ยังมีกลุ่มหนึ่งวิ่งผ่านหุบเขาเมื่อความมืดมิดยามค่ำคืนมาเยือน
วิธีเคลื่อนไหวอันไร้สุ้มเสียง ทำให้พวกเขาดูราวกับผีสาง
เมื่อพวกเขามาถึงรั้วที่ตีนเขา มือของเงาเหล่านั้นก็ชักมีดดาบของตนขึ้น พวกมันส่องสะท้อนแสงจันทร์ ขณะที่ยังมีเงาอื่นๆ ช่วยเฝ้าระวังให้ อีกกลุ่มก็ตัดเชือกที่มัดรั้วไม้ออกทีละน้อยเพื่อไม่ให้เกิดเสียงใด
เมื่อเชือกเส้นหนึ่งขาดลง เงาอื่นๆ ก็ช่วยจับไม้ที่ล้มลงเอาไว้ ค่อยๆ วางมันลงพื้น เมื่อจัดการเอาไม้อีกชิ้นออกมาได้ด้วยวิธีเดียวกันแล้ว ช่องว่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นให้เงาเหล่านั้นผ่านไปได้ พวกเขาก็มุ่งหน้าไปที่รั้วขึ้นต่อไป เริ่มจัดการด้วยวิธีเดียวกันอีกคราว
ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา ท้ายที่สุดพวกเขาก็สามารถจัดการรั้วทั้งหมดได้ และเข้าสู่ภายในค่าย
ของภายในค่ายนั้นดูซีดขาวเมื่อสะท้อนแสงจันทร์ ยังคงเงียบงันราวป่าช้า กระทั่งทหารยามผู้คอยจับตามองและแจ้งเตือนการต่อสู้ในยามกลางวันนั้นก็ยังนั่งสัปหงกทั้งที่ถือหอกไว้ในมือ
เหล่าเงาเข้าล้อมทหารยาม ปิดปากพวกเขาด้วยมือ ปาดคอที่ไร้การป้องกันในรวดเดียว เหล่าทหารยามสิ้นชีพลงทั้งที่ส่งได้เพียงเสียงอึกอักต่อต้านเท่านั้น
เหล่าเงาวิ่งไปรอบค่ายเพื่อค้นหาเหยื่อรายต่อไป ผู้ที่นั่งนับดาวฆ่าเวลา ผู้ที่เอนกายพิงรั้วแล้วหลับลึก ผู้พยายามกระตุ้นให้ตัวเองตื่นด้วยการขยับบิดกาย ทุกคนล้วนแต่ถูกปาดคอโดยไม่อาจกระทั่งกรีดร้องก่อนตาย
ขณะที่หนึ่งในเหล่าเงากำลังจัดการปาดคอทหารยามรายหนึ่งอยู่นั้น ประตูบ้านที่อยู่หน้าเงานั้นก็เปิดออก ไม่ทราบว่าเป็นเวลาเปลี่ยนกะ หรืออาจเพียงต้องการเข้าห้องน้ำ ทว่าทหารวัยกลางคนที่ตั้งใจจะออกมานั้นหาวหวอดใหญ่ ก่อนจะประจันเข้ากับเงานั้นด้วยสายตาตะลึงงัน
“ซะ-โซออน!? ”
