“โซวมะที่รักของข้า บุตรอันเป็นที่รักของข้า เจ้าโหดร้ายเพียงใดกัน จึงสังหารผู้คนมากมาย มากเพียงนี้”
แม้นางกำลังเอ่ยถึงเรื่องราวอันแสนย่ำแย่เลวร้าย ทว่าสีหน้ากลับดูมีความสุขยิ่ง
“เพราะว่า ถ้าผมไม่ทำ ก็ต้องเป็นพวกเชมุล! ต้องเป็นพวกเชมุล!”
“จริงหรือ? เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ?”
โซวมะอับจนคำพูดต่อคำถามของเด็กหญิง
“เพราะเจ้าย่อมไม่อาจเอาชีวิตรอดได้ในโลกแห่งนี้หากนางไม่อยู่ที่นี่ใช่หรือไม่? เพราะเจ้าไม่อาจเอาชีวิตรอดด้วยตนเอง เพราะเจ้าหวาดเกรง เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่หลบหนีไปแทนที่จะยืนหยัดช่วยนางเล่า?”
แม้เขาจะทราบได้โดยไม่รู้ตัว เขากลับไม่ต้องการย้อนมองไปยังส่วนนี้ของตัวเอง ทว่าเด็กหญิงคนนี้กลับยังลากมันออกมาท่ามกลางแสงจัดจ้า
“ผม-ผมจะไม่หนี!”
“เจ้าหนีแล้ว ที่รักข้า!”
นางปฏิเสธท่าทีคัดค้านอันน่าสมเพชของโซวมะด้วยคำเอ่ยรวบรัด
“โซวมะผู้เฉลียวฉลาดเอ๋ย หากเป็นเจ้า เจ้าย่อมทราบว่าเรื่องต้องออกมาเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? ทว่าเจ้ายังไม่ยอมคิดถึงมัน เพราะเจ้าจักไม่อาจหนีจากมันได้อีกหากเจ้าครุ่นคิดซ้ำถึง”
นางกางแขนออกกว้าง เด็กหญิงเอ่ยราวกับร้องเพลง นางหมุนกาย
“ทว่ายังมีทางตันรออยู่เบื้องหน้าที่เจ้าหนีไป ไร้หนทางเบื้องหน้า ทางซ้ายหรือทางขวา เข้าสู่ทางตันที่เจ้าไม่อาจหลบหนีด้วยตนเองในยามวิ่งหนี โอ โซวมะผู้โง่เขลาเอ๋ย โง่เขลายิ่งนัก”
“ไม่เหมือนกันซะหน่อย! มันไม่ใช่แบบนั้น!”
“เจ้าย่อมหนีหากทำได้ โซวมะผู้ขี้ขลาด”
คำเหล่านั้นอ่อนหวาน ทว่ากลับเต็มไปด้วยพิษร้าย
“เจ้ามอบความตายอันไร้ค่าแก่เด็กเหล่านี้ โอ เด็กน้อยผู้น่าสงสารเอ๋ย เด็กเหล่านี้ย่อมไม่ตายหากเจ้าหนีไปเสียตั้งแต่แรก ช่างเป็นเด็กๆ ที่น่าสงสารเหลือเกิน”
ได้ยินเสียงของเด็กหญิง เหล่าภูตผีวิญญาณนั้นกู่เสียงโหยหวนสาปแช่งรุนแรง
“หนีไปเสีย ทรยศเชมุลที่เชื่อในตัวเจ้า ละทิ้งการัมที่มอบความคาดหวังแก่ตัวเจ้า ทิ้งพวกมัน ทิ้งทุกคน!”
ร่างของโซออนมากมายปรากฏขึ้นปนเปกับเงาผู้ตาย
ไม่เพียงแค่โซออน โซวมะก็ไม่ทราบเช่นกัน
การัม กัลกาก้า ชาฮาต้า และเชมุลก็กลายเป็นเงาร่าง สบถด่าโซวมะด้วยท่าทีเจ็บปวดเสียใจทรมาน พวกเขาทรมานโซวมะรุนแรง ถามซ้ำว่าเหตุใดจึงละทิ้งพวกเขาไป
“ไม่! ผมไม่ต้องการมันอีกแล้ว!”
