เมื่อเซอร์กูเข้ามาในห้องที่เรียกว่าพื้นที่พบปะ บุคคลสำคัญในเผ่าก็มารวมตัวกันแล้ว
เขาเดินผ่านหน้าสหายร่วมเผ่าที่ก้มหัวลงพร้อมกัน จากนั้นนั่งลงระหว่างผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ในส่วนลึกสุดของห้องและโต๊ะที่ทุกคนมารวมกัน
“เอาล่ะ มาฟังรายงานกัน!”
ได้ยินคำเซอร์กู นักรบนายหนึ่งก้าวมาข้างหน้า สู่วงกลางที่พบปะ
“ข้าขอรายงานขอรับ เมื่อสี่วันก่อนกองทัพมนุษย์ที่เรียกว่ากองพันได้รุกรานพื้นที่ของเผ่าคมเขี้ยว”
ทุกตนในที่นี้ต่างทราบเรื่องที่เผ่าคมเขี้ยวขอให้พวกตนรับคนในเผ่าที่ไม่อาจสู้เพื่อรับมือกองทัพมนุษย์แล้ว นอกจากนั้นเมื่อราวสี่หรือห้าวันก่อนยังมีเพลิงไหม้ขนาดใหญ่ในบริเวณที่เผ่าคมเขี้ยวอาศัย ใหญ่โตจนสามารถมองเห็นได้จากบริเวณนี้ทีเดียว
เมื่อรวมกับข้อเท็จจริงนี้ ทุกตนต่างก็จินตนาการได้อย่างง่ายดายว่านั่นคือการรบระหว่างมนุษย์และเผ่าคมเขี้ยว อย่างไรก็ดี เหล่าผู้อาวุโสยังรำพันเมื่อได้ยินว่าขนาดกองทัพรุกรานนั้นเกินจากความคาดหมาย
“กล่าวว่ากองพัน เช่นนั้นย่อมต้องมีจำนวนมากใช่หรือไม่?”
“เจ้าพวกมนุษย์สารเลว ดูตั้งมั่นจะทำลายพวกเราเหลือเกิน”
“หากข้าจำไม่พลาด เผ่าคมเขี้ยวเองก็ตั้งพื้นที่หลายแห่ง แบ่งพี่น้องในเผ่าไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ผ่านหนาวนี้ไปได้ใช่หรือไม่?”
ไม่ใช่ว่าเผ่ากรงเล็บทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์จนถึงยามนี้แต่อย่างใด
ยามนี้ไม่เพียงนักรบที่ส่งรายงาน ทว่าสมาชิกในเผ่าที่แข็งแกร่งหลายรายยังถูกส่งไปเพื่อรวบรวมข้อมูลและรายงานการเคลื่อนไหวของเผ่าคมเขี้ยวอย่างละเอียด จึงได้ตระหนักถึงสถานการณ์อันน่าตกใจของเผ่าคมเขี้ยว
“ขอรับ ตามที่ข้าเห็น สมาชิกเผ่าคมเขี้ยวที่สามารถเป็นนักรบได้มีจำนวนมากกว่านิ้วมือนิ้วเท้าทั้งหมดรวมกันเพียงเล็กน้อย ทว่า ผลลัพธ์นั้น…”
ถึงจุดนี้ นักรบผู้นั้นลังเลจะเอ่ยต่อ
เซอร์กูและผู้อื่นมองว่าเข้าใจได้
ดูไปเขาคงได้ประจักษ์ว่าหุบเขานั้นถูกวางเพลิงอย่างไร ยังมีการสังหารหมู่เผ่าคมเขี้ยว แม้จะเป็นต่างเผ่า อย่างไรก็เป็นโซออนเช่นกัน แม้จะเรียกตนเองว่านักรบ ทว่าการได้เห็นภาพการสังหารหมู่ต่อหน้าต่อตาย่อมราวกับส่งเขาเข้าสู่ขุมนรกแล้ว
“ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว!”
