กลุ่มโซออนเดินทางมาถึงค่ายอพยพในยามเย็น
เมื่อเชมุลผู้เป็นบุตรแห่งเทพที่โซออนเคารพนับถือกลับมา นางก็ส่งยิ้มเหน็ดเหนื่อยเจ็บปวดให้แก่พี่น้องทั้งหลายเป็นการขอโทษสำหรับหลายวันมานี้
แม้เด็กๆ จะยังมีผ้าพันแผลบนมือและใบหน้า ทว่าพวกเขายังคงเข้ามากอดนางพร้อมรอยยิ้ม เชมุลกอดเด็กๆ แต่ละตนโดยแรง
ทว่าเมื่อพวกเขาทราบว่าเชมุลนำเด็กมนุษย์กลับมาด้วย พวกผู้ใหญ่ก็มีสีหน้าขมๆ ดังคาด โดยเฉพาะเหล่านักรบที่โศกเศร้าจากการที่ไม่อาจปกป้องพี่น้องของตนได้ บางตนในนั้นยังมีสีหน้าเกลียดชังอย่างเปิดเผย
เมื่อกวาดตามองสีหน้าของพวกเขาแล้ว เชมุลก็ยังคงแน่วแน่ในความคิดเดิม นางกล้าผยองได้ว่านางมิได้ติดค้างหนี้บุญคุณใครเหล่านี้ แม้เช่นนั้น เพื่อปกป้องโซวมะจากความประสงค์ร้าย เชมุลจึงเรียกหาเขี้ยวคลั่ง
“ท่านยายอยู่หรือไม่?”
ท่านยายของเชมุลเป็นผู้ที่อาวุโสที่สุดในหมู่บ้าน ผู้เป็นนักบวชอุทิศตนรับใช้เทพแห่งสรรพสัตว์ ในหมู่บ้านเช่นนี้ นักบวชยังคงเป็นผู้เล่าเรื่อง ผู้เล่าประวัติศาสตร์ของเผ่าอันตกทอดต่อเนื่อง ทั้งยังเป็นผู้ใช้สมุนไพรผู้รักษาอาการป่วยไข้
“อยู่ นางยังอยู่ที่ภาวนสถานใกล้น้ำตก แม่เฒ่ายังเป็นห่วงเจ้าอยู่เช่นกัน รีบไปหานางเถอะ”
เขี้ยวคลั่งตอบ ยังตั้งใจที่จะให้พวกเขาออกไปจากที่แห่งนี้ ก่อนที่ชาวหมู่บ้านผู้เกลียดชังจะเข้าจู่โจมเด็กมนุษย์ที่เชมุลพามา
เชมุลเข้าใจความคิดนั้น จึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังภาวนสถานโดยนำโซวมะไปด้วยกัน
จุดหมายของเชมุลคือต้นไม้เก่าแก่ที่อยู่ใกล้น้ำตกเล็กๆ สูงขึ้นไปจากค่ายอพยพ ที่รากไม้มีท่อนไม้และหินมากมายทับถมกันจนกลายเป็นภูเขาขนาดย่อมโดยฝีมือโซออน ในเผ่าของเชมุล มีความเชื่อว่าวิญญาณของนักรบผู้จากไปจะสิงสถิตย์อยู่ในต้นไม้ต้นนี้ คอยเฝ้าดูแลเผ่าต่อไป
สมัยยังอาศัยในที่ราบทุ่งหญ้า พวกนางจะปีนขึ้นเขาลูกนี้เฉพาะยามถึงช่วงเวลาแห่งพิธีกรรม ทว่ายามนี้พวกนางกลับอาศัยอยู่เบื้องหน้ามันแล้ว พวกนางยังไม่อยากคิดว่าระยะห่างระหว่างหมู่บ้านและต้นไม้อาจหมายถึงระยะเวลาแห่งความอยู่รอดก่อนทั้งเผ่าจะต้องอาศัยในต้นไม้เก่าแก่นี้ไปตลอดกาล
โซออนชราดูคล้ายมัมมี่ลิงผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าต้นไม้เก่าแก่นั้น
“โอ โอ เจ้าทารกน้อยรอดชีวิตด้วยหรือ หืม?”
