[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 19: แดงโลหิต



คบเพลิงจากหน้าผาร่วงหล่นสู่พื้น แผ่ขยายออกเป็นวงกลมสีแดง

เปลวเพลิงลุกลามทันทีที่คบไฟแตะพื้นและกระเด้งไปมาหลายครั้ง น้ำมันที่ราดเอาไว้บนพื้นก่อนหน้านี้ลุกเป็นไฟ


ไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว ขยายตัวด้วยหญ้าแห้งและกองฟืนที่สุมอยู่ตามข้างอาคารและรั้ว

มันระเบิดออก ห่อหุ้มทั้งค่ายไว้ในเพลิงนรกภายในชั่วพริบตา

“อ๊ากกกก!!”

“ไฟ! ไฟไหม้! เราจะถูกไฟคลอกตายแล้ว!”

“ด-ได้โปรด ช่วยข้าด้วย!”

ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดไม่กลัวไฟ

กระทั่งมนุษย์ผู้ควบคุมธรรมชาติทันทีที่ทราบวิธีใช้เปลวเพลิงเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ข้าสงสัยนัก จะมีมนุษย์คนใดไม่เกรงกลัวหากเกิดไฟไหม้กระทันหันต่อหน้าต่อตา?

ข้าสงสัยนัก จะมีมนุษย์คนใดยังใจเย็นอยู่ได้ยามได้กลิ่นเผาไหม้แตะจมูก สัมผัสความร้อนด้วยผิวหนัง?


ยังมี ข้าสงสัยยิ่ง ว่าพวกมันจะยังใจเย็นได้อีกหรือ ยามสหายร่วมรบของมันทั้งแตกตื่น กรีดร้อง วิ่งหนีบ้าคลั่งด้วยความกริ่งเกรงต่อเปลวเพลิง?


“อ๊ากกก”

“ข้าไม่อยากตาย!”

“ร้อน ร้อนเหลือเกิน! ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย!”

เหล่ามนุษย์ในค่ายนั้นไม่ใช่ทหารอีกต่อไป

ล้วนเป็นเพียงเดรัจฉานที่หาทางแก่งแย่งเพื่อหลบหนีออกไปเป็นลำดับแรก

“ม่ายยย! มีก้อนหินร่วงมาแล้ว!”

นอกจากนั้น โซออนที่ยืนอยู่บนยอดผาก็เริ่มขว้างปาก้อนหินใส่พวกเขา

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่หินก้อนเล็กที่รับได้ง่ายๆ ล้วนแต่เป็นหินน้ำหนักหลายกิโลกรัม ร่วงลงมาจากความสูงยี่สิบเมตร หากถูกกระแทก ย่อมไม่จบลงแค่ความเจ็บปวดธรรมดา

หากพวกมันเป็นธนู การป้องกันด้วยโล่ยังเป็นไปได้ ทว่าเป็นก้อนหินที่ร่วงลง หากใช้โล่ป้องกัน ก็ยังมีหินก้อนใหญ่กว่าถูกขว้างปามาอีก โล่ต่างหากที่จะพังก่อน

เพราะก้อนหินเหล่านี้ ทหารหลายนายล้วนล้มลงสู่พื้น หัวแบะอ้า หน้าอกบุบเบี้ยว

“เจ้าโง่ เปิดทางเดียวนี้! เปิดทาง ไม่งั้นล่ะก็!!”

หัวหน้ากองพันลูกินาซตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ทว่าเสียงเขาไม่เข้าหูใครอีกต่อไป

ไม่เพียงเท่านั้น คลื่นทหารที่แตกตื่นล้วนผลักม้าที่ลูกินาซขี่อยู่จากทุกทิศทาง เขาพยายามควบคุมม้าด้วยการกระตุกบังเหียน ทว่าแต่แรกม้าก็เป็นสัตว์ที่ขี้กลัวโดยธรรมชาติ มันทั้งแตกตื่นจากเปลวเพลิงและเสียงกรีดร้องของบรรดาทหารที่พยายามจะวิ่งหนี จึงพยศขึ้นมา

