“ขอโทษที่ทำให้รอ เขี้ยวคลั่ง”
สถานที่พบปะการัมคือภายในหุบเขาที่ถูกจัดให้เป็นลานเล็กๆ ที่แห่งนี้เคยเป็นสนามวิ่งเล่นของเชมุลและการัมที่เล่นด้วยกันในยามเด็ก รอยข่วนเทียบความสูงสลักอยู่ในลำต้นไม้ทางด้านหนึ่งของจตุรัส กระตุ้นให้คิดถึงยามเยาว์วัย
“เชมุล ข้าว่าอย่างน้อยยามอยู่ที่นี่เจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพนัก”
“มิได้ ท่านนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้าน ‘เขี้ยวคลั่ง’ ฟากัล การ์กัส การัม ยังเป็นหัวหน้าเผ่าในยามนี้ ไม่ว่าข้าจะเป็นพระบุตรผู้สูงส่งเพียงใดก็ไม่อาจละทิ้งมารยาทต่อหน้าผู้สืบทอดแห่งเผ่าคมเขี้ยวไปได้”
การัมแสดงสีหน้าเป็นทุกข์ยามได้ยินเชมุลเอ่ยอย่างจริงจังเช่นนั้น
“อย่าแกล้งข้าเช่นนั้น น้องสาว…”
“ล้อเล่นน่าท่านพี่”
ในที่สุดเชมุลก็หลุดยิ้ม
“เช่นนั้น ท่านพี่ ท่านคงไม่มีทางเรียกพบปะข้าเพียงเพื่อสานสัมพันธ์พี่น้องในเวลานี้กระมัง? บอกข้าซิ เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?”
“อืม...เรื่องแรก คือเด็กมนุษย์ผู้นั้นที่เจ้านำมาด้วย”
“ข้าจะดูแลเขาในฐานะแขกของข้า หากเขากระทำผิดใด ข้าขอรับผิดนั้น”
ก่อนการัมจะเอ่ยอะไร นางก็ปล่อยหมัดถ้อยคำของตนแล้ว
“กรรรม์ ...เอาเถอะ อืม เจ้าก็ทราบ ข้าย่อมไม่กล่าวอะไรหากเจ้าแก้ปัญหาได้เพียงนั้น ทว่า…”
“ทว่าอะไรรึ?”
“อืม...คือเรื่องนั้น…”
ย่อมต้องเป็นเรื่องยากจะออกปากแล้ว คล้ายกับการัมพูดไปเคี้ยวปากตนเองไป
“พี่ชาย ท่านตรงประเด็นได้หรือไม่?”
“น-แน่นอน!”
ขณะกล่าวเช่นนั้น การัมก็หันไปอีกทาง
“ที่จริงคือ ในหมู่พี่น้องเริ่มมีข่าวลือแปลกประหลาดแล้ว กล่าวว่าที่เจ้าให้เด็กมนุษย์นั่นกลับมาเป็นเพราะ...อืม...เพราะเจ้าหลงรักเด็กนั่น”
“หาาาา?”
เชมุลปล่อยเสียงหลงๆ แปลกประหลาดออกจากปาก จากนั้นนางก็เกรี้ยวกราดดังเพลิงพิโรธ
“ผู้ปล่อยข่าวไร้สาระนี้ใช่พุชก้าอีกแล้วหรือไม่!? หรือเป็นครากาควากัน?”
การัมยื่นมือออกไปลูบน้องสาวที่ดูคล้ายจะเฆี่ยนตีคนยามกล่าวสองนามนั้นซึ่งทราบกันว่าชมชอบการนินทาในหมู่บ้าน
“ใจเย็น! อย่างไรก็จัดการพวกนั้นไปแล้ว…”
“ดียิ่งท่านพี่ ท่านไม่มีทางเชื่อข่าวลือเช่นนั้น ใช่หรือไม่?”
“อย่าโง่น่า เหตุใดข้าต้องเชื่อเรื่องนั้นเล่า!?
“เช่นนั้นก็ดี แต่ว่า…”
“แต่เจ้าก็ทราบ เจ้ามิใช่ต้องรับผิดชอบเรื่องนั้นเช่นกันหรือ?”
