[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 20: ความสะเทือนใจ



หลายปีหลังจากนั้น โซมะ คิซากิได้รับสมญานามมากมาย

สมญาที่โด่งดังที่สุดในบรรดาสมญาทั้งหลาย คือ ‘พระบุตรแห่งหายนะ’

แน่นอน สมญานี้นอกจากแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นพระบุตรแห่งออร่า ผู้เป็นเทพีแห่งความตายและหายนะแล้ว ยังเพราะความไร้หัวใจยามจัดการกองทัพ และแรงบันดาลใจจากตัวเขาเอง เขายังเอ่ยเรื่องที่ตนเป็นพระบุตรแห่งออร่าอย่างเปิดเผย สมญานี้จึงเป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางที่สุด ส่วนสมญานามที่โด่งดังอื่นๆ นั้นมีหลากหลายเช่น ‘บุตรแห่งจีโนบันดา’ และ ‘ผู้แผดเผาโลก’ ก็ถูกใช้บ่อยเช่นกัน ในบรรดาสมญาทั้งหลายเหล่านี้ โดยมากมักได้รับอิทธิพลจาก ‘ไฟ’

อาจเพราะกล่าวกันว่าเขาชอบที่จะใช้การโจมตีด้วยไฟเป็นหลักในสงคราม

ทว่าหากตรวจสอบบันทึกสงครามของเขาจริง กลับมีน้อยยิ่งที่จะพบว่าเขาใช้ไฟในสนามรบ

ถึงอย่างไรก็ตาม ต้นเหตุแห่งความเข้าใจผิดว่าเขาชอบใช้ไฟนี้ มาจากความตั้งใจในสงครามแรก ‘ยุทธการเนินเขาฮอกห์นาเรียห์’ และ ‘การสังหารหมู่บอลนิทซ์’ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากนั้น

โดยเฉพาะ ‘การสังหารหมู่บอลนิทซ์’ ยังนับเป็นการกระทำชั่วร้ายกระทั่งในช่วงเวลานั้น ที่ซึ่งเมืองแห่งหนึ่งในการปกครองของเขาแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านจนหมดสิ้นไปพร้อมมนุษย์นับพัน เรื่องราวของการสู้รบในครั้งนี้ถูกกล่าวขานเป็นวงกว้าง กระทบไปถึงประเทศเพื่อนบ้านทีเดียว

เหตุการณ์เช่นนี้เองคือเหตุของความเข้าใจผิดที่เชื่อกันว่าโซวมะชมชอบการใช้ไฟจนกลายเป็นเรื่องที่รู้กันไปทั่ว

ทว่า ความเป็นจริงนั้นดูราวกับจะต่างจากความเชื่อที่ว่า โซวมะกลับดูคล้ายจะเลี่ยงการใช้ไฟให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ในช่วงเวลาเหล่านั้นมีกรณีมากมายปรากฏว่ามีการใช้ศรไฟยิงเข้าสู่ป้อมปราการและเมืองในการโจมตี เพื่อให้ไฟลุกลามภายในสถานที่ป้องกัน จากนั้นจึงเข้าโจมตีต่อเมื่อฝ่ายป้องกันเกิดความสับสนชุลมุน แม้จะเป็นเช่นนั้น ยังเป็นที่ประจักษ์ว่าโซวมะไม่สนใจการบุกล้อมปราสาทมาตั้งแต่ต้น ยังมีการบันทึกไว้ในเอกสารหลายฉบับว่าเขาคัดค้านแผนการโจมตีด้วยเพลิงที่เหล่าแม่ทัพของตนเป็นผู้เสนอ