“โซวมะที่รัก หากพวกมันถูกเจ้าละทิ้ง โซออนย่อมถูกมนุษย์ฆ่าล้างจนสิ้น สังหารทหารไปมากมายเพียงนี้ เหล่ามนุษย์ย่อมไม่อาจให้อภัยโซออนได้ พวกมันย่อมถูกคร่าสังหารหลังประสบกับนรกอันเลวร้าย เลวร้ายยิ่ง”
นางวางสองมือลงบนแก้มซ้ายและขวาของเขาอย่างนุ่มนวล ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ คล้ายดั่งสองริมฝีปากจะแนบชิด
“เจ้าย่อมไม่มีทางหนีไปได้ อ่อนโยนยิ่ง โซวมะผู้แสนอ่อนโยนเอ๋ย”
แม้คล้ายนางมิได้ออกเรี่ยวแรง เขากลับไม่อาจสะบัดหลุดจากมือเล็กของนางได้แม้แต่น้อย
“ยามนี้สายไปเสียแล้ว โซวมะผู้ทุกข์ยากเอ๋ย มือของเจ้าแดงฉานราวอาบย้อมด้วยโลหิต สถานที่ที่เจ้าผ่านมานั้นถูกซากศพทับถมขึ้นสูง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นการตัดสินใจของเจ้า ที่รัก เจ้าย่อมไม่อาจย้อนกลับไปได้อีกแล้ว”
ถ้อยคำของเด็กหญิงราวกับคำสาปที่ฝังเข้าสู่หัวใจโซวมะ
“โซวมะเอ๋ย โซวมะ โซวมะที่น่ารักใคร่ของข้า ความใจดีของเจ้าจะคร่าสังหารผู้คนอีกมากมายนับแต่นี้ ความโง่เขลาของเจ้าจะทำลายล้างอีกมากมายยิ่งกว่านี้ อา...บุตรรักของข้า”
ปล่อยตัวโซวมะ นางเงยหน้าขึ้น ส่งเสียงหัวเราะแหลมสูง
โซวมะรู้สึกได้ชัดเจน
คนเบื้องหน้าเขาไม่ใช่เด็กหญิงแม้แต่นิดเดียว
มันคือบางสิ่งที่เก่าแก่มหาศาล
มันคือบางสิ่งที่วิปริตน่าสะพรึงกลัว
โซวมะหวาดกลัวเด็กหญิงคนนี้เสียยิ่งกว่าเงาร่างคนตายที่รายล้อมเหล่านั้น
“ไม่ ฉันไม่ต้องการ ม่ายยย!!! ”
◆◇◆◇◆
โซวมะสะดุ้งตื่นขึ้นทั้งที่ยังกรีดร้อง
เขามองรอบตัว เห็นตัวเขาเองยังอยู่ในภาวนสถานที่ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไหล่ของเขาสั่นสะท้านรุนแรงยามหายใจหนักหน่วง
เงาร่างคนตายเหล่านั้น เด็กหญิงคนนั้นที่ปรากฏยามนี้หายไปไม่เหลือร่องรอย
“...เมื่อกี้มัน ความฝันเหรอ?”
น้ำตามากมายหลั่งไหลลงจากสองตา
จากนั้น เขาจึงส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ
“เพื่อเชมุลเหรอ? เพื่อโซออนเหรอ? งี่เง่าไม่ใช่รึไง? ฉันก็แค่กำลังหนีอยู่ไม่ใช่เหรอ...?”
เขาเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่เด็กหญิงในความฝันกล่าว
โซวมะทำอะไรไม่ได้นอกจากหัวเราะด้วยความอับอายสมเพชตนเอง
เขาไม่มีทางหนีไปได้อยู่แล้ว
เขาไม่สามารถหลบหนีไปได้
เขาข้ามเส้นที่ไม่ควรข้ามมานานแล้ว
เขาได้แต่หัวเราะกับความน่ารังเกียจของตัวเองเมื่อมองความเป็นจริง มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
กว่าจะรู้ตัว กระทั่งเสียงหัวเราะก็แห้งแล้งหายไป มีแค่เขาที่เงยหน้าอย่างกะปลกกะเปลี้ย
คล้ายกับเย้ยหยันเขา สายลมเหนือที่พัดผ่านมาส่งเสียงหวีดหวิวแหลมสูง
ชั่วขณะนั้นเอง พุ่มไม้ก็สั่นไหว้
เมื่อโซวมะหันไปก็รู้สึกเหมือนเดจาวู เขาเห็นโซออนเด็กน้อยพี่ชายกับน้องสาว จีต้าและเชโพม่าเหมือนในคราวนั้น
เพราะคราวที่แล้วเขาต้องแยกจากเด็กๆ แบบไม่สวยนัก โซวมะเลยรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่ทั้งสองกลับวิ่งเตาะแตะมาหาเขาโดยไม่มีทีท่าใส่ใจแม้แต่น้อย
“พี่ชาย ท่านร้องไห้หรือ? เจ็บตรงไหนหรือไม่?”