หากใครเห็นนางดูแลเด็กมนุษย์ที่ควรเกลียดชัง ดูแลอย่างดีทั้งที่นางเองยังเดินโซเซจากความโหยหิวและเหน็ดเหนื่อย ย่อมต้องสงสัยว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นแล้ว
“ตอนนั้นข้าช่วยเจ้าจากป้อมปราการ ความพะวงที่เจ้ามีต่อเด็กมนุษย์นั่นนับว่าไม่ปกติ นอกจากนั้น ยังเพราะเป็นเจ้า ผู้มิได้สานสัมพันธ์รักกับใคร อยู่ร่วมกับบุรุษ แม้เป็นมนุษย์ในกระโจมเดียวกัน…”
“ข้าอธิบายไปแล้วมิใช่หรือ!? ข้าบอกท่านแล้วว่าเขาแบ่งปันอาหารและน้ำดื่มแก่ข้ายามถูกกักขัง! ท่านพี่ มิใช่ท่านเป็นผู้บอกข้าเองหรือ ต้องตอบแทน ‘บุญคุณได้รับกระต่ายยามหิวโหย’ นั่นอย่างไร!?”
“แต่แม้เป็นเช่นนั้น แม้เป็นเจ้า ทว่าอย่างไรเจ้านับเป็นสตรีในวัยออกเรือนแล้ว…”
เชมุลส่งเสียงแหลมเมื่อเห็นการัมพยายามสั่งสอนนางมากกว่าเดิม
“หยุดได้แล้ว! ให้ตาย หยุดคุยแค่นี้เถอะ! หากท่านไม่มีอะไรจะกล่าว ข้าก็จะกลับแล้ว!!”
กระทั่งการัมก็ไร้ทางเลือก ได้เพียงยกธงขาวเมื่อน้องสาวเริ่มมีสายตาดุร้าย
นอกจากนั้น เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้ต่างหากคือปัญหาที่แท้จริง เห็นสีหน้าของการัมดูเคร่งเครียดขึ้น เชมุลก็ใจเย็นลง เตรียมใจตนเองเนื่องด้วยเข้าใจว่ามิใช่ปัญหาเล็กๆ
“คนในเผ่าที่ข้าส่งไปสืบป้อมปราการที่เจ้าถูกจับตัวไว้กลับมาแล้ว ดูเหมือนจะมีกองกำลังมนุษย์เข้าไปที่ป้อม”
“กองกำลังหรือ?”
“ใช่ โดยรวมทั้งสิ้นประมาณแปดร้อย ส่วนมากเป็นทหารติดอาวุธ ดูเหมือนจะตั้งค่ายรอบป้อมเนื่องด้วยไม่อาจบรรจุได้ทุกคน”
“มีถึงแปดร้อยเลยหรือ!?”
สิ่งเดียวในพื้นที่แถบนี้ที่เป็นปฎิปักษ์ต่อมนุษย์ในป้อมมีเพียงเผ่าโซออน กองทหารใหม่ย่อมหมายถึงมาเพื่อกวาดล้างพวกตนอย่างไม่ต้องสงสัย
“คาดว่าพวกมันวางแผนกวาดล้างเราแล้ว ดูเหมือนข้าจะใส่ใจพวกนั้นน้อยไป”
“พี่น้องที่ต่อสู้ได้ฝั่งเรามีเท่าไหร่?”
