เมื่อรู้สึกถึงแสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบใบหน้า โซวมะก็ตื่นขึ้น
เขาเปิดเปลือกตาช้าๆ ยกมือขวาขึ้นบังแสงที่ส่องมา
สถานที่คือภายในเต้นท์ที่เขาไม่รู้จัก แม้จะเรียกกว่าเต้นท์ แต่ก็ไม่ใช่เต้นท์สามเหลี่ยมแบบที่โซวมะรู้จัก มันกลับมีรูปร่างคล้ายถ้วยคว่ำที่ด้านบนมีรู ใกล้เคียงกับเต้นท์ของพวกชนเผ่านอร์มาดิคใช้กัน ที่พื้นมีหนังสัตว์หนาๆ และผ้าปูอยู่ทั่วไป ส่วนจุดที่โซวมะนอนนั้นปกคลุมด้วยขนสัตว์
“หืม? ในที่สุดเจ้าก็ตื่นแล้วหรือ?”
เป็นบีสต์แมนที่เพิ่งจะเลิกม่านเต้นท์เข้ามาข้างในทำให้โซวมะตกใจจนถอยหลังทั้งที่ยังนั่งอยู่ พยายามสร้างระยะห่างระหว่างตนเองกับบีสต์แมนผู้นั้น บีสต์แมนเห็นดังนั้นก็นิ่วหน้าเล็กน้อย ดูคล้ายกำลังยิ้มอย่างขบขันแกมเหน็บแนม บีสต์แมนตนนั้นสุมใบไม้แห้งลงในเตาไฟที่ถูกสร้างขึ้นจากการนำหินมาสุมวางขึ้นสูงกลางเต้นท์ จากนั้นก็เป่าลมใส่ไฟที่เหลืออยู่เล็กน้อยเพื่อจุดมันขึ้น เสร็จแล้วเขาก็แกะเอาเนื้อแห้งหนาๆ หั่นออกมาวางบนหินใกล้กองไฟ วางมันเรียงกัน แล้วจึงนำบางสิ่งที่ดูคล้ายโมจิขึ้นมาเสียบไม้ย่างไฟ
ไม่นานนัก กลิ่นหอมของเนื้อย่างก็อบอวลทั่วเต้นท์
โซวมะกลืนน้ำลาย
บีสต์แมนส่งยิ้มให้โซวมะที่หน้าแดงอย่างอับอาย จากนั้นก็วางเนื้อย่างและโมจิลงบนใบไม้ใบใหญ่ที่ใช้แทนจาน แล้วยื่นส่งให้โซวมะ
“ยังไงก็กินเถอะ มีอีกหลายเรื่องที่ข้าอยากคุย ทว่ารอให้ท้องเจ้าอิ่มก่อนได้”
ท่าทางบีสต์แมนจะไม่เป็นอันตรายอะไร โซวมะดึงใบไม้เข้าหาตัว เริ่มทานเนื้ออย่างขัดเขิน
“...อร่อย!?”
อร่อยจนต้องร้องออกมาแบบไม่ตั้งใจ เนื้อแห้งนี้มีรสชาติหวานอร่อย ยังมีกลิ่นเครื่องปรุงสมุนไพรซึ่งมีทั้งรสเค็มและเผ็ด รสชาติแผ่ซ่านไปทั่วปาก โมจิมีสีและเนื้อสัมผัสต่างไปจากที่โซวมะเคยทาน แต่ก็ให้รสชาติหวานอ่อนๆ หลังเคี้ยวซึ่งช่วยให้เจริญอาหารได้ดีมาก
บีสต์แมนยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นโซวมะสวาปามเข้าไปอย่างตะกละตะกลาม
“ดีแล้ว”
กล่าวดังนั้น บีสต์แมนก็นั่งขัดสมาธิลงที่พื้น เริ่มทานเนื้อและโมจิเช่นกัน
โซวมะสำรวจบีสต์แมนระหว่างทานเนื้อและโมจิไปด้วย
