[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 21: ภาพหลอน



“ท่านยาย ท่านว่าโซมะป่วยเป็น ‘ไข้นักรบ’ หรือ?”

“เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น”
แม่เฒ่าตอบคำถามเชมุลที่ซักถามอาการโซวมะที่ยังคงหลับไหลหลังได้รับยาน้ำเพื่อผ่อนคลายจิตใจ

เป็นอาการป่วยที่กระทบนักรบโซออนรุ่นเยาว์ที่ไม่บ่อยนัก

ในกรณีที่พวกเขาเกือบถูกสังหารและถูกตอบโต้ด้วยกองกำลังเหนือกว่าจนต้องป้องกันตัวเป็นครั้งแรกในสงครามแรก การโต้ตอบของพวกเขาจะแข็งทื่อจากอาการอัมพาตเนื่องด้วยความตกตะลึง ในทางกลับกัน พวกเขาก็อาจดุร้ายขึ้น หรืออาจบ่นว่าเป็นโรคนอนไม่หลับ

ทว่าเพราะโซออนเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ต้องฆ่าสัตว์ในการล่า และถูกสอนให้ต่อสู้นับแต่เยาว์วัย อาการเหล่านี้ก็จะมีอยู่เพียงไม่กี่ชั่วโมง หรืออย่างมากก็ไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น

ดังนั้นมันจึงถูกเรียกว่า ‘ไข้นักรบ’ ซึ่งหมายความถึงอาการป่วยไข้อันเกิดจากความขาดประสบการณ์นักรบ

หากเรียกกันในภาษาปัจจุบัน ก็เรียกได้ว่าเป็นอาการ ASD (Acute Stress Disorder: โรคเครียดเฉียบพลัน) นั่นเอง

คนที่ประสบสิ่งที่ข้องเกี่ยวถึงความเป็นความตายจะได้รับบาดแผลทางจิตใจ เกิดเป็นโรควิตกกังวลด้วยเหตุนั้น ทว่าก็เป็นเพียงอาการชั่วคราวที่หายได้ในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่อาทิตย์

“เข้าใจล่ะ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรแล้ว”

ความรุนแรงของอาการทำให้เชมุลไม่ได้นึกถึง ‘ไข้นักรบ’ ที่นางรู้จัก ทว่าเมื่อได้ยินเช่นนั้นนางก็ยังโล่งใจเนื่องด้วยเป็นอาการชั่วคราวเท่านั้น

ทว่าแม่เฒ่ากลับส่ายหน้า

“ปัญหาคือมันไม่ได้จำกัดเพียงเท่านั้น เจ้าคงจำไม่ได้เพราะยังเล็ก ทว่ายามที่เราย้ายจากทุ่งกว้างมายังที่แห่งนี้ ก็มีพี่น้องเรามากมายที่เจ็บป่วยทางจิตใจ”

แม่เฒ่ายิ้มขมเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่เพิ่งย้ายเข้ามาในภูเขาแห่งนี้ขณะถูกมนุษย์ไล่ล่า

เพราะไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงกับทุ่งกว้างที่เคยอยู่มาได้ จึงมีหลายชีวิตที่เริ่มกลายเป็นพวกอารมณ์ร้อนอย่างไร้เหตุผล หรือเจ็บป่วยจากความกดดันซึมเศร้าทางจิตใจในเวลานั้น

แม่เฒ่าทราบและมีประสบการณ์มาก่อนว่าการต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อมและที่อยู่อาศัยนั้นส่งผลกระทบสาหัสเพียงใดต่อจิตใจคน

“ข้าเคยได้ยินเรื่องราวจากเด็กนั่นหลายครั้งเช่นกัน ทว่าโลกที่เด็กคนนั้นอาศัยอยู่ทั้งรุ่มรวยและสงบสุขจนน่าเหลือเชื่อ แทบจะเรียกได้ว่าราวกับ ‘สถานแห่งความปีติ’ อันเป็นที่พำนักของเหล่าทวยเทพไม่มีผิด”

อย่างที่แม่เฒ่ากล่าว เทียบกับโลกใบนี้ โลกที่โซวมะเอ่ยถึง ที่เขาเคยอาศัยนั้นเป็นโลกที่อ่อนโยน เชมุลก็คิดเช่นนั้น