“ผู้ที่ต่อสู้ได้มีไม่ถึงห้าสิบ”
จริงๆ นี่ยังเป็นความผิดพลาดของการัมด้วย
ยามที่หมู่บ้านถูกเผา พวกเขายังสูญเสียเสบียงอาหารที่ตระเตรียมไว้สำหรับฤดูหนาว หากฤดูหนาวรุนแรงขึ้นนับแต่นี้ การหาอาหารก็ยิ่งยากแล้ว ณ ขณะนี้ สิ่งที่ทานได้ทั้งหมดในพื้นที่ใกล้เคียงค่ายอพยพจะหมดลงภายในไม่ถึงเดือน สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงทั้งเผ่าที่รอความตายจากความหิวโหยหรือเหน็บหนาวเท่านั้น
คิดเช่นนั้น การัมจึงได้แยกกลุ่มโซออนผู้เยาว์ในเผ่าเป็นหลายกลุ่ม ส่งออกไปหาพื้นที่ที่จะใช้อาศัยเพื่อให้ผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้
ที่เหลือไว้เบื้องหลังมีเพียงโซออนชราและเด็กที่นับว่าไม่เหมาะกับการเดินทางยาวนาน เช่นเดียวกับครอบครัวที่เหลืออยู่ต้องปันส่วนอาหารที่หาได้ในค่ายและพื้นที่โดยรอบแก่กัน แม้จะเป็นเช่นนั้น เนื่อง เนื่องจากขาดแคลนเสบียง นักรบอันน้อยนิดที่เหลือก็มีเพียงพอแค่ให้ปกป้องค่ายก็จำต้องออกหาอาหารเช่นกัน นักรบล้วนจากไปเพื่ออาหารมาปันส่วนเป็นระยะเพื่อให้อยู่ได้จนถึงฤดูใบไม้ผลิ
ทว่าอย่างไรที่นี่ก็นับเป็นเทือกเขาอันโหดร้ายยามฤดูหนาวแม้กระทั่งสำหรับโซออน ไม่คาดมนุษย์กลับส่งกองกำลังทหารมา เขาอ่านความดื้อรั้นในการกวาดล้างโซออนของพวกมนุษย์ผิดไปจริงๆ การัมรู้สึกเสียใจยิ่ง ทว่ายามนี้ก็สายไปแล้ว
ต่อให้เรียกพี่น้องทั้งหมดมารวมกันในยามนี้ ก็ยังนับว่าสายไป พวกนั้นย่อมต้องกระจายตัวออกไปเป็นวงกว้างเพื่อไม่ให้พื้นที่หาอาหารทับซ้อนกัน
“จัดการกองกำลังมนุษย์แปดร้อยคนด้วยพี่น้องไม่ถึงห้าสิบหรือ…?”
การเอ่ยเรื่องนี้ออกมาดังๆ ทำให้นางตระหนักถึงสถานการณ์อันตรายยิ่งยวดนี้อีกครั้ง เชมุลเงยหน้ามองฟ้า
“ท่านพี่ หากเราหนี จะเป็นไปได้หรือไม่?”
“บอกข้าสิจะหนีไปที่ใดเล่า?”
“ที่ไหนก็ได้ พวกเรานักรบไม่หวั่นเกรงความตาย ทว่าพวกเด็กๆ และผู้ชรานั้น…”
“หากไม่มีสิ่งทานได้ ล้วนไม่อาจหนีไปที่ใดได้”
แต่แรกเริ่ม ผู้ที่รั้งอยู่ในหมู่บ้านล้วนแต่เป็นผู้ที่ถูกตัดสินว่าไม่อาจอดทนต่อการเดินทางยาวนานได้ ต่อให้หลบหนีออกไปเพื่อหลีกเลี่ยง เท้าของผู้ชราและเด็กจะวิ่งไกลได้เพียงใด หลบหนีเข้าเทือกเขาในฤดูหนาวโดยไร้อาหารเพียงพอ ย่อมไม่ใช่สิ่งใดนอกจากการพยายามฆ่าตัวตาย
“เช่นนั้นเราติดต่อเผ่าอื่นให้รับผู้ชราและเด็กไม่ได้หรือ?”
แม้ยามกล่าวเช่นนี้ เชมุลก็ทราบว่านั่นย่อมเป็นสิ่งเดียวที่หวังได้ ทุกเผ่าล้วนแต่ถูกมนุษย์ไล่ล่า สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดมีเพียงพึ่งพาตนเองแล้ว คาดว่าคงไม่อาจรับผู้คนจากเผ่าอื่นได้กระมัง
“ข้าจะลองติดต่อไปยัง <เผ่ากรงเล็บ> และ <เผ่าแผงคอ> ทว่าคงคาดหวังนักมิได้”
<เผ่าคมเขี้ยว> นับว่าเคยเป็นหนึ่งในเผ่าที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาสิบสองเผ่า ต่อด้วยเผ่ากรงเล็บ ทว่าเมื่อคิดถึงสถานการณ์ยามนี้ เชมุลก็ไม่ได้รู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษของนาง นับว่ายาวนานแล้วนับจากสูญเสียแผ่นดินบรรพบุรุษไป โชคชะตาของเผ่าก็อยู่ในสถานะอันตรายแล้ว
“อย่างไรข้าก็มีเรื่องต้องขอร้องเจ้า”
“เรื่องอะไรหรือท่านพี่?”