ผู้ที่ยืนอยู่หน้าทหารนั้นปิดปากตนด้วยผ้าดำ ทว่าดูจากชุดเกราะที่ถักทอขึ้นจากเถาวัลย์และเส้นขนที่แลบออกมา ไม่ต้องสงสัยว่าย่อมเป็นโซออนตนหนึ่ง โซออนนั้นถือมีดดาบอยู่ในมือ ท่อนแขนถูกอาบย้อมด้วยเลือดที่แปดเปื้อน
“ศัตรูบุ--! ”
ทหารผู้นั้นพยายามตะโกน ทว่าสิ่งที่ออกมาจากคอมิใช่ถ้อยคำ กลับเป็นเลือดกองหนึ่ง มีดดาบของโซออนนั้นพุ่งเข้าปาดคอเขาจนจากระยะสามเมตรในพริบตา ทว่าเนื่องจากเสียงร่างที่ล้มลง ทำให้เกิดเสียงทหารที่สะดุ้งตื่นขึ้นจากในบ้านตามมา
เมื่อโซออนผู้จัดการทหารนั้นส่งสัญญาณ ‘ชู่ ชู่’ ด้วยการหายใจออกเร็วๆ ให้สหายที่อยู่ใกล้เคียงแล้ว เขาก็บุกเข้าไปในบ้านพร้อมมีดดาบในมือ สหายของเขาที่ได้ยินสัญญาณก็รีบบุกตามเข้าไปในบ้านหลังนั้น เสียงกรีดร้องอึกอักดังขึ้นจากภายในแสดงให้เห็นความสำเร็จ
ทหารผู้ถูกสังหารลงที่ประตูบ้านเป็นคนแรกนั้น กระทั่งในวาระสุดท้ายที่ยังคงเหลือสติอยู่ แม้ได้ยินเสียงกรีดร้องของสหาย ในหัวกลับมีเพียงคำถามเดียว ก่อนจะถูกความมืดเข้ากลืนกิน
‘ทั้งที่ไม่มีเสียงกลอง แล้วเหตุใดจึงมีโซออนได้เล่า? ’
◆◇◆◇◆
การัมยืนอยู่บนยอดเขา มองลงไปยังค่ายพักเบื้องล่างที่ยามนี้เกิดการสังหารหมู่ขึ้น
ราวกับจะไม่ให้พลาดไปแม้แต่อย่างเดียว สายตาเขาจับจ้องค่ายพักนั้นโดยไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปเท่าใดแล้ว? ที่ค่ายพักนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ไฟดวงเล็กดวงหนึ่งกระจายตัวออกจากกองไฟที่ด้านหลังค่ายฝั่งติดภูเขา ไฟนั้นขยับอยู่กลางอากาศคล้ายวาดเป็นวงกลม
“หัวหน้าเผ่า! นั่นเป็นสัญญาณ! ”
การัมพยักหน้ารับคำของกัลกาก้าที่ยืนอยู่ข้างกัน
“ไปกันเถอะ!”
กล่าวดังนั้นแล้ว เขาก็นำนักรบที่รออยู่เบื้องหลังพุ่งผ่านรูที่รั้วไป สิ่งที่เขาพบยามเข้าไปในค่าย คือนักรบยี่สิบนายที่ปิดปากด้วยผ้าดำ
พวกเขาล้วนแต่เป็นนักรบชั้นแนวหน้า ทั้งร่างกายและจิตใจ
“หัวหน้าเผ่า! มนุษย์ในค่ายถูกกำจัดหมดแล้วขอรับ!”
