[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 25: ไม่ลงรอย



เหล่าโซออนง่วนอยู่กับการทำงานหลังขนย้ายจากค่ายอพยพมายังในหมู่บ้านของเผ่าคมเขี้ยวหลังเก็บกวาดศพมนุษย์และซากอาคารที่ไหม้ลงหมดแล้ว

พวกเขายังเตรียมการต้อนรับตัวแทนจากเผ่าอื่นที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วัน ยามนี้ตัวแทนเหล่านั้นใกล้มาถึงแล้ว ยังมีปัญหามากมายให้ต้องจัดการ ด้วยเหตุนั้นทั้งเผ่าจึงยุ่งวุ่นวายกันแต่เช้าเพื่อรับมือ

เช่นนั้นเอง นักรบหลายคนก็วิ่งมาถึงบริเวณที่การัมอยู่ เขายังโล่งใจที่สภาพหมู่บ้านไม่ได้เลวร้ายย่ำแย่จนทำให้ต้องอับอาย

“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีจากเผ่าดวงตาและเผ่าแผงคอมาถึงแล้ว!”

เมื่อการัมมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน เขาก็เห็นเผ่าดวงตาและเผ่าแผงคอต่างก็นำคนในเผ่ามาราวห้าสิบชีวิต

แรกสุดคือสตรีผู้โดดเด่นจากกลุ่มสตรีล้วน นางสวมชุดขาวเรียบง่าย มีผ้าคาดที่เอว บนศีรษะมีหมวกและผ้าปิดปาก การแต่งกายของพวกนางล้วนแต่นับว่าโดดเด่นสำหรับโซออนที่นิยมสวมชุดบางเบาง่ายต่อการเคลื่อนไหวไล่ล่า

พวกนางคือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าดวงตา

ที่เผ่าดวงตา สตรีศักดิ์สิทธิ์นับว่าสูงส่งกว่านักรบเนื่องด้วยเป็นเผ่าแห่งพิธีกรรม หน้าที่การเจรจากับเผ่าอื่นจึงเป็นของสตรีศักดิ์สิทธิ์

แน่นอน ไม่เพียงสตรีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น พวกนางยังมีนักรบติดตามมาเพื่อคุ้มครองเช่นกัน ทว่าการัมก็อดมิได้ให้คิดว่าพวกนางล้วนอ่อนแอ

การัมเรียกหาโซออนวัยกลางคนผู้ดูสูงส่งอยู่เหนือสตรีศักดิ์สิทธิ์ตนอื่น

“ไม่คาดว่าจะเป็นท่าน ผู้เป็นน้องสาวของผู้นำสตรีศักดิ์สิทธิ์เช่นท่านให้เกียรติมาด้วยตนเอง ข้าขอต้อนรับท่าน ท่านหญิง ไว ซานูก้า ชุนปา”

“นานแล้วนา เจ้าหนูการัม”

โซออนที่ถูกเรียกว่าชุนปาตอบกลับด้วยน้ำเสียงใจเย็น มองเขาอย่างรักใคร่

“ท่านหญิงชุนปา เลิกเติมคำว่าเจ้าหนูเถอะขอรับ”

“ขออภัย ยามนี้เจ้าเป็นถึงหัวหน้าเผ่าคมเขี้ยวแล้วใช่หรือไม่? แม้จะสายไปเสียหน่อย ทว่าข้าขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของบิดาผู้ทรงเกียรติของเจ้าด้วย”

การัมรับถ้อยแสดงความเสียใจของชุนปาผู้ก้มหัวเอ่ยขึ้นอย่างเงียบงัน

ยามนั้น แม่เฒ่าก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมไม้เท้า

“โอ ท่านหญิงชุนปา ไม่เจอกันนาน”

“อุ๊ยแหม สวัสดีพี่สาวเจ้าค่ะ”

“ท่านหญิงชุนปา ท่านเป็นน้องสาวของผู้นำสตรีศักดิ์สิทธิ์ยามนี้ แม้จะยินดีที่ท่านเรียกว่าพี่สาว ทว่ายังดูไม่เหมาะสมนัก”

