[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 14: สลักประทับ


“ทำไมคุณถึงไม่พยายามเอาชนะล่ะ? ”

ทุกตนสับสนอย่างถึงที่สุดกับถ้อยคำของโซวมะ

พวกเขาล้วนรู้จักเด็กมนุษย์ที่พระบุตรของพวกตนนำพามา แม้จะไม่ได้วิจารณ์อย่างเปิดเผยเพราะได้รับการบอกกล่าวจากผู้เป็นพระบุตรว่า ‘เขาคือผู้มีคุณของข้า’ ด้วยตนเอง ทว่าก็ยังรู้สึกไม่คุ้นชินกับความไม่สบายใจยามมีมนุษย์อยู่ในหมู่บ้าน ยิ่งกว่านั้น การที่พระบุตรผู้เป็นสตรีในวัยออกเรือนอาศัยอยู่ในกระโจมเดียวกันกับมนุษย์เพศชายแม้จะเป็นผู้ต่างเผ่าพันธุ์ก็ยังนับว่าไม่เหมาะสม

ทุกตนจึงตัดสินใจว่าจะสังหารเขาหากเขาทำอะไรขึ้นมา

สำหรับโซออนแล้ว โซวมะไม่ต่างจากแมลงสาบ หรือมดปลวกที่ไม่เป็นที่ต้อนรับ ไม่แม้แต่จะอยากมองดู

ทุกตนล้วนลังเลว่าควรทำอย่างไรกับถ้อยคำไม่คาดหมายที่เปล่งออกมาจากปากเด็กมนุษย์ผู้นี้

เชมุลเป็นเพียงผู้เดียวที่มีความเคลื่อนไหว สำหรับนางแล้ว นางคิดว่าย่อมเป็นความผิดตนหากไม่รีบปกป้องเขาก่อนจะฟังว่าเขากล่าวสิ่งใด

การเผยตัวต่อหน้าพี่น้องผู้ตัดสินใจเข้าสู้รบกับมนุษย์และเพิ่งถูกฆ่าล้างมาไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตาย เขาอาจถูกจับมัด ถูกทรมาน ถูกสหายร่วมเผ่าที่เกรี้ยวกราดสังหารได้ ศีรษะของเขาจะถูกนำไปใช้บูชายัญแด่ผู้จากไปในแนวหน้า

เชมุลวิ่งเข้าหาโซวมะ ยืนเบื้องหน้าเขาเพื่อปกป้อง

“เขาเป็นผู้มีคุณของข้า! ได้โปรดเห็นแก่หน้าข้า มองข้ามเขาไปเถอะ! ”

ทว่า โดยไม่ตวัดสายตามองการกระทำคล้ายสติหลุดของเชมุล โซวมะตะโกน

“ทำไมพวกคุณถึงไม่พยายามเอาชนะเล่า!? ”

ผู้ที่โซวมะจ้องมองและตะโกนใส่คือการัม

เช่นนี้ การกระทำของโซวมะจึงเป็นการลบหลู่หัวหน้าเผ่า หากการกระทบหลู่เกียรตินี้เป็นไปเพื่อท้าทายหัวหน้าเผ่า คนในเผ่าย่อมไม่ยอมให้อภัยต่อให้ผู้ห้ามปรามนั้นคือพระบุตรก็ตามที

เชมุลตัวสั่นสะท้าน ราวกับเลือดในร่างนางเยือกแข็งขึ้นฉับพลัน

“โซมะ! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาได้! รีบหายตัวไปเดี๋ยวนี้! ได้โปรดรีบไปเสีย! ”

กระทั่งเสียงตะโกนอย่างเจ็บปวดของเชมุลก็ดังไปไม่ถึงหูโซวมะในยามนี้

การัมกล่าวต่อโซวมะ

“เจ้าเด็กน้อย เจ้าหมายความว่าอะไร…? ”

“ได้โปรดรอก่อนเถอะเขี้ยวคลั่ง! รอเดี๋ยวเถอะ”

“เงียบเสียเขี้ยวสูงศักดิ์! ข้าไม่ได้ถามเจ้า! ”