“เราสูญเสียอะไรบ้าง…? ”
“มีบางคนมีรอยถลอกที่มือขอรับ”
กระทั่งผู้ที่กล่าวตอบเอง ก็ยังมีเสียงเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ทว่าผลลัพธ์เช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องธรรมชาติ
แต่แรก โซออนก็มีความสามารถทางกายภาพเหนือกว่ามนุษย์อยู่แล้ว กล่าวได้ว่าความแข็งแกร่งทนทานของร่างกายนั้นทำให้ถูกเรียกว่าสัตว์ป่า พลังที่ระเบิดออกมาก็ควรค่าแก่การพูดถึง ความยืดหยุ่นของร่างกายอันโดดเด่นนั้นทำให้พวกเขาสามารถจับปลาในน้ำได้ด้วยมือเปล่า และความเร็วของพวกเขานั้นเหนือล้ำด้วยการใช้กล้ามเนื้อจากทั้งร่างกาย
การต่อสู้ระยะประชิดกับโซออนโดยไม่มีการลำดับขั้นตอนให้ดี เทียบเท่ากับการฆ่าตัวตาย
นอกจากนั้น สำหรับโซออนผู้เป็นนักล่าในสายเลือดแล้ว ความมืดยามค่ำคืนไม่นับเป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ราวกับปีศาจร้ายไม่มีผิด พวกเขาสามารถตรวจจับตำแหน่งศัตรูได้แม่นยำด้วยการฟังและดมกลิ่น ยังสามารถเข้าถึงตัวเหยื่อได้โดยอีกฝ่ายไม่รู้ตัว
ไม่ต้องพูดถึงว่ามนุษย์ยังไม่เคยถูกโซออนจู่โจมยามค่ำคืน พวกเขายังสบายใจกว่าเดิมเพราะเพิ่งจะได้รับชัยชนะมาหมาดๆ จึงได้ไร้การเตรียมการรับมือโดยสิ้นเชิง คงพูดได้ว่าพวกมนุษย์พ่ายแพ้แล้วตั้งแต่การจู่โจมยามค่ำเริ่มต้นขึ้น
“หัวหน้าเผ่า! ข้าว่าเช่นนี้หลังแจ้งทางค่ายแล้วท่านคงไม่จำเป็นต้องคอยระวังโซมะอีกกระมัง”
ไม่ต้องหันไปมอง ความยินดีของเชมุลก็ถ่ายทอดออกมาชัดเจนยิ่งผ่านน้ำเสียง ในทางกลับกัน การัมกลับไม่สามารถนึกคำใดออกมาได้ ไม่อาจทำอะไรนอกจากเอ่ยคำสั้นๆ บ่งบอกว่ารับรู้
“...อืม”
“เช่นนั้น ข้าขอตัว”
เห็นร่างเชมุลวิ่งกลับไปยังค่ายลี้ภัยอย่างว่องไว กว่าการัมจะเค้นคำออกมาได้ ร่างของนางก็หายไปจากสายตาแล้ว
“นี่ กัลกาก้า”
“อะไรหรือ ท่านหัวหน้าเผ่า? ”
“แค่ เรามัวแต่ทำอะไรมาจนป่านนี้กัน? ”
เพราะพวกเขาล้วนพยายามต่อสู้และได้รับความสูญเสียยิ่งใหญ่ การัมจึงไม่อาจแยกได้ว่าความรู้สึกที่มีต่อผลลัพธ์เช่นนี้คืออะไรกันแน่ ราวกับความตึงเครียดทั้งหมดถูกตัดทิ้งไปอย่างกะทันหัน จนไม่อาจเข้าใจได้ว่าต่อไปควรทำอย่างไรดี
“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน โปรดอย่าถามข้าเลย ท่านหัวหน้าเผ่า”
◆◇◆◇◆
“โซมะ! เราควบคุมหมู่บ้านได้ดังที่เจ้าว่า! ”
เชมุลไล่นักรบเยาว์สองตนที่ยืนขนาบข้างโซวมะออกไปด้วยสัญญาณมือ