“เช่นนี้แล้ว เด็กคนนั้นย่อมต้องแบกรับบาดแผลสาหัสในจิตใจโดยไม่รู้ตัว ยังมีไข้นักรบเสริมเข้ามา ข้าย่อมไม่อาจมองเป็นเรื่องเล็ก”

เมื่อแม่เฒ่ากล่าวเช่นนั้น เชมุลก็ครุ่นคิดอีกคราว

เมื่อคิดถึงสภาพของโซวมะในช่วงนี้ นางกล่าวได้ว่าการกระทำของเขาดูไม่เป็นตัวของตัวเอง นางกินและนอนกับโซวมะมาหลายวันตั้งแต่กลับถึงค่ายอพยพ ทว่าท่าทางของโซวมะที่เชมุลเห็นในระหว่างนั้นกลับไม่ใช่มนุษย์ที่กระตือรือล้นต่อสงครามเลยแม้แต่น้อย

เมื่อคิดว่าอยู่ดีๆ เขาก็ร่วงหล่นลงสู่ต่างโลก ถูกโยนเข้าสู่สภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากของเดิมโดยสิ้นเชิง โซวมะเชื่อฟังจนถึงขั้นหวาดกลัว หลังจากเปลี่ยนสภาพแวดล้อมก็ยังมีความแตกต่างอีกมากมายที่กลายเป็นแผลกดทับ เขายังคงทำตามที่เชมุลบอกโดยไม่เคยปริปากบ่นหรือแสดงท่าทีไม่พอใจจนถึงขัั้นถูกเรียกว่าเชื่องเชื่อฟัง ไม่เพียงเท่านั้น เคยยังไม่เคยเอ่ยปากว่าอยากทำอะไร หรือต้องการอะไรเลย

ทว่าหลังจากคืนที่ได้ประกาศสงคราม เขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

เขากลายเป็นคนกระตือรือลม ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน

แม้จะไม่ได้พยายามเข้าหาโซออนอื่นเนื่องจากเชมุลเคยเตือนไว้ เขาก็ยังร้องขอหลายสิ่ง และเข้าพบการัมกับชาฮาต้าด้วยความตั้งใจของตนเอง

ยังมี แม้จะไม่ทราบว่าทหารมนุษย์จะบุกโจมตีเมื่อใด เขาก็ยังเต็มใจเตรียมแผนลอบโจมตีโดยไม่มีท่าทีไม่สบายใจสักนิด แม้ผลลัพธ์นั้นจะเป็นการสังหารมนุษย์เช่นเดียวกับตนเอง เขาก็แสดงท่าทีราวกับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย

ยามนี้เมื่อนางคิดย้อนกลับไป นางก็ตัดสินได้ว่าเขากระตือรือล้นจนผิดปกติ

การคาดเดาของเชมุลถูกต้องแล้ว

เพื่อหนีจากความเครียดเนื่องจากสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปอย่างกระทันหันและความวิตกกังวลต่อปัจจุบันและอนาคต เขาจึงเข้าสู่สภาวะที่คล้ายคลึงกับอาการเมเนียอย่างเบา เพราะแบบนั้น เขาจึงปราศจากความไม่มั่นใจในตนเอง ในทางตรงข้าม เกิดเป็นความรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เขาทำไปต้องได้ผลอย่างที่เขาต้องการ

ทว่าทันทีที่เส้นด้ายแห่งความตึงเครียดที่เติมเต็มความกระตือรือล้นเพื่อไล่ศัตรูขาดลง โซวมะก็ต้องเผชิญกับความเป็นจริงของสนามรบที่เขาสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก สิ่งนั้นเองที่ทำให้เขาพังทลาย

“ท่านยาย ท่านทำอะไรไม่ได้เลยหรือ?”

เชมุลเม้มปากรอคำตอบ ทว่าแม่เฒ่ากลับส่ายหน้าเบา

“นี่คือสิ่งเดียวที่ข้าทำได้แล้ว หากเป็นบาดแผลทางกายข้าย่อมทราบว่าบาดแผลอยู่ที่ใด ลึกเพียงใด ทว่าหากเป็นบาดแผลทางใจ ข้าย่อมไม่อาจตรวจสอบได้”

ถึงแม่เฒ่าจะอยากช่วยโซวมะผู้ช่วยให้เผ่ารอดพ้นจากอันตรายเพียงใด

ทว่าปัญหาอยู่ที่นางไม่อาจยื่นมือไปยุ่งกับจิตใจโซวมะได้ อย่างมากที่นางทำได้ก็มีเพียงช่วยให้เขาสงบใจลงด้วยยาน้ำเท่านั้น