เชมุลรู้สึกคล้ายใจสลาย ไม่ว่าจะทำอย่างไร นางก็ไม่อาจคลี่คลายสถานการณ์ได้อีกแล้ว

ความสนใจของการัมทั้งหมดในยามนี้อยู่ที่โซวมะแล้ว สถานการณ์มาถึงจึงที่แก้ไขอะไรไม่ได้ต่อให้เขาไม่กล่าวอะไร ไม่เพียงเท่านั้น ก้าวผิดเพียงก้าวเดียวอาจทำให้โซวมะเสียชีวิตได้ เผ่าของเขาย่อมไม่อยู่เฉย ต่อให้การัมไม่ได้ต้องการทำอันตรายต่อโซวมะก็ตามที

ทว่า โซวมะยังคงจ้องมองเขาราวกับไม่รับรู้ถึงอันตรายในยามนี้

“อย่างที่ผมกำลังพูดอยู่ไง! ทำไมพวกคุณถึงไม่พยายามเอาชนะเล่า! ”

“เจ้าว่า เราไม่ได้พยายามเอาชนะงั้นรึ? ”

“ใช่! แผนการของพวกคุณเรียกว่าการต่อสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ! มันก็เป็นแค่การฆ่าตัวตาย! ”

นักรบหลายชีวิตส่งเสียงเกรี้ยวกราดเมื่อได้ยินคำของโซวมะ

“เจ้าหยามหมิ่นเรารึ เจ้ามนุษย์!!? ”

“เจ้าโง่ ข้าจะสอนให้เจ้าทราบว่าใครกันแน่ที่ฆ่าตัวตาย! ”

นักรบใจร้อนหลายนายชักมีดดาบขึ้นพุ่งเข้าใส่โซวมะ เชมุลรีบชักมีดดาบของตนเข้าขวางเพื่อปกป้องเขาทันที

แม้นักรบเหล่านี้จะไม่ทำร้ายนางเพราะสถานะพระบุตร ทว่าอย่างไรพวกเขาก็แข็งแกร่งกว่านาง ในความคิดของพวกเขา นางย่อมไม่อาจขวางทางได้

นางคิดหาทางช่วยโซวมะอย่างบ้าคลั่ง ทว่าไร้ประโยชน์

แม้เหล่านักรบจะเกิดความลังเลขึ้นเพียงเล็กน้อยเพราะเห็นเชมุลที่ยืนขวางอยู่ แต่นี่ไม่ใช่ความโกรธที่จะหยุดได้ด้วยเรื่องเพียงแค่นั้น พวกเขาตั้งท่าจะเข้าล็อคผู้เป็นพระบุตรแล้วเข้าฉีกกระชากแขนขาของมนุษย์ผู้ไร้มารยาท

“นักรบทั้งหลาย จงหยุด! ”

ท่าทางมุ่งร้ายของพวกเขาหยุดชะงักลงด้วยเสียงคำรามของการัม

“เด็กมนุษย์อ่อนแอผู้นี้กำลังทำให้เราบันเทิงด้วยคำพูดไร้สาระอยู่ เช่นนั้นก็ให้เขากล่าวให้จบเถอะ”

พวกนักรบถอนตัวออกทันทีเมื่อได้ยินคำดังนั้น

แม้จะเพียงชั่วคราว ทว่าเชมุลก็รอดพ้นจากการต้องประดาบกับสหายร่วมเผ่าแล้ว ทว่าอันตรายยังอยู่ นางจึงยังคงยืนปกป้องโซวมะพร้อมอาวุธในมือ

“เป็นอะไรไป เจ้าเด็กน้อย? ก่อนจะถูกสังหาร เช่นนั้นจงทำให้เราขำขันด้วยถ้อยคำของเจ้าเสียหน่อยเถอะ”

โซวมะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโมโหจากการเย้ยหยันของการัม

“พวกคุณมันขี้ขลาด! พวกคุณก็แค่กำลังหนีโดยใช้คำว่าศักดิ์ศรีนักรบเป็นข้ออ้าง! พวกคุณไม่แม้แต่จะหาทางเอาชนะศัตรูด้วยซ้ำ! แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการหนีจากสนามรบ! ”