“ข้าอยากให้เจ้าเป็นทูตของเผ่าคมเขี้ยว”
“ท่านพี่!”
เชมุลขัดเคืองยิ่ง นางอ่านเป้าหมายของพี่ชายนางออก เขาตั้งใจให้นางออกไปส่งสารแต่ในนามเท่านั้น เชมุลเป็นพระบุตรแห่งเทพสรรพสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าใดล้วนแต่อ้าแขนต้อนรับนาง
“ข้าขอปฏิเสธ! ข้าจะรั้งอยู่สู้ไปพร้อมทุกตน!”
“เจ้าห้ามอยู่ นี่เป็นคำสั่งของหัวหน้าเผ่า!”
“ข้าขอปฏิเสธ! ข้าคือพระบุตร! ไม่ว่าหัวหน้าเผ่าจะกล่าวอะไรย่อมไม่อาจขัดความตั้งใจพระบุตรพระเป็นเจ้าได้!”
การัมมีสีหน้าซับซ้อนยุ่งเหยิงยิ่งจากความแน่วแน่หัวรั้นของเชมุลที่ไม่ยอมโอนอ่อนตามเขา
“ข้าขอร้องเจ้า ฟังข้าเถอะเชมุล ข้ามิได้สั่งเจ้าเพียงเพราะสายสัมพันธ์พี่น้อง ทว่าเจ้าเป็นพระบุตร วันหนึ่งเมื่อเผ่าโซออนของเราลุกขึ้นแก้แค้น ผู้เหมาะสมเป็นผู้นำที่จะรวบรวมทุกเผ่าเข้าด้วยกันมีเพียงเจ้า”
“ผู้ที่หลบหนีละทิ้งเผ่าตนน่ะหรือจะเป็นผู้นำ? อย่าให้ข้าขำเลย หากทำเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ความตายข้าก็มากพอแล้ว! พระบุตรแห่งเทพสรรพสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ร่วมสู้กับพี่น้องไม่ถึงห้าสิบชีวิตต่อต้านกองทัพทหารมนุษย์แปดร้อยคนโดยไม่หลบหนีขลาดกลัวและตายอย่างทรงเกียรติ หากได้ยินเช่นนั้น ย่อมปลุกความกล้าให้เผ่าอื่นเช่นกัน!”
ดังคาด กระทั่งการัมก็ยอมแพ้ไม่เกลี้ยกล่อมนางต่อ นับแต่เด็กนางก็เป็นน้องสาวผู้ดื้อรั้นไม่ยอมเปลี่ยนใจ หากตัดสินใจอะไรไปแล้ว
“เช่นนั้นข้าไม่มีสิ่งใดกล่าวแล้ว เจ้าคือเขี้ยวสูงศักดิ์ผู้มีเกียรติยิ่งกว่าใคร”
“ขอโทษที่ข้ากล่าวเห็นแก่ตัวเช่นนั้น ท่านพี่”
“เมื่อเข้าสู่สนามรบ ข้าจะใช้งานเจ้าโดยไม่ละเว้นเห็นใจ ต่อให้เป็นเจ้า เขี้ยวสูงศักดิ์”
“นั่นคือความปรารถนาข้า เขี้ยวคลั่ง”
ทั้งคู่แลกเปลี่ยนรอยยิ้มกว้าง การัมหมุนกายเดินจากไป
“มนุษย์พวกนั้นเพิ่งจะเข้าสู่ป้อมปราการ ยังคงไม่เคลื่อนไหวอีกหลายวัน”
ต่อให้มนุษย์จะต้องการบุกรุกพื้นที่ภูเขา อย่างไรก็ต้องให้ทหารได้พักผ่อนก่อน
“ทว่าเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นกัน คือนี้ข้าจะรวบรวมพี่น้องและพูดคุยว่าจะกระทำสิ่งใดนับแต่นี้ เจ้าก็ควรมาเช่นกัน”
◆◇◆◇◆
“เราต้องทวงคืนหมู่บ้านของเรา!”
