รูปแบบองค์กรของรัฐฮอลเมียก็แทบจะเหมือนกับประเทศอื่นๆ
นั่นคือหนึ่งหมู่มีทหารหกนาย สี่หมู่นับเป็นหนึ่งหมวด รวมผู้หมวดจะมีทหารทั้งสิ้นยี่สิบห้านาย
นอกจากนั้น สี่หมวดนับเป็นหนึ่งกองร้อย หนึ่งกองพันมีตั้งแต่สี่กองร้อยไปจนถึงแปดกองร้อย สองกองพันคือหนึ่งกรม หากมีมากกว่าสองกรม ก็จะนับว่าเป็นกองทัพแล้ว
สิ่งที่มาในคราวนี้คือหนึ่งกองพัน นำโดยหัวหน้ากองพันลูกินาซ
กองพันนี้ประกอบไปด้วยทหารราบห้าร้อยนาย แบ่งออกเป็นห้ากองร้อย นักธนูสองร้อยนายแบ่งเป็นสองกองร้อย และทหารพลาธิการหนึ่งร้อยนาย เป็นหนึ่งกองร้อย รวมทั้งสิ้นแปดร้อยนาย
อุปกรณ์ของทหารราบแบ่งออกเป็นหลายส่วน มีตั้งแต่หมวกเกราะเหล็ก เกราะลำตัวทำจากหนังหนาตีเกล็ดเหล็ก รองเท้าแตะที่มีสายรัดหนังยาวไปถึงหน้าแข้ง อาวุธอย่างหอกมือเดียวความยาวราว 2.5 เมตร พร้อมหัวหอกเหล็ก เช่นเดียวกับดาบสองคมสำหรับพกติดกาย โล่กลมขนาดใหญ่ผิวหน้าทำจากเหล็ก ด้านหลังบุขนสัตว์สำหรับสะพายหลัง
ของเหล่านี้นับเป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับทหารราบ
ส่วนอุปกรณ์ของนักธนูนั้นไม่ต่างกันมาก ทว่าหมวกเกราะมีเป็นทรงครึ่งวงกลมซึ่งทำให้เห็นรอบกายได้ง่ายกว่า มีธนูแทนหอก และมีกระบอกธนูสะพายหลังแทนโล่ ส่วนสุดท้ายของกองพันที่อยู่ท้ายแถวไม่มีหอก พวกเขาเป็นทหารพลาธิการ ต่างขนตะกร้าใส่น้ำและของจำเป็นอื่นๆ สิ่งที่ดึงลากรถม้าจนเต็มทางคือกิ้งก่าขนาดใหญ่นามนิริว
พวกมันคือสายพันธุ์ย่อยของกิ้งก่าที่เรียกว่าคิริวสำหรับใช้ขี่ มันตัวใหญ่กว่าเท่าหนึ่ง ต่างจากคิริวที่ยืนสองขา นิริวเดินสี่ขา ท่อนขาแต่ละข้างหนาราวกับท่อนซุง พวกมันมีพละกำลังมหาศาลทว่าชักช้า เป็นสัตว์ที่มีไว้เพื่อใช้แรงงานเช่นการลากรถขนเสบียง
สุดท้าย คือที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากองพันคือหัวหน้ากองพันลูกินาซและทหารหน่วยพิเศษอันประกอบไปด้วยทหารใต้บังคับบัญชาโดยตรงของเขา ชุดเกราะพวกเขาล้วนแต่ราคาแพงกว่าทหารทั่วไป เป็นชุดเกราะที่ตอกเหล็กไว้เหนือชุดหนังที่ใช้กรรมวิธีพิเศษเพื่อให้หนังแข็งกว่าปกติ ที่เท้ายังสวมรองเท้าบูทหนังติดตะขออีกด้วย
ในกลุ่มนี้ เพียงผู้เดียวที่ขี่ม้าคือลูกินาซ เขามีพู่สีน้ำเงินติดหมวกเกราะ ในขณะที่อีกสามคนล้วนเป็นพู่สี่แดง ขี่คิริวตามมาเบื้องหลังคือหัวหน้ากองร้อย
“ให้ตายเถอะ เจ้าเดรัจฉานบัดซบพวกนั้น หลบเข้าไปในภูเขาเช่นนี้ยิ่งทำให้ยุ่งยากขึ้นอีก”