ร่างของลูกินาซกระเด็นหล่นจากหลังม้าจนหลังกระแทกพื้น เขาจุกจนหายใจไม่ออก ลูกินาซยังถูกโชคร้ายกระหน่ำซ้ำเติม เขาครวญครางอย่างเจ็บปวด ทว่าหนึ่งในทหารที่พยายามวิ่งหนีก็เหยียบขาขวาลูกินาซเข้าเต็มแรง ความเจ็บปวดเสียดแทงขึ้นมาพร้อมเสียงแตกเสียงหนึ่ง

ลูกินาซผู้ล้มอยู่บนพื้นไม่อาจส่งเสียงกรีดร้อง เห็นเงาสายหนึ่งจากด้านบน เมื่อมองขึ้นไปทั้งที่ยังทรมาณจากความเจ็บปวดจึงได้เห็น มันคือเงาของก้อนหินที่โซออนเด็กบนยอดผาโยนลงมา

ภายใต้ทัศนวิสัยอันจำกัดของลูกินาซ ก้อนหินร่วงหล่นใส่เขาราวถูกดึงดูดเข้าหาตัว

หินก้อนนั้นมีผิวขรุขระหยาบกระด้าง

นั่นคือภาพสุดท้ายที่หัวหน้ากองพันลูกินาซได้เห็นในชีวิต



◆◇◆◇◆


ผู้ที่ยิงศรไฟจากยอดผาคือโซออนตนหนึ่ง นาม ฟากัล กราชาต้า ชาฮาต้า

แม้ชาฮาต้าจะเป็นนักล่า เขากลับมิใช่นักรบ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บเมื่อยังเยาว์วัย ชาฮาต้าจึงไม่อาจวิ่ง

เมื่อโซออนเติบโตจนสามารถล่าสัตว์ได้ด้วยพลังของตนเองจึงจะเรียกตนเองว่านักล่า

และเมื่ออายุถึงเกณฑ์ที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว พวกเขาจะต้องออกล่าสัตว์ที่คล้ายกับตัวนูด้วยมีดดาบเพียงเล่มเดียว พวกเขาต้องค้นหาฝูงสัตว์ภายในทุ่งกว้าง ไล่ล่าและเลือกเหยื่อที่สามารถเอาชนะได้ จากนั้น เมื่อพบโอกาส พวกเขาจะต้องวิ่งด้วยสี่ขา กระโดดขึ้นไปบนหลังของเหยื่อ ฆ่ามันเสียโดยการตัดคอด้วยมีดดาบ

นั่นคือการล่าของโซออน

เมื่อพวกเขานำเหยื่อที่ล่าได้กลับมา จึงจะได้รับอนุญาตให้เรียกตนเองว่านักรบได้อย่างเป็นทางการ

ทว่าชาฮาต้าที่ไม่อาจวิ่ง จึงไม่มีหนทางอื่นใดนอกจากการให้ธนูซึ่งนับเป็นอาวุธของผู้ขี้ขลาดในเหล่าโซออน ด้วยเหตุนั้น แน่นอนว่าจึงไม่มีโซออนตนใดใช้ธนูได้ เขาสามารถเรียนวิธีการใช้ธนูได้ด้วยการสังเกตุการณ์มนุษย์และเอลฟ์นักล่าเท่านั้น

เขามักถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยามจากพี่น้อง ทว่าชาฮาต้าก็ไร้ทางเลือกอื่นใด หลังฝึกฝนอย่างหนักหน่วง เขาสามารถโอ้อวดฝีมืออันโดดเด่นของตนได้ ยามออกล่า เขายังสามารถจับเหยื่อได้มากไม่แพ้ผู้อื่นในเผ่าสักนิด

แม้จะเป็นเช่นนั้น ชาฮาต้าก็ยังไม่อาจเป็นนักรบ เขาจะไม่มีทางได้รับการยอมรับเพราะไม่อาจออกวิ่งได้ด้วยสี่แขนขาของตนเอง ไล่ล่าเหยื่อด้วยมีดดาบ