โซออนแม่เฒ่ายิ้มทักทายเชมุลจนดวงตากลายเป็นเส้นขีดราวเส้นด้าย
“ท่านยาย ทราบหรือไม่ การเรียกข้าทารกน้อยนับว่าหยาบคายแล้ว แม้ข้าดูเยาว์วัย ทว่าเป็นสตรีผู้งดงามกระทั่งดอกไม้ยังอับอาย”
“คั่กคั่กคั่ก มิใช่เมื่อวานเจ้ายังหลบซ่อนในกองขนสัตว์เพราะฉี่รดที่นอนอยู่หรอกหรือ?”
“น...นั่นไม่ใช่ตั้งแต่สิบปีก่อนหรอกหรือ?! ให้ตายซิ แม่เฒ่าชราชอบพูดเรื่องเก่าแก่เสมอ”
ไม่ว่าอย่างไรผู้รับเลี้ยงเชมุลเมื่อครั้งนางถือกำเนิดคือแม่เฒ่าเบื้องหน้า เป็นผู้ที่นางติดหนี้บุญคุณมานับแต่นั้น กระทั่งยามนี้ยังมิอาจเทียบเทียมด้วยคนเบื้องหน้าคือผู้แบกรับความเจ็บปวดทั้งหลายที่นางอยากลบเลือน
“เอาเถิด มิใช่เจ้ามีเรื่องขอร้องข้าหรือ? ข้ากล้าเดาว่าคงเป็นเจ้าเด็กมนุษย์ผู้นั้นใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วท่านยาย ท่านตรวจร่างกายเขาได้หรือไม่?”
นางนำตัวโซวมะที่ยังคงไร้สติลงจากหลังสัตว์ ก่อนจะวางลงบนหินแบนใหญ่เบื้องหน้าต้นไม้
“ไหนดูซิ ไหนดูซิ…”
แม่เฒ่าวางมือนางเหนือร่างโซวมะ พึมพำบางสิ่งที่จับใจความไม่ได้ชั่วครู่
“โอ น่าแปลกใจจริง มิใช่เขาคือ ‘เด็กผู้ร่วงหล่น’ หรอกหรือ?”
“ ‘เด็กผู้ร่วงหล่น’ หรือ?”
เชมุลสับสนไปชั่วครู่กับถ้อยคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ใช่แล้ว ไม่ทราบว่าเป็นการกลั่นแกล้งหายากของเหล่าวิญญาณ หรือเป็นประสงค์ของทวยเทพ ทว่ายังมีผู้คนที่ร่วงหล่นลงสู่โลกเราผ่านเขตแดนอันแตกต่างจากสถานที่แห่งนี้”
แม่เฒ่านำเอาผงแป้งน่าสงสัยจากในกระเป๋ามาหยิบมือหนึ่ง โปรยขึ้นเหนือร่างโซวมะ
“ดังคาด ใช่แล้ว เด็กนี่มิได้ผูกอยู่กับโลกใบนี้”
“ไม่ได้ผูกอยู่หมายความว่าอย่างไร?”
“เราล้วนแต่มีสายใยที่มองไม่เห็นเชื่อมโยงกับสถานที่ที่เราเกิดและเติบโต ทว่า ‘เด็กผู้ร่วงหล่น’ นี้กลับมิได้ผูกอยู่กับเขตแดนแห่งนี้ ย่อมอยู่ได้อีกไม่นานนัก”
“ท่านยาย! หมายความว่ายังไงกันแน่!?”
