[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 26: การหารือ


มอบหมายหน้าที่ต้อนรับให้แก่คนในเผ่าแล้ว การัมก็นำเพียงสมาชิกสำคัญของแต่ละเผ่าเข้าไปในกระโจมใหญ่
เมื่อทั้งหมดถูกนำทางมายังสถานที่หารือ เผ่าดวงตาและเผ่าแผงคอก็นั่งลงด้านในฝั่งซ้าย ในขณะที่เผ่ากรงเล็บนั่งลงที่ฝั่งขวา

การจัดที่เช่นนี้ทำให้คล้ายว่าเผ่าดวงตาและเผ่าแผงคอประจันหน้ากับเผ่ากรงเล็บ กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในระดับอารมณ์ ยกตัวอย่างเช่นบานูก้าที่ได้ทำตัวโง่งมต่อหน้าทุกคนนั่งประจันกับเซอร์กู ย่อมแสดงถึงความปฏิปักษ์ชัดเจน

ทว่าก็ยังอาจกล่าวได้ว่าเป็นการสะเพร่า

ไม่เพียงบานูก้าจะไม่สามารถกดดันอีกฝ่ายได้ทั้งทางด้านกำลังทหารและความดุดัน เขายังไร้ซึ่งพละกำลังของเผ่าช่วยหนุนหลัง ชุนปาซึ่งคาดการณ์เอาไว้แล้วจึงได้นั่งลงข้างบานูก้าเพื่อรักษาสมดุล

ความรู้สึกหม่นหมองที่ค้างคาเป็นเช่นนี้ก่อนการหารือจะเริ่มเสียอีก การัมนั่งลงด้านในสุดของสถานที่หารือ แม่เฒ่าและเชมุลนั่งติดกับเขาขนาบซ้ายขวา เชมุลนั่งติดกับเขาในฐานะพระบุตรผู้สนับสนุนหัวหน้าเผ่าคมเขี้ยว

อันดับแรกสุด การัมเริ่มจากอธิบายเรื่องราวทั้งหมดของการต่อสู้ตั้งแต่การจู่โจมยามค่ำเป็นต้นไป

ไม่นานนัก แม้แต่สมาชิกเผ่าอื่นก็ยังตกตะลึงไปกับแผนการบ้าระห่ำเช่นการลอบโจมตีด้วยเพลิงซึ่งไม่เคยปรากฏในหมู่โซออนมาก่อน ทั้งยังวิธีขับไล่กองกำลังทหารที่มีมากกว่าแปดร้อยนายด้วยกองกำลังแสนขาดแคลนของเผ่าคมเขี้ยว

ผู้ที่การัมให้ความใส่ใจที่สุดในระหว่างเล่าคือเซอร์กู

อุปสรรคชิ้นใหญ่สุดของการหารือในคราวนี้คือการจะให้เซอร์กูผู้เป็นหัวหน้าเผ่ากรงเล็บซึ่งเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดยอมรับ

ดังนั้นการให้เซอร์กูยอมรับผลสำเร็จของโซวมะนับเป็นเรื่องที่จำเป็นยิ่ง

เท่าที่การัมเห็นในตอนนี้ เซอร์กูดูท่าจะสนใจไม่น้อยทีเดียว

ต่างจากการตกใจของชุนปาที่ห่างไกลจากสนามรบ ไม่เหมือนบานูก้าที่ไร้เดียงสา ตื่นเต้นกับนิทานผู้กล้าจากนักเล่าเรื่อง เซอร์กูตั้งอกตั้งใจฟังทุกคำที่การัมกล่าว ถึงกับเอนตัวมาข้างหน้าน้อยๆ เพื่อไม่ให้พลาดแม้แต่คำเดียว

“นี่คือเรื่องราวทั้งหมด คือเรื่องจริงของการรบกับมนุษย์ที่เกิดขึ้น”

เมื่อเขาพูดทุกสิ่งจนจบจึงเปิดให้ถามคำถามอยู่หลายคำถาม เล่าซ้ำอีกหลายครั้ง เวลาก็ผ่านไปพอสมควร

เมื่อรู้สึกว่าเล่าเรื่องจนจบสำเร็จ การัมก็รู้สึกเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นจากคำกล่าวต่อมาของเซอร์กู