ผู้ตะโกนคือโซออนผู้เยาว์ที่ดูดุดันกระตือรือล้นผู้หนึ่ง
พวกเขาอยู่ในกระโจมหัวหน้าเผ่าซึ่งเป็นกระโจมที่ใหญ่ที่สุดในค่ายอพยพ แม้จะเรียกกว่ากระโจมแต่ขนาดก็ต่างกันมาก ไม่เพียงเพื่อให้หัวหน้าเผ่าอยู่อาศัย ยังต้องใช้เพื่อประชุมและประกอบพิธีกรรมต่างๆ ควรเรียกเป็นอาคารทรงกลมแห่งหนึ่งแทนจะเรียกว่ากระโจม
ภายในนี้มีฉากกั้นแบ่งเป็นห้องหลายห้องด้วยผืนผ้า ห้องที่ใหญ่ที่สุดยามนี้มีบุคคลสำคัญในเผ่ามาชุมนุมกันอยู่
“กระทั่งตอนนี้คนของเผ่าเราที่เหลืออยู่ล้วนกระจัดกระจายกันไป! เรามิอาจปล่อยให้เป็นเช่นนั้นต่อไปได้แล้ว! นอกจากกอบกู้หมู่บ้าน เรายังต้องเผาคนเหล่านั้น บุกโจมตีทหารแห่งป้อมปราการทำลายมันไปให้สิ้นจิตวิญญาณ!”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของโซออนนั้น พี่น้องหลายรายก็ส่งเสียงเห็นด้วยออกมา ทั้งหมดล้วนเป็นโซออนหนุ่มที่แต่แรกก็หนุ่มเกินกว่าจะเข้าห้องนี้ได้ ทว่าเนื่องด้วยนักรบอาวุโสหลายรายสิ้นชีวิต จึงเป็นผลให้พวกเขาเข้ามาแทนที่
“กาจีต้า การกอบกู้หมู่บ้านนั้นไม่เป็นไร ทว่าเจ้ามีแผนการอย่างไรเล่า?”
โซออนวัยชราผู้หนึ่งเอ่ย เขาเป็นโซออนที่มีบรรยากาศคล้ายนักรบผู้มีประสบการณ์ ร่างกายใหญ่โตจากการฝึกฝนหนักหน่วงและมีอาวุธทรงเกียรติที่ใช้คู่กายมานาน
ได้ยินดังนั้น โซออนหนุ่มนามกาจีต้าผู้ตั้งใจกอบกู้หมู่บ้านก็ชูกำปั้นที่กำแน่นขึ้น
“ด้วยเลือด เนื้อ และดาบ!”
โซออนหนุ่มล้วนส่งเสียงชื่นชมความตั้งใจของกาจีต้าผู้นำของตน ทว่าในทางกลับกัน นักรบอาวุโสกลับตอบอย่างเย็นชา
“หากเป็นไปได้ เราคงไม่ลำบากเพียงนี้แล้ว”
“พวกมันปิดล้อมหมู่บ้านด้วยรั้วแข็งแรง หดหัวราวกับเต่า ทุกครั้งเมื่อเราโจมตีก็เพียงอาบย้อมเราด้วยลูกธนูราวห่าฝนโดยไม่ละออกจากค่ายพัก”
โซออนผู้กล่าวกดมือข้างหนึ่งลงบนผ้าพันแผลชุ่มเลือดบนไหล่ หากมองดูดีๆก็จะพบว่านักรบอาวุโสล้วนแต่บาดเจ็บสักแห่งไม่มากก็น้อย
ทว่ากาจีต้ากลับมองเป็นเพียงคำพร่ำบ่นของผู้ขี้ขลาด เขาแสดงสีหน้าเหยียดหยัน
“นักรบผู้ยิ่งใหญ่แท้จริงแห่งโซออนย่อมไม่เกรงกลัวลูกธนูมนุษย์! ตราบใดที่สามารถฝ่าลูกธนูของพวกมนุษย์ที่ดูไปคล้ายผีร้ายจีโนบันดาผู้แทะทานสิ่งปฏิกูลในนรกไปได้ ด้วยดาบของเรา! เราย่อมทำลายแนวรั้วของมันได้แน่! จากนั้นจึงตกรางวัลแก่มนุษย์ที่กล้ารุกรานแผ่นดินเราด้วยการลากมันออกมาจากบ้านไม้ที่มันใช้เป็นเกราะกำบังให้หมดทุกชีวิต! เฆี่ยนตีมันจนมันกลับลงนรกสู่หนองบึงแห่งปฏิกูลที่จากมา!”