ร่างของบีสต์แมนถูกปกคลุมด้วยขนสีน้ำตาลเชสนัท มีเพียงบริเวณด้านในของร่างกาย ตั้งแต่ปากที่ดูคล้ายเสือหรือเสือดาว ไปจนถึงหน้าท้องที่เป็นสีขาว เสื้อแขนกุดคล้ายชุดชั้นในที่สวมอยู่ปักลายตารางสวยงามถักด้วยไม้เลื้อยสีสดใสปกปิดหน้าอกและบ่า ยังสวมอะไรบางอย่างที่คล้ายๆ กระโปรงหญ้าฟางที่ทำจากหนังเส้นเล็กๆ ห้อยลงมา และมัดไว้ด้วยไม้เลื้อยเช่นเดียวกัน
ตรงช่วงหน้าอกใต้ชุดชั้นในนั่นปูดออกมา เขาเดาเอาว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้หญิง แต่ไม่มีอะไรมายืนยันได้อีกเหมือนกันเพราะเขาเองก็ไม่มีตัวชี้วัดอะไรจะมาเทียบเพศบีสต์แมนได้
เมื่อบีสต์แมนทานเสร็จแล้ว เธอก็หย่อนใบไม้แห้งลงในน้ำร้อนที่อยู่ในหม้อเหล็กซึ่งแขวนอยู่เหนือเตาไฟ พอปล่อยให้เดือดได้สักพักก็ตักเอาของในหม้อขึ้นมาด้วยถ้วยใบหนึ่ง
“ดื่มเสีย สิ่งนี้ช่วยให้ร่างกายเจ้าอบอุ่นขึ้น”
พอดื่มเข้าไป รสชาติคล้ายชาอู่หลงก็แผ่ซ่านไปทั้งปาก ไม่นานนักความรู้สึกอบอุ่นก็เกิดขึ้นในร่างกายดังที่บีสต์แมนพูด
พอดิื่มชาจนหมด โซวมะก็ส่งทั้งถ้วยและจานใบไม้ให้กับบีสต์แมน จากนั้นก็พนมมือ ก้มหัวลง
“ขอบคุณสำหรับอาหารครับ1”
“คำพูดนั่น คืออะไรหรือ?”
“อืม...แปลว่ามันอร่อยมาก ใช้เวลาขอบคุณคนที่เตรียมอาหารให้ และเป็นการแสดงความขอบคุุณสิ่งที่เพิ่งทานเข้าไปด้วย”
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณกระทั่งอาหารที่ทานเข้าไปงั้นซี หือ? ขอบคุณสำหรับอาหารสินะ?”
บีสต์แมนทำตามโซวมะ ก้มหัวพนมมือ
“อืม...ขอโทษนะครับ ไม่แน่ใจว่าจำผิดรึเปล่า แต่คุณคือคนที่อยู่ในหลุมนั่นใช่มั้ย หรือไม่ใช่…?”
“อะไรกัน? เจ้าไม่รู้จักข้ารึ?”
“ขอโทษครับ พอดีที่นั่นมืดมาก ผมมองไม่เห็นสีขนหรืออะไรแบบนั้นเท่าไหร่...อีกอย่าง ผมไม่เข้าใจเลยสักคำ”
“อืม ก็จริง ช่วยไม่ได้สินะ? ข้าก็จำหน้ามนุษย์ไม่ค่อยได้เช่นกัน ในเมื่อพวกมนุษย์จมูกไม่ดี ข้าเดาว่าย่อมไม่อาจแยกแยะกลิ่นได้ สิ่งที่ทำให้เจ้าเข้าใจภาษาคงเป็น ‘ความเชื่อมโยง’ ที่ท่านยายเอ่ยถึง ทว่าข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนั้นนัก”
กล่าวดังนั้นแล้ว บีสต์แมนก็หันมาประจันหน้าโซวมะ มองอย่างตรงไปตรงมา จากนักนั้นก้มศีรษะลงเล็กน้อย กำหมัดสองข้างวางแนบพื้น
“ข้าคือ ‘เขี้ยวสูงศักดิ์’ ฟากัล การ์กัสส์ เชมุล”
“ฟะ-ฟากัล…?”
“ฟากัลคือนามของเผ่า หมายความถึง <เผ่าคมเขี้ยว> หนึ่งในสิบสองเผ่าแห่งโซออน ตามด้วยการ์กัสส์อันเป็นนามของบิดาข้า ส่วนเชมุลคือนามของข้า”
“ถ้าอย่างนั้น เรียกคุณว่าคุณ...เชมุล ใช่มั้ยครับ?”