“ฮึ่ม ข้าไม่คิดว่าการต่อสู้เช่นนี้จะเหมาะสมกับความเป็นนักรบผู้ทรงเกียรติของโซออน เขี้ยวคลั่ง"

ราวกับท่าทางตั้งอกตั้งใจฟังก่อนหน้านี้เป็นเรื่องโกหก เซอร์กูเยาะหยันการัมทั้งยังทำท่าแคะหูข้างหนึ่งราวกับเบื่อหน่ายเต็มที

แม้สีหน้าจะหดหู่ การัมกลับไม่ปฏิเสธ มีเพียงนิ่วหน้าเล็กน้อยเพราะการกระทำดังกล่าว เซอร์กูเชื่อว่าความคิดเขาถูกต้องแล้ว

หากแผนขับไล่กองกำลังมนุษย์เป็นความคิดการัมหรือคนอื่นในเผ่า อีกฝ่ายย่อมต้องลุกขึ้นโต้แย้งแล้ว

ทว่าอีกฝ่ายกลับเงียบลงเพราะถูกโจมตีจุดเจ็บ เหตุผลที่นิ่วหน้าเป็นเพราะไม่อาจปฏิเสธคำกล่าวที่เขาพูดได้ราวกับคิดเช่นเดียวกัน

“กรงเล็บวิปลาส เช่นนั้นบอกเราที เจ้าจะสู้กับมนุษย์พวกนั้นอย่างไร ด้วยกองกำลังเพียงน้อยนิด? ”

ผู้เอ่ยแย้งเขากลับมิใช่การัม แต่เป็นบานูก้า

เจ้าเด็กนี่เข้าใจว่าเหตุการณ์นี้คือโอกาสสร้างความประทับใจต่อหน้าพระบุตร เซอร์กูเห็นจึงเอ่ยเพิ่มเติม

“ข้าชื่นชมเจ้า เขี้ยวคลั่ง เจ้าผู้เอ่ยถึงความภาคภูมิของโซออนเป็นคำพูดติดกายกลับใช้วิธีที่ข้าไม่อาจคาดคิดได้ ไปถึงจุดที่สามารถเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่เพื่อเผ่าของเจ้า! ”

สีหน้าการัมเปลี่ยนวาบเพราะคำเยาะหยันชัดเจนนั้น

คำเสียดสีของเซอร์กูมีเป้าหมายเพื่อทำให้การัมไร้หนทางอื่น ต้องยอมเผยตัวผู้วางแผนเนื่องจากไม่อาจปิดบังไว้ได้อีกต่อไป

“ดังที่กรงเล็บวิปลาสกล่าว เหตุการณ์เมื่อเร็วๆ นี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าคิดขึ้นเอง ข้าเพียงทำตามคำแนะนำของบุคคลหนึ่งเท่านั้น”

คำพูดการัมที่เอ่ยออกมา ทำให้เซอร์กูลอบกำหมัดแน่น ในใจคิดว่า ได้ตัวแล้ว!

“โอ น่าประหลาดใจเหลือเกิน”

เซอร์กูกล่าวด้วยสีหน้าราวได้รับชัยชนะ

“เช่นนั้นข้าเชื่อว่าการเจรจาคงไปไม่ถึงไหน นอกเสียจากเจ้าจะแนะนำบุคคลผู้นั้นเสียก่อน”

การัมลังเล ตามแผนเติม เขาควรจะแนะนำโซวมะเมื่อสังเกตสถานการณ์แล้วว่าพวกเขาจะให้การยอมรับแน่นอน ทว่าสิ่งที่เซอร์กูกล่าวก็สมเหตุสมผล

ดูแล้วการปฏิเสธย่อมไม่ดี นำไปสู่เรื่องราวที่ไม่จำเป็น การัมจึงร้องเรียกเชมุล

“เชมุล พาเขามา”

เมื่อพยักหน้าเบาๆ แล้ว เชมุลก็ถอยเข้าไปที่ส่วนในของกระโจม จากนั้น เมื่อโซวมะปรากฏกายขึ้นด้วยท่าทีเขินอาย ความสับสนวุ่นวายก็บังเกิด

“เขามีนามว่าคิซากิ โซมะ เป็นผู้บอกแผนการให้แก่พวกเรา”