ยามนักรบมากมายมุ่งหน้าสู่สนามรบ ชาฮาต้ากลับต้องรั้งอยู่ที่หมู่บ้าน มองพวกเขาจากไป เขาจึงมักโศกเศร้าอยู่เสมอ

ทว่า ในยามนั้นเอง เด็กมนุษย์ผู้นั้นก็มาถึง

“ได้ยินจากเชมุลว่าคุณเป็นนักธนูที่เก่งที่สุดของที่นี่ใช่ไหมครับ?”

ต่อให้เรียกตนเองว่าเป็นนักธนูที่เก่งที่สุดในหมู่บ้านโซออน นั่นก็ไม่ใช่คำชื่นชม

โซวมะกล่าวเช่นนั้นด้วยสีหน้าจริงจึงต่อชาฮาต้าผู้ทำได้เพียงตอบว่า ‘ใช่’ เสียงขมขื่นด้วยมิอาจกักเก็บความรู้สึกย่ำแย่ในใจ

“ได้โปรดให้ผมได้ยืมกำลังของคุณด้วยเถอะ”

คราวแรก ชาฮาต้ายังสงสัยว่าจะเป็นเรื่องตลกอะไรกัน การขอยืมพลังของเขาผู้ที่แม้แต่นักรบก็ยังไม่ใช่ในสนามรบ เขายังไม่เคยถูกกล่าวด้วยเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ไม่เพียงเท่านั้น การเข้าสู่สนามรบเช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตนจะใฝ่ถึง

โซวมะอธิบายให้ชาฮาต้าที่กล่าวว่าไม่เชื่อฟัง เขาใช้ถ้อยคำที่เรียบง่ายที่สุดเท่าที่ทำได้

ขณะฟังนั้น ชาฮาต้าก็รู้สึกคล้ายมีบางสิ่งระอุเดือดพล่านอยู่ในอก

มันคือสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ ทว่าสิ่งนั้นปลุกเร้าชาฮาต้า กระตุ้นให้อยากตะโกนออกมาด้วยเสียงดังลั่น ราวกับไม่อาจหักห้ามไว้ได้อีกต่อไป

อย่างแรก โซวมะบอกเขาให้สอนนักรบใช้ธนู เนื่องจากพวกเขามีทั้งธนูและศรมากมายที่พวกมนุษย์ทิ้งไว้ในค่าย เรื่องอุปกรณ์ย่อมไม่ใช่ปัญหา

แน่นอนเหล่านักรบล้วนแสดงสีหน้าขัดขืน ทว่าสำหรับชาฮาต้าในยามนี้กลับไม่ใช่ปัญหา

“คุณชาฮาต้าครับ แผนนี้จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับฝีมือคุณแล้ว ผมรอร่วมงานกับคุณอยู่นะ”

จากนั้น ตามคำขอของโซวมะ ชาฮาต้ายืนเหนือยอดผา กำหมัดที่สั่นสะท้านจากความกังวลแน่น ที่เท้าเขาคือศรไฟที่ถูกจัดเตรียมไว้ด้วยการนำหัวธนูห่อด้วยผ้าชุบน้ำมัน เขาหยิบมันขึ้นมาดอกหนึ่ง ยืนเคียงข้างหัวหน้าเผ่าที่กู่เสียงสิงหนาทส่งสัญญาณเริ่มสงคราม และน้าวสายธนูจนสุด

เด็กมนุษย์นั่นก้มศีรษะให้เขาและขอร้องเขาที่ใช้เวลาทุกวันอย่างมืดมนขมขื่นในหมู่บ้านโซออนเพื่อขอยืมกำลังของเขา

เขาไม่ใช่โซออนผู้ภาคภูมิ ทว่าหากเขายังไม่อาจทำตามความคาดหวังได้ เขาก็เลวร้ายยิ่งกว่าขยะเหม็นเน่าแล้ว! เช่นนั้นสุดท้ายเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากขยะเสียเอง!

