[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 13: ความลำบากใจ


เมื่อฟ้ามืดลง เหล่าโซออนก็มารวมตัวกันที่ภาวนสถานในหุบเขายามตะวันตกดิน

นักรบรุ่นเยาว์ที่บาดเจ็บจากตอนกลางวันยามนี้ล้วนหลับใหลโดยมีครอบครัวคอยดูแลข้างกาย

กัลกาก้ามองสภาพร่างกายนักรบรุ่นเยาว์ที่ถูกผ้าพันแผลปกคลุมทั่วร่าง จากนั้นก็เห็นการัมเดินเข้ามา เขาลุกเดินไปหาอีกฝ่าย

“เจ้านั่นคงมิได้อยู่ทักทายตะวันขึ้นวันพรุ่งนี้เช่นกัน”

ได้ยินรายงานของกัลกาก้าแล้ว การัมก็ไม่รู้จะบอกกับคู่โซออนมีอายุที่ยืนเฝ้านักรบรุ่นเยาว์นั้นอย่างไรดี

“ในบรรดานักรบเยาว์สิบแปดชีวิตที่ตามกาจีต้า กลับมาได้สิบ ทว่าในบรรดาพวกเขา สามตนรวมเด็กผู้นี้ก็…”

กัลกาก้าเลี่ยงไม่กล่าวจนจบประโยค ทว่าการัมทราบสิ่งที่เขาต้องการสื่อ

เมื่อการัมเดินสำรวจผู้บาดเจ็บ ก็เห็นกาจีต้านั่งอยู่ลำพังที่มุมสุดอันห่างไกลของภาวนสถานข้างกองเพลิง ผู้ติดตามที่มักรายล้อมยามนี้กลับไม่เห็นแม้แต่ผู้เดียว

“กาจีต้า หากเจ้ามีสิ่งใดจะกล่าวแก้ตัว จงกล่าวให้พวกข้าได้ฟังเถอะ”

ได้ยินการัมกล่าวเช่นนั้น กาจีต้าก็แยกเขี้ยวคำราม

“ไม่จำเป็นต้องแก้ตัวอะไรทั้งนั้น! เราสู้เพื่อกอบกู้หมู่บ้านดังเช่นนักรบโซออนผู้หาญกล้า! ไม่ว่าอย่างไร เจ้า ผู้ขลาดเขลาผู้ไม่พยายามกอบกู้หมู่บ้านไม่มีสิทธิมาประณามข้า! ”

“กาจีต้า...! ”

การัมห้ามกัลกาก้าที่ยกแขนตั้งท่าจะต่อยกาจีต้าด้วยความโมโหเอาไว้ ถ้อยคำของกาจีต้ากลับยิ่งน่าโมโหมากขึ้น

“หากพวกเจ้ามาช่วยพวกข้าในตอนนั้น รั้วนั่นย่อมต้องพังลงแล้ว! หากเป็นเช่นนั้น ของอย่างทหารมนุษย์นั่น…! ”

“เจ้าเชื่อจริงหรือว่ารั้วนั่นจะพังลงหากเราสนับสนุนเจ้า? ”

เมื่อการัมกล่าวดังนั้น กาจีต้ากลับมีท่าทีตรงกันข้าม กาจีต้ากล่าวสิ่งใดไม่ออก

“นั่นมัน…! ”

“แม้ในเรื่องขบขันเพียงใด ยามนั้นเจ้าก็ยังไม่อาจแก้ไขสถานการณ์ใดได้ เจ้าจะโน้มน้าวใครได้หากแม้เจ้ายังไม่เชื่อคำที่ตนเองกล่าว? ”

กาจีต้าเดาะลิ้น ไร้คำใดจะเอ่ยปฏิเสธการัม หลบสายตาไป ทั้งยังทอแววรำคาญใจ

ชั่วขณะนั้น หมัดของการัมก็พุ่งเข้าปะทะใบหน้ากาจีต้าจนกระเด็นไป

“กาจีต้า! ในยามนี้เราต้องการนักรบทุกชีวิต ตอนนี้ข้าจะให้อภัยเจ้า ยามเหตุร้ายเหล่านี้จบแล้ว เจ้าย่อมต้องได้รับโทษทัณฑ์ เตรียมใจไว้ให้ดี”