“อา ใช่ คำว่า ‘คุณ’ น่ะไม่จำเป็นหรอก”
“ผมชื่อคิซากิ โซวมะครับ”
“คิซากิ โซมะ2 หรือ? คิซากิคือนามเจ้าหรือ?”
“ไม่ ไม่ใช่ครับ ต่างกัน โซวมะคือชื่อของผม ส่วนคิซากิคือนามสกุล”
“ฮู ต่างจากมนุษย์ที่นี่ ชื่อเจ้ามาทีหลังสุดสินะ? เข้าใจแล้ว ให้ข้าเรียกเจ้าว่าโซมะ”
เชมุลพยายามจำชื่อเขาด้วยการพึมพำคำว่า ‘โซมะ’ ซ้ำไปมาเบาๆ
“อืม...อาจจะแปลกหน่อยที่ถามแบบนี้ แต่...ขน...นั่น...ของจริงเหรอครับ?”
“อืมม? อะไรกัน เจ้าไม่รู้จักโซออนหรือ?”
“โซออนเหรอครับ?”
“ใช่ เราสายพันธ์โซออนเกิดจากสรรพสัตว์โดยเทพแห่งสรรพสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ มิติที่เจ้าจากมาไม่มีโซออนหรอกหรือ?”
“...ไม่น่า แต่เหมือนในตำนานและนิทานพื้นบ้านก็มีอยู่บ้าง”
“ดูท่าข้าคงต้องอธิบายให้เจ้าฟังตั้งแต่ต้นเลยสินะ?”
เชมุลกอดอก ทำท่าครุ่นคิดว่าควรจะเริ่มเล่าจากตรงไหน
“ก่อนอื่นข้าอยากให้เจ้าเข้าใจก่อนว่า เจ้าคือตัวตนที่ถูกเรียกว่า ‘เด็กผู้ร่วงหล่น (โอโตชิโกะ)’ เสียก่อน”
“ลูกลับๆ ของพวกคนใหญ่คนโต? (โอโตชิโกะ)3”
“ใช่ สถานที่ที่พวกเราอยู่ตอนนี้ถูกเรียกว่าทวีปเซลดีส เจ้าเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่?”
โซวมะส่ายหน้า เชมุลหยิบไม้ที่ใช้ย่างโมจิขั้นมาวาดรูปจันทร์เสี้ยวแบบหยาบๆ บนขี้เถ้าของเตาไฟ
“ขนาดและรูปร่างของทวีปเซลดีสนั้นยังไม่ทราบ ไม่เคยมีใครสำรวจมาก่อน แม้มีผู้ต้องการสำรวจก็ยังมีอีกหลายประเทศอยู่บนทวีปนี้ และแต่ละประเทศล้วนเกลียดการถูกประเทศอื่นสำรวจ การกระทำเช่นนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ ทว่าเมื่อเจ้านำเรื่องเล่าของนักเดินทางมารวมเข้าด้วยกัน สิ่งหนึ่งที่ทราบได้คือทวีปนี้ล้อมรอบด้วยทะเล”
เธอเติมเส้นคลื่นเข้าไปรอบๆ จันทร์เสี้ยว
“เจ็ดเผ่าพันธุ์บูชาสัตตเทพผู้อยู่ในทวีปนี้ ไดโนซอเรี่ยน มาร์แมน คนแคระ เอลฟ์ โซออน ฮาร์เปี้ยนส์ และมนุษย์”
“คุณว่ามาร์แมน หมายถึงเมอร์แมนรึเปล่า? เอ่อ...พวกเขามีท่อนบนเป็นคน และท่อนล่างเป็นปลาใช่ไหม?”
“หืม...เช่นนั้นเจ้ารู้จักมาร์แมนด้วยรึ?”