“ข้าแปลกใจนัก แปลกใจจริงๆ ที่มันได้ผลง่ายดายเพียงนี้! ”
แม้เชมุลจะแปลกประหลาดใจ แต่จากมุมมองโซวมะแล้ว เขาสิแปลกใจที่โซออนยังไม่เคยมีความคิดบุกจู่โจมยามค่ำมาก่อนเลย
“หากเดิมพันกับการโจมตียามค่ำคืนพวกมันจะพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย เป็นเช่นที่เจ้าว่าจริงๆ! ”
สิ่งที่โซวมะแนะนำกับโซออนไป ก็คือแผน ‘จู่โจมยามค่ำคืน’
แค่นั้นเอง
ตอนที่เขาเห็นกาจีต้าบุกโจมตีเมื่อกลางวัน โซวมะคิดว่าแบบนี้เหมือนกับ ‘บันไซชาร์จ’ ไม่มีผิด
กองทัพญี่ปุ่นยุคเก่าที่ขาดแคลนทั้งอาวุธและอาหารหลังเส้นทางเดินเสบียงถูกตัดขาดในสงครามแปซิฟิกเต็มไปด้วยผู้ไม่ยอมแพ้ จากคู่มือการทหารอันโด่งดังของกองทัพด้วยประโยคที่ว่า ‘อย่าได้เสียเกียรติหากมีชีวิตอย่างเชลย’ พวกเขาไม่แม้แต่จะยอมทำตามคำสั่งของกองกำลังทหารฝั่งอเมริกายามถูกต้อนให้จนมุม พวกเขาเข้าโจมตีอย่างกล้าหาญ พร้อมตะโกนว่า ‘องค์จักรพรรดิทรงพระเจริญ! (เทนโนะเฮะกะ บันไซ!) ’ นั่นคือ ‘บันไซชาร์จ’
ในหลายปีมานี้มีหนังมากมายที่พูดถึงสงครามแปซิฟิกฉายให้ดู กระทั่งโซวมะเองก็ยังรู้จัก ‘บันไซชาร์จ’ ที่กองทัพญี่ปุ่นสมัยเก่ากระทำ ทีแรก ตอนที่เขาดูหนังกับพ่อ ความคิดของเขาคือ ‘ไอ้การบุกฝ่าดงกระสุนเข้าโจมตีนี่สุดยอดเลยไม่ใช่เหรอ? ”
ทว่า เมื่อคุยกับเพื่อนร่วมห้องที่เป็นพวกคลั่งกองทัพแล้ว ฝ่ายนั้นก็อธิบาย “นั่นมันไม่ใช่กลยุทธ์แล้ว นั่นมันคือการยอมตายไม่ยอมแพ้ เรียกอีกอย่างว่าฆ่าตัวตายต่างหาก”
ก็จริง เพราะกองทัพญี่ปุ่นในยุคนั้นที่ขาดแคลนอาวุธและกระสุนไม่ต่างอะไรจากเป้าหมายง่ายๆ ของกองกำลังฝั่งอเมริกาที่มีทั้งปืนไรเฟิลอัตโนมัติทั้งปืนใหญ่ ในทางกลับกัน ยุทธการที่อิโวะจิม่าและยุทธการที่ปาเลลิวนั้นการโจมตีแบบฆ่าตัวตายกลายเป็นสิ่งต้องห้าม กองกำลังฝั่งอเมริกากลับเป็นฝ่ายสูญเสียอย่างหนักเพราะคาดว่าญี่ปุ่นจะใช้ ‘บันไซชาร์จ’ แทน
การบุกโจมตีของกาจีต้าเมื่อกลางวันเองก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเขาเชื่อในความสามารถของตนเอง ทั้งยังดูถูกมนุษย์ คงเรียกว่าการฆ่าตัวตายไม่ได้ แต่ผลลัพธ์นั้นก็คล้ายๆ กัน
พวกนั้นยังเคลียร์พื้นที่เนินเขาเอาไม้มาสร้างบ้าน แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงคือเตรียมไว้สำหรับป้องกันการโจมตีของโซออนด้วย นั่นคือสิ่งที่โซวมะตัดสิน เพราะการให้โซออนที่ทั้งฉลาดและรวดเร็วเข้าถึงตัวนั้นคือการให้ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่มีร่างกายแข็งแกร่งเข้าหา