“ไม่เลยพี่สาว กระทั่งยามนี้ข้าก็ยังไม่เคยลืมสิ่งที่ได้เรียนรู้จากท่านมากมายในยามเยาว์วัย สำหรับข้า พี่สาวย่อมเป็นพี่สาวตลอดไปเจ้าค่ะ”

เมื่อแม่เฒ่ายังฝึกฝนอยู่ที่เผ่าดวงตาในอดีต นางสนิทสนมกับชุนปาที่ยังเด็กมากนัก

ขณะที่ชุนปาและแม่เฒ่าระลึกอดีตกันอยู่ การัมก็หันไปทักทายตัวแทนจากเผ่าแผงคอ

“จากรูปลักษณ์ของเจ้า เจ้าคงเป็นตัวแทนเผ่าแผงคอ ข้าคือหัวหน้าเผ่าคมเขี้ยว เขี้ยวคลั่ง ฟากัล กากัสส์ การัม”

“ข้าคือบุตรแห่งหัวหน้าเผ่าแผงคอ มานูอิน กูจาทาร่า บารารัค, บานูก้า ข้าตอบรับคำเชิญของท่านในนามบิดา ท่านหัวหน้าเผ่าการัม ข้ามักได้ยินชื่อเสียงของหัวหน้าเผ่าการัมอยู่บ่อยครั้ง”

ทักทายอย่างมีมารยาทตามที่สมควรกระทำอย่างกระตือรือร้นจนเกินพอดี อย่างไรบานูก้าก็เป็นโซออนที่เพิ่งพ้นจากวัยเด็กสู่วัยหนุ่ม แม้จะมีเกราะตกแต่งด้วยขนนกอยู่ตรงคออันเป็นสัญลักษณ์ของแผงคออันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าแผงคอ ทว่าเขากลับดูยังไม่คุ้นเคยกับมันมากนัก

ด้านหลังเขายังมีนักรบที่สวมเกราะอกตกแต่งด้วยปลอกคออันเป็นหลักฐานของเผ่าแผงคอตามมา

บานูก้าทักทายอย่างเร่งร้อน กวาดตาสำรวจรอบๆ อย่างกระสับกระส่าย

“ท...ท่านหัวหน้าเผ่าการัม อืม...ท่านพระบุตรอยู่ที่ใดหรือ?”

“หืม? หมายถึงเชมุลหรือ? น้องสาวข้ายามนี้มีงานที่ปลีกตัวไม่ได้ ข้าจะให้นางมาทักทายเจ้าในคราวหลัง”

ยามนี้เร็วเกินไปที่จะเอ่ยแนะนำเชมุล เขาจึงขอให้นางซ่อนตัวก่อน ทว่าในตอนท้ายนางยังมีเหตุจำเป็นต้องเข้าร่วมอยู่ดี

ไม่ใช่ว่าการัมจะรู้สึกไม่พอใจที่น้องสาวของตนเป็นห่วงโซวมะเสียจนคอยตามติดเขาตลอดเวลาจนน่ากลัว ทว่าในยามนี้คนในเผ่ายังไม่คลายความระแวงต่อโซวมะ เขาจึงจำยอมด้วยเห็นว่าจะเป็นที่อีกฝ่ายยังต้องมีผู้คุ้มกัน

“เช่นนั้นหรือ…?”

ได้ยินว่าเชมุลไม่อยู่ บานูก้าไหล่ลู่ลงอย่างผิดหวังจนเห็นได้ชัด

“ยามนี้แม้เราไม่อาจทำการต้อนรับอย่างเหมาะสมได้เนื่องด้วยเพิ่งจบสงคราม เราก็จะพยายามเต็มที่ให้พวกท่านและสมาชิกที่ติดตามมาทุกท่านได้บันเทิงใจ ได้โปรดมาทางนี้เถอะ”

การัมนำทั้งสองกลุ่มเข้าไปในหมู่บ้าน

คราวแรกตั้งใจจะดำเนินการเจรจาระหว่างเผ่าที่ค่ายอพยพในภูเขา ทว่าเขายังตั้งใจนำทางคณะทูตทั้งหลายเข้าไปในหมู่บ้านที่เพิ่งกู้คืนได้ ด้วยตั้งใจให้พวกเขาเห็นร่องรอยของสงครามที่เกิดขึ้นด้วยตาของตนเอง