เซอร์กูห้ามนักรบตนนั้นไม่ให้พูดต่อ
“ทุกท่าน แม้จะเป็นต่างเผ่า อย่างไรก็นับเป็นผู้มีสายเลือดจากบรรพบุรุษเดียวกัน เรามาร่วมภาวนาให้พวกเขามีความสุขในโลกหน้าเถอะ”
เหล่าสมาชิกในเผ่า ณ ที่นั้นล้วนแต่เงียบลงเพื่อภาวนา
ในบรรดาทุกตน มีเพียงเซอร์กูเท่านั้นที่หงุดหงิดใจยิ่ง
การัม เจ้าช่างโง่งมนัก! ทั้งเจ้าทั้งความดื้อดึงของเจ้า! หากเจ้าเพียงยอมคุกเข่าลงเบื้องหน้าข้า ข้าย่อมช่วยเจ้าได้ทุกเมื่อ!
หากการัมได้ยิน คงโกรธจนเต้นเลยกระมัง เซอร์กูคิดอย่างจริงจัง
เซอร์กูเองไม่ได้ไม่ชอบการัม ในทางกลับกัน ยังประเมินอีกฝ่ายในฐานะนักรบอย่างสูงส่ง
ทว่าความรู้สึกที่เกิดจากสิ่งนั้นมิใช่ความเคารพหรือเป็นมิตร ทว่าเป็นคู่แข่ง
แม้จะลอบคิดอยากประมือกันบ้าง เขายังโมโหด้วยความเห็นแก่ตัว ว่าได้สูญเสียโอกาสนั้นไปตลอดกาลแล้ว
อันที่จริง การให้ทุกตนได้สัมผัสอันตรายที่ใกล้เข้ามาจากข่าวเผ่าคมเขี้ยวล่มสลายลง และรวบรวมเผ่าที่เหลือเข้าด้วยกันก็เป็นแผนของเซอร์กูเช่นกัน ทว่าการสูญเสียพระบุตรเชมุลผู้สามารถยืนเป็นผู้นำได้นั้นนับเป็นเรื่องที่น่าเสียใจยิ่ง
“ข้าละโมบไปหรือไม่?”
ยามนั้น ยามที่เขาถูกขอร้องให้ช่วยรับดูแลผู้ไม่อาจสู้ เขาเรียกร้องขอพระบุตรเพื่อเป็นค่าตอบแทน ทว่าเขาคงละโมบจนเกินไปกระมัง? เขาลอบยิ้มหยันตนเอง
“เช่นนั้น พระบุตรตายเช่นกันหรือไม่?”
“ไม่ขอรับ นางยังมีชีวิต”
น่าสนใจขึ้นมาแล้ว เซอร์กูคิด
ตราบใดที่พระบุตรยังมีชีวิต เผ่ากรงเล็บย่อมกลายเป็นเผ่าที่มีอิทธิพลที่สุด หากรับเอาเผ่าคมเขี้ยวที่รอดชีวิตกระจัดกระจายมาให้ความคุ้มครอง ก็ยังสามารถรวบรวมทุกเผ่าให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้โดยอาศัยทั้งพลังของเผ่า และมีพระบุตรเป็นแกนนำ
“จับตำแหน่งพระบุตรได้หรือไม่?”
“อะไรนะขอรับ? ข้าเชื่อว่านางยังคงอาศัยอยู่ในค่ายอพยพเผ่าคมเขี้ยว หรือที่หมู่บ้านนะขอรับ?”
คำถามนั้นทำให้นักรบตอบด้วยท่าทีงุนงง
“เข้าใจแล้ว เจ้ามนุษย์สารเลวนั้นกักตัวพระบุตรไว้ไม่สังหารนาง เพื่อล่อลวงเราไปโดยใช้นางเป็นเหยื่องั้นรึ…?”
เพราะเสียงพึมพำนั้น นักรบจึงได้ทราบว่าเซอร์กูกำลังเข้าใจผิดไปเสียแล้ว
“ไม่ใช่นะขอรับท่านหัวหน้าเผ่า เป็นอีกอย่างขอรับ!”
“โอ? เช่นใดเล่า?”
“เผ่าคมเขี้ยวไม่ได้ถูกทำลาย พวกเขาทำลายกองทัพมนุษย์ได้ขอรับ!”