แต่ว่านอกจากเนินเขานั้นทำให้โซออนวิ่งได้ยากแล้ว ยังมีรั้วไม้เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหว สถานที่พวกนั้นมีไว้เพื่อฆ่าโซออนที่มีความสามารถโดยเฉพาะ
ถ้าพวกโซออนบุกเข้าไปโดยไม่มีแผน ฝ่ายนักรบโซออนก็ต้องถูกฆ่าอยู่ฝ่ายเดียวอยู่แล้ว
นี่ก็คล้ายกับกองทัพญี่ปุ่นยุคก่อนที่ทหารวิ่งกู่ร้องปลุกใจเข้าหาแมชชีนกันของฝ่ายอเมริกาโดยไม่มีกระสุนปืนในกระบอกตนเอง
เห็นแบบนั้น โซวมะเลยถามเชมุลว่า “ทำไม ถึงไร้หัวคิดอย่างนั้นนะ…? ”
จากมุมมองของโซวมะแล้ว แค่กลิ้งท่อนซุง หรือก้อนหินลงเนินไปก็ได้แล้วถ้าอยากทำลายรั้ว ต่อให้ไม่ทำแบบนั้น ถ้าไม่มีเสียงกลองดังออกไป พวกทหารก็จะไม่มีการเตรียมการ การบุกโจมตีก็จะง่ายกว่านี้มาก แต่พวกเขาก็ยังโจมตีแบบกามิกาเซ่ จะเรียกว่าซื่อจนเซ่อดีมั้ย? เขาถามเธอด้วยความหมายแบบนั้น
แต่ว่า คำตอบของเชมุลกลับไม่ใช่การวิจารณ์ความโง่ของกาจีต้าที่เข้าไปฆ่าตัวตาย ตั้งแต่ต้นจนจบเธอก็แค่พูดถึงกรณีที่กาจีต้าบุกเข้าโจมตีเอาเอง และเรื่องที่เขายังไม่เจริญวัยเต็มที่
นั่นคือตัวตนของช่องว่างที่แท้จริงระหว่างวิธีคิดของโซวมะกับเชมุล ช่องว่างนั้นเป็นผลมาจากการที่แต่แรกนั้น โซออนคือเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทุ่งกว้างไร้อุปสรรคบังตา เหล่าทหารไม่อาจหลบซ่อนจึงได้บุกเข้าโจมตีซึ่งหน้า สำหรับโซออนแล้ว พวกเขาใช้วิธีนี้มาโดยตลอด ประกาศชื่อตนเองก่อนเริ่มการรบ โจมตีศัตรูซึ่งหน้า ริเริ่มมาตั้งแต่การต่อสู้ระหว่างเผ่ามายาวนานก่อนจะเริ่มสู้กับมนุษย์
นอกจากนั้น หากมองจากมุมของโซออนที่มีร่างกายแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ วิธีต่อสู้ของพวกเขาก็เป็นอะไรที่คาดเดาได้ เพราะพวกเขาคิดแต่ว่า “จะให้รบกับมนุษย์บัดซบอ่อนแอด้วยวิธีขี้ขลาดได้อย่างไร! ”
จริงๆ แล้ว ถ้าพวกเขาล้มรั้วได้จริงๆ ฝั่งโซออนก็มีโอกาสชนะอยู่บ้าง ในช่วงเวลาที่โซออนยังมีอิทธิพลอยู่นั้น พวกเขาต่างได้รับชัยชนะหลายครั้งหลายครา เพราะมีประสบการณ์แบบนั้น ฝั่งโซออนก็เลยไม่คิดหาวิถีทางตอบโต้การต่อสู้ใหม่ๆ อีก
ความสำเร็จของการจู่โจมยามค่ำคืนนี้เป็นผลมาจากวิธีการคิดอย่างมนุษย์เช่นกัน อิงดิแอซ จอมทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิผู้สร้างชื่อจากการทำสงครามกับครึ่งมนุษย์เมื่อราวหนึ่งร้อยปีก่อนได้ตอบคำถามแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาว่าด้วยสิ่งสำคัญเพื่อการขึ้นเป็นจอมทัพอยู่ว่า