โชคดีที่กระโจมของโซออนนั้นเมื่อถอนแล้วสามารถขนย้ายได้ง่ายดาย การย้ายที่พักจากค่ายอพยพมายังหมู่บ้านจึงไม่ได้ใช้ความพยายามมากนัก ทว่าในหมู่บ้านยังมีกลิ่นเหม็นไหม้อยู่บ้าง พวกเขาล้วนไม่มีทางเลือกต้องทนไปก่อน

ทว่าผลลัพธ์กลับดียิ่ง

จะเผยความจริง ให้เห็นด้วยตาตนเองย่อมมีน้ำหนักมากกว่าถ้อยคำใด

สมาชิกในเผ่าของทั้งสองเผ่ารวมไปถึงตัวชุนปาและบานูก้าต่างก็มองร่องรอยการต่อสู้ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในหมู่บ้านด้วยสายตาตกตะลึง

ปัญหาใหญ่ที่สุดของการนัดพบปะระหว่างเผ่าในคราวนี้คือจะทำอย่างไรให้เผ่าอื่นยอมรับโซวมะ

ดังนั้น ความคิดของการัมและคนอื่นๆ ก็คือ การให้เผ่าอื่นได้สัมผัสถึงการคงอยู่ของโซวมะด้วยการผลักพวกเขาเข้าสู่ความสับสนอลหม่านจากความตกตะลึงรุนแรงดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับเผ่าคมเขี้ยวมาก่อน

ดูจากสีหน้า การัมรู้สึกว่าท่าทีของพวกนั้นดูน่าพอใจทีเดียว

ทันใดนั้นเอง นักรบตนหนึ่งก็วิ่งมาหาเขาอย่างเร่งร้อน

“อะไรกัน! เจ้าอยู่เบื้องหน้าผู้มาเยือนนะ!”

“หัวหน้าเผ่า! กลุ่มเผ่ากรงเล็บมาถึงแล้วขอรับ!”

ยังไม่ทันที่นักรบตนนั้นจะเอ่ยจบ เซอร์กูก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างอึกทึกครึกโครม

“เฮ้ การัม! ไม่เจอกันนานนะ!”

สีหน้าการัมเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นเซอร์กูเดินเข้ามาในหมู่บ้านราวกับเป็นที่ของตนเองโดยไม่รอให้มีผู้นำทาง

เบื้องหลังเขาคือนักรบท่าทางแข็งแกร่งหลายนาย นอกจากนั้นประเมินด้วยสายตาอย่างคร่าวๆ ยังมีจำนวนมากกว่าร้อยชีวิต ทั้งหมดล้วนมีสีหน้าดุดัน มีบรรยากาศคล้ายพร้อมกระโจนเข้าสู่สนามรบได้ทุกขณะ

“เซอร์กู เจ้าบ้า! ตั้งใจจะสู้กับพวกข้ารึ!?”

“อย่าโกรธน่าการัม ไม่ใช่ว่าพวกเราเป็นเพื่อนซี้ปึ้กกันหรอกเรอะ?”

กล่าวเช่นนั้น เขาก็ยกแขนพาดบ่าการัมด้วยท่าทีสนิทสนมเกินเหตุ ให้การัมปัดแขนข้างนั้นออก

“ถือดีอะไรจึงกล่าวเช่นนั้น!?”

“โอ? เหตุใดจึงได้เกรี้ยวกราดนักเล่า? เช่นนั้นต้องเป็นเพราะเรื่องก่อนหน้านี้แน่”

เซอร์กูถอนใจด้วยท่าทางใหญ่โต

“ก็ช่วยไม่ได้ ข้าเป็นหัวหน้าเผ่ากรงเล็บ ไม่ว่าตัวข้าจะอยากช่วยเจ้าเพียงใดย่อมไม่อาจส่งสหายร่วมเผ่าเข้าสู่สนามรบโดยไม่คิดหน้าหลังได้ อย่างไรข้าก็เตรียมใจและตั้งใจจะส่งนักรบของเรามาทันทีที่ได้ยินคำจากปากเจ้าแล้ว”

เซอร์กูชี้ไปยังนักรบที่เขานำมา

“ดูซี! เช่นนี้ข้าจึงสามารถนำนักรบแข็งแกร่งเช่นนี้มาได้ในทันทีทันใด นอกจากนั้นยังมีทั้งสุราและอาหาร! ช่วยรับไว้เพื่อเฉลิมฉลองชัยของเจ้าเถอะ!”