กาจีต้าถ่มถุยคำเหล่านั้นกลับคืนสู่การัมที่จากไปโดยมีกัลกาก้าตามหลัง

“เมื่อเหตุร้ายจบลงรึ? ถึงยามนั้น ทุกตนก็ตายหมดสิ้นแล้ว”

กระทั่งการัมเองก็ไม่อาจเอ่ยคำใดตอบโต้ได้

พวกเขาสูญเสียนักรบไปมากกว่าเดิม ผู้มีจำนวนน้อยกว่าก็อยู่ในสภาพเสียเปรียบแล้ว แม้การหมู่บ้านกลับคืนจะยากลำบากมาแต่ต้น ทว่าทุกสิ่งในยามนี้ล้วนทำให้เรื่องราวยากกว่าเดิม นอกจากนั้นต่อให้ทวงคืนหมู่บ้านมาได้ ก็ยังมีกองทหาร 800 นายที่ป้อมปราการใกล้ๆ เป็นกำลังเสริม

นักรบผู้หนึ่งวิ่งมาหาการัมที่กำลังเหม่อมองท้องฟ้าอย่างครุ่นคิด ว่าเขาควรจะทำอย่างไรดี?

“หัวหน้าเผ่า! ผู้ส่งสารที่เราส่งไปเผ่ากรงเล็บกลับมาแล้วขอรับ! ”

“พาเขามาที่นี่เลย! ”

ผู้ส่งสารกลับมาได้เวลาพอดี ปวงเทพยังไม่ละทิ้งพวกเขาใช่หรือไม่?

การัมไม่อยากตั้งความหวังต่อผู้ส่งสาร จึงไม่คิดจะเร่งกำหนดการอะไร

นักรบที่จากไปในฐานะผู้ส่งสารต้องการรายงานอย่างรวดเร็วต่อให้เป็นที่สองก็ตาม คาดว่าเขาคงฝ่าหุบเขาอันหนาวเหน็บกลับมา เพียงมองไปก็เห็นได้ว่าเขาเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน ถึงขั้นไม่อาจเดินได้โดยปราศจากสหายช่วยประคองแล้ว

“หัวหน้าเผ่า! ขออภัยที่ล่าช้าขอรับ ข้าเพิ่งจะกลับมา! ”

“ไม่เป็นไร! แล้วทางเผ่ากรงเล็บกล่าวว่าอย่างไรบ้าง? ”

ผู้ส่งสารวางสองมือลงบนเข่าในตอนนั้น โขกศีรษะลงกับพื้น

“ข้า ข้าขออภัย! ”

น้ำเสียงสิ้นหวังฮือขึ้นจากพี่น้องเมื่อได้ยินคำของเขา

การัมถอนใจคราวหนึ่ง

ทีแรก นับแต่ยังอยู่ในทุ่งกว้าง ทั้งเผ่าของเขาและ ‘เผ่ากรงเล็บ’ ล้วนแต่เป็นคู่แข่งที่ประชันกันเสมอมา ร้องขอความช่วยเหลือจากเผ่านั้นก็ดูไร้เหตุผลไปบ้าง ยามนี้ทั้งสองฝ่ายเพียงปกป้องเผ่าตนเองก็เต็มกำลังแล้ว

“ไม่เป็นไร ตั้งแต่แรกข้าก็ไม่คิดว่าเราจะได้รับการยอมรับง่ายดายเพียงนั้น เจ้าไม่ต้องกังวลไป”

เขาเอ่ยขอบคุณผู้ส่งสาร

“ไม่ขอรับท่านหัวหน้าเผ่า เผ่ากรงเล็บนั่นกล่าวว่าพวกเขายอมรับผู้ชราและเด็กได้ไม่มีปัญหา ทั้งยังบอกข้าว่าสามารถส่งนักรบมาช่วยได้เช่นกันหากจำเป็นขอรับ”

“อะไรนะ?! ”