“มีความหาญกล้าสวมใส่เกราะเบา ถือธนู ใช้เครื่องยิงหิน หรือขว้างหอกเข้าปะทะกับไดโนซอเรี่ยนและคนแคระ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเพื่อล่อลวงมาร์แมนมายังชายฝั่ง มีความเป็นผู้นำที่สามารถนำทัพโล่เรียงแถวเข้าหานักธนูแห่งเอลฟ์ได้อย่างเป็นระเบียบ มีความรอบคอบในการต่อสู้กับโซออนด้วยธนู หอก และกลยุทธ์ มีความอดทน รับธนูและหินของฮาร์ปีได้กระทั่งอาวุธของอีกฝ่ายจะหมดลง”
เหล่านี้ไม่ใช่เพียงสิ่งจำเป็นต่อการขึ้นเป็นนายพล ทว่ายามนี้ยังถูกใช้สอนเป็นกลยุทธ์พื้นทหารในหมู่ทหารทุกประเทศเพื่อการรับมือต่อครึ่งมนุษย์
ดังที่เขียนไว้นั้น หนทางต่อสู้กับโซออนคือจงใช้ธนูและหอกโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้เข้าถึงตัว และไม่ให้ได้วิ่งสี่เท้าบนพื้นได้อย่างสะดวกรวดเร็ว กระทั่งระหว่างการบุกของกาจีต้า คำกล่าวนี้ก็ยังคงได้ผล
ในเวลาไม่นาน หลังต่อสู้กันมาเกือบร้อยปี มนุษย์ก็คุ้นเคยกับวิธีการต่อสู้ของโซออน ความคุ้นชินจากวิธีสู้กับโซออนนี้ยังเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ กล่าวได้ว่า การโจมตียามค่ำคืนที่โซวมะเสนอนี้นับเป็นการโจมตียามค่ำคืนเพียงครั้งเดียวในรอบร้อยปี
ด้วยไม่ทราบเรื่องนั้น โซวมะจึงนึกสงสัย ‘ดูๆ ไป มนุษย์ในโลกนี้ดูจะขี้เกียจไปหน่อยแล้วมั้ง? ’
แม้จะคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้ต้องไม่เหมือนการต่อสู้เมื่อกลางวันแน่นอน แต่ยังไงเขาก็ยังกังวลอยู่ดี พอเห็นโซออนจัดการงานได้ เขาก็ถอนใจโล่งอก
เขาพูดเรื่องพวกนั้นไปอย่างมั่นใจ เพราะฉะนั้นก็ต้องแสดงสีหน้าว่าความสำเร็จนี้เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
อีกทางหนึ่ง เพราะการโจมตียามค่ำคืนที่โซวมะบอกไว้สำเร็จ เชมุลจึงดีใจราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
เห็นเธอเป็นแบบนี้ เขาก็คิดว่าถ้าโซออนถือโอกาสนี้ฉุกคิดได้ว่าไม่อาจยึดติดกับวิธีการต่อสู้เดิมๆ ก็จะยิ่งดี ถ้าไม่อย่างนั้น ขั้นต่อไปต้องมีปัญหาแน่ เพราะมันจะยิ่งห่างไกลจากวิธีสู้ดั้งเดิมของโซออนกว่าเดิมอีก
◆◇◆◇◆
เช้าวันต่อมา เมื่อเชมุลนำเขามาถึงค่ายพักทหาร พวกนักรบโซออนก็เพิ่งจัดการทำความสะอาดเสร็จพอดี