โซออนในที่แห่งนั้นผุดลุกขึ้นอย่างตกใจกับถ้อยคำที่ไม่คาดคิด
กระทั่งในสถานการณ์ที่ดีที่สุด ความเป็นไปได้ที่เผ่าคมเขี้ยวสามารถเอาชนะทหารทั้งกองพันก็ยังนับว่าเป็นไปไม่ได้ ด้วยอีกฝ่ายได้ทำการกระจายตัวกำลังรบออกไปเพื่อให้ผ่านหนาวนี้ไป
ทุกตนต่างคิดว่าเผ่าคมเขี้ยวถูกกองกำลังมนุษย์กวาดล้างไปแล้ว หรืออย่างน้อยก็คงต้องสูญเสียครั้งใหญ่ จึงได้ตกใจรุนแรง
“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้!”
“ไม่มีทาง! บอกมาซิ พวกนั้นขับไล่กองทัพมนุษย์ใหญ่เพียงนั้นด้วยวิธีการอย่างไรกันแน่?”
“ได้รับกองหนุนจากเผ่าแผงคอหรือเผ่าดวงตาหรือไม่?”
เมื่อเหล่าผู้อาวุโสเริ่มส่งเสียงเอะอะ เซอร์กูก็สั่งให้นักรบเล่าทุกอย่างมาให้หมด
ทว่าการรบที่ภายหลังถูกขนานนามว่า ‘ยุทธการเนินเขาฮอกห์นาเรียห์’ นั้นแตกต่างจากสามัญสำนึกการต่อสู้ของโซออนนักรบในยามนั้นโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนั้น กระทั่งนักรบผู้เห็นเหตุการณ์ด้วยสองตาก็ยังไม่อาจเข้าใจเหตุการณ์ได้ กระทั่งยามบอกเล่า เขายังพูดไม่ออกอยู่หลายครา
ทว่า เขาก็ยังสามารถเล่าความจริงทั้งหมดแก่เหล่าโซออนที่ตั้งใจฟังคำอธิบายอยู่ตรงนั้นได้
“ไม่น่าเชื่อ…!”
“อย่าล้อเล่นเชียว! มีวิธีการสู้เช่นนั้นอยู่ด้วยรึ!?”
ผู้อาวุโสส่งเสียงเอะอะ
“แม้จะเห็นด้วยตาของตนเอง ข้าก็ยังเชื่อไม่ลง ทว่าเป็นความจริงขอรับ กระทั่งข้าเองก็ยังรู้สึกหวาดกลัวเมื่อต้องประจักษ์ต่อเหตุการณ์ที่ราวกับตำนานเมืองหลวงถูกเผาราพณาสูรในคืนเดียวด้วยยั่วโทสะเทพอัคคี”
ราวกับคิดภาพนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ร่างนักรบสั่นสะท้านรุนแรง
เซอร์กูที่ตั้งใจฟังทั้งที่ยังหลับตา สองมือกอดอกไม่พลาดแม้แต่คำเดียว เขาเปิดตาขึ้น ถอนหายใจ
“เจ้าบ้าการัม เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่…?”
เขาได้พบการัมไม่กี่ครั้ง ไม่ได้มีโอกาสรู้จักกันลึกซึ้งนัก ทว่าก็ยังได้ยินคำเล่าลือจากเหล่าคนหนุ่มเลือดร้อนว่าอีกฝ่ายได้รับการยกย่องเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าคมเขี้ยว
เมื่อคิดถึงภาพการัม ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความห่างชั้นในสถานการณ์เช่นสมรภูมินั้น
เช่นนี้ย่อมเป็นธรรมดาหากมีผู้อื่นบอกแผนการแก่พวกเขา ไม่ใช่การัมและนักรบเผ่าคมเขี้ยวคิดแผนการเช่นนี้ออกมาเองเป็นแน่ เซอร์กูวิเคราะห์
ทว่าหากเป็นเช่นนั้น เขาก็ต้องการทราบว่าเป็นผู้ใดเสนอแนะแผนการแก่การัม
เท่าที่เซอร์กูทราบ แต่แรกเริ่มนั้นย่อมไม่มีผู้ใดในเผ่าคมเขี้ยวสามารถคิดแผนการที่แหกขนบโซออนเช่นนี้ได้
“...ย่อมไม่ใช่โซออน ใช่หรือไม่?”