นั่นเป็นคำตอบที่แม้แต่การัมและคนอื่น ต่างก็ไม่คาดฝันแม้แต่น้อย พวกเขาได้ยินมาว่าหัวหน้าเผ่าปัจจุบันของเผ่ากรงเล็บ ครากา บิกาน่า เซอร์กู เป็นบุรุษป่าเถื่อนที่บ้าคลั่งเพียงการต่อสู้เท่านั้น ทว่าดูไปอีกฝ่ายกลับไม่ละทิ้งเผ่าพันธุ์เดียวกันยามถูกมนุษย์เข้าโจมตี

“ต...แต่ แต่มีเงื่อนไขขอรับ”

“เงื่อนไขรึ? ”

“การรับทั้งผู้ชราและผู้เยาว์ ทั้งยังสนับสนุนในสนามรบล้วนแต่เป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบเผ่ากรงเล็บทั้งเผ่า ดังนั้นเมื่อนำผู้ชราและผู้เยาว์ไปแล้ว พวกเขายังต้องการให้หัวหน้าเผ่าของเราไปเยี่ยมเยือนเผ่ากรงเล็บด้วยตนเอง อธิบายให้เผ่ากรงเล็บฟังเองขอรับ”

“มันว่าจะให้หัวหน้าเผ่าไปก้มหัวขอร้องรึ!? ”

ได้ยินคำนั้น เหล่านักรบก็แยกเขี้ยวขู่

“หากเพียงข้าก้มหัวแล้วเผ่าเราจะอยู่รอดต่อไป ข้าย่อมทำ ทว่า…”

การัมเป็นหัวหน้าเผ่า หากคนในเผ่าเขาได้รับการช่วยเหลือเพียงเขายอมเสียศักดิ์ศรี เขาย่อมทำ

ทว่าสถานการณ์ยามนี้ไม่ทราบเมื่อใดมนุษย์จะบุกโจมตี ให้หัวหน้าเผ่าจากไปย่อมเป็นไปไม่ได้

หัวหน้าเผ่ากรงเล็บต้องเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี เช่นนี้ก็นับเป็นการปฏิเสธโดยอ้อมแล้ว

เดาว่าคงเป็นเรื่องธรรมดากระมัง ขณะที่การัมคิดยอมแพ้ ผู้ส่งสารก็พูดต่อ

“ยังมีต่ออีกขอรับ...”

“อะไรกัน? ”

“หากท่านหัวหน้าเผ่าไปไม่ได้ พวกนั้นกล่าวว่าสามารถให้พระบุตรไปเป็นตัวแทนได้ขอรับ”

ทันทีที่กล่าวจบ สมาชิกในเผ่าก็พร้อมใจกันขู่คำราม

“อย่ามาล้อเล่น เจ้าพวกเผ่ากรงเล็บต่ำช้า! ”

“แทนหัวหน้าเผ่ารึ? หน้าไม่อายถึงเพียงนั้น! ”

“แต่แรกนี่ก็เป็นเพียงแผนการเพื่อกักตัวพระบุตรผู้สูงส่งไว้กับตัวเท่านั้นมิใช่รึ!? ”

เป้าหมายของเผ่ากรงเล็บนั้นชัดเจนยิ่ง

เป้าหมายที่แท้จริงคือเชมุล ผู้เป็นพระบุตรแห่งองค์เทพเท่านั้น

นานมาจนกระทั่งปัจจุบัน ระหว่างเผ่าต่างๆ ก็มีการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่องว่าต้องสู้รบกับมนุษย์ โซออนทั้งสิบเผ่าควรรวมตัวกันเป็นพันธมิตร ทว่ามักตกลงกันไม่ได้ว่าเผ่าใดจะเป็นผู้ควบคุม การเจรจาเหล่านั้นล้วนจบลงด้วยความล้มเหลว

กระทั่งเมื่อหลายปีก่อนที่เชมุลกลายเป็นพระบุตร การพูดคุยเรื่องพันธมิตรต่างเผ่าจึงกลับมาอีกครั้ง