“เรามิได้ดำรงอยู่ได้เพียงอาหาร ทว่ายังมีสายสัมพันธ์กับเขตแดน เรารับพลังงานเพื่อดำรงชีพผ่านรูปลักษณ์ของอาหาร น้ำ และอากาศ ทว่าเด็กนี่มิได้มีสายสัมพันธ์นั้น จึงไม่อาจรับเอาพลังงานจากโลกแห่งนี้ได้ไม่ว่าจะกินหรือดื่มสิ่งใด แม้รับเอาพลังงานของเขตแดนนี้ผ่านการหายใจ ทว่าร่างกายไม่อาจยอมรับ”
“ท่านทำอะไรไม่ได้เลยหรือท่านยาย?”
“ไม่ใช่ว่าไม่ได้ ทว่า…”
ถูกเชมุลคะยั้นคะยอ ท่านยายของนางก็เริ่มตรวจร่างกายโซวมะอีกครั้งพร้อมทั้งสงสัยไปด้วยว่าจะทำอย่างไรดี? นางตรวจชีพจรของเขา วางหูแนบหน้าอกฟังเสียงหัวใจ และโรยผงแปลกประหลาดเหนือร่าง
กระทั่งเมื่อนางจะตรวจอุณหภูมิร่างกายเขาโดยวางมือเหนือหน้าผาก นางก็ตกใจนัก
“โอะหวาหวาหวา!!!”
“เกิดอะไรขึ้น ท่านยาย?”
“น-นี่มิใช่พระบุตรแห่งออร่าหรอกรึ?!”
ทันทีที่ผู้ชราปัดผมหน้าของเขาออก ตราประทับบนหน้าผากนั้นก็มองเห็นได้ชัดเจน
กระทั่งเชมุลผู้เป็นพระบุตรเช่นกันก็ยังเคยเห็นตราประทับเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“นี่คือ…?”
“ตราประทับแห่งออร่า ข้าเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเช่นกัน”
แม่เฒ่าได้รับถ่ายทอดความรู้จากนักเล่าเรื่องตนก่อน ทว่าได้เห็นของจริงเป็นครั้งแรก
“ออร่า? เป็นนามที่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน คือเทพีองค์หนึ่งหรือ?”
“มิได้เกี่ยวกับนางเป็นเทพีหรือไม่! นางคือเทพีผู้ยิ่งใหญ่เหนือสัตตเทพ รวมไปถึงเทพแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวง!
“ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีเทพีเช่นนั้นมาก่อน”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ออร่าคือเทพีผู้ควบคุมความตายและความพินาศ เอ่ยถึงพระนามของพระองค์โดยไร้จำเป็นย่อมเป็นสิ่งต้องห้าม”
“พระองค์เป็นเทพีชั่วร้ายหรือ?”
“ไม่ใช่ แท้จริงสัตตเทพล้วนถือกำเนิดเพราะการดำรงอยู่ของออร่า เพราะมีความตายและความพินาศ จึงได้มีชีวิตและการสรรสร้าง ออร่าเป็นเทพีผู้ยิ่งใหญ่ กล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระผู้สร้างผู้ยิ่งใหญ่”
“แต่ทว่า” แม่เฒ่าส่ายหน้าเล็กน้อย
“อย่างไรความตายและความพินาศยังเป็นสิ่งน่าชิงชัง หากให้เด็กผู้นี้มีชีวิตรอด เราอาจนำความล่มสลายมาสู่ตัวเองได้”
ในช่วงระยะเวลานี้นับว่าเลวร้ายยิ่งอยู่แล้ว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ที่พวกนางถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านของตนโดยมนุษย์ ยังถูกโจมตีได้ทุกเมื่อ ข้อเท็จจริงว่ายังมีบุตรแห่งเทพผู้อยู่เหนือความตายและความพินาศย่อมเป็นเรื่องที่ทำให้พี่น้องทั้งหลายหวั่นวิตกได้
“เขี้ยวสูงศักดิ์ เจ้ายังต้องการให้เด็กผู้นี้มีชีวิตอยู่หรือไม่?”