เชมุลแทบจะเป็นลมเสียเดี๋ยวนั้น คำว่าขี้ขลาดและวิ่งหนีเป็นคำที่ห้ามใช้ต่อหน้านักรบโซออนผู้หยิ่งทระนงโดยเด็ดขาด

“เจ้าว่าเรากำลังหนีเรอะ!? ”

“ขี้ขลาดรึ!? ”

“มนุษย์โง่งมคนหนึ่งจะมาเข้าใจอะไรกับนักรบโซออนกัน!? ”

การัมยกมือข้างหนึ่งห้ามพี่น้องที่กำลังจะกรูเข้ามาด้วยความโมโห เขาพยักพเยิดใส่โซวมะคล้ายจะให้พูดต่อ

“แน่นอนว่าผมเข้าใจ! นักรบโซออนที่แท้จริงก็อยู่ที่นี่ไม่ใช่รึไง!? ”

กล่าวดังนั้น ผู้ที่โซวมะชี้ไปคือเชมุลที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา

“เชมุลบอกไปแล้ว! นักรบที่ต่อสู้เพื่อผู้อ่อนแอ อย่างที่เธอบอก ยามที่เกียรติของนักรบเสียไป คือยามที่ไม่อาจปกป้องผู้ควรที่ควรปกป้องได้! ”

โซวมะถอนสายตาจากการัม หันไปสำรวจเหล่านักรบโซออนทั้งหลายในยามนี้

“สำหรับผม พวกคุณก็แค่สู้เพื่อตัวเอง! สิ่งเดียวที่พวกคุณสนใจ ก็คือศักดิ์ศรีของตัวเอง! ”

“อย่าได้พูดเหมือนเจ้าเข้าใจ เจ้ามนุษย์ต่ำช้า!! ”

“ถ้าอย่างนั้น ทำไมพวกคุณถึงจะพาคนที่สู้ไม่ได้ให้ไปตายในสนามรบล่ะ? แบบนั้นคือนักรบรึไง? ”

ถูกจี้จุดอ่อนแบบนี้ พวกนักรบก็ไม่อาจตอบโต้อะไรได้

เหล่านักรบเข้าใจดีที่สุดว่าตนเองไร้ค่าเพียงใดที่ไม่อาจปกป้องทั้งเด็กและผู้ชราได้ เมื่อความน่าอับอายนี้ถูกจี้จุดอยู่เบื้องหน้า พวกนักรบก็เริ่มแยกเขี้ยวส่งเสียงขู่คำราม

“เจ้าเด็กมนุษย์ ที่เจ้าทำก็มีเพียงโอ้อวดเท่านั้น! หรือเจ้ากล่าวว่าเจ้าสามารถขับไล่พวกมนุษย์ที่นั่นออกไปได้รึ!? ”

“หากเจ้ากล่าวว่าเจ้าชนะได้ เช่นนั้นก็แสดงให้เราเห็น ขับไล่มนุษย์พวกนั้นออกไปตอนนี้เลย! ”

“ทำได้หรือไม่เล่า? เจ้าเด็กมนุษย์อ่อนแอ! ”

จากนั้น เหล่านักรบต่างเอ่ยถ้อยคำเย้ยหยันโซวมะเป็นเสียงเดียว

ทว่า ราวกับไม่สนใจถ้อยคำเหล่านั้น โซวมะตะโกน

“ผมทำไม่ได้! แต่ผมรู้วิธีจะทำให้พวกคุณชนะได้! ”

เพราะคำของโซวมะ เหล่าโซออนแค่นเสียงเสียงพึมพำ

ทุกชีวิตล้วนละทิ้งความหวังในการเอาชนะ ทว่าเจ้าเด็กมนุษย์นี่กลับกล่าวว่ามันรู้วิธีเอาชนะหรือ?

“ถ้าพวกคุณฟังคำผม ผมมั่นใจว่าพวกคุณต้องชนะได้อย่างแน่นอน! ”

โซวมะประกาศอย่างภาคภูมิ เหล่าโซออนชะงักงัน

พวกเขาจะชนะได้จริงหรือ?