เชโพม่าที่ตัวสูงแค่ระดับสายตาตอนโซวมะนั่ง มองหน้าโซวมะอย่างสงสัย
โซวมะขยับริมฝีปากแข็งทื่อของตนเองออกเป็นรอยยิ้ม
“ไม่มีอะไรหรอก พวกเธอต่างหาก มีอะไรรึเปล่า ทั้งสองคน?”
เขาชิงชังตัวเอง ที่ทำให้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆ ยังต้องมากังวล
ดังนั้นเขาจึงนึกมองเด็กๆ เป็นพวกน่ารำคาญและทำเสียงเข้มโดยไม่รู้ตัว
ทว่าราวกับไม่รับรู้ เด็กทั้งสองกลับพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“ท่านพ่อบอกพวกเราว่า เพราะพี่ชาย พวกเราเลยมีชีวิตรอดมา”
“ใช่แล้ว ยังบอกอีกว่าเรากินแป้งต้มได้เยอะแยะตามสบายเลย”
“ดีมากๆ เลย เราทานได้จนท้องตึง เพราะก่อนหน้านี้เรามีแป้งน้อยมาก”
“อื้อๆ เนื้อก็อร่อยมากเช่นกัน!”
เหล่าโซออนล้วนแต่สูญเสียอาหารสำหรับฤดูหนาวไปจึงต้องปันส่วนอาหารมาจนก่อนหน้านี้
ทว่ายามนี้เมื่อได้รับชัยชนะเหนือมนุษย์เพราะโซวมะแล้ว การขาดแคลนอาหารของโซออนก็ได้รับการแก้ไขแล้ว
เพราะแบบนั้น สองพี่น้องจึงอารมณ์ดียิ่งที่ได้ทานอาหารจนอิ่มหลังจากไม่ได้ทำมานาน
“ยังมี ยังมี ท่านพ่อท่านแม่เลิกทะเลาะกันแล้ว เนอะ?”
“อื้อๆ ก่อนหน้านี้เศร้ายิ่งเพราะทุกคนเอาแต่ทำหน้าดุใส่กัน”
เด็กๆ อ่อนไหวกว่าที่ผู้ใหญ่คิด ไม่ว่าผู้ใหญ่จะพยายามปิดซ่อนต่อหน้าเด็กๆ อย่างไร บรรยากาศมืดครึ้มระหว่างผู้ใหญ่แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ยังทำร้ายจิตใจเด็กๆ ได้เสมอ
“เช่นนี้ข้าจึงอยากมอบสิ่งนี้ให้พี่ชาย”
ที่เชโพม่านำออกมาหลังกล่าวเสร็จคือสร้อยคอหลากสีที่ทำจากเขี้ยวสัตว์ อัญมณี และถั่ว
ดูท่าสองพี่น้องคงจะทำด้วยกัน เรียกไม่ได้เลยว่าเป็นของที่ได้มาตรฐาน ใช้อัญมณีไม่สมบูรณ์และถั่วมาตกแต่งแบบนี้
แต่โซวมะก็ยังรู้ว่าเด็กทั้งสองตั้งใจทำของชิ้นนี้ที่ไม่ถนัดมาเพื่อแสดงความขอบคุณกับเขาโดยเฉพาะ
“ขอบคุณนะ พี่ชาย”
พี่ชายและน้องสาวช่วยกันใส่สร้อยคอให้โซวมะที่ตัวแข็งทื่ออย่างตกใจ ประสานเสียงขอบคุณ
ในตอนนั้นเอง หยาดน้ำตาก็ไหลทะลักจากสองตา
เขารู้สึกราวกับได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่มาขอบคุณเขา เขาที่สังหารคนไปมากมายอย่างโหดร้ายด้วยความคิดของตนเอง
ถ้าหากเป็นการัมและเชมุลขอบคุณเขาด้วยสิ่งนี้ โซวมะที่เกลียดตัวเองก็คงไม่มีทางยอมรับได้
ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่เชื่อว่าทั้งสองขอบคุณเขาจากใจ
แต่ว่าทั้งสองต่างก็มีภาระ ตำแหน่ง ความรับผิดชอบในเผ่า เมื่อทั้งสองเป็นห่วงเผ่า ย่อมไม่อาจเลี่ยงที่จะมีความคิดเห็นแก่ตัวอยากให้โซวมะช่วยเหลือเผ่าไปได้
ทว่า สองพี่น้องคู่นี้ไม่ได้ปิดบังความต้องการ หรือมีแผนการอะไรในคำพูด พวกเขาเป็นแค่เด็ก เพราะแบบนั้นเอง จึงได้สลักแน่นเข้าสู่หัวใจของโซวมะ
สองพี่น้องต่างตกใจเมื่อเห็นโซวมะร้องไห้ออกมาอย่างกะทันหัน
“เป็นอะไรไปพี่ชาย? ท่านเจ็บตรงไหนหรือไม่?”