เช่นนี้เองจึงทำให้คนคาดเดาว่าตัวโซวมะเองไม่ได้ชอบการใช้ไฟดังที่สังคมวาดภาพไว้

‘ยุทธการเนินเขาฮอกห์นาเรียห์’ นั้นคือบันทึกแรกอย่างเป็นทางการที่จดจารการสู้รบของโซวมะ และเพราะผลสัมฤทธิ์โดดเด่นที่สามารถกำจัดศัตรูแปดร้อยนายจนกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านได้ด้วยโซออนจำนวนน้อยนิด จึงมีผู้คนมากมายอ้างอิงถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ทว่าก็ยังเป็นเรื่องจริงอีกเช่นกันที่โซวมะมักปิดปากสนิทเมื่อบทสนทนาดำเนินมาถึงเรื่องนี้

สิ่งนี้เป็นเรื่องจริงแน่นอน เมื่อท่านเคานต์บิลกริตผู้เข้าเจรจาสงบศึกกับโซวมะในฐานะเอกอัครราชทูตแห่งประเทศฮอกห์นานั้น ท่านได้จดบันทึกการเดินทางเอาไว้โดยระบุว่า “เมื่อเราสนทนากันถึงเรื่อง ‘ยุทธการเนินเขาฮอกห์นาเรียห์’ ระหว่างรับประทานอาหารเย็นกับเขา โซมะ คิซากิก็ดูจะรู้สึกหวั่นไหวแม้แสร้งใจเย็น เมื่อข้าเอ่ยปากชื่นชมเขาถึงการต่อสู้นั้น เขามิได้ยิ้ม กลับดูคล้ายไม่พอใจด้วยเหตุบางประการ”

เช่นเดียวกับฝั่งโซออนที่เรียกตนเองว่าเผ่าคมเขี้ยวซึ่งติดตามเขามานับแต่สงครามครั้งนั้น หลายตนเลี่ยงไม่เอ่ยว่าเกิดอะไรขึ้น

แม้จะเป็นเรื่องแปลกประหลาด ทว่าดูคล้ายทุกชีวิตที่มีส่วนร่วมในยุทธการเนินเขาฮอกห์นาเรียห์ ตั้งแต่กองกำลังแห่งฮอกห์นา ไปจนถึงโซวมะผู้วางยุทธการ และกระทั่งโซออนผู้กระทำตามแผนนั้นต่างได้รับความกระทบกระเทือนใหญ่หลวง ทว่านักประวัติศาสตร์มากมายก็ยังชี้ว่าโซออนนั้นต่างยึดมั่นในธรรมเนียมเก่าแก่คงจะไม่กระทำตามแผนการที่ควรเรียกว่า ‘นวัตกรรมแห่งโซวมะ’ เป็นแน่ หากมิได้ประสบความกระทบกระเทือนใหญ่หลวงในคราวนั้น



◆◇◆◇◆



เช้าวันต่อมาหลังฝนหยุดลง การัมยืนอยู่บนถนนสู่ภูเขา ข้างกายมีเพียงกัลกาก้าที่ติดตามมา

เมื่อเขามองไปรอบๆ สิ่งที่เห็นคือโลกที่มอดไหม้

ภูเขาที่เคยเต็มไปด้วยพืชพันธ์หลากสีสัน ใบไม้ที่ร่วงหล่น และต้นไม้มากมายยามนี้กลับกลายเป็นเพียงเงาแห่งอดีต เขม่าดำและถ่านที่ยังเหลือหลังเปลวเพลิง ทั้งยังมีเถ้าสีขาวล้วนเปลี่ยนโลกให้เหลือเพียงสองสี ในอากาศยังอวลด้วยกลิ่นไหม้ กระทั่งยามนี้ต้นไม้ก็ยังลุกไหม้อยู่บ้าง ประทุทางนั้นที ทางนี้ที

“เลวร้ายเหลือเกิน…”