ชาฮาต้าก่นด่าตนเองเช่นนั้น และปล่อยลูกศรออกจากคันธนูที่น้าวจนสุดในเวลาเดียวกับที่เสียงกู่ร้องของหัวหน้าเผ่าสิ้นสุดลง

สิ่งที่เขาเล็ง คืออาคารที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงใจกลางค่าย หากมนุษย์สังเกตเห็นน้ำมันที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นเร็วเกินไปจะอันตราย เขาจึงได้เลือกที่จะจุดไฟเผาอาคารที่อยู่ใกล้ใจกลางค่ายโดยตรง

ศรไฟที่ชาฮาต้ายิงออกปักเข้าสู่หลังคาอาคารแต่ละหลังทีละดอก บ้างก็พลาดเป้า ทว่าสุดท้ายเขาก็ยังยิงศรไฟปักหลังคาทุกอาคารได้สำเร็จ จากศรไฟ เปลวเพลิงก็ลามสู่หญ้าแห้งและฟืนที่วางไว้บนหลังคา ลุกไหม้จนท่วม ถุงหนังใส่น้ำมันที่แขวนไว้ด้วยเชือกบางๆ ร่วงลงจากหลังคาจนน้ำมันสาดกระจายไปทั่ว เมื่อน้ำมันเหล่านั้นติดไฟ หลายอาคารก็ถูกอาบย้อมด้วยเปลวเพลิง

หัวหน้าเผ่าการัมมองอาคารทั้งหมดที่ลุกไหม้สว่างไสว เขาเรียกชาฮาต้าที่โล่งอกเมื่อทำตามคำขอของโซวมะได้สำเร็จ ขณะที่ตนเองก็ขว้างหินที่อยู่ใกล้ตัว

“ข้าตกใจนัก เจ้ายิงพวกมันจากตรงนี้ได้ ทำได้ดียิ่ง”

ไม่มีคำใดมากกว่านั้น

ทว่าถ้อยคำเหล่านั้นทำให้ในอกชาฮาต้าล้นปรี่ด้วยความรู้สึกถั่งโถม

เขาผู้ไม่ใช่นักรบ ได้รับคำชมจากหัวหน้าเผ่า

สิ่งนี้ยิ่งกว่าพอเพื่อปัดเป่าความรู้สึกโศกเศร้าที่เขามีมาจนถึงยามนี้

ชาฮาต้าปาดน้ำตาอย่างลวกๆ ด้วยแขน เขาหยิบลูกศรเล่มต่อไปขึ้น

“ยังไม่จบขอรับ การต่อสู้นี้ยังอีกยาวกว่าจะจบลง”



◆◇◆◇◆


กระทั่งกองทัพตามมาบนทางเดินนี้ก็ยังเห็นเปลวเพลิงโหมกระหน่ำภายในค่าย

เห็นค่ายเป็นเช่นนั้น ความสับสนวุ่นวายก็บังเกิดขึ้นในหมู่ทหาร ในขณะที่ผู้บังคับบัญชาของพวกเขาล้วนแต่ถูกเพลิงไหม้กลืนกินเสียแล้ว

ทว่าความวุ่นวายก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้อง

ไม่เพียงในค่าย ไฟยังลุกโชนขึ้นขนาบสองฝั่งทางเดินที่พวกเขาอยู่ และสุดท้าย ที่พงไม้ทางซ้ายมือ ยังมีกองหญ้าแห้งและฟืนที่ซ่อนอยู่ใต้ใบไม้ที่ร่วงลงจากเนินเขาทางด้านขวา พวกมันลุกโชนขึ้นทีละกอง

ในเวลาเดียวกัน โซออนมากมายปรากฏขึ้นที่ยอดเนินทางขวา

พวกมันจุดไฟใส่ลูกบอลยักษ์ที่ทำจากหญ้าแห้งและกิ่งไม้ บอลเหล่านี้ถูกทาด้วยน้ำมัน จึงลุกโชนทันทีที่ปาลงมายังทางเดินเบื้องล่าง