“อย่างเลวร้ายที่สุด เด็กคนนี้คงไม่อาจกลับมายืนเองได้อีกเลย เราต้องเตรียมพร้อมรับมือเอาไว้…”




◆◇◆◇◆




ยามเชมุลเดินออกมาจากกระโจมของแม่เฒ่า การัมก็กำลังเดินวนเวียนอยู่โดยรอบด้วยท่าทีไม่สบายใจ

“เป็นอะไรไปเขี้ยวคลั่ง?”

ได้ยินเชมุลเรียกดังนั้น เขาก็ฝืนขานรับ ‘อืม’ อย่างประดักประเดิด แสดงท่าทีแปลกใจ

“คือว่า อืม...เจ้าเด็กมนุษย์นั่น เขาเป็นอะไรหรือไม่?”

“หืม เรื่องโซมะน่ะหรือ? หากเป็นโซมะล่ะก็ ดื่มยาของท่านยายไปแล้ว ตอนนี้กำลังหลับอยู่”

“เข้าใจล่ะ ได้ยินว่าอยู่ๆ เขาก็ล้มพับไปใช่หรือไม่? ข้ายังเกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

“ตามที่ท่านยายว่า ดูเหมือนจะเป็นไข้นักรบ”

“เจ้าว่าไข้นักรบงั้นรึ!?”

รู้สึกคล้ายว่าในน้ำเสียงของการัมจะเจือแววดูถูก เชมุลจึงได้อารมณ์ไม่ดีนัก

“ข้าบอกท่านแล้วว่าโซมะเป็น ‘เด็กผู้ร่วงหล่น’ เขามายังโลกที่ไม่คุ้นเคยอย่างกระทันหันทั้งยังต้องลุกขึ้นสู่กับมนุษย์เหมือนตนเองที่นี่ ซ้ำยังเป็นไปเพื่อปกป้องพวกเราอีก”

“อืม ข้าเข้าใจแล้ว”

การัมเกาหัวอย่างไม่สบายใจเมื่อถูกเชมุลจ้องเขม็ง

“อืม คือ ข้าอยากจะคุยกับเขาว่าจะทำยังไงกับพวกทหารมนุษย์ ทว่าดูแล้วคงเป็นไปไม่ได้กระมัง?”

นางเข้าใจความตึงเครียดของการัมเช่นกัน

พวกนางไม่เคยจับตัวมนุษย์จำนวนมากมาก่อน ยามนี้พวกมันล้วนแต่สูญเสียความปรารถนาสู้รบด้วยความหวั่นกลัวจากการลอบโจมตีด้วยเพลิง ทว่าจำนวนของมนุษย์ที่จับมาได้นั้นยังมีมากกว่าจำนวนนักรบโซออนทั้งหมดเสียอีก หากพวกมันเริ่มก่อจลาจลขึ้นย่อมกลายเป็นหายนะแล้ว

“หากเป็นเรื่องนั้น โซมะบอกข้าแล้วว่าต้องทำอย่างไร”

ขณะนึกถึงช่วงที่โซวมะได้สติขึ้นมาก่อนหน้านี้ เชมุลก็กัดปากตนเอง แม้จะเพิ่งทรุดไปไม่กี่ชั่วโมง ทว่าสีหน้าของโซวมะยามนี้กลับคล้ายผู้ป่วยสาหัสมายาวนาน

นางบอกให้เขาพักและไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ทว่าโซวมะกลับขัดขืนไม่ยอมอยู่เฉย ทั้งยังสั่งการอีกหลายประการ ทว่ากระทั่งในสายตาเชมุล ก็ยังทราบว่าเขาได้สติขึ้นมาด้วยสำนึกรับผิดชอบหรือคล้ายกับความรู้สึกเร่งร้อนราวกับถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นไล่ตามอยู่

หลังเกลี้ยกล่อมเขาได้พวกนางก็ให้เขาดื่มยาน้ำเข้าไปและให้เขาเข้านอน ทว่าเขาย่อมต้องพังทลายในอีกไม่นาน หากนางไม่ทำอะไรเลย

“เผาทหารที่ตายให้เรียบร้อย จากนั้นพอทำความสะอาดเสร็จก็เลือกผู้ที่สามารถกลับเองได้ ปล่อยพวกมันกลับไปยังป้อมปราการเป็นกลุ่มเล็กๆ หลายกลุ่ม เขาว่าอย่างนั้น”

“ปล่อยกลับรึ!?”