การัมกลืนน้ำลาย เขาไม่อาจบรรยายภาพที่เห็นด้วยคำอื่นได้อีกแล้ว

กัลกาก้าที่ยืนอยู่ติดกันเห็นด้วยเช่นกัน

“ท่านหัวหน้าเผ่า ท่านจินตนาการได้หรือไม่ว่ามีมนุษย์ตายไปมากมายเท่าใด พวกมนุษย์ที่หลบหนีไปก่อนหน้านี้ล้วนถูกจับตัวกลับมาและขังแยกไว้หลายแห่งตามคำสั่งของเจ้าเด็กนามโซมะแล้ว เรายังต้องรักษาพวกมันเพราะถูกบอกให้ช่วยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่ายังมีทหารอีกมากที่ไม่อาจรักษาได้ ด้วยแผลไฟไหม้นั้นหนักหนาเกินไปและสายไปเสียแล้ว”

“เป็นเช่นนี้แล้ว จะมีทหารกี่คนที่หลบหนีไปสามารถกลับถึงป้อมปราการได้อย่างปลอดภัยกัน?”

โซออนไม่ได้บันทึกรายละเอียดว่าฝั่งมนุษย์สูญสิ้นไปเท่าใดในเวลานี้

สิ่งเดียวที่สามารถใช้เป็นเอกสารอ้างอิงได้คือบันทึกของผู้ช่วยหัวหน้ากองร้อยมาโครนิสซึ่งรั้งอยู่ที่ป้อมปราการ

ตามที่ในบันทึกนั้นกล่าว หลังไฟถูกตรวจพบในภูเขาครั้งแรก เหล่าทหารก็ทยอยมาถึงป้อมปราการหลังจากนั้นสามวัน และมาอย่างต่อเนื่องอีกหลายวันหลังจากนั้น พวกทหารที่กลับมาจากเหตุเพลิงไหม้นี้มีรวมกันราวสองกองร้อย คือพวกทหารพลาธิการเพื่อสนับสนุนทหารฝ่ายยุทธการ และพวกที่ถูกจัดตำแหน่งให้อยู่ท้ายแถวของกองทัพ ทว่าทหารเหล่านี้ก็ยังมีสภาพเลวร้ายยิ่ง พวกเขาล้วนแต่สกปรกเลอะเทอะและถูกปกคลุมด้วยขี้เถ้า ยังมีทหารหลายนายถูกเผาไหม้และได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกหินกระแทก ดังนั้นพวกเขาหลายคนจึงได้จากไปด้วยการรักษานั้นไม่เกิดผล

กล่าวกันว่าจำนวนนายทหารที่ปรากฏนั้นมีอยู่หนึ่งในสี่ของทหารที่มาถึงป้อมปราการ

จากข้อเท็จจริงที่ว่าในยามนั้นจำนวนทหารหนึ่งกองร้อยมีอยู่ 100 นาย ดูคล้ายว่าผู้รอดชีวิตจะมีจำนวนประมาณ 150 นาย

นอกจากนั้น ยังกล่าวอีกว่าทหารผู้ถูกจับเป็นเชลยของโซออนยังถูกทยอยปล่อยตัวคืนกลับมายังป้อมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งท้ายสุดแล้วทำให้มีจำนวนเต็มสองกองร้อย

นอกจากพวกเขาแล้ว ยังคาดว่ามีทหารที่หลบหนีไปไม่กลับป้อมปราการอีก ทว่าเนื่องจากหากจะเดินจากป้อมไปยังหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดยังใช้เวลาถึงสองวันกว่า จำนวนผู้รอดชีวิตจึงคาดว่าจะมีไม่มากนัก ทั้งยังง่ายจะจินตนาการว่าหลายคนย่อมเสียชีวิตด้วยการขาดอาหารหรือได้รับบาดเจ็บ หากมองโลกในแง่ดีแล้ว จำนวนทหารที่รอดชีวิตคงมีอยู่ราว 400 นายเป็นอย่างมาก

สูญเสียทหารไปถึงครึ่งหนึ่งของทหารแปดร้อยนายโดยไม่อาจแม้แต่จะได้สู้อย่างเหมาะสมนับเป็นเหตุที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