ถ้อยคำของผู้ชราหนักแน่น
การช่วยชีวิตมนุษย์ผู้นี้ย่อมหมายถึงนับแต่นี้นางจะมีภาระหน้าที่ติดตัว อย่างไรเขาก็เป็นมนุษย์ผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อเผ่าพันธุ์นาง ยิ่งเป็นบุตรแห่งเทพผู้ครองความตายและความพินาศด้วยแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงนาง ทว่าย่อมไม่มีทางทราบว่าเขาจะนำความล่มสลายใดมาสู่พี่น้อง
นางจะแบกรับความรับผิดชอบนั้นไหวหรือหากวันที่เขากระทำการร้ายแรงเช่นนั้นมาถึง?
นั่นคือสิ่งที่ท่านยายกำลังถามนาง
“แน่นอนเจ้าค่ะ ท่านยาย ได้โปรดเถิด ข้าติดหนี้เขาย่อมต้องตอบแทน”
เชมุลตอบเมื่อตัดสินใจได้
ในเผ่าพันธุ์โซออนยังมีคำกล่าวว่า ‘บุญคุณได้รับกระต่ายในยามอดอยากย่อมต้องตอบแทนแม้สิ้นชีพ’
เช่นนั้นไม่ต้องเอ่ยถึงเด็กมนุษย์ผู้นี้ ผู้แบ่งปันอาหารอันน้อยนิดของตนแม้ตัวเองต้องหิวโหย นางย่อมไม่ปล่อยให้เขาตายโดยไม่ตอบแทนเมื่อได้รับบุญคุณท่วมท้นเช่นนั้น
“โฮะโฮะโฮะ หากเจ้ากล้าขอร้องข้าเพียงนี้ ยายแก่เช่นข้าจะกล้าหวั่นเกรงความลำบากได้อย่างไรกัน?”
“เป็นความช่วยเหลือยิ่งใหญ่นัก ทว่าท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะท่านยาย?”
เชมุลกังวล ว่าการช่วยเด็กมนุษย์จะทำให้แม่เฒ่าต้องลำบากไปด้วย
“ข้าไม่ใส่ใจ อย่างไรวันที่เราจะถูกมนุษย์ทำลายลงก็อีกไม่นาน ไม่ว่าจะสังหารหรือช่วยชีวิตเด็กผู้นี้ อย่างดีก็เพียงเราล่มสลายเร็วขึ้นอีกเล็กน้อยเท่านั้น ย่อมไม่ต่างกันมากนัก”
ท่านยายของนางหัวเราะลั่น ยิ้มกว้างขวางยิ่ง
◆◇◆◇◆
เมื่อดวงจันทร์ขึ้นสู่จุดสูงสุด แสงสว่างจากเปลวเพลิงที่ภาวนสถานก็ลุกโชติช่วง
ฟืนถูกเรียงซ้อนขึ้นสูง ลูกไฟประทุเผาไหม้ดุจร่ายรำ
โซวมะนอนเปลือยอยู่เหนือแท่นหินแบนเบื้องหน้าต้นไม้เก่าแก่ ร้องควญครางอย่างเจ็บปวด เหงื่อกาฬไหลท่วมเมื่ออยู่ใกล้ความร้อนจากเปลวเพลิง
แม่เฒ่านั่งเบื้องหน้ากองไฟนั้น หยิบเอาสิ่งที่คล้ายผงแป้งจากหม้อหลายใบเบื้องหน้า โยนมันเข้าสู่ไฟอย่างรวดเร็ว เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว เพลิงนั้นยิ่งลุกโชน ปลดปล่อยควันสีขาวกลิ่นคล้ายยา จากนั้นนางก็ทำเช่นเดิม หยิบผงแป้งจากหม้ออีกใบโยนเข้ากองไฟ ทำเช่นนั้นซ้ำไปมานับครั้งไม่ถ้วน กระทั่งกลิ่นควันนั้นผสมปนเป กลายเป็นกลิ่นฉุนโดดเด่นอบอวลคละคลุ้งทั่วบริเวณ
