[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 24: ชนเผ่า



ในเวลานั้นโซวมะที่ไม่ได้รู้เลยว่าตนเองได้รับการประเมินค่าไว้อย่างสูงส่งจากเซอร์กูกำลังเข้าพบปะการัมและเชมุลเพื่อพูดคุยกันเรื่องสถานการณ์ต่างๆ ต่อไป แต่ก็นั่นแหละ ถึงจะเรียกว่าพูดคุย แต่ความจริงก็คือการที่การัมและเชมุลสอนเรื่องต่างๆ ให้กับโซวมะผู้ไร้ซึ่งคอมมอนเซนส์ของโลกใบนี้ให้เข้าใจ


“ในบรรดาสิบสองเผ่าโซออน มีห้าเผ่ารวมถึงเผ่าคมเขี้ยวของพวกเราอาศัยอยู่ในท้องทุ่งโดยรอบนี้”

“สิบสองเผ่าเหรอ?”

โซวมะถามการัมที่ชี้ไปยังภาพวาดบนหนังสัตว์

“ถูกต้อง แต่แรกเริ่ม เทพแห่งสรรพสัตว์สร้างพี่น้องสิบสองตน พวกเขาล้วนแต่เป็นบรรพบุรุษของแต่ละเผ่าในสิบสองเผ่า เผ่าดวงตา เผ่าหู เผ่าจมูก เผ่าหนวด เผ่าคมเขี้ยว เผ่ากรงเล็บ เผ่าเขา เผ่ากีบเท้า เผ่าแผงคอ เผ่าหาง และเผ่าขน”

ขณะที่พูด การัมก็ชี้ไปบนรูปทีละรูปที่เป็นสัญลักษณ์ของสิบสองเผ่า

โซวมะนับนิ้วแต่ละเผ่าไป จากนั้นก็เอียงคออย่างงุนงง

“เห? ไม่ใช่ว่ามีทั้งหมดสิบเอ็ดเผ่าหรอกเหรอครับ?”

เชมุลตอบคำถามโซวมะโดยไม่รอช้า

“แม้จะเป็นเรื่องราวห่างไกลในอดีต ทว่าก็ยังมีเผ่าหนึ่งที่มุ่งมาดปรารถนานำความวิบัติมาสู่เผ่าอื่นๆ กระตุ้นให้ทุกเผ่าเกรี้ยวกราด เผ่านั้นจึงถูกลบชื่อและเนรเทศไปยังสถานที่อื่น ข้าได้ยินมาเช่นนั้น นั่นคือจุดจบของสิบสองเผ่า”

เห็นโซวมะพูดงึมงำว่า “เข้าใจล่ะ” เชมุลก็ดูดีอกดีใจที่ตนเองมีประโยชน์ ราวกับว่าหากมีหาง นางคงสะบัดหางอย่างตื่นเต้นแล้ว

การัมอธิบายต่อ แม้จะเห็นว่าทีท่าของน้องสาวตนดูน่าสงสัยก็ตามที

“กลับเข้าเรื่อง นอกจากพวกเราแล้ว อีกสี่เผ่าที่อาศัยในทุ่งหญ้าคือเผ่าดวงตา เผ่ากรงเล็บ เผ่าแผงคอ และเผ่าหาง ยามนี้เราได้ส่งผู้ส่งสารไปหาทุกเผ่ายกเว้นเผ่าหางแล้ว อีกไม่กี่วันคงได้เห็นท่าทีของพวกเขา”

ต่อมา การัมจึงได้อธิบายชื่อแต่ละเผ่าที่เอ่ยถึง

“เผ่าแรกคือเผ่าดวงตา ยังมีอีกชื่อว่าเผ่าพิธีกรรม จำนวนคนในเผ่ามีน้อย ผู้เป็นนักรบมีน้อยยิ่งกว่า ในด้านการสู้รบไม่อาจคาดหวังได้ ทว่าผู้นำสตรีศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ที่เผ่านี้”

“ผู้นำสตรีศักดิ์สิทธิ์?”