“ถูกต้อง หากท่านบอกทหารมนุษย์เช่นนี้ พวกเขาย่อมอยู่อย่างเชื่อฟังไม่ขัดขืน เขาว่าเช่นนั้น”

“ตกลง เข้าใจแล้ว”

พอนางกล่าวเช่นนี้ การัมก็เห็นด้วยเช่นกัน

หากพยายามฆ่าพวกมัน มนุษย์ย่อมหวาดกลัวและแสดงท่าทีรุนแรง หากเป็นเช่นนั้นเมื่อใด ฝ่ายโซออนก็ต้องรับความเสียหายแล้ว ยังมีอีก การจับพวกมนุษย์เอาไว้ตลอดการย่อมไร้ความหมาย เช่นนั้นก็ปล่อยมันไปดีกว่า

พวกมนุษย์ที่ถูกปล่อยไปอาจกลายเป็นศัตรูอีกครั้ง บุกโจมตีเข้ามาอีกคราว แต่จากที่การัมเห็น ความสะพรึงกลัวจากการถูกลอบโจมตีด้วยไฟนั้นหนักหนาเสียจนพวกมันคงไม่อาจใช้การในฐานะทหารได้อีกสักพักใหญ่

เชมุลยังแจ้งเขาถึงสิ่งที่โซวมะร้องขอไว้

“เขายังบอกให้ท่านเรียกเผ่าอื่นมาร่วมมือด้วย”

“ร่วมมือหรือ? ร่วมมืออย่างไรอีกในเมื่อยามนี้เราขับไล่มนุษย์ไปได้แล้ว?”

เชมุลดูคล้ายจะพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

นั่นเพราะโซวมะบอกนางในสิ่งที่แม้แต่นางเองยังไม่เชื่อ

“ร่วมมือ หากท่านอยากกอบกู้ทุ่งหญ้ากลับคืนมา นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการให้ท่านแจ้งต่อเผ่าอื่น”

“เจ้าว่ากอบกู้ทุ่งหญ้ารึ?!”

การัมอุทานเสียงหลง

ย่อมเป็นธรรมดาที่การัมจะตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องการกอบกู้ทุ่งหญ้า ในเมื่อไม่กี่วันเผ่าของเขาเพิ่งจะถูกล่าสังหารมา

“เป็นสิ่งที่โซมะกล่าว ตกลงไหม?”

“ข้าเชื่อไม่ลง”

ดังคาด การัมย่อมไม่อาจเชื่อได้เช่นกัน

ทว่าเมื่อเขาลองคิดกลับไป โซวมะเองก็กอบกู้หมู่บ้านคืนมาได้ ทั้งยังไล่กำลังทหารที่การัมและผู้อื่นต่างก็ไม่เชื่อเช่นกัน

“เข้าใจแล้ว ข้าจะเร่งส่งผู้ส่งสารไป”

เชมุลถอนใจมองร่างการัมที่หายลับกลับไปยังหมู่บ้านหลังรับคำ

นับแต่วันที่โซวมะเอ่ยอย่างชัดแจ้งต่อหน้าทั้งเผ่าจนกระทั่งวันนี้ สถานการณ์ที่เหล่าโซออนจะถูกกวาดล้างก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

กระทั่งในหมู่โซออนที่เกี่ยวข้องเอง ก็ไม่มีใครตามสถานการณ์ในยามนี้ได้ทัน

ผู้อื่นอาจกล่าวได้ว่ายามนี้ทุกสิ่งล้วนขึ้นกับตัวโซวมะแล้ว

หากเขาหายดีย่อมไม่เป็นไร ทว่านางยังสงสัยว่าโซออนจะทำอย่างไรต่อไป หากเขายังคงพังทลายอยู่เช่นนี้เล่า?