หากเป็นพระบุตรผู้ได้รับการยอมรับจากเทพแห่งสรรพสัตว์ที่โซออนต่างบูชาแล้ว นางย่อมเป็นที่คาดหวังให้ควบคุมกองทัพโซออนเป็นหนึ่งเดียว ทว่าในขณะเดียวกัน แม้จะเป็นพระบุตร เชมุลก็ยังเป็นบุตรแห่งการ์กัสส์ หัวหน้าเผ่าคมเขี้ยว ดังนั้นเผ่ากรงเล็บจึงเกรงว่ากลุ่มพันธมิตรจะถูกเผ่าคมเขี้ยวขึ้นเป็นผู้นำโดยใช้พระบุตรบังหน้า พวกเขาใช้ข้อเท็จจริงนี้ อ้างว่านางคือบุตรีแห่งหัวหน้าเผ่าคมเขี้ยว ทำให้การพูดคุยเรื่องรวมกลุ่มพันธมิตรล้มเหลวอีกนับครั้งไม่ถ้วน

เหตุที่การัมพยายามให้เชมุลจากไปในฐานะผู้ส่งสารเมื่อหลายวันก่อนนั่นเพราะ ตราบใดที่พระบุตรยังมีชีวิต ย่อมเป็นไปได้ที่กลุ่มพันธมิตรโซออนจะเกิดขึ้น ให้เผ่าคมเขี้ยวสูญสิ้นอาจทำให้เผ่ากรงเล็บตระหนักรู้ขึ้นมาได้ เมื่อเผ่าคมเขี้ยวสิ้นไปแล้ว เหล่าโซออนที่เหลืออาจเกิดความร่วมมือขึ้นเป็นกลุ่มพันธมิตรได้ แม้จะเป็นการตัดสินใจที่ชวนหนักใจก็ตามที

แม้จะตัดสินใจแก้ปัญหาไปถึงจุดนั้นแล้วก็ตาม

ทว่าเมื่อครุ่นคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของโซออนทุกเผ่าแล้ว เผ่ากรงเล็บเห็นเผ่าคมเขี้ยวอ่อนกำลังลงจึงใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอนั้น พวกนั้นอุกอาจกล่าวให้ส่งตัวพระบุตรไปยังฝ่ายตน

กระทั่งการัมผู้เคยตัดใจคิดส่งเชมุลไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็ยังรู้สึกถึงความโมโหที่ก่อตัวขึ้น ดวงตาอาบย้อมด้วยสีแดงล้ำลึก เจ้าบัดซบเซอร์กูนั่น จนถึงป่านนี้แล้วยังไม่เห็นถึงสถานการณ์ปัจจุบันอีกหรือ?

การัมกระหน่ำด่าหัวหน้าเผ่ากรงเล็บที่เขาจดจำได้แม่นด้วยคำหยาบทั้งหมดที่รู้

ผู้อาวุโสตนหนึ่งลุกขึ้นจากผองพี่น้องที่กำลังเกรี้ยวกราด

“ข้าอยู่มานานพอแล้ว ข้าไม่ปรารถนายืดอายุตนเองด้วยการสละพระบุตรผู้สูงส่งเช่นนั้น”

เมื่อมีผู้หนึ่งเริ่มขึ้น ผู้อาวุโสอีกหลายรายก็ลุกขึ้นกล่าวเช่นเดียวกัน

แม้พวกเขาจะอาวุโสแล้ว ทว่าอย่างไรก็ยังเป็นโซออนผู้หยิ่งทระนง พวกเขาล้วนเกรี้ยวกราดยามคิดถึงวิธีรับมือเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ของเผ่ากรงเล็บผู้เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน แม้จะต่างเผ่าก็ตาม

“ทว่า แล้วจะทำอย่างไรกับเด็กๆ เล่า? ”

ทว่าเมื่อผู้หนึ่งเอ่ยความกังวลขึ้นมา ทุกสรรพเสียงก็เงียบงันลงจากคำถามนั้น

นักรบล้วนไม่เกรงกลัวความตาย

พี่น้องผู้อาวุโสอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่ปี ก็ไม่กังวลเรื่องความตายเช่นกัน

ทว่า แล้วเด็กๆ เล่า?

