
มีเพียงเชมุลที่ยังคงใจเย็นในขณะที่ทุกตนมีแสดงท่าที
แต่ก็นับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าเหตุใดทุกตนจึงได้ตกตะลึง
พระบุตรคือผู้ได้รับความโปรดปรานจากองค์เทพที่สรรค์สร้างพวกตน เพราะพระบุตรกล่าวว่านางได้มอบร่างกายและจิตวิญญาณนางให้แก่บุรุษต่างเผ่า ก็ราวกับฟ้าผ่าในวันฟ้าใส ราวกับเป็นวันสิ้นโลกของเหล่าโซออน
สิ่งนี้คล้ายกับเมื่อสาวกผู้เคร่งครัดได้ทราบว่าสตรีสวรรค์ที่พวกตนเคารพบูชา ที่แท้กลับแต่งงานมีลูกแล้ว ยังไม่ต้องพูดว่าคู่รักนางเป็นมนุษย์ที่ควรเกลียดชัง ระดับความตกใจที่ได้รับนี้เหนือล้ำเกินจินตนาการ
ส่งผลให้ตอนนี้บานูก้าดวงตาว่างเปล่าไปเรียบร้อย ยังมีสตรีศักดิ์สิทธิ์จากเผ่าดวงตาหลายรายที่เป็นลมไป
ดังคาด ชุนปาไม่ได้มีท่าทีผิดหวังในฐานะน้องสาวผู้นำสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรักษากิริยาได้ ทว่านางเองก็ดูจะสับสนอย่างรุนแรง
“เชมุล! เจ้ากับเขา…! ”
“กะ กะ กะ การัม! เจ้าเป็นพี่ชายนางไม่ใช่เรอะ? ”
“หุบปาก! ขนาดข้ายังไม่รู้เลย! ”
ถูกเซอร์กูจับคอเสื้อ การัมตะโกนด้วยเสียงที่คล้ายกับจะสะอื้น
“โฮ่โฮ่โฮ่โฮ่! จากเจ้าเด็กฉี่ราด ยามนี้ถึงกับมีนายแห่งนาภีแล้วรึ น่าแปลกใจจริงๆ ”
เพียงผู้เดียวที่หัวเราะอย่างยินดีมีเพียงแม่เฒ่า
“แม่เฒ่า ไอ้ฉี่ราดนั่นไม่ต้องพูดถึงก็ได้! ”
“อย่างไรนี่ก็เป็นโอกาสควรยินดี หากไม่มอบของขวัญแสดงความยินดีก็คงไม่ดีแล้ว”
“เช่นนั้นข้าขอสมบัติท่าน เหล้านั่นน่ะแม่เฒ่า”
“นี่ เอาใหญ่แล้ว แต่ที่นี่ก็ไม่ค่อยมีโอกาสยินดีนัก เอาเถอะ ประเดี๋ยวมาหาข้า เอามันไปเสีย”
การัมถูกบทสนทนาของทั้งสองทำให้โมโหขึ้นมา
“พวกเจ้า คุยเรื่องงี่เง่าอะไรกันอยู่!? ”
“อะไรกัน เขี้ยวคลั่ง? เจ้าจะไม่อวยพรข้ารึ? ”
เชมุลทำปากยื่นว่าเขา
การได้พบกับผู้ที่สามารถมอบร่างกายและจิตวิญญาณได้โดยบังเอิญนับเป็นเกียรติยศสูงสุดของนักรบโซออน หากมีผู้ได้พบ ‘นายแห่งนาภี’ พวกเขาล้วนแต่จัดงานเฉลิมฉลอง
อีกประการ คือการมี ‘นายแห่งนาภี’ นั้นไม่ได้มีข้อห้ามเป็นบุคคลเผ่าอื่น
แม้แต่ในอดีตเองก็ยังมีตัวอย่างเป็นโซออนหลายตนที่มีนายแห่งนาภีจากเผ่าอื่น ทั้งหมดล้วนแต่เป็นวีรบุรุษผู้โด่งดัง หรือบุคคลผู้ยิ่งใหญ่
อีกทั้งในการเป็นพระบุตรก็ไม่ได้มีข้อห้ามว่าห้ามรับนายแห่งนาภีระบุเอาไว้
แต่ก็นั่นแหละ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นยามนี้ดูไม่สมเหตุสมผล ทว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจวิจารณ์เชมุลอย่างไร้เหตุผลได้
การัมเข้าใจอยู่ในหัว แม้จะเป็นเช่นนั้น ความรู้สึกในใจเขาต่อเรื่องนี้ก็แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เขานึกสงสัยว่าควรจะด่านางไหม แต่ก็ไม่อาจหาถ้อยคำที่เหมาะสมได้ การัมทำปากอ้าๆ หุบๆ ราวกับปลา สุดท้ายก็เค้นคำออกมาได้
“เจ้าโง่!!! ”
เชมุลรู้สึกเหมือนโดนหยาม
“เรียกข้าเจ้าโง่นั่นมันอะไรกัน? มีอะไรโง่รึ? ”
“จะเรียกตัวโง่งมว่าโง่มันผิดตรงไหน!? ”
“ถึงเจ้าจะเป็นพี่ชายข้า แต่ใช่ว่าจะพูดได้ทุกเรื่องนะ!? ”
ตอนนี้กลายเป็นพี่น้องทะเลาะกันไปแล้ว
เมื่อเห็นผู้อื่นทำตัวน่าอายกว่าตนเองแล้ว เหล่าโซออนที่เหลือก็ระงับท่าทีของตน เริ่มเบื่อหน่ายสองพี่น้องที่ทำตัวเหมือนเด็กทะเลาะกันขึ้นมา
ทั้งสองที่ไม่สังเกตเรื่องนี้ทะเลาะกันลามไปจนถึงเรื่องแย่งขนมตอนเด็กๆ ไปแล้ว ชุนปากระแอมไอเสียงดัง
เชมุลและการัมจึงรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ในเมื่อได้เข้าใจแล้วว่าพวกท่านเป็นพี่น้องที่สนิทสนมแน่นแฟ้นเพียงใด ตอนนี้หยุดเพียงเท่านี้ก่อนดีหรือไม่? ”
ได้ยินชุนปาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มฝืดเฝื่อน สองพี่น้องบิดตัวอย่างอับอาย
“เช่นเดียวกับพวกเจ้า ข้าเองก็ต้องการพักให้ใจเย็นลงสักน้อย ข้าเชื่อว่ายามนี้พักก่อน แล้วค่อยกลับมาหารือกันต่อเป็นอย่างไร ท่านทั้งหลาย? ”
คำกล่าวนี้ของชุนปาไม่มีผู้คัดค้าน
0 ความคิดเห็น