◆◇◆◇◆


มันเป็นมนุษย์ เช่นนี้ยังคงอยู่ในความคาดหมายของเซอร์กู

ทว่า คนในจินตนาการเขายังเป็นนักรบผ่านศึก หรือแม่ทัพ

เป็นบุรุษผู้มีกล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง ร่างสูงกำยำ ใบหน้ากล้าหาญดั่งผู้รอนแรมผ่านสมรภูมิรบมามากมาย

นั่นคือรูปร่างในจินตนาการของเซอร์กู

ทว่า คนที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ากลับเป็นเพียงเด็กมนุษย์

แตกต่างจากที่เขาจินตนาการโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็ไม่ใช่ทั้งนักรบผ่านศึกหรือแม่ทัพ เป็นเพียงเด็กหนุ่มมนุษย์ที่ไม่เคยแม้แต่จะจับดาบ

“ไม่มีทาง! เขี้ยวคลั่ง ท่านจะกล่าวว่าบุรุษผู้กล้าหาญเช่นท่านถึงกับยืมแรงของมนุษย์ผู้หนึ่งรึ? ”

คล้ายเป็นเป็นตัวแทนของทุกชีวิตที่อยู่ในกระโจม บานูก้าลุกพรวด ถามกดดันการัมโดยไม่ปิดบังความโกรธเกรี้ยว

เนื่องจากปฏิกิริยาเช่นนี้อยู่ในคาดการณ์ การัมจึงตอบอย่างใจเย็น

“เป็นความจริง ว่าพวกเราขับไล่กองทัพมนุษย์ได้ตามแผนของโซมะ ทั้งเขายังเป็นผู้กล่าวว่าจะกอบกู้ทุ่งหญ้ากลับคืนมา”

ทุกคนมองสำรวจการัม ทว่าไร้วี่แววล้อเล่นหรือโกหก

เซอร์กูแปลกใจอีกครั้ง

การัมเป็นนักรบโซออนที่ไม่ด้อยไปกว่าเขาแม้แต่นิด หากเป็นเขาย่อมทราบนานแล้วว่าเด็กมนุษย์ผู้นี้ไม่ใช่ทั้งนักรบหรือแม่ทัพ

ทว่าการัมก็ยังแนะนำเด็กมนุษย์ผู้นี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

ไม่ใช่คือการแสดงให้เห็นคุณค่าที่แท้จริงของเด็กผู้นี้หรือ?

เช่นนี้จึงได้น่าสนใจยิ่งขึ้น!

คิดเช่นนั้น เซอร์กูลอบมองตัวแทนเผ่าอื่นๆ

บานูก้ายังอ่อนหัด แสดงท่าทีเกลียดชังต่อมนุษย์ผู้นี้

ในทางกลับกัน ชุนปากลับกระซิบกระซาบกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ติดตามนางมา ดูคล้ายกำลังพูดคุยเรื่องจุดยืนของเผ่าดวงตา

เช่นนั้น เขาควรจะทำอย่างไรเล่า?

เซอร์กูครุ่นคิดสักครู่ ก่อนจะเริ่มกระทำ

“โซออนผู้ทระนงแห่งเผ่ากรงเล็บย่อมไม่อาจร่วมมือกับกลุ่มที่เข้าร่วมกับมนุษย์ได้ ข้าคงต้องขอตัวกลับบ้านก่อน”

เซอร์กูลุกขึ้นยืนอย่างอืดอาด สมาชิกในเผ่าทำตามเขาเช่นกัน

“เดี๋ยวก่อน กรงเล็บวิปลาส! ”

การัมร้องเรียกเซอร์กูที่แสร้งทำทีว่าจะจากไป เซอร์กูชะงักเท้า หันกลับไปมอง เขาเอ่ยด้วยท่าทีคล้ายกำลังอดกลั้น

“ยังมีสิ่งใดให้กล่าวอีกหรือ? ”

“กรงเล็บวิปลาส ข้าเข้าใจความไม่สะดวกใจของเจ้า ทว่าโปรดฟังให้จบก่อน”

“บอกข้าทีว่ายังมีสิ่งใดสำคัญยิ่งกว่านี้อีก? ”

เซอร์กูกล่าว หันไปเผชิญหน้ากับเหล่าโซออนทั้งหลายข้างกายการัม

“โง่งม ที่เจ้ากล่าวล้วนแต่เป็นการหมิ่นเกียรติแห่งนักรบโซออนทั้งสิ้น! เจ้าจะกล่าวให้พวกเราทำตามสิ่งที่มนุษย์ผู้หนึ่ง ซ้ำยังเป็นมนุษย์อ่อนแอกล่าวงั้นรึ!? เจ้ามนุษย์อ่อนแอที่ต่ำช้ากว่าผีร้ายกินซากน่ะรึ!? ”