เชมุลถอนใจหนักหน่วงอย่างกังวล นึกภาพไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป




◆◇◆◇◆




โซวมะนั่งลงบนเนินเขาใกล้ภาวนสถาน เงยหน้ามองผืนฟ้ากว้างใหญ่

ผ่านไปสามวันนับจากการลอบโจมตีด้วยไฟ

ทว่ายามนี้โซวมะเองก็ยังคงไม่อาจนอนหลับยามค่ำคืนได้หากไม่มียาน้ำของแม่เฒ่า ต่อให้เขาหลับลง ก็มักจะสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้ายยามค่ำคืนบ่อยครั้ง นับเป็นเรื่องที่น่าอับอายจนโซวมะแทบทนไม่ได้ เพราะเขาทำให้เชมุลต้องมาคอยกังวลทุกคราวที่เกิดเรื่องขึ้น

ทว่าในยามที่หลับตาลง ซากศพที่ถูกเผาไหม้ในเวลานั้นก็ยังคงติดอยู่หลังม่านตา ทรมาณโซมะด้วยความหวาดกลัวและสำนึกเสียใจ

ต่อให้หมกตัวอยู่แต่ในกระโจมเขาก็ยังทำอะไรไม่ได้ เขาจึงเดินเข้าไปใกล้ภาวนสถาน ทว่าก็ยังไม่อาจทำใจให้สบายขึ้น กลับมีแต่จะยิ่งซึมเศร้ากว่าเดิม

“ทำไมฉันถึงอาการหนักแบบนี้นะ…?”

ลงท้ายที่โซวมะต้องเงยหน้าขึ้นอย่างอับอาย ไหวพริบที่มีคล้ายดับลง

ตอนนั้นเอง ในยามที่เขาฆ่าเวลาเรื่อยเปื่อย เสียกระซิบเบาก็คล้ายจะลอยเข้าหูโซวมะ

“ฆาตกร…”

เริ่มด้วยเสียงนั้น โซวมะเบิกตากว้างเงยหน้าขึ้น

ทว่ากลับไม่มีใครอยู่ที่นั่น

มีเพียงต้นไม้โดดเดี่ยวลำพัง

กระทั่งยามเขาเงี่ยหูฟัง สิ่งที่ได้ยินมีเพียงลมเหนือที่พัดผ่าน และเสียงใบไม้ร่วงโรยลงสู่พื้น

โซวมะสงสัยว่าอาจเป็นเขาคิดไปเอง ทว่าเสียงนั้นกลับดังขึ้นข้างหูอีกคราว

“ร้อน...ร้อน...เจ็บเหลือเกิน!”

หัวใจเขาเริ่มเต้นรุนแรงบ้าคลั่งราวกับจะกระแทกแหวกอกออกมา

คราวนี้ไม่ได้เข้าใจผิดเองแน่ เขาได้ยินเสียงคนจริงๆ

“ช่วยด้วย...ช่วยยยด้วยยย…”

มีบางสิ่งหมุนวนที่หางตา ยามที่เขาพยายามค้นหาต้นตอของเสียงนั้น

เมื่อมองไปใกล้ๆ จึงได้เห็นบางสิ่งขยับไหวอยู่ในเงาที่ยืดยาวจากรากไม้

มันดูคล้ายกับแมงมุมยักษ์สีดำกำลังตะเกียกตะกายออกมาจากเงา ขาทั้งห้าของมันเคลื่อนไหวสะเปะสะปะ ยังมีสิ่งที่ดูคล้ายท่อนไม้อยู่บนหลังเจ้าตัวสีดำนี้

“...อี๊!”

เสียงหวีดเบาหลุดจากลำคอ เมื่อโซวมะได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของมัน

นั่นคือแขนสีดำที่ถูกเผาไหม้จนเป็นตอตะโก

สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นแมงมุม แท้จริงแล้วคือมือ และสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นท่อนไม้ แท้จริงกลับคือแขน

เนื้อสีแดงแลบออกมาจากใต้ผิวหนังดำสนิทไหม้เกรียม ทุกคราวที่มือและแขนขยับไหว ของเหลวในร่างไหลซึมออกมา

“ร้อน...เจ็บ…”

แขนเหล่านั้นจิกมือลงในพื้น ลากเอาร่างของมันออกมา ด้วยการตะกายไปในเงา

เส้นขนบนร่างกายล้วนแต่ถูกเผาไหม้จนไม่เหลือหลอ ผิวหนังสีดำสนิทขยับไหวไปข้างหน้าได้ด้วยแขน ตาของมันขุ่นมัวจากความร้อน ปากของมันอ้ากว้างจนสุดเผยให้เห็นภายในสีดำสนิทและปลายลิ้นที่ไม่ต่างกัน

สิ่งนั้นไม่ใช่อะไรนอกเสียจากศพที่ถูกไฟคลอก สิ่งที่เขาได้เห็นในค่ายวันนั้น

“ข้าไม่อยากตาย...ไม่อยากตาย…”

“ไฟ...ข้าจะถูกไฟคลอกตายแล้ว…!”