“ท่านเป็นอะไรหรือไม่? อยากคุยกับแม่เฒ่าทานยาหรือไม่?”
ยิ่งฟังน้ำเสียงเป็นห่วงของทั้งสอง โซวมะยิ่งนึกถึงปู่ของตนเอง
วันนั้นโซวมะเรียนเรื่องสงครามญี่ปุ่นในห้องเรียน โซวมะวัยเด็กเอ่ยถามคุณปู่ว่าเคยเข้าร่วมสงคราม เคยฆ่าคนหรือไม่
เมื่อคิดถึงสิ่งนั้นแล้ว เขาก็เสียใจที่วันนั้นตนเองถามเรื่องที่เจ็บปวดกับคุณปู่ออกไปแบบนั้น ไม่ว่าในยามนั้นเขาจะเด็กแค่ไหน ภาพของคุณปู่ที่ปกติจะยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนอยู่เสมอ มีเพียงครั้งนั้นเองที่รอยยิ้มนั้นดูโศกเศร้าราวกับจะร่ำไห้ออกมา และกล่าวกับเขา
“โซวมะ ปู่เพียงไม่อยากทำตัวน่าละอายเท่านั้น เชื่อปู่เท่านั้นก็พอแล้ว”
ปู่ไม่ได้พูดออกมาชัดเจน แต่ดูเหมือนว่าคงจะได้สังหารผู้คนอยู่ที่แนวหน้า นั่นคือสิ่งที่โซวมะคิด
เขาไม่รู้เลยว่าในยามนั้น คุณปู่กำลังคิดอะไร
บางทีเขาอาจจะยิ่งโศกเศร้ากังวลยิ่งกว่าโซวมะเสียอีก
“จงอย่าได้กระทำตนน่าอับอายเป็นอันขาด โซวมะ”
เป็นอีกครั้งที่คำพูดติดปากของปู่ก้องสะท้อนขึ้นในหูเขา
ใช่แล้ว เขายังแก้ไขตัวเองไม่ได้อีกหรือ?
ไม่ว่าแรงจูงใจของเขาจะเป็นอะไร เขาก็ตัดสินใจจะช่วยเชมุลกับคนอื่นๆ ด้วยตัวเองแล้ว และต้องทำตัวให้เคารพกับสิ่งที่ตัดสินใจไป
มาจนถึงตอนนี้ เขาจะทำเหมือนเรื่องพวกนั้นไม่เคยเกิดขึ้นไม่ได้แล้ว
โซวมะปาดน้ำตาลวกๆ ด้วยแขน
ต่อให้เขามานั่งสงสารตัวเอง นั่งร้องไห้ในที่แบบนี้ก็มีแต่ความน่าอายเท่านั้น
นอกจากนั้น ถ้าเขามานั่งเสียใจกับเรื่องนี้ ก็มีแต่จะทำให้คนที่เขาช่วยไว้รู้สึกแย่ ยังทำร้ายคนที่ตายเพราะแบบนั้นเท่านั้น
“...ขอบคุณนะ”
ถ้อยคำแห่งความยินดีต่อสองพี่น้องไหลออกมาจากปากโซวมะ
“จริงๆ นะ ขอบคุณมาก พี่ดีใจมากเลย ขอบคุณนะ”
คำเหล่านี้ไม่เพียงเพราะเขาได้รับสร้อยคอ แต่ยังรวมถึงความยินดีที่ทั้งสองช่วยหัวใจเขาไว้ ทว่าสองพี่น้องกลับไม่เข้าใจ มองหน้ากันราวกับมีเรื่องแปลกประหลาด
“ท่านแปลกจริง เราขอบคุณท่าน ท่านก็ยังขอบคุณเราอีก”
“อื้อ แปลกเนอะ?”