“ถ้าแบบนั้น ที่เหลือก็ คนแคระตัวเตี้ยมีหนวดเครา เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่งดงามมีหูแหลม”
“คนแคระชายไว้หนวดเครา ส่วนเอลฟ์นั้น...ข้าไม่ทราบว่างดงามหรือไม่ ทว่าตามคำกล่าวของมนุษย์ พวกนั้นดูจะงดงามทั้งสิ้น”
“ในความเป็นจริงพวกเขาไม่มีตัวตน เป็นแค่ผู้คนในนิทานเท่านั้นเอง”
“เข้าใจแล้ว ทว่าดูบังเอิญเกินไปหน่อยหรือไม่ อาจเป็นได้ว่ามีคนจากฝั่งนี้ร่วงหล่นไป ตรงข้ามกับเจ้า”
เชมุลชี้ไปยังทวีปที่วาดบนเถ้าถ่านด้วยปลายไม้ในมือ
“ดูเหมือนจะออกนอกเรื่องไปแล้ว ทว่าทวีปนี้คือโลกของพวกข้า อาจยังมีทวีปอื่นปรากฏอยู่ที่อีกฟากฝั่งทะเล ทว่ายามนี้โลกของพวกข้ามีเพียงเท่านี้”
เธอหยิบเอาก้อนหินที่ร่วงอยู่ข้างเตาไฟขึ้นมา โยนมันลงไปในรูปทวีป
“นี่หมายถึง เจ้าคือ ‘เด็กผู้ร่วงหล่น’ ซึ่งร่วงหล่นมายังสถานที่แห่งนี้ จากที่แห่งอื่น”
ขณะเธอกล่าวคำว่า ‘ร่วงหล่น’ โซวมะก็รู้ตัวว่าคำว่า ‘เด็กผู้ร่วงหล่น (โอโตชิโกะ)’ ที่เธอพูดเขียนต่างจาก ‘ลูกลับๆ (โอโตชิโกะ)’ เป็นคำที่เธอใช้เรียกเขาก่อนหน้านี้
“อย่างที่คิด ที่นี่คือต่างโลกจริงๆ…”
ตอนนั้นสติสัมปัชัญญะเขายังสับสนเลือนราง แต่ยังเหลือความจำจากเหตุการณ์ต่างๆอยู่บ้าง แม้จะสลบไปก็ตามที
พิธีกรรมแปลกประหลาดในถ้ำหิน กิ้งก่าตัวเท่าม้า ป้อมปราการที่ดูพร่าเลือนจากคบไฟ และคุกใต้ดิน
และยิ่งไปกว่าสิ่งเหล่านั้น คือเชมุล บีสต์แมนที่ยามนี้อยู่เบื้องหน้าเขา
เรื่องพวกนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ในญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน โลกที่โซวมะอาศัยอยู่แน่นอน
“อะไรกันเล่า เจ้าเชื่อข้าง่ายดายกว่าที่คาดไว้นัก”
อันที่จริงเชมุลคิดว่าโซวมะไม่มีทางเชื่อนาง ยามบอกว่าเขาเป็นผู้ร่วงหลนมายังโลกอันแตกต่างนี้ บางทีนางอาจยิ่งควรกังวลเนื่องด้วยเขาสับสนจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ทว่าแม้โซวมะจะดูตกใจกับเรื่องนี้ เขาเพียงยอมรับเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
เชมุลไม่มีทางทราบว่า เรื่องของตัวเอกที่ถูกอัญเชิญหรือหลุดไปต่างโลกนั้นเป็นเรื่องปกติในอนิเมกับมังงะ ดังนั้น สำหรับโซวมะผู้เป็นเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นผู้เติบโตมากับวัฒนธรรมย่อยเหล่านี้ จึงมีพื้นฐานในการทำความเข้าใจเหตุการณ์ประหลาดอยู่บ้าง
แล้วอีกอย่าง ก็ไม่ได้มีเวลาเหลือพอที่จะมานั่งครุ่นคิดอย่างละเอียด เพราะตั้งแต่ตอนที่ร่วงหล่นลงมาเขาก็ไม่ได้มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว
จะว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งก็ได้ ที่เขาสามารถทำใจยอมรับความผิดปกตินี้ไปโดยทีละเล็กละน้อยในระหว่างที่สัมปชัญญะยังไม่ได้พื้นคืนมาอย่างเต็มที่
ผลสุดท้ายโซวมะจึงไม่ได้ตกใจจนถึงขั้นตื่นตระหนก แม้จะได้ฟังเรื่องราวของตัวเองจากปากเชมุลก็ตาม
ทำความเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ แล้ว โซวมะก็เป็นฝ่ายถามคำถามที่สงสัยที่สุดขึ้นก่อน
“ผมจะกลับไปโลกเดิมได้มั้ยครับ? ถ้าคุณรู้วิธี ได้โปรดบอกผมด้วยเถอะ”
เชมุลคาดเดาได้ว่าคำถามนี้ย่อมมี ทว่านางทำได้เพียงเม้มปาก ดูคล้ายกำลังขอโทษขอโพย
“ขออภัย ข้าไม่ทราบ ทุกสิ่งที่กล่าวต่อเจ้าเป็นเพียงความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดมาเท่านั้น”
“เข้าใจแล้ว…”
เห็นโซวมะดูซึมเศร้าลง เชมุลรีบกล่าวต่ออย่างเร่งร้อน
“ท่านยายคงเล่าให้เจ้าฟังได้ดีกว่าข้า ประเดี๋ยวข้าแนะนำท่านยายให้รู้จักภายหลัง อย่าได้โศกเศร้าไป”
“ขอบคุณครับ”
ใบหน้าโซวมะเผยรอยยิ้ม แม้จะแปลกประหลาดไปบ้าง ทว่าเชมุลก็รู้สึกดีอกดีใจยิ่ง
“แต่ ทำไมคุณถึงทำอะไรให้ผมมากมายขนาดนี้?”