สำหรับโซออนผู้เป็นนักรบอันทรงเกียรติแล้ว พวกเขาต่างปฏิบัติต่อร่างผู้เสียชีวิตเช่นเดียวกัน แม้จะเป็นมนุษย์ที่ควรเกลียดชังก็ตามที พวกเขาขุดหลุมที่เขาใกล้ๆ โยนศพลงไปแล้วจึงเผาเสีย ปัญหาคือซากศพของพี่น้องที่ถูกละเลย เดิมทีการจัดการศพของโซออนนั้นจะกระทำด้วยพิธีศพแห่งท้องฟ้าเพื่อสอดคล้องกับตำนาน ทว่าซากศพเหล่านี้กลับไม่ย่อยสลายเนื่องจากอากาศหนาวเย็น พวกเขายังกังวลว่าหากสัมผัสศพที่ถูกปล่อยทิ้งไว้นานแล้วจะเกิดเป็นโรคติดต่อขึ้นมา จึงไม่มีทางอื่นนอกจากเผาร่างเหล่านั้นไปพร้อมกับกระโจมที่เหลือ
แม่เฒ่าร้องเพลงส่งวิญญาณผู้วางวาย การัมจุดไฟบนฟืนที่กองสูง
ฟืนถูกเผาไหม้ปะทุเป็นสะเก็ด ในพริบตาก็ลุกโชนเจิดจ้า
เหล่าโซออนโคลงกายไปมา พวกเขาประสานเสียงร้องเพลงไปพร้อมแม่เฒ่า
นั่นคือพิธีเพื่ออำลาของเหล่าโซออน เป็นพิธีกรรมที่โซวมะผู้เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับอาชญากรเหล่านั้นไม่สามารถเข้าร่วมได้ เขาไร้ทางเลือกอื่นใด เพียงมองจากที่ไกลๆ เท่านั้น
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เมื่อเปลวไฟดับมอดลง เหล่าโซออนก็ค้นดูในกองเถ้าถ่าน เสาะแสวงหาสิ่งที่ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนตัวเพื่อนผู้จากไป
“เจ้ามีนามว่าโซมะ ใช่หรือไม่? เจ้าเด็กมนุษย์”
การัมเดินเข้ามาหาโซวมะที่ยืนดูอยู่
แม้โซวมะที่ยังได้รับผลกระทบจากเมื่อคืนนี้จะกระโดดถอยหลังหนีเป็นการโต้ตอบ ทว่าการัมก็เพียงส่ายหน้าเล็กน้อยราวกับจะบอกว่าเขาไม่ทำอะไรทั้งนั้น
“เป็นเพราะเจ้า ข้าจึงได้ส่งสหายร่วมเผ่าได้ ข้ายังได้มีดดาบของหัวหน้าเผ่าคนก่อนคืนมาด้วย”
มีดดาบนั้นถูกมนุษย์ทหารคนหนึ่งยึดเอาไว้เป็นสินสงคราม
มีดดาบของโซออนนั้นนับเป็นอัญมณีที่ได้รับการสรรค์สร้างโดยเหล่าคนแคระ จากบิดาสู่บุตร จากบุตรสู่หลาน มันจะถูกสืบทอดต่อกันไปพร้อมกับศักดิ์ศรีและจิตวิญญาณแห่งนักรบ สำหรับเหล่านักรบโซออนนั้น การส่งมอบศักดิ์ศรีและจิตวิญญาณนักรบให้แก่นักรบรุ่นถัดไปนับเป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง
“มีสิ่งนี้ วิญญาณของหัวหน้าเผ่าคนก่อน...บิดาข้าจึงได้ถูกส่งต่อมายังข้าแล้ว”
กล่าวดังนั้นแล้ว หางตาการัมก็ยกขึ้นเมื่อเห็นเชมุลกำลังเดินมาพร้อมรอยยิ้มเป็นกังวล นางคงคิดว่าเขามาข่มขู่โซวมะด้วยมีดดาบของบิดากระมัง
“เขี้ยวคลั่ง ท่านเป็นบ้าอะไร…? ”
การัมโยนมีดดาบของบิดาส่งให้เชมุล ให้นางรับไว้อย่างแตกตื่น
“นี่มัน ของหัวหน้าเผ่าคนก่อนไม่ใช่หรือ…? ”