“นางเป็นผู้นำของสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่จัดการเรื่องพิธีกรรมของเผ่าต่างๆ ทั้งหลาย เผ่าเรามีท่านยายเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ทว่ากระทั่งท่านยายก็ถูกส่งไปร่ำเรียนที่เผ่าดวงตายามนางเยาว์วัย เมื่อผู้นำของสตรีศักดิ์สิทธิ์ให้การยอมรับจึงเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้ แม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้นำทว่ามิได้มีอำนาจพิเศษแต่อย่างใด ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกคำสั่งแก่เผ่าต่างๆ ทว่านางเป็นผู้นำสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้ดูแลด้านพิธีกรรม จึงสามารถให้การยอมรับหรือปฏิเสธตัวแทนสตรีศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละเผ่าได้ เผ่าต่างๆ จึงไม่อาจไม่สนใจนาง”

ฟังๆ ไปคล้ายๆ ผู้นำสูงสุดของแต่ละศาสนา โซวมะครุ่นคิดหลังเทียบกับสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดในความคิดเขา

ที่จริงความสัมพันธ์ของสตรีศักดิ์สิทธิ์โซออนและผู้นำของสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีโครงสร้างซับซ้อนเป็นองค์กรศาสนาอย่างชัดเจนอย่างที่โซวมะคิด แต่คล้ายความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์มากกว่า

“เผ่าแผงคอนั้น...อืม...ข้าว่าออกจะโอ้อวด เพราะจำนวนสมาชิกในเผ่ามีมาก จึงได้มีอิทธิพลอยู่ไม่น้อย ทว่าหัวหน้าเผ่าในยามนี้กลับไม่เด็ดขาด เจ้าไม่อาจคาดหวังอะไรได้”

การัมพูดถึงเผ่าแผงคอเหมือนพูดถึงพันธมิตรที่ต่อสู้ไม่ได้ แต่ผู้ส่งสารก็กลับมารายงานเมื่อวานก่อนหลังจบการสู้รบแล้ว สาสน์ที่ส่งมานั้นไม่ชัดเจน บอกกับเผ่ากรงเล็บว่าพวกเขาต้องการเวลาคิดอีกสักหน่อย

“เผ่าหางนั้นละทิ้งทุ่งหญ้าย้ายไปที่แห่งอื่นตั้งแต่ครั้งที่อิทธิพลของมนุษย์เริ่มแข็งแกร่งขึ้น ข้าไม่ทราบว่าพวกเขาไปยังที่ใด จึงมิได้ติดต่อพวกเขาในคราวนี้”

ได้ยินแล้วโซวมะก็รู้สึกใจฝ่อ

ถ้าพวกเขาต้องสู้กับมนุษย์ พวกเขาต้องรวบรวมนักรบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

สิ่งที่โซวมะรู้สึกหลังเล่นเกมซิมูเลชั่นนั้นคือ ‘จำนวนคือพละกำลัง’

แม้ไม่ได้แปลว่าจะชนะได้ง่ายดายแค่เพิ่มกำลังทหาร แต่การรวบรวมกำลังทหารให้มากกว่าศัตรูก็เป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สุด

เพื่อเหตุนั้น เขายังอยากได้รับความร่วมมือจากทุกเผ่าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ในเมื่อส่งสารไปหาเผ่าที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้

“ตัวปัญหาหมายเลขหนึ่งคือเผ่ากรงเล็บและหัวหน้าเผ่า ครากา บิกาน่า เซอร์กู”

กล่าวเช่นนั้น แสดงให้เห็นชัดว่าการัมไม่ได้มองเซอร์กูผู้นี้สูงส่งอะไรนัก

“เขาเป็นคนยังไงครับ?”

“หากอธิบายด้วยคำเดียว คงต้องใช้คำว่า สัตว์ป่า กระมัง”

แม้ในสายตาโซวมะ พวกโซออนจะใกล้เคียงกับสัตว์ป่าอยู่แล้ว เขาก็ยังอดไม่ได้ให้สงสัยว่าคนที่กระทั่งโซออนด้วยกันยังเรียกขานว่าสัตว์ป่านั้นจะเป็นยังไง

“ช่วยเล่าเรื่องของคนที่ชื่อเซอร์กูให้ผมฟังให้มากที่สุดเท่าที่คุณรู้ด้วยครับ”