คำพูดเหล่านี้ดูไม่เหมือนคำของเซอร์กูที่มักโอ้อวดเสมอว่าตราบใดที่ชนะ คำพูดผู้อื่นก็เป็นเพียงการคร่ำครวญของผู้แพ้ ทว่าหากเป็นนักรบโซออนแล้ว ย่อมต้องคิดแบบเดียวกัน

เป็นสิ่งที่ปฏิเสธได้ยากยิ่ง

หากตั้งใจจะรั้งเซอร์กูไว้ การัมต้องรักษาท่าทีสงบนิ่ง

รู้สึกเช่นนั้น เซอร์กูจึงได้พยายามถือไพ่เหนือกว่าทางด้านอารมณ์ด้วยการใช้ท่าทียอมรับโซวมะอย่างไม่เต็มใจ

ทว่า เขากลับถูกโจมตีอย่างไม่คาดคิด

“เซอร์กู! เจ้าสารเลว เจ้าบังอาจหยามหมิ่นโซวมะรึ!? ”

เป็นเชมุลที่ยามนี้เกรี้ยวกราดจนคล้ายทั้งร่างมีไฟลุกโชน

“ใช่ แล้วอย่างไร!? ”

เซอร์กูโต้แย้ง ทว่าเขากลับไม่เข้าใจการกระทำของเชมุล

ตามที่เซอร์กูคาดการณ์ ผู้ที่รู้สึกไม่พอใจมากที่สุดที่ต้องทำตามคำพูดของมนุษย์ย่อมต้องเป็นเชมุล ผู้ได้รับฉายานามว่า ‘เขี้ยวสูงศักดิ์’ อันเลื่องลือ นางคือโซออนผู้หยิ่งทระนง ผู้ไม่สมควรจะยอมรับการเชื่อฟังมนุษย์ที่ควรถูกเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อโชคชะตาของเผ่าก็ตามที

แม้ในรายงานจะกล่าวว่านางตามติดเด็กมนุษย์ผู้นี้ ก็ดูเหมือนว่าพระบุตรน่าจะถือเป็นโอกาสจับตามองเขา เพื่อหาทางขับไล่หากมีเหตุไม่ปกติเสียมากกว่า

เซอร์กูคาดการณ์ผิดไปไกล

“หากเจ้าหยามหมิ่นโซมะด้วยปากเน่าๆ ของเจ้าอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะไม่ยอมนิ่งเงียบ! สาบานด้วยศักดิ์ศรีข้า ข้าต้องทำให้เจ้าตัวบัดซบได้ชดใช้! ”

เซอร์กูอึ้งไปด้วยท่าทีคุกคามของเชมุล

อย่างไรเขาก็ไม่มีทางเป็นศัตรูกับพระบุตรต่อหน้าเผ่าอื่น แม้เซอร์กูจะไม่ได้รู้สึกเคารพนับถือพระบุตรนัก แต่ก็ไม่อาจดูเบาการกระทำของพระบุตรได้

“ให้ตาย! ข้าดึงเจ้ามาเกี่ยวข้องรึพระบุตร? ข้ามิได้คุยกับเจ้า หากเจ้ากล่าวว่าไม่อาจปล่อยให้มีการหยามหมิ่นได้ ผู้พูดก็ควรเป็นผู้เกี่ยวข้องกับผู้ถูกหยาม! ข้าขอให้เจ้าซึ่งมิได้เกี่ยวข้องเลิกเข้ามายุ่งเกี่ยวเสีย”

เซอร์กูพยายามกันไม่ให้พระบุตรเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยการกล่าวว่าปัญหานี้เกี่ยวกับเด็กมนุษย์เท่านั้น

อย่างไรเซอร์กูก็เพียงบ่นว่าเท่านั้น

ทุกคนล้วนแต่คิดว่าเชมุลไม่มีทางอื่น ได้แต่ต้องเงียบเสีย

“ข้าข้องเกี่ยวด้วย! ”