“แปลกเหรอ?”
ถึงจะดูตลกไปบ้าง แต่โซวมะยิ้ม
เป็นรอยยิ้มจากใจที่ไม่ได้มีมานาน
“อืม แปลกล่ะ~”
“แปลกจริงๆ เนอะ?”
ถูกสองพี่น้องหลอกล่อจนหัวเราะ โซวมะก็หัวเราะอีกครั้งเช่นกัน
เชมุลมองดูทั้งอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบในร่มเงาต้นไม้ที่ไกลออกไป
นางเช็ดน้ำตาที่หางตา หันกลับกระโจมก่อนจะถูกโซวมะและเด็กๆ สังเกตเห็น
◆◇◆◇◆
แยกจากสองพี่น้องแล้ว โซวมะก็วางแผนไปขอโทษเชมุลก่อน
หลายวันมานี้เขาทำให้เธอเป็นห่วง ตั้งแต่เขามาที่โลกนี้ เขาก็เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอกังวลเป็นห่วงตลอด เขาตรึกตรอง รู้สึกอับอาย
เขาทำหน้าแบบนี้ให้เชมุลเห็นไม่ได้ แต่เขาก็ต้องบอกเธอให้ได้ว่าเขาไม่เป็นไร เธอไม่จำเป็นต้องห่วงเขาอีกแล้ว โซวมะคิดแบบนั้น
“เชมุล อยู่มั้ย? ”
เขาเพิ่งจะกระแอมที่หน้ากระโจมเพื่อเรียก เสียงตอบก็ดังมาจากข้างในทันที
“อืม ข้าอยู่นี่ เข้ามาสิโซมะ”
เมื่อเลิกม่านผ่านเข้าประตูไป โซวมะก็ชะงักงัน
เขาแค่คิดไปเองรึเปล่านะ? รู้สึกเหมือนบรรยากาศรอบตัวเชมุลแตกต่างจากปกติ เพราะโซวมะยืนนิ่งอย่างงุนงงทันทีที่เข้ามา เชมุลที่นั่งขัดสมาธิอยู่จึงได้ร้องเรียกเขา
“โซมะ โปรดยืนเบื้องหน้าข้าได้หรือไม่?”
เมื่อโซวมะมายืนตรงหน้าเชมุลตามคำขอ เธอก็สูดลมหายใจเข้าลึก ดูท่าทีกังวลอยู่บ้าง
จากนั้น เธอก็หยิบมีดดาบที่วางอยู่บนผ้าข้างตัวขึ้นมา ถอดเกราะหน้าอกที่ถักจากเถาวัลย์และชุดชั้นในออกอย่างกะทันหัน
โซวมะหน้าขึ้นสีทันทีเมื่อเห็นทรวงอกคู่โตที่เคยถูกปิดบังด้วยเสื้อผ้านั้นสะท้านขึ้นลงอยู่เบื้องหน้า
“ยะ-! อยู่ๆ ก็ทำอะไรเนี่ยเชมุล!?”
“ข้าว่าถ้าเจ้าหันไปทื่อๆ แบบนั้น ข้าน่าจะอายยิ่งกว่า...”
ต่อให้ได้ยินแบบนั้น โซวมะก็ยังไม่กล้ามองหน้าเธอตามปกติอยู่ดี
“ช่างเถอะน่า! เจ้ามองข้าไม่ได้รึไง!?”