เหล่านักรบนำอาหารและสุรามาวางกองบนพื้นมากมาย

ทว่าย่อมไม่ใช่ทำด้วยความปรารถนาดี

ต่างจากเผ่าคมเขี้ยวที่ประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร เผ่ากรงเล็บนั้นมีเสบียงสำรองอยู่มากมาย เช่นนี้จึงเป็นการทำเพื่อประกาศศักดาของเผ่าตน

“ทำเรื่องคร่ำคร่าจริงนะ…”

มองการัมที่กำลังหงุดหงิดอย่างอารมณ์ดีแล้ว เซอร์กูก็หันไปมองชุนปาที่อยู่ติดกัน

“โอ้! เป็นเกียรติยิ่ง ท่านหญิงชุนปา เราไม่ได้เจอกันตั้งแต่ยามที่บิดาข้าสิ้นไปใช่หรือไม่? ”

“ส่วนเจ้าหนูเซอร์กูก็ยังเป็นจอมก่อกวนเช่นเดิม หือ? ”

“อะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! แม้แต่เซอร์กูผู้นี้ก็ยังต้องอับอายยามอยู่ต่อหน้าท่านชุนปาผู้ยิ่งใหญ่! ”

ต่อมา เขาหันไปมองบานูก้า

บานูก้ามีสีหน้าแข็งทื่อ สงสัยว่าตนจะถูกพูดอะไรใส่ ทว่าสายตาของเซอร์กูกลับมองผ่านเขาไปโดยไม่หยุดชะงัก

หลังจากนั้น เซอร์กูยกมือขึ้นบังแดด สำรวจรอบด้านด้วยท่าทีไม่เป็นธรรมชาติ

“อะไรกัน! พระบุตรไม่อยู่ที่นี่หรอกรึ?”

เลือดแล่นขึ้นหัวหนุ่มน้อยบานูก้าเพราะทีท่าไร้ความชื่นชมต่อพระบุตรที่เขาทั้งเคารพทั้งรักท่าทีของเซอร์กู ยังมีที่ทำเหมือนไม่เห็นบานูก้าแม้แต่น้อย

“เจ้าบ้าเซอร์กู! จะหยาบคายอย่างไรก็ต้องมีขีดจำกัด!”

เซอร์กูทำเหมือนเพิ่งจะเห็นบานูก้า เขายิ้มกว้างมองอีกฝ่าย

“โอ๊ะโอ เจ้าเด็กนี่มีชีวิตชีวาดียิ่ง”

“ข้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว! ข้าคือบุตรแห่งหัวหน้าเผ่าแผงคอ มานูอิน บารารัค บานูก้า!”

เซอร์กูปราดเข้าไปยืนเบื้องหน้าเขาโดยไม่ลังเล

ได้รับความกดดันจากเซอร์กูที่รูปร่างสูงใหญ่ สีหน้าบานูก้าแข็งทื่อ กลับเป็นฝ่ายถอยหลังไป

เซอร์กูวางมือลงบนบ่าเขา แม้ดูเหมือนเซอร์กูไม่ได้ใส่แรงลงไป ทว่าบานูก้ากับส่งเสียงคำรามออกมาด้วยได้รับแรงกดดันราวกับหินก้อนยักษ์ถูกวางถ่วงลงบนบ่า ดูราวกับเขาจะคุกเข่าลงไปได้ทุกเมื่อหากมิได้ต้านไว้ด้วยเรี่ยวแรงจากทั้งร่าง

เซอร์กูขยับใบหน้าเข้าใกล้บานูก้าที่ยามนี้กัดฟันขัดขืน แยกเขี้ยว

“อย่าได้ถือตัวนัก เจ้าหนู ข้าคือหัวหน้าเผ่ากรงเล็บ ‘กรงเล็บวิปลาส’ ครากา บิกาน่า เซอร์กู อย่าได้หลงเชื่อไปว่าผู้ที่เป็นเพียงบุตรชายหัวหน้าเผ่าจะสามารถพูดคุยกับข้าได้อย่างเสมอกัน!”