มีหลายกรณีที่ปรากฏว่าทหารในช่วงเวลานั้นล้วนเป็นพวกผู้อพยพยากไร้ รวมไปถึงชาวนาที่ไม่มีอะไรจะทำที่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธ ความภักดีต่อประเทศและผู้บัญชาการของพวกเขาต่ำต้อย การพูดว่าเป็นการสังหารหมู่ฝ่ายเดียวก็ไม่ใช่การพูดเกิดจริงหากกองทหารนั้นสูญเสียความแข็งแกร่งทางอาวุธไปครึ่งหนึ่งในสนามรบ เพื่อความสะดวกในการถกเถียงกัน ต่อให้พวกเขาจัดรูปแบบกองกำลังใหม่ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะนำพวกเขามาใช้งานอย่างปกติอีก เนื่องด้วยความกลัวแห่งความพ่ายแพ้นั้นเผาไหม้ฝังลึกสู่จิตใจแล้ว

“ฝั่งเราสูญเสียไปเท่าไหร่?”

กัลกาก้าก้มหน้ามองมือตอนเองขณะตอบคำถามการัม หนังที่มือลอกเพราะการใช้อาวุธที่ไม่คุ้นเคยเช่นธนูและลูกศรนั่น

“มีบางตนถูกไฟลวกเพราะทำพลาดตอนจุดไฟ บ้างก็เจ็บคอเพราะสูดเอาควันเข้าไป และบ้างก็เจ็บมือเพราะต้องใช้ธนูและศรที่ไม่คุ้นเคย เท่านั้นขอรับ”

เทียบกับการสังหารหมู่กองกำลังมนุษย์แล้ว ความเสียหายของฝั่งโซออนกลับไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

ทั้งสิ่งนี้ยังเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม แสดงให้เห็นว่าเป็นโซออนที่โจมตีอยู่ฝ่ายเดียว

ผลจากการได้รับรายงานนั้น การัมเปรยขึ้นอย่างตกตะลึง

“ต้องเรียกสิ่งนี้ว่าอย่างไรจึงจะดีที่สุดกัน…?”

“หากไม่ผิดพลาด เรียกว่าชัยชนะได้หรือไม่?”

“อย่าโง่ไปหน่อยเลย กัลกาก้า”

การัมทอดถอนใจลึกล้ำ

“จะเป็นเพียงชัยชนะธรรมดาได้หรือ? อย่างน้อยต้องเรียกว่าชัยชนะขาดลอย”

สิ่งที่การัมเอ่ยนั้นสมเหตุสมผล แม้จะมีกำลังทหารต่างกันมากมาย พวกเขาก็ยังฆ่าล้างศัตรูโดยไม่สูญเสียรุนแรง ย่อมไม่อาจเรียกว่าชัยชนะอย่างดาษดื่นได้

ลมเหนือพัดเอาเถ้าสีขาวราวหิมะลอยขึ้นระหว่างทั้งสอง

กัลกาก้ากังวลยิ่งว่าควรเอ่ยหรือไม่ ทว่าเมื่อตอบคำถามตนเองได้แล้ว เขาก็เปิดปาก

“ทว่า หัวหน้าเผ่า พูดตามตรง ข้ากลัว”

การัมไม่ตอบคำใด ทว่ารู้ดีว่ากัลกาก้าอยากเอ่ยสิ่งใด

“ท่านเรียกสิ่งนี้ว่าการรบได้หรือ? อย่างน้อยสิ่งนี้ก็ไม่ใช่การรบดังที่พวกเราโซออนรู้จัก”

ตะโกนเช่นนี้ กัลกาก้าชี้ไปยังภาพรอบข้างที่ยามนี้ถูกเปลี่ยนเป็นแดนมอดไหม้

“นี่คือพลังของเทพีแห่งความตายและหายนะหรือ? นี่คือพลังของเจ้าเด็กนั่นหรือ? ข้าอดกลัวมิได้ บอกข้าเถอะ วันใดวันหนึ่ง จะกลายเป็นพวกเราที่ตายในสถานที่เช่นนี้หรือไม่!?”