“ได้...ระหว่างข้ากับเซอร์กูยังนับว่ามีชะตาต่อกันอยู่บ้าง…”

คำโบราณกล่าวว่าโซออนขนแดงนั้นจะมีอารมณ์รุนแรงบ้าคลั่ง ทว่าเซอร์กูนั้นคือผู้ที่เป็นดั่งคำกล่าวนั้นได้ชัดเจนที่สุด

ในอดีตเมื่อมีการพบปะแลกเปลี่ยนระหว่างเผ่า การัมและเซอร์กูผู้ได้รับการยกย่องในฐานะนักรบเยาว์ผู้ได้รับการคาดหวังให้แบกรับเผ่าแต่ละเผ่าในอนาคตได้มีการต่อสู้กันเพื่อความบันเทิงในงานเลี้ยง

แม้จะกล่าวว่าการต่อสู้นั้นเป็นไปเพียงเพื่อ ‘ความบันเทิง’ ทว่ากลับเป็นการต่อสู้ประลองฝีมือ

ตั้งแต่ต้นจนจบ การัมผู้เป็นเลิศในกลยุทธ์แต่กลับขาดพละกำลังที่เหนือกว่าในการประลอง เมื่อการแลกเปลี่ยนการโจมตีและป้องกันอันดุเดือดจบลง การัมก็ใช้มีดดาบสองเล่มทำให้มีดดาบของเซอร์กูหลุดจากมือ

เมื่อกรรมการประกาศให้เขาเป็นผู้ชนะ การัมหันหน้าไปมองกรรมการ ในยามนั้นเอง เซอร์กูพุ่งเข้าหาการัมด้วยมือเปล่า

การัมตอบโต้ด้วยการตวัดมีดดาบทั้งสองพร้อมกัน แม้จะโชคร้าย ทว่าท้ายสุดกลับทำให้ตาซ้ายของเซอร์กูถูกควักออกมา ผู้ชมโวยวายกันอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นเซอร์กูจึงอธิบายว่า ‘ข้ามัวแต่สนใจการต่อสู้จนไม่ได้ยินเสียงกรรมการ’ แต่แทบจะไม่มีใครเชื่อ

เซอร์กูเป็นฝ่ายผิดที่ไม่สนใจเสียงแจ้งจบการประลอง ทว่าการัมที่ทำให้บุตรชายหัวหน้าเผ่าพันธมิตรบาดเจ็บนั้นภายหลังยังต้องไปเยี่ยมเยือนแสดงความขอโทษพร้อมของกำนัล

ทว่าเซอร์กูกลับยิ้มกว้างมองการัมที่ขอโทษด้วยท่าทีกระตือรือร้น

“ของขวัญที่ดีที่สุด คือรอยแผลเป็นจากเจ้า ‘เขี้ยวคลั่ง’ ผู้ยอดเยี่ยมดังคำร่ำลือ”

รอยยิ้มนั้นกลับไม่อาจนับได้ว่าเป็นมิตรแม้แต่น้อย

“คราวหน้า ข้าอยากจะเห็นฝีมือนั้นในสนามรบ”

เขากล่าวท้าทายราวกับตกลงประลองจริงจังกันในสนามรบ

หลังจากนั้นการัมที่กลับมาถึงหมู่บ้านก็กล่าวกับเชมุลดังนี้

“หากเขาต้องการจัดการข้าจริงในยามนั้น เขาย่อมเอาชีวิตข้าได้ อย่างไรเขาก็เป็นผู้ที่ข้าไม่อยากพบในสนามรบในฐานะศัตรู”

ไม่นานหลังจากนั้น การรุกรานของมนุษย์ก็เข้มข้นขึ้น สองเผ่าแยกจากกันบนเขาและเนินที่ห่างไกลจากกัน การแลกเปลี่ยนหยุดลงโดยสิ้นเชิง ทว่าเขายังได้ยินข่าวลือของเซอร์กูอยู่หลายครั้ง

“วิธีการต่อสู้ในสนามรบของเขาราวกับนักรบบ้าคลั่ง ไม่เพียงศัตรู ทว่ากระทั่งสหายร่วมรบของเขาก็หวาดกลัว ถึงจุดหนึ่ง เขาจึงได้รับสมญา ‘กรงเล็บวิปลาส’”

“ถ้าอย่างนั้นเขาก็แข็งแกร่งใช่ไหมครับ?”

โซวมะพูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ เมื่อได้ยินเรื่องราวของการัม ทว่าการัมกลับตอบด้วยถ้อยคำที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกผสมผสาน

“หากเป็นความแข็งแกร่ง เขามี ทว่าสิ่งที่ทำให้บุรุษผู้นั้นน่าหวาดหวั่น คือความหลงใหลในชัยชนะ”

“หลงใหล?”

“ใช่แล้ว เขาเลือกชัยชนะอยู่เหนือศักดิ์ศรี หากเชื่อว่าไม่อาจชนะ เขาจะหนีจากการต่อสู้ในทันทีแม้จะต้องถูกเรียกว่าขี้ขลาด แม้เขาจะพ่าย แต่เขาจะไม่ยอมแพ้ จะรอคอยอดกลั้นจนกระทั่งสามารถเอาชนะได้ หากเขาเห็นโอกาสชนะแม้เพียงเล็กน้อย เขาจะโฉบเข้าหามันราวกับสัตว์ป่าที่กระโจนออกจากที่ซุ่มซ่อนในดงไม้”

จากนั้น การัมกล่าวเช่นนี้ด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง

“‘กรงเล็บวิปลาส’ ครากา บิกาน่า เซอร์กู คือผู้เป็นดังสัตว์ป่าอย่างแท้จริง”



◆◇◆◇◆


“พระบุตรผู้ทรงเกียรติ! ท่านโซมะ!”

ผู้ที่รอคอยทั้งสองที่ออกจากกระโจมคือชาฮาต้า นับแต่จบการโจมตีด้วยเพลิง ชาฮาต้าก็เริ่มเรียกขานโซวมะอย่างเคารพยิ่งกว่าเดิม ในอีกทางหนึ่งยังถึงกับประหม่าเวลาคุยกับโซวมะ

“ชาฮาต้า มีอะไรเหรอ?”

“รถม้าที่ท่านขอ ทำเสร็จแล้วขอรับ”

เป็นสิ่งที่เขาขอให้โซออนทำขึ้นผ่านเชมุล

ในบรรดาทหารมนุษย์ที่กลายเป็นนักโทษนั้น มีหลายคนที่ไม่อาจเดินเท้ากลับป้อมปราการเองได้เนื่องจากถูกเผาหรือได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงได้มีการทำยานพาหนะเพื่อส่งคนพวกนี้กลับไป

ชาฮาต้ามาแจ้งถึงความสำเร็จนี้หลังค้นหาพวกมันอย่างตั้งใจ

“ว่าแต่...อืมม ท่านหายแล้วหรือไม่ขอรับ?”

เรื่องที่โซวมะป่วยอยู่หลายวันจนกระทั่งเมื่อวานนั้นไม่ได้รู้เพียงเขา ทว่าโซออนทุกตนในเผ่าคมเขี้ยวต่างทราบ การมารายงานเรื่องรถม้าเป็นเพียงข้ออ้าง แท้จริงกลับต้องการทราบเรื่องสภาพของโซวมะ

“ผมขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ”

เห็นโซวมะเอ่ยขอโทษเช่นนั้น ชาฮาต้าโบกไม้โบกมือราวกับกล่าวว่า “ไม่ใช่แบบนั้น!”

“มิใช่ท่านถึงกับยอมทำร้ายสุขภาพตนเองเพื่อช่วยเหลือพวกเราหรอกหรือ? ท่านหายดีคือสิ่งที่สำคัญที่สุดขอรับ”

มองร่างชาฮาต้าก้มหัวต่ำก่อนจากไป เชมุลกล่าว

“เข้าใจล่ะ เจ้าดูจะเป็นมิตรกับชาฮาต้าดีมิใช่หรือ?”