ลูกินาซนิ่วหน้ายามสัมผัสสายลมเหนือเย็นๆ ที่พัดพามาจากหุบเขา
หน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายจากองค์ราชาแห่งรัฐฮอลเมียคือจัดการเผ่าคมเขี้ยวที่เหลือให้สิ้น เผ่าคมเขี้ยวเป็นเพียงเผ่าเดียวในบรรดาเผ่าพันธุ์โซออนแห่งที่ราบซลเบียงต์ที่ยังคงต่อต้านมนุษย์อย่างไม่ยอมแพ้ เพื่อรับประกันความปลอดภัยของประชาชนกลุ่มแรกซึ่งจะเข้ามาทำการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลินี้ จึงต้องถูกกำจัดทิ้งเสีย
หัวหน้ากองร้อยเห็นด้วยกับคำบ่นของลูกินาซ
“หัวหน้ากองร้อยอีกคนก็เพิ่งเอ่ยเช่นนั้น”
“ข้าอยากรีบจัดการเดรัจฉานพวกนั้นโดยไวและกลับสู่เมืองหลวง”
“ใช่ๆ เพราะเจ้ามุขนายกชื่อมิลดาสอะไรนั่น เราจึงต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่โดยไร้จุดหมาย”
ตามกำหนดการ พวกเขาควรออกจากป้อมปราการมุ่งหน้าสู่หุบเขาก่อนหน้านี้นานแล้ว ทว่ากลับชักช้าเนื่องจากมุขนายกจากศาสนาอันเป็นที่เคารพนามมิลดาสที่อยู่ในปราการนั่นจึงได้ชักช้าไป
มิลดาสทำเรื่องยุ่งวุ่นวายเอาแต่ให้หาตัวเด็กมนุษย์ที่หลบหนีไประหว่างเกิดเรื่องวุ่นวายยามโซออนแหกคุก ทำให้การเดินทางช้าลงไปสามวัน ท้ายที่สุดก็พวกเขาไม่อาจหาตัวเด็กมนุษย์ผู้นั้นเจอ จึงโกหกให้มุขนายกเชื่อว่าเขาคงตายไปแล้วที่ไหนสักที่ ทว่าก็ยังถูกสั่งให้จัดการทำงานโง่ๆ จนเสียเวลาอยู่ดี
“หากเจ้าคิดเช่นนั้น ก็ให้ทหารเร่งฝีเท้าขึ้นหน่อย เราจะได้ไปถึงค่ายพักก่อนเที่ยงวัน”
เขาอารมณ์ไม่ดีอยู่หรือ? บรรดาหัวหน้ากองร้อยหันไปมองตากันเพราะถูกหัวหน้ากองพันตอบกลับด้วยตลกร้าย เช่นนั้นหัวหน้ากองร้อยที่ปากหวานที่สุดจึงรีบเอ่ยขึ้น
“ให้ข้าจัดการเถอะหัวหน้ากองพันลูกินาซ อย่างไรยามนี้เราก็ขี่คิริวอยู่”
ขณะกล่าวเช่นนั้้น เขาก็ตบคอคิริวที่ขี่อยู่
“อากาศเย็นเช่นนี้คิริวจะยิ่งช้า เทียบกันแล้วหัวหน้ากองพันลูกินาซขี่ม้าชั้นเลิศโชคดีแท้ๆ น่าอิจฉายิ่ง”
ดังที่เขากล่าว แค่ให้คิริวขยับกายในช่วงอากาศหนาวเย็นยามเช้าก็เต็มไปด้วยปัญหาแล้ว ต้องอบอุ่นร่างกายคิริวด้วยถุงร้อนอันมาจากการห่อหินเผาไฟไว้ในผ้า ให้พวกมันดื่มสุราฤทธิ์แรง จึงจะยอมขยับกายได้
อีกประการ ม้ายังทนทานต่อความหนาวเย็นกว่าคิริวมาก ไม่เพียงเท่านั้น หากเทียบพละกำลังและความอดทน ม้าก็ยังเหนือกว่าคิริวขั้นหนึ่ง หากเปรียบเทียบราคาและความจำเป็นแล้ว คิริวสะดวกสบาย แต่การมีม้าเป็นของตนเองก็ยังเป็นความฝันของทั้งขุนนางและคนทั่วไปในยุคนี้