ไม่นานนัก มารดาผู้หนึ่งซึ่งอุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมแขนก็กระซิบขึ้น

“หากเราสละพระบุตรไป เด็กผู้นี้ย่อมต้องแบกรับบาดแผลไปตลอดชีวิต”

โซออนเป็นเผ่าพันธุ์ที่หยิ่งทระนง แม้จะเพื่อช่วยเหลือทุกตน ทว่าหากยอมสละพระบุตรแห่งเทพสรรพสัตว์ที่พวกตนนับถือให้แก่เผ่าอื่นแล้ว ‘เผ่าคมเขี้ยว’ ย่อมกลายเป็นเป้าให้ถูกเหยียดหยามนับแต่นั้น ต่อให้เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ให้รอด ทว่าท้ายสุดเด็กๆ ก็จะต้องแบกรับภาระที่เหลือไปตลอดชีวิต

เสียงหนึ่งซึ่งไม่ทราบเป็นของใครดังขึ้น

“มาต่อสู้ด้วยตนเองเถอะ…”

“ใช่แล้ว! ดีกว่ารอดชีวิตอย่างไร้ศักดิ์ศรี เช่นนั้นก็ตายอย่างสมศักดิ์ศรีในการต่อสู้เถอะ”

“แสดงให้พวกมันเห็นถึงศักดิ์ศรีของเผ่าคมเขี้ยว! ”

“เราจะแสดงความหาญกล้าของโซออนให้มนุษย์ได้เห็น! ”

เหล่านักรบยกมีดดาบขึ้นเหนือหัว ตะโกนก้องแสดงจิตฮึกเหิม

ท่ามกลางเขาเหล่านั้น มารดาผู้มีน้ำตาคลอหน่วยกอดลูกตนที่ยังมีท่าทางสับสนราวไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไหล่ของผู้เป็นแม่ถูกผู้เป็นพ่อโอบกอดไว้

ขณะทุกตนจุดไฟแห่งการต่อสู้ลุกโชนตั้งใจมุ่งสู่ความตาย มีเพียงผู้เดียวที่ลุกขึ้นคัดค้าน

“ทุกตน อย่าได้เร่งร้อนไปตายเด็ดขาด! ”

นั่นคือเชมุล

“เหล่านักรบทั้งหลาย! ศักดิ์ศรีมีเพียงการต่อสู้และตายไปเท่านั้นหรือ!? หากเป็นเพียงแค่การต่อสู้ เช่นนั้นจะต่างอะไรกับ ‘คมเขี้ยวแห่งความบ้าคลั่ง’ ทาบานูนูเล่า!? ”

ทาบานูนู นักรบโซออนในตำนานอาศัยอยู่ในยุคแห่งปรัมปรา

แม้เขาจะเป็นโซออนที่แข็งแกร่งที่สุดไร้ผู้เทียบเคียง เขากลับหลงใหลในพละกำลังของตน ท้ายสุดจึงได้สังหารสหายและคนรักของตนด้วยมือตนเองอันเกิดจากเหตุเข้าใจผิด ด้วยเหตุนั้น ทาบานูนูจึงจิตใจแหลกสลาย ตำนานยังกล่าวว่าเขาหายตัวไปยังสถานที่ที่ไม่มีผู้คนรู้จัก กลายเป็นผู้บ้าคลั่ง โจมตีทุกคนที่พบโดยไม่สนใจสิ่งใด

“ข้าได้รับการสอนสั่งจากบิดา...หัวหน้าเผ่าตนก่อน ว่านักรบคือผู้ยืนหยัดต่อสู้เพื่อผู้อ่อนแอ ยามที่ศักดิ์ศรีของนักรบได้รับความมัวหมอง คือยามที่เขาไม่อาจปกป้องผู้ที่ควรปกป้อง! เช่นนั้นแล้ว...เช่นนั้นแล้ว…”

ราวกับคล้ายจะกระอักเลือด เชมุลกล้ำกลืนเอ่ยถ้อยคำต่อมา

“ข้าจะยอมมอบตัวแก่เผ่ากรงเล็บเอง! หากพวกเขาบอกให้ข้าก้มศีรษะ ข้าจะทำจนกว่าเขาจะพอใจ! หากพวกเขาเรียกร้องให้ข้าแสดง เช่นนั้นข้าจะเปลื้องผ้าเริงระบำ! หากคนในเผ่าเราแม้นเพียงผู้เดียวสามารถปลอดภัยได้ด้วยการกระทำเช่นนั้น หากทุกตนรอดไปได้เพราะสิ่งเหล่านั้น ข้าจะสละศักดิ์ศรีข้าไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม! ”