แม่เฒ่าหันหน้าสู่ดวงจันทร์ หอนจนหมดเสียง บางคราดูดุดัน บางครากลับโศกเศร้า เสียงเห่าหอนนั้นทำให้บรรยากาศยามค่ำคืนสั่นสะท้าน
เสียงหอนแปลกประหลาดดำเนินไป เชมุลดีดกายขึ้น
ทั่วร่างนางถูกวาดด้วยสีแห่งดินที่ชะล้างได้ด้วยน้ำ ประดับร่างด้วยขนนกหลากสีจนคล้ายแผงคอ ยังมีสร้อยจากเขี้ยวสัตว์, หยกและหินโมราแขวนบนคอ นางสวมห่วงทองติดกระดิ่งที่ข้อมือและข้อเท้า
ทุกคราวที่แขนขาของนางขยับไหว กระดิ่งส่งเสียงกังวาล
เสียงหอนของแม่เฒ่าดังก้อง คล้ายคลื่นกระทบฝั่งและพัดพาออกไกล
จากนั้น การเคลื่อนไหวของเชมุลเข้มข้นขึ้นเช่นกัน เท้าขวายกขึ้นจนแตะบั้นเอว แยกขาได้อย่างงดงาม นางยืดกายท่อนบนไปด้านหน้าคล้ายพยายามแนบตัวติดพื้นดิน พลันนางกระโดดขึ้นสูง เกิดเสียง *ตึง* ตีลังกากลางอากาศ ทันทีที่ลงถึงพื้น กระดิ่งทั้งหลายก็ส่งเสียงระรัว
แม่เฒ่าเอนกายท่อนบนไปมา ส่งเสียงหอนดังขึ้นกว่าเดิม คราวแรกเพียงเอนกายเล็กน้อย ยามนี้กลายเป็นวงกว้าง นางเอนกายไปทั้งหน้าและหลังคล้ายกำลังจะล้มลง
เมื่อเชมุลวาดแขนเป็นรูปวงกลม กระดิ่งก็ส่งเสียงไพเราะ ทุกคราวที่เต้นรำอ่อนเบาคล้ายเหล่าภูติที่เต้นรำเหนือผิวน้ำ กระดิ่งส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง
เมื่อเชมุลปล่อยกายเลื้อยไหลทั้งหน้าหลังราวกับงู นางก็เต้นรำกลางอากาศ กางสองแขนกว้างคล้ายนกตัวใหญ่ เต้นเป็นจังหวะ *ตึกตึก* นางหมุนกาย ทันใดนั้นนางก็กลายเป็นเสือดาวตัวเมียยืนสี่ขา เงยหน้าส่งเสียหอนขึ้นฟ้า ยืดเหยียดกายคล้ายเดรัจฉานมากราคะ
ความร้อนก่อตัวขึ้นในร่าง หยาดเหงื่อไหลลงตามเรือนร่างเชมุลคล้ายดั่งน้ำตกเมื่อตัวนางร้อนขึ้นด้วยเปลวเพลิง หยาดเหงื่อปลิวไปพร้อมการเคลื่อนไหวมีชีวิตชีวา
แม่เฒ่าหยิบเอาหม้อใบเล็กใต้แขนขึ้น รีบวิ่งไปหาโซวมะ จากนั้นนำไม้ที่เสียบอยู่ในหม้อออกมาพร้อมกับร้องเพลงดังลั่น น้ำเมือกสีเขียวเหนียวๆปกคลุมปากหม้อ นางจัดการกับไม้นั้นอย่างเชี่ยวชาญ วาดลวดลายซับซ้อนลงบนร่างท่อนบนของโซวมะ
เมื่อวาดเสร็จ เชมุลก็หยิบเอาเหยือกน้ำที่ถวายแด่ต้นไม้เก่าแก่ขณะเต้นรำขึ้น จากนั้น ราวกับสัตว์ร้ายจ้องตะปบเหยื่อ นางเดินวนรอบหินแบนที่โซวมะนอนอยู่ทั้งที่โน้มกาย นางลดวงลงทีละน้อย จากนั้นร่างเชมุลผู้ถือเหยือกน้ำก็ปรากฏขึ้นที่เท้าโซวมะอย่างเลือนราง