ไม่ ย่อมต้องเป็นเรื่องโกหกแล้ว

ทว่าเขากลับมั่นใจเพียงนั้น บางที…

ความมั่นใจสั่นคลอน ทุกชีวิตล้วนสับสนนิ่งงัน

“อะฮะฮะฮะฮะ…”

ทันใดนั้น เป็นการัมที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

โซวมะไม่ใช่เพียงผู้เดียวที่มองไปยังการัม ทว่าเหล่าโซออนก็มองไปอย่างสงสัยเช่นกันว่าเหตุใดเขาจึงหัวเราะขึ้นอย่างกะทันหัน

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ตลกนัก เจ้าเด็กน้อย! ”

การัมกล่าวเช่นนั้นหลังหัวเราะไปได้ขณะหนึ่ง

“ไร้ประโยชน์เจ้าหนู พวกเราล้วนเป็นนักรบโซออนผู้หาญกล้า นักรบโซออนย่อมไม่ฟังคำผู้ต่ำต้อยกว่า ใครจะเชื่อฟังคำสั่งจากคนแปลกหน้าเช่นเจ้าที่ไม่เคยแม้แต่จับดาบเข้าสนามรบกัน? คำพูดของเจ้าล้วนไร้ความหมาย! เช่นนั้น เจ้าคือผู้ที่ไม่ควรค่าแก่การร่วมรบไปกับเรา! ”

เหตุผลของการัมจี้จุดอ่อนของโซวมะพอดี

“เจ้าโง่ หากเจ้าเป็นทหารผ่านศึก เราอาจลองฟังคำเจ้า หากเจ้าเป็นแม่ทัพผู้เคยสั่งการกองกำลังทหารหมื่นนาย เราย่อมเชื่อฟังเจ้า ทว่า เจ้าที่ว่างเปล่าเคยทำเช่นนั้นหรือไม่? ”

การัมกางมือแสดงกรงเล็บไปยังโซวมะ ตะโกน

“เจ้าเคยกระทำสิ่งใดเหล่านี้ ทำให้เราเชื่อฟังเจ้าได้หรือไม่!? เจ้ากระทำสิ่งใดที่ทำให้เราเชื่อถือเจ้าหรือไม่!? หากเจ้าอยากให้เราฟังสิ่งที่เจ้ากล่าว จงแสดงหลักฐานให้เราเชื่อถือเจ้าออกมาเสีย! ”

ความเงียบงันเข้าปกคลุมสถานที่แห่งนั้นในชั่วพริบตา

“เจ้าไม่--ฮึ่ม! การแสดงนี้น่าขบขันยิ่งกว่าที่ข้าคาดไว้เสียอีก”

เมื่อบทสนทนาจบลง การัมก็หันหลังให้แก่โซวมะ

เชมุลอ่านความตั้งใจของการัมออก นางรู้สึกขอบคุณยิ่ง การัมจงใจหัวเราะใส่ถ้อยคำของโซวมะทั้งยังกล่าวว่าเป็นการแสดงขบขัน เขาช่วยโซวมะเอาไว้แล้ว

กระทั่งนักรบโซออนก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากนับว่าเหล่านี้คือการแสดงขบขันอย่างที่หัวหน้าเผ่ากล่าว หากเก็บมาใส่ใจก็ถือว่าเสียเกียรติไปตลอดกาลแล้ว

เหล่าโซออนที่นี่จึงนับว่าเหตุเหล่านี้ได้จบลงแล้ว

“...ผมมี”

“อะไรนะ!? ”

การัมไม่ใช่เพียงผู้เดียวที่ตกตะลึง เหล่าโซออนทุกชีวิตรวมถึงเชมุลต่างก็เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ

เมื่อทุกสายตาจับจ้องไปที่เขา โซวมะก็ยกมือขวาขึ้นช้าๆ

“ถ้าผมแสดงหลักฐานว่าผมสามารถทำให้พวกคุณชนะได้ พวกคุณจะเชื่อฟังผม ถูกต้องไหม? ”

“ช...ใช่ เราจะเชื่อฟัง…”

การัมพูดไม่ออก

เจ้าเด็กนี่เป็นอะไรไป หรือตั้งใจจะทำให้เราเห็นด้วยกับมันจริงๆ หรือ?