นอกจากนั้น ม้าที่ลูกินาซขี่ก็เพิ่งจะได้มาด้วยการจ่ายเงินไปก้อนใหญ่ หัวหน้ากองร้อยล้วนทราบดีว่าคราวนี้เป็นศึกแรกที่เขาได้ขี่ม้า
อารมณ์ของลูกินาซที่ถูกชื่นชมเรื่องม้าจึงดีขึ้นอย่างง่ายดาย
“ก็ช่วยไม่ได้นะ อะไรกัน หากพวกเจ้าสร้างผลงานโดดเด่นในสนามรบ ไม่นานพวกเจ้าก็จะได้ม้าเป็นของตนเองเช่นกัน”
เขาแสร้งทำเป็นนิ่งสงบ ทว่าเสียงสูงกลับไม่อาจปิดซ่อนความพอใจ เหล่าหัวหน้ากองร้อยพากันยิ้มแหย
ไม่นานนัก ค่ายพักล้อมรั้วไม้ก็ปรากฏอยู่ที่สุดปลายถนนทอดสู่ภูเขา
“ใครก็ได้! ไปแจ้งข่าวว่าหัวหน้ากองพันมาถึงแล้ว!”
ได้ยินคำสั่ง ทหารราบคนหนึ่งก็ตรงไปยังค่ายพักที่อยู่ห่างไปไม่ไหล ครู่เดียวหลังนายทหารผู้นั้นเข้าไปข้างใน ทหารตัวเล็กคนหนึ่งก็ออกมาเปิดประตูเป็นการใหญ่โต
แม้จะได้ยินมาว่ากลุ่มทหารที่มีความสามารถจะถูกส่งมาก่อน หัวหน้ากองร้อยก็ยังสงสัยว่ามีทหารเด็กปะปนอยู่ด้วยหรือ
ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้สำคัญอะไร เขาเลิกสนใจมันทันที
“อะไรกัน? ไม่มีคนต้อนรับรึ?”
เนื่องจากไม่มีทหารออกมาจากค่ายมาทักทายพวกเขาล่วงหน้าเลยแม้แต่คนเดียว แม้จะมีการแจ้งล่วงหน้าไปแล้วก็ตาม ลูกินาซจึงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ในขณะที่ทหารที่เหลือก็ไม่พอใจเช่นกัน ถึงกับบ่นว่า ‘พวกนี้ทำตัวน่ารำคาญจริงๆ’ ออกมา หัวหน้ากองร้อยยังต้องปลอบหัวหน้ากองพัน
“ท่านหัวหน้าขอรับ อย่าได้โมโหพวกบ้านนอกกับเรื่องเล็กๆ เลยขอรับ”
ทว่า เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาถึงใจกลางค่าย ต่างก็เริ่มรู้สึกผิดปกติขึ้นมาเมื่อภายในยังคงไร้ซึ่งเงาทหารแม้แต่นายเดียว
“นี่มัน...เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดจึงไม่มีใครเลยเล่า?”
“หากข้าจำไม่ผิด ตามข้อมูลที่มี ควรจะมีกองร้อยกองหนึ่งอยู่ทีนี่...”
“ทหารที่เราส่งมาแจ้งข่าวและทหารที่เปิดประตูผู้นั้นก็หาตัวไม่เจอแล้ว”
ขณะฟังรายงานของหัวหน้ากองร้อยที่อยู่ด้านหลัง ลูกินาซก็สำรวจภายในค่าย ก่อนจะสังเกตเห็นความผิดปกติ ทั่วทั้งค่ายล้วนมีกองฟืนและหญ้าแห้งสุมกันกระจัดกระจายไปทั่ว
“พวกนั้นมัน อะไรกัน…?”
“คาดว่าจะเป็นของที่เตรียมไว้สำหรับฤดูหนาวนะขอรับ? ช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวขึ้นแล้ว จุดกองไฟไว้ก็จำเป็นเช่นกัน”
“เช่นนั้น เหตุใดจึงไม่มารวมกันที่เดียวเล่า?”