ด้วยบานูก้าส่งเสียงเจ็บปวดเบาๆ เล็ดลอดฟันที่ขบแน่น นักรบเผ่าแผงคอล้วนแต่ชักมีดดาบของตนออกมาโดยพร้อมเพรียง จากนั้น นักรบเผ่ากรงเล็บ ยังมีทั้งเผ่าคมเขี้ยวและเผ่าดวงตาล้วนแต่ชักมีดดาบออกจากฝักทีละราย เมื่อสถานการณ์กำลังจะปะทุ เสียงของเชมุลก็ดังขึ้น

“ก็คิดอยู่ว่ามีเสียงอะไรดังลั่น ที่นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

นางออกมาจากกระโจม ยืดอกอย่างภาคภูมิ กวาดตาจ้องมองนักรบทั้งหลายที่ชักมีดดาบออกจากฝัก

“โอ! เป็นท่านพระบุตร…”

“ท่านพระบุตรเชมุล”

การปรากฏตัวของพระบุตรที่นานครั้งจะได้พบ สายตาทุกชีวิตของเผ่าอื่นล้วนจับจ้องเชมุล

“หรือพวกเจ้าโง่เง่าวางแผนจะระบำดาบกลุ่มเพื่อตอบแทนที่เรามอบความสะดวกสบายให้หรือ?”

เพราะคำพูดเฉียบคมของเชมุล เหล่านักรบต่างหันหน้าไปคนละทิศอย่างกระอักกระอ่วน

การต่อสู้กับต่างเผ่าในพื้นที่ของเผ่าที่สามนับเป็นเรื่องไร้มารยาทรุนแรง

เซอร์กูผู้ตัดสินใจว่าควรจะรั้งสถานการณ์ไว้ยกมือขึ้นจากบ่าของบานูก้า หันไปสั่งนักรบในเผ่าตนให้เก็บมีดดาบลง เมื่อเห็นนักรบเผ่ากรงเล็บเก็บดาบแล้ว นักรบเผ่าอื่นๆ ก็ทยอยเก็บมีดดาบเข้าฝักเช่นกัน

“แหม แหม ท่านพระบุตรผู้ทรงเกียรติ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่งที่ได้ยลโฉมอันงามงดของท่านเช่นนี้”

“คำชมไม่จริงใจของท่าน และความบุ่มบ่ามของท่านล้วนไม่จำเป็น ท่านหัวหน้าเผ่า กรงเล็บวิปลาส ครากา บิกาน่า เซอร์กู ท่านมาที่นี่เพื่อต่อสู้หรือ? ”

“ย่อมไม่ใช่แน่นอน! นี่มันคือ อืม…. ความเห็นต่างกันเล็กน้อย”

“โอ้โห เช่นนี้นี่คือเล็กน้อยหรือ เอ๋? ”

“แน่นอน! ดูเหมือนเผ่าคมเขี้ยวจะรู้สึกไม่ดีกับพวกเรากระมัง ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น ความต่างเล็กน้อยในความเห็นก็นับเป็นเรื่องไร้สาระเท่านั้น”

ดังคาด เชมุลและคนอื่นๆ จะอดไม่ได้ให้รู้สึกขยะแขยงเซอร์กูที่ทำตัวไร้ยางอาย เสแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาต่อเรื่องของการเอารัดเอาเปรียบเผ่าคมเขี้ยวที่สั่งให้ส่งตัวพระบุตรไปในยามเผ่าคมเขี้ยวในยามคับขัน

“โอ ท่านพระบุตร! ไม่ได้พบกันเสียนาน ท่านยังจำข้าได้หรือไม่? ข้าคือมานูอิน บารารัค บานูก้า บุตรแห่งหัวหน้าเผ่าแผงคอ! ”

“...แน่นอน ถ้าข้าจำไม่ผิด ท่านหัวหน้าเผ่าบารารัคเคยมาเยือนที่นี่เพื่อทักทายในยามที่ข้าได้เป็นพระบุตร”

“ท่านจำได้ด้วยหรือ!?”