“อืม ผมติดค้างเขาอยู่เยอะเลย”

เชมุลประหลาดใจ

ชาฮาต้าคือผู้ที่ทราบกันดีว่าเป็นผู้ผิดปกติ ไม่สุงสิงกับใครในหมู่บ้าน เขายังมักมีสีหน้าทุกข์ระทมตลอดเวลา เชมุลไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมทำอะไรเพื่อผู้อื่นได้

ความดีงามของนายแห่งนาภีนางช่างสูงส่งดังคาด เชมุลอิ่มใจยิ่ง

“พระบุตรผู้ทรงเกียรติขอรับ”

นักรบผู้หนึ่งร้องเรียกเชมุล

ดูคล้ายอีกฝ่ายเพิ่งกลับจากการล่าสัตว์ มีกระต่ายตัวหนึ่งแขวนอยู่ที่เอว

“มีอะไรหรือ?”

“ข้าเพิ่งล่าเจ้านี่มาได้ อืม ท่านให้เขาทานมันเถอะ”

เมื่อยัดกระต่ายที่ห้อยเอวอยู่ใส่มือเชมุลแล้ว เขาก็เร่งร้อนจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเรื่องแบบนี้ เชมุลจึงยิ้มขม

“ถ้าทำตัวซื่อสัตย์โดยไม่มีท่าทีดื้อดึงเช่นนี้ย่อมดีกว่า”

เรื่องที่โซวมะป่วยเป็นไข้นักรบนั้นก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในใจเหล่าโซออน

สำหรับโซออนแล้ว โซวมะนับเป็นตัวตนที่ชั่วร้าย ผู้เป็นพระบุตรแห่งความตายและหายนะ

เป็นเพราะหัวหน้าเผ่าการัมและพระบุตรเชมุลกล่าวในยามที่เขาเอ่ยว่าสามารถขับไล่มนุษย์ออกไปได้ โซออนจึงได้ทำตามเขา ในใจย่อมไม่คาดว่าจะเอาชนะมนุษย์ได้

ทว่าเมื่อทำตามวิธีการต่อสู้ที่ห่างไกลจากความรู้ของโซออน โซวมะกลับทำให้ชนะได้จริง

ดังนั้น โซออนหลายตนจึงรู้สึกตระหนกหวาดกลัวรุนแรง เช่นเดียวกับกัลกาก้า

ในบรรดาคนในเผ่า ยังมีที่ถึงกับตัดสินใจจะละทิ้งเผ่าหนีไป

ทว่าเมื่อได้ยินว่าโซวมะล้มป่วยด้วยอาการไข้นักรบ โซออนเหล่านั้นก็ยั้งตนเองไว้

สำหรับโซออนแล้ว ไข้นักรบนั้นเป็นเพียงอาการป่วยจากความไร้ประสบการณ์ที่นักรบแทบจะไม่เป็น หรือให้พูดอีกประการ คืออาการเจ็บป่วยน่าอาบที่ไม่อาจบอกใครได้

เช่นนี้เหมือนกับมีเด็กคนหนึ่งที่ทำตัวดุดันน่ากลัว แต่ที่จริงแล้วกลับฉี่รดที่นอนและต้องแอบเอาผ้าปูที่นอนไปตากอยู่ทุกเช้าไม่ให้ใครรู้

เพราะความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงของโซวมะที่ทำให้พวกเขากลัว และโซวมะที่ป่วยเป็นไข้นักรบนี่เอง พวกโซออนจึงได้เริ่มรู้สึกว่าอาการกลัวของพวกเขาล้วนแต่พิลึกพิลั่น

ในทางกลับกัน เมื่อคิดว่าเจ้าคนน่าสงสารนั้นขับไล่มนุษย์ออกไปจนร่างกายต้องเจ็บป่วยเพื่อช่วยพวกเขา การประเมินค่าจึงได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจนกลายเป็น ‘ถึงจะอ่อนแอ แต่ก็ทำงานได้ดีมากไม่ใช่หรือ? ’

ยังมีอิทธิพลจากพระบุตรเชมุลทำให้เกิดความคิดเปลี่ยนแปลงอีกด้วย มีนางอยู่ข้างกายโซวมะตลอดเวลา พวกเขาเกิดความคิดว่า ‘แสดงว่าเขาเป็นที่โปรดปรานของพระบุตรผู้สูงส่งของเรามิใช่หรือ? ’ และได้รับการยอมรับเช่นนั้นเอง