เหล่าทหารล้วนแต่สับสนตกใจเมื่อบอลไฟเหล่านั้นกลิ้งลงมาตามเนินลาด

หากพวกเขาใจเย็นลงกว่านี้อีกนิด ก็อาจจะสามารถเตะหรือปัดป้องได้ อาจจะเอาคืนได้ด้วยการคว้าจับลูกบอลด้วยมือเพราะต่างก็สวมถึงมือหนังหนาๆ ทว่าเมื่อพวกเขาล้วนแต่กระโดดหนีอย่างตกใจกับลูกบอลไฟท่ามกลางคนมากมาย จึงทำให้ถอยไปชนคนข้างกายหรือข้างหลัง สุดท้ายจึงถูกผลักให้ถอยหลังต่อๆ กันไป เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ก็กลายเป็นความวุ่นวายขึ้นมา ราวกับเกมของเด็กๆ ที่ให้คนมากกว่าสามคนยืนหลังชนหลังเป็นวงกลมแล้วเบียดกัน พวกเขาต่างก็พยายามหลบลูกไฟแม้จะดวงเล็กเพียงใด ก่อให้เกิดเป็นความวุ่นวายราวหายนะ

ถึงจุดนั้น ฝั่งโซออนก็เริ่มขว้างหินลงมา ยังมีผู้ที่พยายามจะโต้ตอบเอาคืนด้วยธนูเมื่อเห็นสหายถูกหินกระแทกใส่จนล้มตาย ทว่าคนเหล่านั้นล้วนแต่ถูกผู้คนที่แตกตื่นพยายามวิ่งหนีเบียดไปมาจนไม่อาจตั้งคันธนูได้ เหล่าโซออนยังคงขว้างปาก้อนหินลงมาไม่ขาดสายราวห่าฝนและยิ่งหนาแน่นขึ้นเมื่อเห็นพวกเขา เพื่อป้องกันไม่ให้โจมตีคืน

ในบรรดาพวกเขา ยังมีนิริวที่หวาดกลัวทั้งจากเพลิงโหมและทหารที่แตกตื่นอยู่ มันออกวิ่งลงไปตามทางเดินเขาทั้งยังส่งเสียงร้องลั่น แม้จะบอกว่ามันเป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวเชื่องช้า ทว่ากระทั่งนิริวเองก็สามารถวิ่งได้อย่างรวดเร็วยามชีวิตมีภัย นิริววิ่งอย่างบ้าคลั่ง ทั้งเตะทั้งถีบทหารที่ขวางทาง แต่มันถูกยื้อไว้ด้วยเกวียนขนาดใหญ่ที่เริ่มโซซัดโซเซเพราะร่างทหารที่ล้มลง สุดท้ายนิริวจึงพุ่งถลาเข้าใส่พงไม้ทางซ้าย เจ้านิริวที่ไม่อาจขยับกายเพราะถูกเกวียนล้มทับส่งเสียงร้องโหยหวนเมื่อร่างของมันถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ ทว่ากลับไม่มีใครสามารถช่วยมันได้

หินที่โซออนปาใส่ยิ่งหนักหน่วงมากขึ้น เหล่าทหารไร้หนทางหลบหนีด้วยถูกไฟขนาบข้างทั้งซ้ายขวา ทั้งหน้าและหลังยังถูกลูกบอลไฟขัดขวาง

หนึ่งในเหล่าทหารที่รู้ภูมิประเทศแห่งนี้ดีร้องตะโกนขึ้น

“ทางนั้นมีแม่น้ำ! ด้านหลังพงไม้มีแม่น้ำ! ที่อยู่ทางซ้าย!”