ความรู้สึกตื่นเต้นเดินทางไปทั่วร่างของบานูก้าเมื่อเห็นเชมุลจดจำเขาได้ แม้การพบปะครั้งนั้นจะได้คุยกันเพียงไม่กี่คำก็ตามที

“ท่านพระบุตร ท่านยังคงงดงามเช่นเคย ไม่สิ! ท่านยิ่งงดงามขึ้นกว่ายามนั้นเสียอีก…!”

ถ้าบานูก้าเป็นมนุษย์ ตอนนี้หน้าเขาคงต้องแดงก่ำไปหมด น้ำเสียงของเขาทั้งแหบพร่าทั้งยินดี ทั่วร่างเกร็งเขม็งคล้ายกับจะตัวแข็งทื่อไป

นักรบของเผ่ากรงเล็บเห็นเช่นนั้นก็กระซิบข้างหูเซอร์กู

“หัวหน้าเผ่า ท่าทางเจ้าหนูจากเผ่าแผงคอจะมีความปรารถนาต่อพระบุตรร้อนแรงเหลือเกิน”

“ฮึ่ม เห็นท่าทีน่าเศร้าเช่นนั้น แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ได้”

“อืม ไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจนะขอรับ เดาว่าคงเป็นธรรมชาติกระมัง อย่างไรนางก็ได้รับการกล่าวขานว่าความงดงามนั้นบดบังเงาจันทร์ กระทั่งตะวันยังอับอาย”

“ไม่ปฏิเสธ แต่นางไม่ใช่แบบที่ข้าชอบ”

แม้เซอร์กูจะยอมรับว่าเชมุลงดงาม ทว่าสตรีเพศที่เขาชอบนั้นคือผู้ที่บอบบาง อ่อนแรง ไปจนถึงขั้นกระปลกกระเปลี้ยยิ่งดี เชมุลที่แข็งแกร่งนั้นอยู่ที่สุดขอบของฝั่งตรงข้ามความชอบของเซอร์กู

“ทว่า ดูเจ้าหนูนั่น ข้าคาดว่าจะไม่ใช่แค่นั้น...”

“หมายความว่าอย่างไรขอรับ? ”

“เขาต้องได้รับคำสั่งจากบิดามาแน่นอน เจ้าบารารัคไร้กระดูกสันหลังนั่นย่อมตั้งใจให้พระบุตรตกเป็นของเผ่าแผงคอ ส่งบุตรชายมาเกี้ยวนาง”

ตามธรรมเนียมของโซออน หากมีการแต่งงานระหว่างสองเผ่าเกิดขึ้น ภรรยาจะต้องเปลี่ยนเผ่าตามสามี หากต้องการให้พระบุตรตกเป็นของเผ่าตน วิธีที่สร้างปัญหาน้อยที่สุดคือให้บุรุษของเผ่าตนเป็นสามีของเชมุล

“เข้าใจแล้ว...ท่านจะทำอย่างไรขอรับ?”

นักรบแสดงท่าทีบอกใบ้คล้ายจะเข้าไปขัดความบานูก้า เซอร์กูกลับโบกมือไปทางหนึ่ง

“เช่นนั้นนับว่ายุ่งยากไม่เข้าเรื่อง พระบุตรนั่นเป็นแมวป่า เจ้าเข้าใกล้ลูกแมวนั่นย่อมไม่มีทางทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยามนี้ข้ายังไม่อยากเคลื่อนไหวต่อพระบุตร”

ที่กวนใจเซอร์กูมากกว่า คือผู้ที่สอนแผนการลอบโจมตีด้วยไฟให้กับเผ่าคมเขี้ยว แม้เขาก่อปัญหาเพียงนี้ ทว่าผู้อยู่เบื้องหลังแผนการเหล่านั้นยังไม่ยอมปรากฏกาย

“ไหนๆ ดูหน่อยซิ...มีดีแต่ท่า หรือยังมีเหตุอื่นหรือไม่…?”