เป็นเรื่องที่ถามยาก แต่ก็เป็นเรื่องที่เขาต้องถามให้ไวที่สุด
คิดว่าเมื่อที่นี่คือต่างโลกแล้ว จึงไม่มีทั้งคนรู้จัก บ้าน หรืออะไรที่โซวมะวางใจได้ปรากฏอยู่ เขายังไม่มีของมีค่าอะไรติดตัว ไม่ต้องพูดถึงความรู้ในการเอาตัวรอด เขาไม่มีคอมมอนเซ้นส์แบบคนที่นี่ด้วยซ้ำ
อีกอย่าง แม้ตอนนี้เขาถูกช่วยไว้เพราะอะไรบางอย่าง โซวมะก็คงเอาชีวิตรอดไปไม่ได้ถ้าเชมุลเปลี่ยนใจกระทันหัน มีแต่ถูกโยนออกไปเท่านั้น
“ก่อนตอบเจ้า ข้าก็ต้องการได้ยินบางเรื่องจากเจ้าก่อน”
เชมุลจ้องตาโซวมะลึกซึ้ง
คล้ายจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของดวงตาคู่นั้น เพื่อค้นหาสิ่งที่อยู่ลึกลงในใจของโซวมะ
“เหตุใดยามนั้นเจ้าจึงพยายามช่วยข้าเล่า?”
นึกว่าจะได้ยินคำถามอะไรที่ยากกว่านี้ เมื่อได้ยินดังนั้นโซวมะก็ผ่อนคลายลง
เขาตอบเธออย่างตรงไปตรงมา ไม่มีท่าทีกระตือรือล้นแต่อย่างใด
“ก็มันเป็นเรื่องธรรมชาตินี่”
“เจ้าว่าเป็นเรื่องธรรมชาติงั้นรึ!?”
“อือ เวลาที่มีปัญหาคนเราก็ต้องช่วยเหลือกัน นั่นคือสิ่งที่ผมถูกสอนมา ดังนั้นเลยเชื่อว่าเป็นเรื่องปกตินะ”
เชมุลพูดไม่ออก
โลกที่เขาจากมานั้นสงบสุขเพียงใด? เขาว่าการช่วยเหลือผู้อื่นในยามยากเป็นเรื่องธรรมดาหรือ? ราวกับเป็นเรื่องราวแห่งสรวงสวรรค์ นางย่อมไม่เชื่อแน่ว่ายังมีโลกที่เต็มไปด้วยคนโง่งมเช่นนั้น
ทว่าเมื่อคิดอีกครากลับเห็นว่าสมเหตุสมผลแล้ว กระทั่งในหมู่บ้านของโซออนเองก็มิใช่เรื่องผิดแผกเมื่อช่วยเหลือผู้สูญเสียความสามารถในการไล่ล่าจากความป่วยไข้หรือแก่ชรากับทุกตน ทว่าเมื่อกล่าวถึงเผ่าพันธุ์อื่นกลับยากจะนำมาเทียบกัน
เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? เชมุลคิดดังนั้น
ในโลกของโซมะไม่มีโซออน จึงมิได้แปดเปื้อนด้วยสัญชาติญาติของมนุษย์ในโลกนี้ที่โซออนเป็นผู้ต่างเผ่าผู้สมควรถูกกำจัด จากมุมมองของเขา โซออนตนหนึ่งที่เขาเห็นเป็นครั้งแรก ย่อมมิใช่สิ่งใดนอกเหนือไปจากสิ่งที่คล้ายมนุษย์ ย่อมต้องช่วยเหลือไปตามธรรมชาติ
ในโลกนี้ที่มนุษย์และโซออนขัดแย้งกันมาแสนนานก่อนเชมุลถือกำเนิด แหล่งกำเนิดความชั่วร้ายนั้นมิใช่เปลี่ยนได้โดยง่าย มันฝักลึกลงระหว่างทั้งสองเผ่าพันธุ์ มาจนถึงจุดที่ไม่อาจแก้ไขด้วยกลุ่มคนหรือบุคคลเพียงผู้เดียว
ทว่าหากยังมีโลกที่ผู้คนช่วยเหลือกันและกันโดยไม่แบ่งแยกมนุษย์หรือโซออนเช่นโซมะ ย่อมเป็นสิ่งดีงามเหลือเกินมิใช่หรือ?