สำหรับเหล่าทหารที่ถูกเปลวเพลิงโอบล้อม คำว่าแม่น้ำเปรียบได้ดั่งคำศักดิ์สิทธิ์จากปวงเทพ

ทว่า เพื่อไปที่แม่น้ำดังกล่าว พวกเขาต้องแหวกผ่านพงไม้ที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟ ขณะที่ทุกคนยังลังเล ทหารนายหนึ่งก็ตัดสินใจได้ กระโดดเข้าไปในพงไม้ที่ถูกเผาไหม้

เมื่อมีคนหนึ่งเริ่ม อีกหลายคนก็พุ่งตามไปเพื่อวิ่งหาน้ำจากแม่น้ำ

ในพงไม้ที่กำลังลุกไหม้นั้นกลับยิ่งเลวร้าย พวกเขาไม่อาจหายใจได้ตามปกติจากความร้อนและควัน ยังรู้สึกแสบร้อนจากอากาศร้อนจัดจนเหงื่อเต็มหน้า ทว่าพวกเขาก็ยังวิ่งผ่านมันไปอย่างบ้าคลั่ง อดทนเพื่อความหวังจะไปถึงแม่น้ำได้

เมื่อทหารคนแรกที่พุ่งเข้ามาวิ่งมาจนถึงจุดหนึ่ง เท้าของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดก่อนจะล้มโครม

ทหารนายนี้ร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อรู้สึกถึงแรงกระแทกที่ร่างกาย เขาล้มลงโดยไม่ทันป้องกันตัว ทว่ากลับยิ่งตกตะลึงเมื่อรู้เหตุที่ต้นล้มลง

ที่พื้นมีหลุมถูกขุดเอาไว้ ความลึกไม่เกินน่อง หลุมเล็กเพียงพอแค่ให้เท้าข้างหนึ่ง เขาล้มลงเพราะสะดุดหลุมนี้

เมื่อมองให้ดี ภายในพุ่มไม้นี้มีหลุมถูกขุดเอาไว้เต็มไปหมด

หลุมเล็กๆ เหล่านี้จะทำให้คนล้มก็ต่อเมื่อเท้าสะดุดลงไปเท่านั้น ในพงไม้ที่ลุกไหม้นั้น เกิดเหตุให้ตกใจไม่หยุดหย่อน ท้ายที่สุด เมื่อออกมาได้แล้ว หลังเหยียบย่ำเพื่อนพ้องของตน เหล่าทหารก็ได้พบกับหาดริมน้ำ ที่ที่ไม่มีสิ่งใดลุกไหม้ พวกเขาต่างก็รู้สึกโล่งอก ทว่าความรู้สึกนั้นปรากฏเพียงขณะเดียวเท่านั้น

ใครจะเชื่อ โซออนกลุ่มหนึ่งกำลังน้าวสายธนูจนสุด มีคันศรนั่นเล็งมาทางพวกเขา พวกมันยืนอยู่อีกฝั่งของหาด คล้ายดั่งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน

“ยิง~!”

สิ้นเสียงนั้น เหล่าโซออนต่างยิงธนูออกมาโดยพร้อมเพรียง ทหารที่มาถึงหาดริมน้ำเป็นกลุ่มแรกรับศรเหล่านั้นเข้าเต็มๆ ถูกฆ่าทิ้งในทันที

“เหวอออ! โซออน! ทางนั้นมีโซออน!”

“กลับไป กลับไป! เราจะถูกฆ่าที่นี่แล้ว!”

“บอกให้กลับไปไม่ใช่ไง!? เป็นโซออนซุ่มโจมตี!”