ในดวงตากัลกาก้า ซากศพของทหารมนุษย์ที่นอนเรียงรายบนเขาและเปลี่ยนเป็นเถ้าและฝุ่นดินแล้วนั้น กลับทับซ้อนกับร่างของโซออนมากมายในอนาคต

การัมเข้าใจความวิตกหวาดหวั่นของกัลกาก้ายิ่ง

สิ่งนี้แตกต่างจากธรรมชาติของโซออนเกินไป พวกเขากระทำเช่นนี้ จึงได้เกรงว่าเหล่าโซออนอาจมิได้ตายลงในฐานะโซออน

ทว่าในฐานะหัวหน้าเผ่าที่ต้องดูแลเผ่านั้นกลับนับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“กัลกาก้า พวกเราอาจต้องเปลี่ยน”

“เปลี่ยนหรือ...?”

“ใช่แล้ว ในอดีตเราต่างสู้กับโซออนด้วยกัน ย่อมได้รับเกียรติยศและศักดิ์ศรี ทั้งยังเป็นธรรมเนียม”

การัมหวนระลึกถึงการสู้รบของโซออนที่ครั้งหนึ่งเคยปรากฏในทุ่งกว้าง กระทำซ้ำต่อเนื่องมาอย่างภาคภูมิโดยบรรพบุรุษ

ทว่าการัมที่เป็นถึงเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังสังหรณ์ว่าพวกตนไม่อาจเอาชนะมนุษย์ได้ด้วยวิธีเช่นนั้น

มนุษย์เหล่านั้นที่ไร้ซึ่งพละกำลัง เรียนรู้จะเอาชนะโซออนด้วยการสร้างยศลำดับและจำนวน ในทางตรงข้าม โซออนกลับไม่เคยเรียนรู้อะไร ไม่ทำอะไร เอาแต่กระทำซ้ำวิถีการต่อสู้ดั้งเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเท่านั้น

ในยามนั้นยังมีนักรบโซออนมากมายเกินพอ ทว่าเมื่อสงครามสืบเนื่องยาวนาน ฝั่งโซออนก็สูญเสียนักรบเยาว์ไปมากมาย ในทางตรงข้าม มนุษย์กลับแผ่ขยายอิทธิพล ตัดถางป่าและภูเขา เพิ่มจำนวนคน ทิ้งกำลังทหารไว้ในทุ่งกว้างได้อย่างไม่หยุดยั้ง

ฝั่งโซออนผู้ด้อยกว่าทางจำนนในยามปกติกลับตกอยู่ในวังวนเลวร้ายไม่อาจเพิ่มจำนวนเพื่อต่อสู้มนุษย์ สงครามยิ่งทวีความต่างชั้น

เป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่เพียงเผ่าคมเขี้ยว แต่อีกไม่นาน โซออนคงต้องหายไปจนหมดสิ้น

“หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราโซออนคงถูกทำลายลง เพื่อไม่ให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น เราจำเป็นต้องเปลี่ยน”

เพื่อการนั้น พลังของเด็กมนุษย์นามโซมะผู้นั้นจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด การัมรู้สึกได้รุนแรงยิ่งแต่มิได้กล่าวออกไป

ทว่าในเวลานี้ การัมยังไม่ทราบ

ว่ามีเรื่องใหญ่อันผิดปกติกำลังมาเยือนโซวมะอยู่ในขณะนี้




◆◇◆◇◆



ในเวลานั้น โซวมะกำลังไปเยี่ยมชมค่ายโดยมีเชมุลนำทาง

กระทั่งตอนนี้ ซากตึกที่ถูกเผาไหม้ก็ยังคงคุกรุ่น ควันขาวยังโชยขึ้นเหนือค่ายที่ฝนเพิ่งจะหยุดลง โซออนนับไม่ถ้วนต่างทำความสะอาดซากปรักหักพัง