“มันร้อน...ร้อน...ร้อน”

เมื่อรู้ตัว เสียงเหล่านั้นก็รายล้อมรอบกายโซวมะราวกับอยู่ท่ามกลางฝูงชน

จากเงาของหินก้อนใหญ่ตรงนั้น จวบจนเงาของต้นไม้ทางนี้ ล้วนแต่มีภาพร่างและเสียงโหยหวนจากในเงาปรากฏอยู่ทุกที่ยามพวกมันพยายามตะเกียกตะกายออกมา

“เจ้าสังหาร…”

“เจ้าเผา…”

“เจ้าทำ! เป็นเจ้า…!!”

คนตายเหล่านั้นล้วนกล่าวโทษโซวมะ

โซวมะพยายามวิ่งหนีทั้งที่กรีดร้อง ทว่าเท้าของเขากลับไม่ขยับ มือของหนึ่งในภาพหลอนเหล่านั้นยืดออกมาจากเงาของเขาเอง จับข้อเท้าเขาแน่นหนา

เมื่อเขาสะบัดแขนไปรอบๆ ทั้งยังกรีดร้องไม่เป็นภาษา มือเขาสัมผัสมันเข้า เงาเหล่านั้นก็สลายไป

เห็นเช่นนั้น โซวมะกลับร้องไห้ตะโกนอย่างรู้สึกผิดและหวาดกลัว แทนที่จะยินดีที่ได้รับการปลดปล่อย

“ฉันไม่อยากทำ ไม่!!!”

โซวมะยกสองมือปิดหน้า ถูกรายล้อมด้วยคนตาย เขานั่งลงตรงนั้น ไม่อาจทำอะไรได้นอกไปจากพร่ำขอโทษ

“ผมขอโทษ! ผมขอโทษ!”

ทหารคนหนึ่งที่เลือดไหลอาบจากศีรษะที่ถูกหินกระแทกจากกะโหลกเปิดสาปแช่งโซวมะ ทหารนายหนึ่งที่ถูกลูกธนูปักเต็มตัวเย้ยหยันเขา ทหารนายหนึ่งที่ยามนี้กลายเป็นบางสิ่งคล้ายเศษเนื้อจากการถูกเพื่อนทหารเหยียบจนตายสบถด่าเขา

เป็นเช่นนั้นเอง โซวมะจึงไม่อาจทำอะไร ได้แต่ห่อตัวคุดคู้ราวทารก สะอึกสะอื้นจนตัวสั่นพยายามปิดหูกั้นเสียงเหล่านั้นที่ถาโถม

ทันใดนั้น ด้านหนึ่งของวงภาพเงาเหล่านั้นก็เปิดแยกออก

เด็กหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขาจากทางนั้นอย่างเชื่องช้า

เด็กหญิงผู้นี้สวมเสื้อตัวแขนกุดหลวมๆ เรียบง่าย ประกอบไปด้วยชิ้นผ้าผืนใหญ่ที่มีรูตรงกลางเพื่อแขวนศีรษะด้วยเชือกรอบบั้นเอว ทุกก้าวที่นางย่ำ เหล่าผีสางที่อยู่เบื้องหน้าล้วนเปิดทางให้ทั้งยังตัวสั่นอย่างหวาดกลัว

ยามเด็กหญิงเดินมาถึงเบื้องหน้าโซวมะที่นั่งห่อกาย นางมองไปยังภูติผีที่รายล้อมราวกับรักใคร่พวกมันยิ่ง

“เจ้าเป็นเด็กที่โหดร้ายโดยแท้มิใช่หรือ? แผดเผาผู้คนมากมายเพียงนี้ สังหารมากมายเพียงนี้”

นางก้มหน้ามองโซวมะ ริมฝีปากนางเป็นสีแดงฉานราวอาบย้อมด้วยโลหิต รอยยิ้มของนางดั่งดวงจันทร์ในวันข้างขึ้น

“อา…! ช่างน่ารักเหลือเกิน โซวมะที่รักของข้า บุตรอันเป็นที่รักของข้า”

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น