แม้จะได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ทว่าเมื่อเห็นร่องรอยการต่อสู้ในหมู่บ้าน เขาก็ทราบได้ว่าสิ่งที่จินตนาการเอาไว้ยังไม่ถึงแม้แต่ส่วนเสี้ยวของความเป็นจริงเบื้องหน้า

‘หากเรียกว่าประสงค์แห่งเทพ หรือประสงค์แห่งปีศาจก็คงไม่ผิดนัก’

ทว่า เซอร์กูไม่ได้หวาดกลัวโดยง่าย

“หากเผ่าคมเขี้ยวทำได้ เผ่ากรงเล็บของเราย่อมทำได้เช่นเดียวกัน ข้าเห็นว่าเราต้องทำให้คนผู้นี้ ผู้ที่มอบแผนการแก่การัม เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเผ่ากรงเล็บเรา ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม”


◆◇◆◇◆


“ก็อดซิลล่านั่นอะไรน่ะ? ”

“ ‘ก็อดซิลล่า’ คืออะไรขอรับ…?”

ประโยคของโซวมะที่แอบดูสถานการณ์จากช่องว่างของกระโจมทำให้ชาฮาต้าที่ตอนนี้รับหน้าที่เป็นองครักษ์โคลงหัวอย่างสับสน

“ไม่มีอะไร หมายถึงโซออนสีแดงๆ นั่นน่ะ ใช่โซออนรึเปล่านะ…”

“ขอรับ นั่นคือหัวหน้าเผ่ากรงเล็บ ครากา บิกาน่า เซอร์กู”

โซวมะชะงักไปทันที

จากนี้เขาต้องหาทางเกลี้ยกล่อมให้พวกนี้ทำตามแผนเขา แล้วมีคู่เจรจาเป็นเจ้าก็อดซิลล่านั่น

จินตนาการภาพตัวเองถูกกินหัวต่อด้วยทั้งตัวทันทีที่ทำให้เซอร์กูอารมณ์เสีย สีเลือดก็หายวูบไปจากหน้าโซวมะ

“ผ...ผมจะเกลี้ยกล่อมพวกเขาได้รึเปล่านะ…?”

ตอนนั้นเอง แขนเสื้อโซวมะก็ถูกกระตุกหลายครั้ง เมื่อเขาก้มลงไปมอง ก็เห็นจีต้าและเชโพม่าที่แอบมาหาโซวมะเพราะไม่รู้จะทำอะไรดีในเวลาว่าง เนื่องจากทั้งพ่อและแม่ต่างก็วุ่นวายกับการต้อนรับทูตจากต่างเผ่า

“พี่ชาย สู้ๆ น้า~”

“น้า~”

หนทางถอยหนีของโซวมะปิดฉับโดยสิ้นเชิงเมื่อเห็นสายตาไร้เดียงสาของเด็กน้อยที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง

“อ...อื้อ...พี่จะพยายาม”

โซวมะยิ้มแหยๆ






โน้ตจากผู้เขียน

เพิ่มเติม

เมื่อเห็นเชมุล

การัม “แม้จะเป็นน้องสาวข้า ทว่านางก็นับว่าเป็นผู้งดงาม”

เซอร์กู “นางไม่ใช่แบบที่ข้าชอบ แต่นางก็นับว่างดงาม”

บานูก้า “ทุกถ้อยคำชื่นชมอันกล่าวถึงความงามในโลกนี้ล้วนมีไว้เพื่อสตรีผู้นี้ (ข้ามที่เหลือไป)"



เมื่อเห็นสาวชาวหมู่บ้านทั่วไป

การัม “นิสัยใจคอนางนับว่าดียิ่ง”

เซอร์กู “ก็ดี ข้าว่า”

บานูก้า “ไม่มีส่วนใดของนางที่สามารถเทียบเทียมพระบุตรได้แม้แต่น้อย (ข้ามที่เหลือไป)"


โซวมะ “ผ-ผมไม่เห็นความต่างเลยอะ… orz”



SHALA TALK:

สต๊อกหมดแล้วค่า!!!

หลังจากนี้จะไม่ได้อัพสม่ำเสมอแบบนี้แล้วแหละ!!!

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น