ถูกอีกฝ่ายรบเร้ารุนแรง เขาได้แต่หันไปมองทางเชมุลอย่างกังวล
พอทำแบบนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นหน้าอกของเธอที่ผุดขึ้นในใจเขาไม่หยุด
โซวมะเป็นเด็กหนุ่มวัยเจริญพันธุ์ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะสงสัยใคร่รู้เรื่องพวกนี้ แต่ก็ไม่มากไปกว่านั้น ยังเป็นเพราะเขายังกังวลเรื่องสลักประทับของเชมุลที่ได้ยินมาจากแม่เฒ่าอีกด้วย
“ถึงจะบอกว่ามองได้ก็เถอะ แต่ว่าอย่าจ้อง อืมมม มากไปนัก! แม้ทำเช่นนี้ อย่างไรข้าก็ยังเป็นหญิงพรหมจรรย์อยู่นะ”
โซวมะหันไปตั้งสมาธิกับการมองหน้าเชมุลสุดความสามารถ ระมัดระวังจะไม่เผลอไปมองต่ำลงไป เชมุลที่ยามนี้รวบรวมสติจากการกระทำของโซวมะได้แล้วกำหมัดสองข้างชนกัน ก่อนจะหายใจเข้าอย่างสม่ำเสมอเชื่องช้า ก้มหัวลงให้แก่โซวมะเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ข้า หนึ่งในเผ่าคมเขี้ยวแห่งสิบสองเผ่าโซออน บุตรแห่งการ์กัสส์ นามเชมุล ขอปฏิญาณด้วยเกียรติยศของข้าและนามแห่งบิดา”
พูดแล้ว อยู่ๆ เธอก็ข่วนหน้าอกตนเองด้วยกรงเล็บของตน เลือดสาดกระจายจากรอยแผล ย้อมขนให้เป็นสีแดงฉาน ปากของเชมุลบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด
เชมุลตั้งสมาธิ มองตาโซวมะที่ตอนนี้ตกใจกับท่าทางกะทันหัน และพูดต่อ
“ข้าจะเป็นดวงตาของท่าน สังเกตทุกสิ่ง
ข้าจะเป็นหูของท่าน รับฟังทุกสิ่ง
ข้าจะเป็นจมูกของท่าน ดมทุกสิ่ง
ข้าจะเป็นหนวดของท่าน สัมผัสทุกสิ่ง
ข้าจะเป็นคมเขี้ยวของท่าน กัดกระชากศัตรูให้ขาด
ข้าจะเป็นกรงเล็บของท่าน ตัดศัตรูให้เป็นส่วน
ข้าจะเป็นเขาของท่าน ทิ่มแทงศัตรูท่าน
ข้าจะเป็นเท้าให้ท่าน วิ่งนำทางแก่ท่าน
ข้าจะเป็นแผงคอแก่ท่าน เป็นตัวแทนแห่งเกียรติยศอันยิ่งใหญ่
ข้าจะเป็นหางของท่าน ประคับประคองท่าน
ข้าจะเป็นขนของท่าน คอยปกป้องท่าน
ข้าจะเป็นกระดูกของท่าน สนับสนุนท่าน”
เธอหยิบมีดดาบที่ก่อนหน้าวางไว้ขึ้น ตัดปอยขนยาวที่ต้นคอออกมากระจุกหนึ่ง ละเลงมือด้วยเลือดจากอก ถูไถพวกมันเข้าด้วยกันจนขนกลุ่มนั้นกลายเป็นสีแดง
“ตัวข้า ณ ที่นี้ ขอมอบวิญญาณ หัวใจ และเลือดเนื้อของข้าให้แก่ท่าน คิซากิ โซมะ ผู้เป็น『นายแห่งนาภี』ของข้า”
เชมุลยกมือมอบขนกลุ่มนั้นที่ละเลงด้วยเลือดให้แก่โซวมะ
“โปรดรับสิ่งนี้ไว้ด้วย โซมะ”
โซวมะรับขนปอยนั้นมาอย่างที่ถูกบอกด้วยสีหน้างุนงง
“นายแห่งนาภีเหรอ?”
“ถูกต้องแล้ว - พวกเราโซออนเชื่อว่าวิญญาณสถิตอยู่ตรงนั้น”
กล่าวดังนั้น เชมุลก็วางมือข้างหนึ่งลงตรงช่วงท้องน้อย
“ยามที่เราพบคนผู้หนึ่งซึ่งเชื่อว่าคุ้มค่าแก่การไว้วางใจด้วยสถานแห่งจิตวิญญาณนี้ โซออนจะเรียกคนผู้นั้นว่า ‘นายแห่งนาภี’ และให้สัตย์ปฏิญาณมอบทุกสิ่งแก่ผู้นั้น”
“มอบทุกอย่างเหรอ!?”