เมื่อลูกินาซชี้ให้เห็น เหล่าหัวหน้ากองร้อยก็เร่งสำรวจโดยรอบอย่างรวดเร็ว
ไม่เพียงจะมีกองฟืนและหญ้าแห้งมากมายอยู่ใกล้อาคาร พวกมันล้วนแต่กองสุมขึ้นไปจดถึงหลังคาอาคาร อีกทั้งประตูทางออกสู่ภูเขาเองก็ยังถูกขวางเอาไว้
“เดี๋ยว ในอากาศมีกลิ่นแปลกๆ หรือไม่?”
“พอเจ้าพูดขึ้นมาแล้วก็…”
“กลิ่นนี้มัน…?”
ทุกคนล้วนย่นจมูกด้วยกลิ่นเหม็นฉุนในอากาศ ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องของทหารนายหนึ่งก็ก้องสะท้อนขึ้นกระทันหัน
พร้อมกัน หนึ่งในคิริวของหัวหน้ากองร้อยก็ส่งเสียงกรีดร้องตามมา
“นี่มันอะไรกัน!”
“ค-คนที่เราส่งมาแจ้งข่าวก่อนหน้า ท-ทางนั้น!”
เมื่อมองไปยังทิศที่ทหารผู้นั้นชี้ เขาก็พบศพของทหารที่นอนเหยียดอยู่เหนือกองฟืนและหญ้าแห้ง เลือดหลั่งไหลจากคออาบย้อมสิ่งใต้ร่างจนชุ่ม
“ห-หัวหน้าขอรับ! ทหารที่เราส่งมาก่อนหน้าถูกสังหารแล้ว!”
ทันทีที่เขาได้ยินเสียงตะโกนของผู้ใต้บังคับบัญชา ประกายแสงก็ปรากฏขึ้นในหัวลูกินาซ
“กลิ่นนี้มัน ไม่มีทาง! น้ำมันรึ!?”
ลูกินาซหันหัวม้า ร้องจะโกน
“ถอยทัพ! มันเป็นกับดัก! รีบถอนทัพทันที!”
ทว่า กลับสายไปแล้ว
“โซออน! มีโซออนอยู่ข้างบน!”
เมื่อมองขึ้นไปบนยอดผาด้านหลังค่ายตามเสียงตะโกนของนายทหาร ลูกินาซก็ส่งเสียงร้องอย่างหวาดกลัว
ผู้ที่ปรากฏอยู่บนนั้น คือโซออนสิบกว่าตน มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่
และในมือของพวกโซออนที่ยืนอยู่ด้านหน้า คือคบเพลิงที่ส่องแสงสีแดงเจิดจ้าลุกโชน
โซออนขนดำผู้มีบรรยากาศแตกต่างแม้จากระยะไกล เดินขึ้นมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง เงยหน้าขึ้น พวกมันส่งเสียงเห่าหอนจนบรรยากาศสั่นสะเทือนราวอัศนีบาต
เหล่าทหารที่ได้รับคำสั่งถอนทัพเพียงคร่าวๆ ขยับกันอย่างสับสนด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรแม้จะได้รับคำสั่งให้ถอย ถนนสู่เขาแห่งนี้ก็ถูกกองร้อยอื่นๆ ยืนขวางอยู่จนเต็มทาง
“ขยับไป! หากยังไม่เลิกขวางทาง เจ้าต้องถูกบดขยี้แล้ว!”
ลูกินาซตวาดด่าทหารที่ขวางทางออกของเขาเอาไว้ และที่ยอดเขานั่นเอง โซออนตนหนึ่งก้าวออกมายืนเคียงข้างโซออนขนดำที่ส่งเสียงหอน มันน้าวสายธนูจนเกิดเสียงเอี๊ยด สิ่งที่รั้งไว้คือลูกธนูดอกหนึ่ง ลุกไหม้โชติช่วงด้วยเปลวเพลิง
เมื่อเสียงหอนของโซออนขนดำจบลง ศรไฟก็ถูกยิงออก คบไฟถูกโยนลงจากหน้าผา ชั่วขณะถัดมา พร้อมกับเสียงคำรามหนักแน่น ค่ายแห่งนั้นก็ถูกห่อหุ้มด้วยเพลิงนรก
0 ความคิดเห็น