กระทั่งหลังมาถึงค่าย โซวมะก็ยังอารมณ์ดีอยู่ รอยยิ้มยินดีไม่เลือนหายแม้แต่ขณะเดียว กองกำลังศัตรูที่ถูกขับไล่ถูกจับได้ตามแผนที่เขาคิดไว้ เขาจะไม่ยินดีได้ยังไงกัน อีกอย่าง ทั้งหมดยังเป็นเพราะเชมุลที่อยู่ด้านข้างพูดกับเขาอย่างยินดีว่าสามารถเอาชนะศัตรูได้โดยไม่สูญเสียแม้แต่ชีวิตเดียวเพราะโซวมะอีกด้วย

สิ่งที่โซวมะนึกขึ้นมาได้ตอนกำลังคิดหาวิธีขับไล่กองกำลังทหารมนุษย์อยู่นั้น คือบทหนึ่งในมังงะ ‘ซังโงคุชิ’ ตอนสงครามที่ทุ่งพกบ๋อง

ในมังงะ เล่าปี่ถูกทหารหนึ่งแสนนายของโจโฉโจมตีที่ซินเอี๋ย นำโดยแฮหัวตุ้น จูกัดเหลียงที่เล่าปี่เพิ่งจะรับมาก็ได้วางแผนล่อแฮหัวตุ้นเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่าศึกทุ่งพกบ๋อง

ผู้ช่วยผู้บัญชาการลิเตียนได้เอ่ยเตือนแฮหัวตุ้นที่ไล่ตามศัตรูที่ตนดูแคลนว่ามีคนจำนวนน้อยกว่าไป จนเมื่อทราบว่าพวกตนโดนล่อลวงมาโดยใช้คำซุนวู ‘พึงระวังกับดักเพลิงของศัตรูหากทางเดินคับแคบยากลำบากนั้นอยู่ในช่องเขาและแม่น้ำที่ซึ่งพืชพันธุ์ขึ้นหนาแน่น’ เมื่อตอนที่แฮหัวตุ้นมองไปรอบกายเห็นว่ารอบข้างมียุทธศาสตร์แบบนั้นก็สายไปเสียแล้ว กองทหารของโจโฉสับสนวุ่นวายเพราะกับดักของเล่าปี่ พวกเขาจึงพ่ายแพ้โดยผู้ช่วยผู้บัญชาการลิเตียนต้องถูกสังหารลง

ไม่เพียงจูกัดเหลียงเอาชนะกองทหารขนาดใหญ่ได้ด้วยแผนการเดียวตั้งแต่ครั้งแรกเท่านั้น เขายังได้รับการยอมรับความสามารถจากกวนอูและเตียวหุยที่คราวแรกไม่ยอมรับอีกด้วย เป็นฉากยอดนิยมที่พูดถึงกันเวลาบรรยายถึงการได้รับการยอมรับ

จูกัดเหลียงเป็นที่นิยมในญี่ปุ่นมากในฐานะนักกลยุทธ์ผู้มีสายตายาวไกลและแผนการล้ำลึก

อีกอย่าง ถ้าถามว่าโซวมะชอบตัวละครไหนที่สุดในซังโงคุชิ เขาก็ต้องเลือกขงเบ้งอยู่แล้ว

เรื่องนี้นับว่าเข้าใจได้ ว่าโซวมะผู้ซึ่งจัดการขับไล่กองกำลังศัตรูไปด้วยวิธีการเดียวกับขงเบ้งด้วยการโจมตีด้วยไฟเช่นกันกำลังภูมิใจสุดขีด