มีดดาบนี้มีความทรงจำของเชมุลสลักอยู่เช่นกัน นางจ้องมองมันราวลืมถ้อยคำใดไปชั่วขณะ
มือของบิดาที่ถือมีดดาบเล่มนี้ เป็นมือหยาบหนาของนักรบผู้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้แก่การต่อสู้
ทว่า นางก็ยังจำได้ว่ามือของบิดาผู้ลูบหัวนางอย่างเก้ๆ กังๆ ยามร้องไห้เพราะได้รับบาดเจ็บนั้นอ่อนโยนเหลือเกิน เชมุลข่มกลั้นน้ำตาที่ใกล้จะล้นออกมา
“เจ้าต้องดูแลมันเอาไว้ ส่งต่อไปเมื่อมีบุตร ตกลงไหม? ”
การัมได้รับมีดดาบมาสองเล่ม สืบทอดจากผู้เป็นลุงและผู้เป็นปู่ อีกประการ เขายังปิดบังความตั้งใจจริงไว้ด้วยหน้ากากหัวหน้าเผ่าต่อหน้าผู้คน เขาทราบดีว่าบิดาของพวกเขาเป็นห่วงเชมุลที่ต้องอดทนต่อความรับผิดชอบหนักหนาในฐานะพระบุตรมากกว่าใคร การส่งมอบมีดดาบของบิดาให้แก่เชมุลนั้นเพราะเขาเชื่อว่าเช่นนี้ อย่างน้อยผู้เป็นบิดาคงรู้สึกใจสงบขึ้นมาบ้าง
“เช่นนี้ก็ไม่มีอะไรให้เสียใจ ภายหลังก็เหลือเพียงต่อสู้กับจิตใจตนเองแล้ว”
หากพวกมนุษย์มีเสบียงเก็บไว้ที่นี่ ผู้ชราและเด็กก็จะสามารถหนีไปจากดินแดนนี้ได้ เรื่องในอนาคตไม่มีอะไรน่ากังวลแล้ว เขาก็เหลือเพียงลอบจู่โจมกองทัพมนุษย์ร่วมกับนักรบที่เหลือในภายหลังเท่านั้น
นั่นคือสิ่งที่การัมคิด
ทว่าโซวมะผู้ไม่ทราบถึงความคิดนั้นกลับเอ่ยขึ้นอย่างสงบ
“เอาล่ะถ้างั้น อันดับแรกเราต้องตั้งหน่วยเฝ้าระวังก่อน เพราะอาจจะมีผู้นำสารหรือหน่วยสอดแนมมาจากป้อมปราการก็ได้ ผมไม่อยากให้คนพวกนั้นรู้ว่าเรายึดที่นี่คืนได้แล้ว”
พอเห็นการัมและเชมุลจ้องเขม็งมาด้วยตาเบิกกว้าง โซวมะก็เริ่มประหม่า
“พวกคุณจะทำตามคำสั่งผมใช่ไหม? ”
เห็นการจู่โจมยามค่ำคืนที่ตนเองเสนอไปได้ผลดีมาก โซวมะก็คิดว่าเขาคงถูกประเมินค่าให้สูงขึ้นมานิดหน่อยแล้ว แต่ยังไงเขาก็ยังกังวลว่าเขาจะถูกขับไล่ออกไปหลังจากบรรลุเป้าหมายอยู่ดี
การัมกลับไม่ทราบว่าโซวมะกำลังกังวล เขาเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ไม่มีทาง เจ้าว่าเจ้าจะขับไล่กองทัพที่ตามมาหลังจากนี้ด้วยหรือ? ”
“ก็ใช่ หรือยังไง...? ”
เพราะโซวมะพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมชาติ การัมและเชมุลจึงอับจนถ้อยคำ
และนี่คือ ‘ยุทธการเนินเขาฮอกห์นาเรียห์’ สงครามแรกซึ่งได้รับการจดบันทึกอย่างเป็นทางการของ ‘บุตรเทพแห่งความตายและหายนะ โซมะ คิซากิ’ ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
0 ความคิดเห็น