การัมตัวสั่นขึ้นเล็กน้อย

เหตุใดเด็กมนุษย์ที่ดูราวกับจะถูกสังหารได้ง่ายได้เพียงสะบัดมือจึงสามารถกล่าวเรื่องแปลกประหลาดเหล่านี้ขึ้นมาได้? เมื่อมองไปในดวงตา เขายังเห็นความมุ่งมั่นแรงกล้าอยู่ภายใน นั่นหมายความว่าเขาไม่ใช่คนโง่งมที่เป็นบ้าไปแล้วใช่หรือไม่?

เช่นนั้น เด็กคนนี้คือใครกันแน่?

การัมยังสงสัยว่าโซวมะเป็นปีศาจร้ายหรือไม่

ในขณะเดียวกัน โซวมะเองก็กำลังหวาดกลัวอยู่เช่นกัน

ทีแรก เขานึกอยากจะกรีดร้องแล้ววิ่งหนีไปจากสถานที่แห่งนี้เสีย

ทว่า เขาก้าวมาตรงนี้แล้วด้วยตัวเอง เขาถอยกลับไม่ได้อีกแล้ว

ในความเป็นจริง เขาก็ไม่มีอะไรจะมาใช้เป็นหลักฐานได้

นั่นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีทางที่โซวมะซึ่งอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นยุคปัจจุบันอันสงบสุขจะเคยมีส่วนร่วมในสงคราม เขาไม่เคยต่อสู้สั่งการนำทัพทหาร ก็อย่างที่การัมบอก สิ่งที่ตัวเขากล่าว ตัวเขาที่ไม่มีประสบการณ์อะไรที่จะมาสนับสนุนถ้อยคำเหล่านั้นได้ ก็เป็นแค่คำไร้ความหมายไร้สาระ

แต่ต่อให้ไร้ความหมาย เขายังทำให้คนอื่นเชื่อว่ามันมีสาระได้ หากพวกนี้บอกว่าไม่อาจพึ่งพาคำของเขา เขาจะแสดงให้คนพวกนี้เห็นสาระที่ไม่ควรจะมีอยู่ได้ ยังไงคำพูดของเขาก็ว่างเปล่าอยู่แล้ว เขาก็แค่ต้องเสแสร้งให้ถึงที่สุด ต่อให้เป็นแค่การแสดงก็ตาม ทั้งหมดก็เพื่อให้ถ้อยคำของเขาดูมีอะไรพิเศษขึ้นมา

ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยให้คนพวกนี้หมดความอดทน เขาคงจะถูกฆ่าทิ้งแน่

สำหรับตัวเขา ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

สิ่งเดียวที่เขาได้รับมา ตัวเขาซึ่งร่วงหล่นมายังต่างโลกโดยไม่มีสิ่งใดแม้แต่อย่างเดียว

“...! หยุดนะโซมะ! ”

ทันทีที่รู้ว่าโซวมะจะทำอะไร เชมุลร้องบอกเพื่อห้ามเขาทันที

ทว่า สายไปแล้ว

มือขวาของโซวมะปลดผ้าคาดที่ปิดหน้าผากออกแล้ว

สิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าผากนั้น คือสลักประทับที่ดูคล้ายการผสมผสาน 8 และ ∞ ที่เปล่งประกายน้อยๆ ดูคล้ายงูสองตัวพาดพันกันและกัน ขบกัดห่างอีกฝ่ายยามบิดกาย นั่นคือสลักประทับแห่งลางร้าย

“จ-เจ้าเป็นพระบุตรรึ…? ”

“สลักประทับอะไรกัน? ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน? ”

“เป็นพระบุตรแห่งเทพองค์ใดกัน? ”

ประจันกับโซออนที่ล้วนสงสัย โซวมะเปิดผมหน้าม้าขึ้น เผยให้เห็นสลักประทับ สูดลมหายใจเข้าลึก และตะโกน

“ผมคือพระบุตร! ผมคือพระบุตรแห่งออร่า เทพีแห่งความตายและหายนะ! ”

โซวมะชี้ไปยังทิศที่มีค่ายทหารมนุษย์ ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหมู่บ้านของโซออน

“ถ้าคุณเชื่อฟังผม ผมจะมอบทั้งความตายและหายนะให้แก่มนุษย์ที่ทำให้พวกคุณต้องทนทุกข์เอง! ”

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น