“ถูกต้องแล้วโซมะ หากเจ้าสั่งให้ข้าสู้ ข้าจะสู้กับทุกคนที่เป็นศัตรูเจ้า หากเจ้าปรารถนาร่างกายนี้ ข้าจะยอมรับมันไม่ว่าเจ้าจะรุนแรงเพียงใด และหากเจ้ากล่าวว่าต้องการชีวิตข้า ข้าจะมอบมันแก่เจ้าด้วยการตัดหัวตนเอง ณ ที่แห่งนั้น”
เพราะมันดูรุนแรงเกินไป โซวมะเลยพยายามจะยื่นขนกลุ่มนั้นคืนให้เชมุล
“อย่าทำให้ผู้หญิงเสียหน้าสิ โซมะ”
เขากลับถูกเชมุลดันกลับมาพร้อมรอยยิ้ม
“ต...แต่ว่าอะไรแบบนั้น...ให้ผม…”
“ผิดแล้ว ข้าต้องการมอบสิ่งนี้แก่เจ้าเพราะคนที่เจ้าเป็น”
“แต่ผมน่ะอ่อนแอ…!”
“ข้าทราบ แม้จะอ่อนแอ เจ้าก็ช่วยพวกเราไว้ ต่อให้เจ็บปวด เจ้าก็ยังพยายามช่วยเรา เพราะเป็นเช่นนั้น ข้าจึงต้องการให้เจ้ามาเป็นนายแห่งนาภีแก่ข้า”
หากโซวมะเป็นแค่มนุษย์แข็งแกร่งผู้หนึ่ง นางย่อมเคารพเขา
หากโซวมะเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่ขับไล่ศัตรูได้ นางย่อมขอบคุณเขาเพราะเหตุนั้น
ทว่านางจะไม่มีวันปรารถนาให้เขามาเป็นนายแห่งนาภี
โซวมะที่เชมุลรู้จักคือมนุษย์ผู้หนึ่งที่ทั้งอ่อนแอและอ่อนโยนเกินกว่าจะเอาตัวรอดได้ในโลกแห่งนี้
คนเช่นเขาเพียงปรารถนาขับไล่มนุษย์ออกไปเพื่อโซออนที่เขาไม่ได้มีสายสัมพันธ์ใด
ทว่าไม่เพียงเท่านั้น โซวมะยังพยายามจะรักษาอาการป่วยของตนเพื่อการช่วยเหลือโซออน
ไม่ได้เป็นเพราะเขาต่อสู้
ไม่ได้เป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือ
เขาพยายามสู้แม้จะอ่อนโยน เขาพยายามจะไม่แพ้แม้จะอ่อนแอ เขาพยายามจะรักษาตัวแม้ได้รับบาดเจ็บ
เพราะเขาเป็นเช่นนั้น เชมุลจึงปรารถนา ให้เขาเป็นนายแห่งนาภี
“ทว่า เจ้าจะเป็นนายแห่งนาภีของเขี้ยวสูงศักดิ์ผู้นี้ จำเป็นต้องแก้ไขท่าทีอ่อนแอนั่นด้วย”
“รู้สึกเหมือนถูกคุกคามยังไงไม่รู้สินะ”
โซวมะหัวเราะเบากับวิธีพูดของเชมุล
“เข้าใจแล้ว ผมสาบานจะเป็นนายแห่งนาภีที่ไม่ทำให้เธอต้องอับอายนะ เชมุล”
“จริงแท้ คิซากิ โซมะ นายแห่งนาภีข้า เราจะต้องก้าวขึ้นสู่จุดที่สูงกว่านี้ไปด้วยกัน”
“อืม ด้วยกัน…”
หลังจากนั้น เขาก็ไปยังค่ายทหารที่เคยเลี่ยงไม่ไปพร้อมกับเชมุล
เพราะร่างมนุษย์ถูกจัดการออกไปหมดแล้ว หลังได้รับแจ้งจากโซออนแถวนั้นโซวมะจึงได้ไปยังที่ที่ทำการฌาปนกิจศพ จากนั้นจึงวางสองมือลงบนกองดินที่ถูกขุดขึ้นมาอย่างนอบน้อม
หากกล่าวว่าเขาไม่เสียใจ นั่นย่อมเป็นการโกหก
ถึงอย่างนั้น โซวมะก็ยังคิดว่าเขาต้องก้าวต่อไป
แม้จะเชื่อว่าเขาต้องแก้ไขตัวเอง เขาก็ยังซวนเซไปเมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความหวั่นไหว ดีที่มีเชมุลช่วยประคองไว้อย่างเงียบงัน