“โอ...ท่านพระบุตร”

หากเป็นผู้อื่น ย่อมถูกประณามว่าไร้ยางอาย

ทว่า เชมุลคือ ‘เขี้ยวสูงศักดิ์’ ทุกตนในที่นี้ล้วนแต่ทราบว่านางหยิ่งทระนงเพียงใด แม้ในยามความประสงค์อันน่าอับอายทิ่มแทงนาง นางยังคงกล่าวว่านางจะยอมรับและยอมจำนน

นอกจากนั้น สิ่งนี้มิใช่เพื่อตัวนางเอง กลับเพื่อเผ่าของนาง พี่นางของนาง เพื่อผู้อ่อนแอไม่อาจสู้รบ

“ทุกท่าน โปรดอย่าเร่งร้อนสู่ความตายเลย หากมีผู้เยาะหยันท่าน ข้าจะเดิมพันชีวิตให้พวกมันหยุดเสีย! หากมีผู้พูดถึงท่าน ชี้นิ้วใส่ท่านลับหลัง ข้าจะไปยืนอยู่เบื้องหน้าพวกมัน! ”

ก่อนใครจะทราบ หยาดน้ำตาไหลล้นจากดวงตาเชมุล

“เพราะนั่นคือความปรารถนาของข้า ข้าปรารถนาให้ทุกตนมีชีวิตต่อไป…”

พี่น้องของนาง ณ ที่แห่งนี้เงยหน้าขึ้นด้วยถ้อยคำของเชมุล เสียงสะอื้นสะท้อนชัดเจน เด็กน้อยตนหนึ่งที่ไม่เข้าใจเหตุการณ์ถามมารดาของตนอย่างไร้เดียงสา ‘ทุกตนเป็นอะไรไป’

สายตาของทุกชีวิตในเผ่าพร้อมใจกันหันไปมองการัมผู้เป็นหัวหน้าเผ่า

“หัวหน้าเผ่า เราควรทำเช่นใด? ”

“หัวหน้าเผ่า ช่วยบอกหนทางด้วยเถอะ! ”

การัมครุ่นคิดว่าควรกระทำเช่นใดในสถานการณ์เช่นนี้ยามทุกสายตาตกอยู่ที่ตนเอง

ต้องทำอย่างไรจึงจะดีที่สุดเล่า? หากเขาเป็นนักรบทั่วไป เขาย่อมบอกให้มันไปตายพร้อมทุกตน เขาย่อมขอให้ทุกตนตายอย่างทรงเกียรติน่าชื่นชม ยังมีศักดิ์ศรีอยู่ในอก

ทว่าเขายังเป็นหัวหน้าเผ่า หัวหน้าเผ่าที่รับผิดชอบทุกชีวิตในเผ่าคมเขี้ยวแห่งนี้

คำพูดเขาในที่นี้ คือคำชี้ชะตาเผ่าแล้ว

ใครก็ได้ ช่วยบอกคำตอบเขาทีเถอะ!

เสียงหนึ่งดังขึ้นราวกับคำตอบจากองค์เทพสะท้อนสู่โสตของการัม

“ทำไมถึงไม่พยายามเอาชนะล่ะ? ”

เสียงนั้นไม่ได้ดังอะไร ทว่ากลับได้ยินชัดเจน โซออนทุกชีวิตพร้อมใจกันหันไปยังต้นทางที่เสียงดังมา

มีคนซ่อนกายในเขาแห่งนี้ สถานที่ที่แสงจากกองเพลิงส่องไปไม่ถึง

นั่นใครกัน? ผู้ส่งสารจากองค์เทพหรือ? หรือวิญญาณบรรพบุรุษกันแน่?

การัมเบิกตากว้าง

“ทำไมพวกคุณถึงไม่พยายามเอาชนะ ทั้งที่คุณสามารถทำได้ล่ะ? ”

ผู้ที่ปรากฏกายขึ้นจากในหุบเขาท่ามกลางแสงสะท้อนของเปลวเพลิงนั้น คือคิซากิ โซวมะ เด็กมนุษย์ที่เชมุลเป็นผู้ดูแล

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น