แม้ในความเป็นจริงนั้นเป็นไปไม่ได้ ทว่ากลับยิ่งทำให้นางมองโซมะที่อยู่เบื้องหน้าเป็นตัวตนที่ล้ำค่ายิ่ง
เชมุลยืดกายอีกครา ยกสองหมัดชดกัน ก้มหัวต่ำ
“โซมะ ข้าไม่เคยลืมหนี้บุญคุณเจ้าในยามนั้น เขี้ยวสูงศักดิ์ ฟากัล การ์กัสส์ เชมุล สาบานด้วยเกียรติและนามของบิดา ว่านางจะตอบแทนบุญคุณนั้นมิให้บกพร่อง อยู่ที่นี่เท่าที่เจ้าต้องการอยู่อาศัย โปรดรับความต้อนรับของข้าโดยไร้ข้อจำกัดด้วยเถิด”
“ด-เดี๋ยวสิ ลุกขึ้นเถอะเชมุล! ผมไม่ได้ทำอะไรสำคัญเลย!”
เชมุลระเบิดหัวเราะเมื่อเห็นโซวมะยิ่งแตกตื่น
‘เด็กผู้ร่วงหล่น’ ผู้นี้มิได้เข้าใจแม้สักนิดว่า ‘สิ่งไม่สำคัญ’ ที่เขากระทำนั้นดีงามเพียงใดในโลกใบนี้
เชมุลหัวเราะต่อหน้าโซวมะที่ใบหน้าแดงก่ำ กระทั่งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากผู้ใดผู้หนึ่งที่ก้าวมาทางกระโจม จึงลดเสียงลง
“โซมะ เอานี่ไปโพกหัวเสีย”
ให้ผู้อื่นอื่นทราบว่าเขาเป็นพระบุตรแห่งออร่าในยามนี้ยังไม่สะดวกนัก เชมุลจึงโยนผ้าโพกหัวปักลายให้แก่โซวมะ
บุคคลภายนอกกระโจมส่งเสียงกระแอมไอให้ได้ยิน อันเป็นมารยาทในการเยี่ยมเยือนกระโจมผู้อื่น นั่นคือควรแจ้งให้ผู้อยู่ด้านในรับทราบโดยการกระแอมครั้งหนึ่งก่อนร้องเรียก
“นั่นใครรึ? ต้องการอะไรกัน?”
“เชมุล เป็นข้าเอง มีเรื่องต้องคุยด้วย เข้าไปได้หรือไม่?”