ไม่ว่าอย่างไร วิธีต่อสู้ด้วยการโยนศัตรูเข้าสู่ความหายนะเช่นนั้นก็ไม่ใช่วิธีการของโซออน
ต้องมีผู้ที่ไม่ใช่โซออนสั่งการการัมและเผ่าคมเขี้ยวอยู่เป็นแน่ สัญชาตญาณบอกเซอร์กูเช่นนั้น
“มีสัญญาณความเปลี่ยนแปลงอะไรจากเผ่าคมเขี้ยวหรือไม่?”
“ขอรับ! เมื่อท่านเอ่ยถึงเรื่องนี้ มีเรื่องหนึ่งในใจข้าอยู่…”
“อะไร? พูดมาอย่าอมพะนำ!”
เขาอาจได้เบาะแสบุคคลลึกลับผู้นั้นที่บงการเผ่าคมเขี้ยวในยามนี้ เซอร์กูเอนกายไปเบื้องหน้า
“ข้าไม่แน่ใจเพราะเห็นจากที่ไกลๆ ทว่ามีอยู่หลายครั้งขอรับที่ข้าได้เห็นพระบุตรเดินเล่นโดยมีคนน่าสงสัยผู้หนึ่งติดตาม”
“น่าสงสัยอย่างไร? อธิบายให้ชัดๆ หน่อยไอ้หนู!”
“รับทราบ! นั่น...ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ดูเหมือนเป็นเด็กมนุษย์ผู้หนึ่ง”
เรื่องนี้ย่อมแตกต่างจากที่เซอร์กูวาดภาพไว้
ภาพในใจเซอร์กูนั้นอาจเป็นคนแคระผู้หนึ่งที่คุ้นเคยกับไฟ หรือมนุษย์ที่เชี่ยวชาญวิถีการต่อสู้อย่างโหดร้ายแปลกประหลาด หรืออาจเป็นนักรบเก่าที่มีประสบการณ์ในสนามรบมานับไม่ถ้วน หรือผู้ที่มีรูปลักษณ์ราวนายพล มีเพียงผู้ที่มีประวัติมากมายถึงเพียงนั้น คนผู้นั้นย่อมไม่ใช่เด็กหนุ่ม ยังมีเหตุที่โซออนผู้หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีย่อมไม่เชื่อฟังต่อเด็กหนุ่มจากต่างเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าจะจะตกอยู่ในสถานการณ์กดดันเช่นไรก็ตาม
“โง่เง่า! อย่างมากก็เป็นเพียงความพิลึกของพระบุตรนั่นเท่านั้น นางอาจช่วยเหลือเด็กขี้แยที่ปะปนมากับกองกำลังมนุษย์เอาไว้”
เซอร์กูหัวเราะให้กับรายงานนั้น
คำพูดและการกระทำประหลาดของเชมุลนั้นเป็นที่เลื่องลือ
เพียงสตรีผู้หนึ่งจูงเด็กมนุษย์ไปมาไม่ใช่เรื่องคุ้มค่าให้ประหลาดใจแม้แต่น้อย เซอร์กูตัดสินเช่นนั้น ให้กล่าวว่าเด็กมนุษย์นั้นเป็นผู้นำชัยมาสู่เผ่าคมเขี้ยว แม้ในฝันเขาก็ไม่เชื่อ
“หัวหน้าเผ่า~!”
นักรบนายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน เมื่อมาถึงเบื้องหน้าเซอร์กู เขาก็คุกเข่าลง ก้มหัว
“เกิดอะไรขึ้น?! มีเรื่องอะไร?!”
“ขอรับ! ผู้ส่งสารจากเผ่าคมเขี้ยวมาถึงแล้วขอรับ!”