ทั้งพวกที่พยายามจะหันกลับเมื่อมาถึงหาด และพวกที่พยายามจะออกจากพุ่มไม้มายังหาดพุ่งชนกัน เกิดเป็นความสับสนชุลมุนรุนแรง บางคนถึงกับถูกผลักจนล้มลง บ้างก็ถูกผลักจากฝั่งแม่น้ำเข้ามาจนหมุนไปมา

ถูกทั้งโซออนและไฟดักไว้ เหล่าทหารไม่รู้จะทำอย่างไรอีกต่อไป

บ้างกวัดแกว่งดาบกู่ร้องแปลกประหลาด บ้างทรุดกายลงร่ำไห้ บ้างถูกฝูงชนผลักไปทางนั้นทีทางนี้ที

และที่คนเหล่านี้ต่างเหมือนกัน คือฝนธนูจากโซออนล้วนสาดซัดใส่พวกเขา

ไม่อาจเรียกได้ว่าสนามรบ สถานที่แห่งนี้กลายเป็นลานฆ่าสัตว์แห่งความบ้าคลั่งไปเสียแล้ว



◆◇◆◇◆


ผู้ที่นำการซุ่มโจมตีทหารมนุษย์ริมฝั่งแม่น้ำคือกัลกาก้า พวกเขาคือกลุ่มที่สามารถยกระดับฝีมือการยิงธนูให้สามารถยิงธนูออกไปตรงๆ ตามที่ชาฮาต้าสอนได้ภายในไม่กี่วัน

พวกเขาล้วนถูกสั่งให้ยิงลูกธนูออกไปเมื่อมนุษย์ทหารวิ่งหนีมาทางนี้

ทว่าในฐานะนับรบโซออน พวกเขาล้วนรังเกียจว่าธนูคืออาวุธของผู้ขี้ขลาด สำหรับพวกเขา การต่อสู้คือการพุ่งเข้าฆ่าฟันศัตรูด้วยมีดดาบ

อีกประการ แม้คาดได้ว่ามนุษย์จะเดินตามทางเดินเขาขึ้นมา ก็ไม่อาจเชื่อได้ว่าพวกนั้นจะมาทางฝั่งแม่น้ำได้แม้แต่น้อย

ทั้งไม่พอใจที่ต้องใช้ธนู ทั้งยังแทบจะไม่เห็นค่าคำกล่าวของโซวมะ ขวัญกำลังใจของโซออนที่นี่จึงตกต่ำยิ่ง กระทั่งกัลกาก้าที่ควรจะแก้ไขวิธีคิดเมื่อได้ยินเสียงบ่นก็ยังทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ยิน

ทว่า เมื่อมนุษย์ทหารกระโดดออกมาจากพงไม้หลังไฟถูกจุดขึ้น ความคิดหย่อนยานเหล่านั้นก็หายวับไปจนสิ้น

หากเป็นทหารที่กู่ร้องปลุกขวัญกำลังใจ เผาไหม้ด้วยความปรารถนาในการต่อสู้ เหล่าโซออนย่อมไม่เกรงกลัวเช่นกัน ทว่าสิ่งที่มากลับเป็นมนุษย์นับร้อยที่วิ่งเบิกตากว้าง สีหน้าหวาดกลัวสุดชีวิตเพราะถูกไฟไล่หลังมา

กระทั่งนักรบโซออนก็ยังหวาดกลัวภาพแปลกประหลาดนี้

ผู้คนล้วนหวาดกลัวสิ่งที่นอกเหนือความเข้าใจตน ความสยองของมนุษย์เหล่านั้นอาจติดต่อกันได้ก็ได้

อย่างไรเมื่อคิดถึงมนุษย์เหล่านั้นที่พวกเขาไม่เข้าใจกำลังวิ่งมากรีดร้องเข้ามา เหล่าโซออนก็ตัวสั่นสะท้านจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว

ที่จริง ยังมีโซออนหลายตนที่คิดจะโยนธนูทิ้ง สู้ด้วยมีดดาบหากมีทหารมนุษย์มาทางนี้จริงๆ ทว่าความคิดเหล่านั้นล้วนหายเกลี้ยงไปจากใจแล้ว

พวกเขาตั้งคันธนูที่ไม่คุ้นเคยอย่างลนลานจนแทบจะวางคันศรไม่ได้

“ยิง~!”