เชมุลเปิดม่านกระโจมข้างหนุ่งเมื่อเห็นว่าโซวมะโพกหัวแล้ว ด้านนอกมีโซออนขนดำตัวใหญ่ยืนอยู่ เขายังมีรอยแผลเป็นจากคมดาบพาดผ่านจากคิ้ว ผ่านสันจมูกไปยังแก้มขวา มองมายังโซวมะที่อยู่อีกด้าน ทำจมูกฟุดฟิดดูคล้ายไม่พอใจ
“เป็นอะไรไปเขี้ยวคลั่ง”
“คุยที่นี่ลำบาก ขออภัยด้วย เจ้าไปกับข้าสักครู่เถอะ”
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากจะพูดต่อหน้าโซมะ เมื่อเชมุลตอบรับแล้ว นางก็บอกให้เขาล่วงหน้าไปก่อน นางจะค่อยตามไปในไม่ช้า
“โซมะ ขออภัยด้วย ข้าต้องออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง ยามข้าไม่อยู่อย่าได้ออกไปข้างนอก ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม”
“เข้าใจแล้ว แต่คุณจะไม่เป็นไรใช่มั้ย”
เชมุลรู้ว่าโซมะอยากพูดอะไร เขาเป็นห่วงว่าเชมุลจะมีปัญหาเพราะตัวเขาเอง
“ไม่เป็นไรหรอกโซมะ ชายผู้นั้นคือเขี้ยวคลั่ง ฟากัล การ์กัสส์ การัม ไม่ใช่ผู้เลวร้ายอย่างใด”
ได้ยินชื่อที่เชมุลบอก โซวมะก็ร้อง ‘หา?’ ออกมาอย่างแปลกใจ
ถ้าจำไม่ผิด ส่วนแรกคือชื่อเผ่า แสดงว่าเขาเป็นโซออนเผ่าเดียวกับเชมุล แต่ท่อนต่อมาคือชื่อของพ่อ เขาแน่ใจว่าเชมุลเคยพูดแบบนั้นแน่ๆ นั่นแสดงว่าเชมุลและโซออนคนนั้นเป็น…
“อา เจ้ารู้แล้วสิท่า? จริง การัมคือพี่ชายข้า”
โน้ตจากผู้เขียน
เต้นท์ของโซออนทำจากหนังสัตว์กันน้ำและขนสัตว์ มีไม้เป็นโครง ข้างในตกแต่งด้วยขนสัตว์และหนังสัตว์ ยังมีเตาไฟอยู่ข้างในาสำหรับผู้อาศัยอีกด้วย
โดยมากหนึ่งครอบครัวจะอาศัยอู่ในกระโจมเดียวกัน
ถึงเชมุลและการัมจะเป็นพี่น้องกัน แต่เนื่องจากเชมุลคือพระบุตร และการัมคือหัวหน้าเผ่า ต่างฝ่ายเลยต่างมีกระโจมเป็นของตัวเอง
กระโจมนับเป็นพื้นที่ส่วนตัว ดังนั้นก่อนเข้าเยี่ยมจึงควรประกาศการมาเยือนด้วยการกระแอมไอก่อนเข้าไป ในกรณีที่ไม่ทำอาจกลายเป็นการต่อสู้ขึ้นมาได้
ยังมีข้อยกเว้นคือ ในกรณีที่ผ้าม่านตรงประตูกระโจมเลิกอยู่ ก็สามารถเข้าไปทักทายได้โดยไม่ต้องกระแอม ในกรณีที่อยู่ใกล้ๆ กัน
1 ごちそうさまでした – Gochisousamadeshita – ขอบคุณสำหรับอาหาร- เป็นคำกล่าวหลังทานอาหารเสร็จในญี่ปุ่น
² キサキ・ソーマ – Kisaki Soma – คิซากิ โซมะ - คือชื่อของเขาที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือประวัติศาสตร์และชื่อที่ถูกเรียกจากทุกชีวิตในทวีปเซลดีส ผู้เขียนจงใจให้แตกต่างกัน ซึ่งชื่อจริงๆ ของเขาคือ คิซากิ โซวมะ 木崎蒼馬 – Kizaki Souma การออกเสียงจะต่างกันอยู่เล็กน้อย
³ 「おとしご」 – otoshigo – มักจะหมายถึงความงี่เง่าของพวกขุนนาง (หรือในกรณีที่ดีกว่าคือ : ‘ลูกนอกสมรสของขุนนาง’) ซึ่งเป็นคำที่โซวมะได้ยินทีแรก เนื่องจากคำว่า「落とし子」 (โอโตชิโกะ) ที่แปลว่า “เด็กผู้ร่วงหล่น” นี้ออกเสียงแทบจะเหมือนกัน
กระโจมแบบนอร์มาดิค (โนแมด)
0 ความคิดเห็น