เขาซึมซับมันไว้เต็มหัวใจ รู้สึกถึงความอบอุ่นจากอ้อมแขนของเธอที่ช่วยประคับประคอง
◆◇◆◇◆
บริเวณหุบเขา ห่างออกไปจากค่ายอพยพของเชมุลและเผ่าคมเขี้ยว
ที่นี่ก็ยังมีหมู่บ้านโซออนที่หลบหนีมนุษย์มาเช่นกัน สถานที่นี้แตกต่างจากหมู่บ้านของเผ่าคมเขี้ยว มีกำแพงสูงรายล้อมรอบหมู่บ้าน ถูกสร้างขึ้นจากไม้ซุง มีผู้คุ้มกันยืนเฝ้ายามในหอประจำการ หมู่บ้านนี้แทบจะคล้ายกับป้อมปราการที่สร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์
โซออนตนหนึ่งร้องเสียงดังหน้ากระโจมที่ดูไม่น่าจะอยู่ตรงนั้นได้
“หัวหน้าเผ่า! หัวหน้าเผ่าอยู่หรือไม่ขอรับ!? ”
ได้ยินเสียงนั้น กองขนสีแดงที่สุมเป็นเนินอยู่ในส่วนลึกของกระโจมมืดก็ขยับไหวสั่นกาย
ไม่ หากดูให้ดี มันคือโซออนขนแดงที่นอนเป็นท่าเดียวกับตัวอักษร 大 ต่างหาก
โซออนตนนั้นยืดแขนที่ดูราวกับท่อนไม้ คว้าจับถุงหนังใกล้ๆ จากนั้นเมื่อคว่ำถุงหนังใส่ปากที่อ้ากว้าง ของเหลวด้านในก็ไหลลงปากจนหมดในรวดเดียว
เขาส่งเสียงเรอดังๆ ทีหนึ่ง กลิ่นเหม็นของเครื่องดื่มฉุนขึ้นในทันที
โซออนขนแดงยันกายลุกขึ้น ยืดคอ หาวหวอดใหญ่ แล้วจึงเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังดูเหม่อลอย
“เป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“นักรบที่ส่งไปสังเกตการณ์ที่เผ่าคมเขี้ยวกลับมาแล้วขอรับ”
“โอ...ดูคล้ายมีความสูญเสียแล้ว”
เขาลบบรรยากาศมึนเบลอที่ล่องลอยจนยามนี้ออกไป บอกกับตัวเองว่าต้องทำให้ผู้อื่นเชื่อ ว่าเขาคืออสูรผู้บ้าคลั่ง
โซออนขนแดงลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า
เมื่อทำเช่นนั้น ร่างกายใหญ่โตก็ดูชัดเจนขึ้น เหตุที่ทำให้ผู้อื่นไม่รู้สึกว่าเขาผอมสูงทั้งที่มีส่วนสูงมากกว่าการัมนั่นเพราะกล้ามเนื้อชัดแน่น กล้ามเหล่านั้นดูราวกับหิน ให้ความรู้สึกราวกับเขาสวมใส่ชุดเกราะหนาๆ
“เจ้าบ้าการัมนั่น หลังจากนั้นก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ตายไปแล้วหรือไม่นะ…?”
โซออนขนแดงวางมือข้างหนึ่งปิดตาซ้ายที่ยามนี้ใช้งานไม่ได้และแผลเป็นน่าเกลียด
จากนั้น เขาหัวเราะ และตะโกนตอบออกไป
“ไปปลุกผู้เฒ่า ข้าจะเตรียมการเช่นกัน!”
ในบรรดาห้าเผ่าโซออนที่เคยตั้งถิ่นฐานในที่ราบซลเบียงต์ เขากล้าโอ้อวดได้ว่าผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดในปัจจุบันนี้ ย่อมต้องเป็นพวกเขา หัวหน้าเผ่ากรงเล็บ ครากา บิกาน่า เซอร์กู ยกสะโพกหนาๆ ขึ้น
0 ความคิดเห็น