ทว่าเชมุลกลับประกาศขึ้น

“โซมะผู้อยู่ทางนี้คือผู้เป็น ‘นายแห่งนาภี’ ของข้า! เจ้าคิดว่าข้าจะยอมนิ่งเงียบหากเจ้าหยามหมิ่นนายแห่งนาภีของข้ารึ!!? ”

การหลู่เกียรติ ‘นายแห่งนาภี’ ที่นางยินยอมมอบทั้งใจ กาย และจิตวิญญาณนั้นไม่อาจทนได้เสียยิ่งกว่านางถูกหลู่เกียรติเองเสียอีก ความเกรี้ยวกราดของเชมุลนับว่าสมเหตุสมผล

ทว่าเนื่องจากความโมโหของนาง สถานที่แห่งนั้นจึงเงียบสงัด

แม้แต่เซอร์กูที่แน่วแน่มั่นคงยังอ้าปากค้าง

คนที่รู้สึกตัวเร็วที่สุดคือการัมที่อยู่กับเชมุลมายาวนานในฐานะพี่ชาย

“เชมุล...เจ้าว่าอะไรนะ? ”

ตรงข้ามกับการัมที่พยายามเต็มที่เพื่อสงวนท่าทีให้ถามแค่นั้น เชมุลตอบด้วยท่าทีไม่เปลี่ยนแปลง

“หืม? ข้ากล่าวว่า ข้าย่อมไม่ยอมนิ่งเงียบหากเจ้าหยามหมิ่น ‘นายแห่งนาภี’ ของข้า”

“เจ้าพูดว่านายแห่งนาภีรึ? ”

“อือฮึ ข้าให้โซมะเป็นนายแห่งนาภีของข้า”

เชมุลยืดอกโอ้อวด

ชั่วอึดใจนั้นเอง โซออนทุกตนในสถานที่นั้นร้องตะโกนลั่นชนิดที่ไม่ทราบว่าเป็นเสียงกรีดร้อง หรือเป็นเสียงคำรามอย่างโมโหกันแน่

“เป็นอะไรไป? มีอะไรน่าตกใจรึ? ”

มีเพียงเชมุลที่ยังคงใจเย็นในขณะที่ทุกตนมีแสดงท่าที

แต่ก็นับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าเหตุใดทุกตนจึงได้ตกตะลึง

พระบุตรคือผู้ได้รับความโปรดปรานจากองค์เทพที่สรรค์สร้างพวกตน เพราะพระบุตรกล่าวว่านางได้มอบร่างกายและจิตวิญญาณนางให้แก่บุรุษต่างเผ่า ก็ราวกับฟ้าผ่าในวันฟ้าใส ราวกับเป็นวันสิ้นโลกของเหล่าโซออน

สิ่งนี้คล้ายกับเมื่อสาวกผู้เคร่งครัดได้ทราบว่าสตรีสวรรค์ที่พวกตนเคารพบูชา ที่แท้กลับแต่งงานมีลูกแล้ว ยังไม่ต้องพูดว่าคู่รักนางเป็นมนุษย์ที่ควรเกลียดชัง ระดับความตกใจที่ได้รับนี้เหนือล้ำเกินจินตนาการ

ส่งผลให้ตอนนี้บานูก้าดวงตาว่างเปล่าไปเรียบร้อย ยังมีสตรีศักดิ์สิทธิ์จากเผ่าดวงตาหลายรายที่เป็นลมไป

ดังคาด ชุนปาไม่ได้มีท่าทีผิดหวังในฐานะน้องสาวผู้นำสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรักษากิริยาได้ ทว่านางเองก็ดูจะสับสนอย่างรุนแรง

“เชมุล! เจ้ากับเขา…! ”

“กะ กะ กะ การัม! เจ้าเป็นพี่ชายนางไม่ใช่เรอะ? ”

“หุบปาก! ขนาดข้ายังไม่รู้เลย! ”

ถูกเซอร์กูจับคอเสื้อ การัมตะโกนด้วยเสียงที่คล้ายกับจะสะอื้น

“โฮ่โฮ่โฮ่โฮ่! จากเจ้าเด็กฉี่ราด ยามนี้ถึงกับมีนายแห่งนาภีแล้วรึ น่าแปลกใจจริงๆ ”

เพียงผู้เดียวที่หัวเราะอย่างยินดีมีเพียงแม่เฒ่า

“แม่เฒ่า ไอ้ฉี่ราดนั่นไม่ต้องพูดถึงก็ได้! ”