ทว่า โซวมะมองความเป็นจริงเบาเกินไป

กระทั่งก่อนวันนั้น การสู้รบที่เขารู้จักยังเป็นแค่อีเว้นท์ในเกม ในมังงะ ในนิยาย เลยไม่เคยเห็นภาพว่าสนามรบนั้นเลวร้ายเพียงใด และถึงแม้จะคิดภาพเอาไว้ สุดท้ายเขาก็คงต้องอาเจียนเมื่อพบกับความเป็นจริงที่เลวร้ายเหนือจินตนาการ

ดังนั้น มันจึงส่งผลต่อโซวมะเมื่อได้พบเห็นเป็นครั้งแรก

ภาพของสนามรบนั้นส่งผลกระทบรุนแรงที่ไม่ว่าภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิคสมจริงหรือสเปเชียลเอฟเฟ็คท์ที่ดีแค่ไหนก็ยังสู้ไม่ได้ กลิ่นเหม็นฉุนล่องลอยไปทั่วบริเวณสุดลูกหูลูกตา เสียงของผู้คนที่ครวญครางอย่างเจ็บปวด ความร้อนที่แผ่กระจายออกมาจากตึกที่คุกรุ่นจวนเจียนพัง ความขมในลำคอเพียงแค่หายใจเข้า

ประสาทสัมผัสทั้งห้าของโซวมะบ่งบอกให้เขารู้ว่านี่คือความเป็นจริง

ความรู้สึกดีใจจนถึงยามนี้ลดต่ำลงราวถูกสาดด้วยน้ำเย็น

คนที่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของโซวมะคือเชมุล

“เป็นอะไรไปโซมะ? ไม่สบายหรือ?”

ทว่าเขากลับไม่ได้ยินเสียงเชมุล โซวมะไม่ขยับเขยื้อน จ้องมองภาพเบื้องหน้า

ที่อยู่ในสายตาเขา คือซากศพของทหารที่ถูกไฟคลอกตาย ร่างกายท่อนล่างถูกทับแบนเพราะตึกที่ไหม้ถล่มลงมา

เชมุลนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นศพนั้นถูกไหม้จนเกรียม ทั้งที่ยังมีสีหน้าเลวร้ายคล้ายกำลังกรีดร้อง

“ศพนั้นทำไมหรือ?”

เชมุลหันไปกล่าวเช่นนั้น นางเบิกตากว้างอย่างงุนงง

สีเลือดหายไปจากใบหน้าโซวมะ เขาหน้าซีดราวคนตาย ดวงตาเบิกกว้างถึงขีดสุด การหายใจถี่กระชั้นรุนแรง ทีแรกเขาตัวสั่นเล็กน้อย จากนั้นก็รุนแรงขึ่้นทุกที ในที่สุดทั้งร่างเขาก็สั่นกระตุกรุนแรงใกล้เคียงอาการชัก

“อ๊าาาาา...อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา”

ราวกับเค้นเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด สิ่งที่ลอดออกมาจากปากเขาไม่ต่อเนื่อง

“โซมะ!? เป็นอะไรไป!?”

ทันทีที่คอของโซวมะสิ้นเสียง เขาก็อาเจียนรุนแรง จนกระทั่งอ้วกเอาทุกสิ่งในท้องออกมาหมดก็ยังไม่หยุด ร่างเขายังคงสั่นสะท้านอาเจียนเอาทั้งมูกผสมน้ำย่อยและน้ำลายออกมาจนฟูมปาก

“โซมะ! โซมะ!? ใครก็ได้เรียกแม่เฒ่ามา! โซมะอาการแย่แล้ว!”

ฟังเสียงเชมุลตะโกน โซวมะล้มลง หน้าทุ่มลงกองอาเจียนของตนเองและสูญเสียสติสัมปชัญญะไป

แก้ไขจาก จูเก่อเหลียง (สำเนียงจีนกลาง)
เป็น จูกัดเหลียง (สำเนียงแต้จิ๋ว) แทนนะคะ เพื่อความคุ้นเคยของผู้อ่านค่า

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น