เขาได้รับเสียงปรบมือชื่นชมจากเหล่าพี่น้องเยาว์วัยมากมาย
ในทางกลับกัน เหล่านักรบอาวุโสกลับยิ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโมโห
“เขี้ยวคลั่ง ฟากัล การ์กัสส์ การัม พวกข้าล้วนต้องการความเห็นท่าน”
นักรบชราผู้หนึ่งคิดว่าเด็กๆ เหล่านี้ย่อมไม่อาจควบคุมได้เว้นแต่ด้วยอำนาจหัวหน้าเผ่า จึงได้ส่งไม้ให้แก่การัม สายตาของโซออนทั้งหมดหันมามองการัมพร้อมๆ กัน
การัมที่หลับตากอดอกเงียบฟังการโต้เถียงมาจนตอนนี้ลืมตาขึ้นช้าๆ
ในฐานะนักรบผู้แข็งแกร่งห้าวหาญที่สุดในหมู่บ้าน การัมผู้ได้รับสมญาเขี้ยวคลั่งมาจากการบุกตะลุยเป็นแนวหน้าอย่างดุดันในสนามรบกับมนุษย์นั้น มักจะมีแนวคิดคล้ายคลึงกับกาจีต้ามาโดยตลอด ด้วยเห็นเช่นนั้นพี่น้องวัยเยาว์รวมไปถึงกาจีต้าผู้เป็นแกนนำจึงรอคอยฟังคำตอบด้วยดวงตาเปล่งประกายคาดหวัง
“...ในตอนนี้ เรายังต้องรอก่อน”
สิ่งที่หลุดออกมาจากปากการัมกลับมิใช่ถ้อยคำที่คาดหวัง กาจีต้าลุกขึ้นจากกลุ่มนักรบเยาว์ส่งเสียงร้องผิดหวัง
“เขี้ยวคลั่ง เรายังต้องรออะไรอยู่กันแน่!?”
“รอให้ผู้ส่งสารที่เราส่งไปยังเผ่าคมเขี้ยวและเผ่ากรงเล็บกลับมา”
ได้ยินเช่นนั้นกาจีต้าก็ฉุนเฉียวยิ่ง
“การัม! เจ้าบ้า เจ้าโยนศักดิ์ศรีเผ่าเราทิ้งไปหมดแล้วรึ!? ขอความช่วยเหลือจากเผ่าอื่นมีแต่ผู้ขี้ขลาดเท่านั้นพึงกระทำ!”
แม้เขาจะใกล้ชิดกับกลุ่มนักรบเยาว์มาตลอด ทว่ายามนี้การัมคือหัวหน้าเผ่า การเรียกการัมโดยไม่เอ่ยนามแห่งเกียรติยศทำให้นักรบอาวุโสต่างเกรี้ยวกราด
“กาจีต้า! เจ้าเด็กบัดซบ กล้วหลู่เกียรติหัวหน้าเผ่ารึ!?”
“อย่าให้มันมากไปนัก เจ้าเด็กอ่อนหัด!”
กลุ่มผู้เยาว์ที่ติดตามกาจีต้าล้วนต่อต้าน โซออนในที่นั้นแบ่งแยกเป็นฝั่งซ้ายละขวา แยกเขี้ยวข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม สถานการณ์ยามนี้ล้วนตกอยู่ในบรรยากาศอันตรายยิ่ง
ทันใดนั้น เสียงคำรามดุดันก็ดังขึ้น
เสียงนั้นราวกับสายฟ้าฟาดลงต่อหน้า โซออนทั้งหมดตะลึงงัน
ผู้ส่งเสียงคำรามดุดันราวจะแผดเผากระโจมนี้ให้สิ้นไปยามนี้ยืนตัวตรงน่าเกรงขามต้านลมเหนือรุนแรง ส่งเสียงหายใจฟืดฟาดอย่างโมโห ผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น เป็นการัม
“พี่น้อง! ศัตรูสารเลวของพวกเจ้าคือมนุษย์ใช่หรือไม่!? หรือเป็นโซออนกันแน่!? หากมีใครกล้าชักดาบใส่เพื่อนร่วมเผ่าอีก เขี้ยวคลั่ง ฟาร์กัลล์ การ์กัสส์ การัมผู้นี้จะเป็นศัตรูให้เจ้าเอง!”