แน่นอนว่าก็ยังมีผู้ที่รู้สึกไม่ดีกับโซวมะอยู่ ทว่าสมาชิกส่วนมากในเผ่าคมเขี้ยวล้วนแต่ประเมินเขาในแง่ดีขึ้นจนน่าตกใจ

เพราะเหตุการณ์หลายอย่างจนกระทั่งยามนี้ พวกเขาจึงยังไม่อาจได้ขอบคุณหรือพูดคุยกับโซวมะ ทว่าก็มาถึงจุดที่บางครั้งก็มอบเหยื่อและอาหารที่หามาได้แก่เขาผ่านเชมุลเช่นนี้

เชมุลยินดีเรื่องที่โซวมะ นายแห่งนาภีของนางได้รับการยอมรับจากคนในเผ่าของนางเอง

“อ๊ะ พี่ชายนี่!”

“พี่ชาย~!”

หนึ่งในผู้ที่ติดต่อกับโซวมะได้อย่างสบายใจอย่างชาฮาต้านั้น ก็คือคู่พี่น้องจีต้าและเชโพม่า

“พี่ชาย มาเล่นกัน~”

เชโพม่าจับมือขวาของโซวมะ พยายามดึงเขาไปทางภูเขา โซวมะหันมองเชมุลด้วยสายตาเป็นคำถาม สีหน้าลำบากใจ

“โอ ตอนนี้เจ้าก็ไม่มีอะไรทำไม่ใช่หรือโซมะ? ยามนี้ข้าเชื่อว่าโซมะควรสานสัมพันธ์กับเผ่าข้าเช่นนี้”

โซวมะได้รับคำอนุญาตจากเชมุลก็เดินจับมือเชโพม่าไปตามทาง เบื้องหลังเขามีเชมุลจับมือจีต้าเดินตามมา

เชโพม่าที่ติดโซวมะแจมองและพูดคุยกับเขาอย่างมีความสุข เผยรอยยิ้มเต็มหน้า

“รู้ไหมๆ ถ้าหากข้าโตขึ้น ให้ข้าเป็นเจ้าสาวของพี่ชายย่อมดีมาก”

“เข้าใจล่ะ ขอบคุณนะ”

“แต่ถ้าสามีข้าล่าเหยื่อไม่ได้แม้แต่น้อยย่อมไม่ดี พี่ชายต้องฝึกล่าสัตว์นับแต่นี้ไปนะ ตกลงไหม?”

ตามธรรมเนียมของโซออน ชายหนุ่มจะได้รับอนุญาตให้เป็นเจ้าบ่าวได้ก็ต่อเมื่อนำสัตว์ที่ล่ามาวางกองสูงเป็นภูเขาต่อหน้าบิดามารดาของสตรี เป็นการแสดงออกว่าลูกสาวของพวกเขาจะอยู่ได้โดยไม่พบความลำบากและแสดงให้เห็นถึงพลังที่มี

“อื้อ~ แต่ให้พี่ล่าสัตว์นี่ก็ยากหน่อยนา”

“โธ่ พี่ชายต้องทำตัวให้พึ่งพาได้สิ ใช่ไหม? อย่างไรพี่ก็จะมาเป็นสามีข้า”

โซวมะยิ้มกับเด็กน้อยที่ทำน้ำเสียงราวกับผู้ใหญ่

“งั้นพี่จะพยายามเต็มที่นะ”

“อื้ม สู้ๆ น้า~”

ยามคิดว่า ‘แม้จะยังเล็ก กระทั่งเชโพม่าเองก็พูดอย่างจริงจังได้’ และยังแลกเปลี่ยนสายตารื่นเริงใจแล้วนั้น แขนของเชมุลที่จ้องมองทั้งสองก็ออกแรงดึงจีต้ามากขึ้นเล็กน้อย

“นี่ๆ ท่านพระบุตร”

เชมุลก้มมองจีต้า

“อะไรจีต้า?”

“ท่านพระบุตร สีหน้าท่านน่ากลัวจัง เป็นอะไรไปขอรับ?”

“...จริงหรือ?”

เชมุลตบแก้มตนเองดังลั่น สีหน้างุนงง

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น