องค์เทพส่งมาโดยแท้
ยามนี้ไม่ว่าจะรวมตัวเป็นหนึ่งหรือตั้งตนเป็นศัตรูกับเผ่าคมเขี้ยวก็ไร้ประโยชน์ ตราบใดที่ไม่ทราบตัวตนที่แท้จริงของผู้อยู่เบื้องหลังผู้วางแผนการนั้น ผู้ส่งสารจากเผ่าคมเขี้ยวมาได้ถูกเวลายิ่ง พวกเขาย่อมได้รับข้อมูลเป็นกำไรในยามนี้แล้ว ต่อให้ไม่ถึงกับเผยตัวผู้วางแผนก็ตามที เซอร์กูใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ! นำเขาเข้ามา!”
“คือว่าเรื่องนั้น เขาทิ้งข้อความปากเปล่าเอาไว้ให้ท่านขอรับหัวหน้าเผ่า ยามนี้กลับไปแล้ว”
การจากไปโดยทิ้งไว้เพียงข้อความ ไม่ทักทายหัวหน้าเผ่านับเป็นการกระทำหยาบคาย ส่งผลให้สมาชิกในเผ่าส่งเสียงอย่างโมโห
ทว่าเซอร์กูกลับหัวเราะชั่วร้ายโดยไม่โกรธเคือง
“เช่นนั้นหมายความว่าข้าโดนพวกมันเกลียดชังมากทีเดียว”
ดูท่าเขาจะกระทำการน่าโกรธเคืองในระดับเดียวกันยามร้องขอให้อีกฝ่ายส่งตัวพระบุตรมาให้ในยามอ่อนแอ
ทว่าแม้จะนึกได้ เซอร์กูก็ยังหัวเราะ “แล้วจะทำไมเล่า?”
นักรบโซออนล้วนแต่ภาคภูมิ ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียงพวกโง่เขลาเอาแต่ใจตนเอง หากเจ้าไม่ชนะก็ไม่ได้สิ่งใดเลย ผู้พ่ายแพ้ไร้ฐานะที่จะเอ่ยสิ่งใด หากไม่อยากถูกเอาเปรียบจากจุดอ่อน เช่นนั้นก็เพียงเลี่ยงอย่าได้แสดงจุดอ่อนออกมา
นั่นคือความคิดของเซอร์กู
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในนักรบโซออนผู้ทรงเกียรติ ความคิดของเซอร์กูผู้นี้นับว่านอกรีตโดยแท้
“แล้ว พวกเผ่าคมเขี้ยวว่าอย่างไร?”
“ตามบัญชา! ที่จริงสิ่งนี้ยากจะเชื่ออยู่ ทว่า พวกเขากล่าวว่า ‘จงร่วมมือกับเรา หากเจ้าต้องการทวงท้องทุ่งคืน’ ขอรับ”
ทวงคืนท้องทุ่งเป็นความปรารถนาสูงสุดของโซออนทุกตน รวมไปถึงเผ่ากรงเล็บในบริเวณนี้ด้วย
กล่าวถึงเป็นการง่าย ทว่าความหมายของมันไม่ธรรมดา
ประกาศว่าจะทวงคืนกลับมาเช่นนี้ เขาไม่สงสัยแล้ว บุคคลลึกลับผู้นั้นที่ช่วยเหลือเผ่าคมเขี้ยว ย่อมต้องเป็นคนบ้าหรือไม่คิดอะไรมากมายเป็นแน่ เซอร์กูรู้สึกถึงความตื่นเต้นที่เดือดพล่านอยู่ในเส้นเลือดตน
“น่าสนใจยิ่ง เจ้างั่งการัม! เจ้ากล่าวว่าจะทวงคืนท้องทุ่งงั้นซี!?”
เซอร์กูหัวเราะลั่น ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนตัวตรง
“ข้าจะไปที่นั่นด้วยตนเองเพื่อฟังเรื่องราวเสียหน่อย! เตรียมของขวัญไว้! ย่อมต้องเป็นของขวัญแสดงความยินดีกับชัยชนะ! เตรียมอาหารให้มากจนพวกเผ่าคมเขี้ยวผู้หิวโหยนั้นต้องตกตะลึง! เรียกรวมตัวนักรบหลักทั้งหลายมา! แสดงให้พวกมันเห็นว่าพวกเราเผ่ากรงเล็บ คือเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดในยามนี้!”
0 ความคิดเห็น