เสียงตวาดของการัมรุนแรงราวฟ้าผ่า โซออนที่แยกเขี้ยวใส่กันก่อนหน้าพากันเก็บดาบนั่งลง ทว่าต่างสัมผัสได้ถึงรอยร้าวลึกที่ปรากฏระหว่างผู้อาวุโสและผู้เยาว์แล้ว
การัมเอ่ยปากเตือน
“กาจีต้า ส่งผู้ส่งสารไปยังเผ่ากรงเล็บและแผงคอมิใช่เพียงร้องขอกำลังเสริม ยังทำเพื่อให้พวกเขารับผู้ชราและเด็กที่ไม่อาจสู้”
“เขี้ยวคลั่ง ไม่ว่าคำตอบที่ได้รับจะเป็นอย่างไร ก็ไม่เปลี่ยนแปลงความจริงที่เราต้องกอบกู้หมู่บ้านกลับมา เช่นนั้นไม่จำเป็นต้องรอผู้ส่งสารแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องโจมตีมนุษย์อยู่ดีมิใช่หรือ? ข้าไม่เห็นว่าการรอนั้นจะได้อะไรนอกจากเพื่อรอกำลังเสริมที่เผ่าอื่นส่งมาด้วยความสงสารที่ทราบว่าเผ่าเราตกที่นั่งลำบาก ชัดเจนว่าลำบากเสียจนต้องร้องขอกำลังเสริมมา”
ดังคาด แม้กาจีต้าจะเรียกเขาด้วยสมญานาม ทว่าถ้อยคำกลับเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วยไม่ปิดบัง
“หากเจ้าสามารถออกปากได้ว่าจะกู้หมู่บ้านคืนมาได้โดยไม่ผิดพลาด เขี้ยวคลั่งผู้นี้จะเป็นผู้เปล่งเสียงตะโกนเริ่มสงครามทันทีตอนนี้โดยไม่คิดอะไรและจะนำทัพบุกตะลุยโจมตีด้วยตนเอง ทว่าเราจะทำอย่างไรหากไม่อาจทวงหมู่บ้านคืนกลับได้? หากเราสูญเสียนักรบมากกว่านี้ ย่อมไม่อาจปกป้องผู้ชราและเด็กๆ ได้อีกต่อไปแล้ว”
“ฮ่า! คิดถึงความพ่ายแพ้ก่อนเริ่มสู้ช่างไม่เข้ากับนามแห่งเขี้ยวคลั่งแม้แต่น้อย นั่นมิใช่คำแก้ตัวของพวกขี้ขลาดหรอกรึ?”
สถานการณ์เช่นนี้ นักรบอาวุโสบางตนฝั่งการัมที่ทนฟังอยู่ลุกขึ้นอีกครั้ง ทว่าถูกการัมยกมือห้าม
“ใช่ ข้ากลายเป็นผู้ขี้ขลาดไปแล้ว”
เมื่อได้ยินถ้อยคำตรงไปตรงมาของการัม ไม่เพียงกาจีต้า ทว่านักรบอาวุโสยังเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
“หากเป็นก่อนหน้านี้ย่อมไม่เป็นไรหากข้าบุกตะลุยทิ่มแทงมนุษย์ด้วยดาบข้าโดยไม่ต้องคิด ให้ข้ากวัดแกว่งดาบยาวนับว่าง่ายดายยิ่ง ทว่ายามนี้ข้าคือหัวหน้าเผ่า ทุกชีวิตของคนในเผ่าล้วนขึ้นกับการตัดสินใจของข้า หากสิ่งนี้ไม่น่ากลัว แล้วสิ่งใดน่ากลัว?”
คำพูดของการัมซึมซาบสู่ใจก่อให้บรรยากาศเงียบงัน
โซออนชราเห็นว่าเป็นโอกาสดี จึงปรบมือครั้งหนึ่ง
“ทุกท่าน ข้าเชื่อว่ายามนี้ทำตามความปรารถนาท่านหัวหน้าเผ่าย่อมดีกว่า ทุกท่านคิดอย่างไร?”
คราวนี้ ไม่มีใครคัดค้านอีกแล้ว
1 ความคิดเห็น
นิยายแปลของญี่ปุ่นยาวดีจริง
ตอบลบ