สิ้นเสียงกัลกาก้า ลูกศรทั้งหมดก็พุ่งออกไปพร้อมกัน ทว่าหลังจากนั้นพวกเขาต่างก็ยิงอย่างต่อเนื่องไปตามใจตนเองแล้ว ต่างก็ยิงธนูออกไปโดยไม่แม้แต่จะเล็งเพื่อไม่ให้มนุษย์พวกนั้นใกล้เข้ามาอีกแม้แต่ก้าวเดียว

ที่จริงพวกเขาไม่จำเป็นต้องเล็ง พวกมนุษย์ที่พยายามจะมาทางหาดและมนุษย์ที่พยายามหนีโซออนวิ่งชนกัน เมื่อกลุ่มฝูงชนที่แตกตื่นมารวมกันเช่นนี้ แค่ยิงธนูไปดอกหนึ่งก็ถูกตัวคนแล้ว

กัลกาก้าและโซออนตนอื่นจำไม่ได้แล้วว่าพวกเขายิงธนูต่อเนื่องนานเพียงใด

พวกเขาเพียงยิงธนูออกไปไม่หยุดหย่อน กระทั่งลูกธนูที่เตรียมมาหมดลง กัลกาก้าและผู้อื่นจึงได้เริ่มรู้สึกตัว

เพราะพวกเขาใช้ธนูและศรที่ไม่คุ้นเคย ผิวที่มือสองข้างจึงลอกออก เลือดหยดลงตามฝ่ามือ

ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช้ปัญหาที่แท้จริง

เห็นภาพเบื้องหน้าพวกตน ทั้งกัลกาก้าและโซออนตนอื่นต่างยืนนิ่งงันไร้คำพูด

หาดริมน้ำฝั่งตรงข้างยามนี้ถูกปกคลุมด้วยซากศพและมนุษย์ที่ได้รับบาดเจ็บทอดยาวสุดสายตา พวกเขาไม่อาจเชื่อว่าจะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ จึงได้แต่จ้องมองอย่างเหม่อลอย

ในคราวนี้ ตัวเลขผู้ประสบภัยและได้รับบาดเจ็บที่ริมน้ำไม่อาจทราบจำนวนได้ โลหิตหลั่งไหลจนแม่น้ำแดงฉาน กล่าวขานว่าเป็นเช่นนั้นยาวนานถึงสามวันจึงจางหายไป



◆◇◆◇◆


กล่าวกันว่า ฝนฟ้ามักตกต้องหลังการต่อสู้

อากาศร้อนระอุท่าจะพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า ไอร้อนจากเปลวเพลิงแห่งสงครามลอยขึ้นก่อตัวเป็นเมฆฝน บรรยากาศสั่นสะท้านด้วยเสียงกู่ร้องแห่งสงครามและเสียงดาบปะทะดาบ กำเนิดเป็นสายฝนร่วงหล่นลง

ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ

ยามนั้นฟ้าปกคลุมด้วยเมฆฝนกระทันหัน ไม่นานนักสายฝนหนักเกินปกติสำหรับฤดูกาลนี้ก็โปรยปรายลงสู่ที่ราบซลเบียงต์ และเพราะสายฝนกระหน่ำรุนแรงที่ตกต่อเนื่องไม่หยุดกระทั่งเช้าวันต่อมานี่เอง เปลวเพลิงจึงได้หยุดลง ไม่ลุกลามไปมากกว่านี้

เพราะโซวมะคิดถึงแต่เพียงการกำจัดศัตรูด้วยเปลวเพลิง เขาจึงลืมประเมินเรื่องไฟลุกลาม หากฝนไม่ได้ตกลงมา ก็อาจลามไปเป็นเปลวเพลิงโหมกระหน่ำใหญ่โต ทว่าจนท้ายที่สุดโซวมะก็มิได้รู้สึกตัวถึงโชคลาภของตน

ม่านสงครามแห่ง ‘ยุทธการเนินเขาฮอกห์นาเรียห์’ ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นปฐมสงครามของ ‘พระบุตรแห่งหายนะ โซมะ คิซากิ’ ผู้ได้รับอำนวยพรแห่งโชคดีปิดฉากลงเช่นนี้เอง

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น