“อย่างไรนี่ก็เป็นโอกาสควรยินดี หากไม่มอบของขวัญแสดงความยินดีก็คงไม่ดีแล้ว”

“เช่นนั้นข้าขอสมบัติท่าน เหล้านั่นน่ะแม่เฒ่า”

“นี่ เอาใหญ่แล้ว แต่ที่นี่ก็ไม่ค่อยมีโอกาสยินดีนัก เอาเถอะ ประเดี๋ยวมาหาข้า เอามันไปเสีย”

การัมถูกบทสนทนาของทั้งสองทำให้โมโหขึ้นมา

“พวกเจ้า คุยเรื่องงี่เง่าอะไรกันอยู่!? ”

“อะไรกัน เขี้ยวคลั่ง? เจ้าจะไม่อวยพรข้ารึ? ”

เชมุลทำปากยื่นว่าเขา

การได้พบกับผู้ที่สามารถมอบร่างกายและจิตวิญญาณได้โดยบังเอิญนับเป็นเกียรติยศสูงสุดของนักรบโซออน หากมีผู้ได้พบ ‘นายแห่งนาภี’ พวกเขาล้วนแต่จัดงานเฉลิมฉลอง

อีกประการ คือการมี ‘นายแห่งนาภี’ นั้นไม่ได้มีข้อห้ามเป็นบุคคลเผ่าอื่น

แม้แต่ในอดีตเองก็ยังมีตัวอย่างเป็นโซออนหลายตนที่มีนายแห่งนาภีจากเผ่าอื่น ทั้งหมดล้วนแต่เป็นวีรบุรุษผู้โด่งดัง หรือบุคคลผู้ยิ่งใหญ่

อีกทั้งในการเป็นพระบุตรก็ไม่ได้มีข้อห้ามว่าห้ามรับนายแห่งนาภีระบุเอาไว้

แต่ก็นั่นแหละ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นยามนี้ดูไม่สมเหตุสมผล ทว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจวิจารณ์เชมุลอย่างไร้เหตุผลได้

การัมเข้าใจอยู่ในหัว แม้จะเป็นเช่นนั้น ความรู้สึกในใจเขาต่อเรื่องนี้ก็แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

เขานึกสงสัยว่าควรจะด่านางไหม แต่ก็ไม่อาจหาถ้อยคำที่เหมาะสมได้ การัมทำปากอ้าๆ หุบๆ ราวกับปลา สุดท้ายก็เค้นคำออกมาได้

“เจ้าโง่!!! ”

เชมุลรู้สึกเหมือนโดนหยาม

“เรียกข้าเจ้าโง่นั่นมันอะไรกัน? มีอะไรโง่รึ? ”

“จะเรียกตัวโง่งมว่าโง่มันผิดตรงไหน!? ”

“ถึงเจ้าจะเป็นพี่ชายข้า แต่ใช่ว่าจะพูดได้ทุกเรื่องนะ!? ”

ตอนนี้กลายเป็นพี่น้องทะเลาะกันไปแล้ว

เมื่อเห็นผู้อื่นทำตัวน่าอายกว่าตนเองแล้ว เหล่าโซออนที่เหลือก็ระงับท่าทีของตน เริ่มเบื่อหน่ายสองพี่น้องที่ทำตัวเหมือนเด็กทะเลาะกันขึ้นมา

ทั้งสองที่ไม่สังเกตเรื่องนี้ทะเลาะกันลามไปจนถึงเรื่องแย่งขนมตอนเด็กๆ ไปแล้ว ชุนปากระแอมไอเสียงดัง

เชมุลและการัมจึงรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ในเมื่อได้เข้าใจแล้วว่าพวกท่านเป็นพี่น้องที่สนิทสนมแน่นแฟ้นเพียงใด ตอนนี้หยุดเพียงเท่านี้ก่อนดีหรือไม่? ”

ได้ยินชุนปาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มฝืดเฝื่อน สองพี่น้องบิดตัวอย่างอับอาย

“เช่นเดียวกับพวกเจ้า ข้าเองก็ต้องการพักให้ใจเย็นลงสักน้อย ข้าเชื่อว่ายามนี้พักก่อน แล้วค่อยกลับมาหารือกันต่อเป็นอย่างไร ท่านทั้งหลาย? ”

คำกล่าวนี้ของชุนปาไม่มีผู้คัดค้าน

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น