ร่างเชมุลที่วางสองมือลงกลิ้งเกลือกบนพื้น คืบคลานขึ้นไปเบื้องหน้าเชื่องช้าจากสุดปลายเท้าโซวมะโยกไหวร่างซ้ายขวารับจังหวะเสียงหอนของแม่เฒ่า นางไต่จากข้อเท้าไปยังเข่า จากเข่าสู่สะโพก จากสะโพกสู่อก
หยาดเหงื่อหลั่งไหลจากร่างเชมุลราวสายฝน ผสมปนกับเหงื่อของโซวมะจนร่างของเขาเปียกชุ่ม
เชมุลคืบหลานมาถึงส่วนหัว ยืดร่างขึ้น นั่งลงบนอกโซวมะ
จากนั้น นางเปิดเหยือก เทของเหลวสีคลุมเครือลงสู่ปากโซวมะ
โซวมะสำลักรุนแรง แม้เช่นนั้นร่างของเขาก็ยังดื่มกินน้ำส่วนมากลงไป เริ่มสั่นสะท้านขึ้น
ถัดจากเขา แม่เฒ่าหอนจนถึงรุนแรงจนแทบกลายเป็นกรีดร้อง
ร่างโซวมะโค้งงอคล้ายพยายามสลัดเชมุลที่นั่งอยู่บนอกตนออก
เชมุลยึดตัวติดร่างโซวมะไว้เพื่อไม่ให้ตนเองโดนสะบัดทิ้ง
และในเวลาเดียวกัน เสียงหอนแหลมสูงของแม่เฒ่าหยุดลง พละกำลังหายไปจากร่างโซวมะ เหลือเพียงตัวเขาที่นอนสงบนิ่ง
ความเงียบงันปกคลุมชั่วขณะ มีเพียงเสียงไฟประทุ และเสียงหายใจแห่งป่า
“โชคดีจริงๆ ร่างกายชราของข้ายังทนได้อยู่…”
ขณะบ่นเช่นนั้น แม่เฒ่ายื่นมือไปเหนือศีรษะโซวมะ
“ข้าเห็น ข้าเห็น มันเชื่อมต่อแล้ว มันเชื่อมต่อกันแล้ว”
“ได้ผลดีไหม ท่านยาย?”
เชมุลถามท่านยายของตน ร่างกายนางกะปลกกะเปลี้ย เหนื่อยล้าจากการเต้นรำและความร้อน
“สำเร็จแล้ว จะได้ผลก็ต่อเมื่อเขาไม่ตายลงเสียก่อนระหว่างพิธี”
ได้ยินท่านยายกล่าวดังนั้น เชมุลรีบแนบหูลงบนอกโซวมะอย่างกระวนกระวายเพื่อฟังเสียงหัวใจ เมื่อทำแล้วนางก็ได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้นเป็นปกติดี
ลมจากการถอนใจของเชมุลปัดผ่านใบหน้าของเขาหรือไม่นะ? เปลือกตาของโซวมะขยับไหว เขาเปิดตาขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าตื่นแล้วหรือ? เข้าใจคำพูดข้าหรือไม่?”
แม้เชมุลถามเช่นนั้น เขาก็ยังเหม่อมองอากาศคล้ายสติยังไม่กลับมาเป็นปกติ ทว่า ทันใดนั้น สายตาของเขาก็มองตรงไปยังเชมุลที่อยู่เบื้องหน้า
“เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
เชมุลถามเป็นครั้งที่สอง ริมฝีปากโซวมะเปิดออกช้าๆ
คล้ายพยายามกล่าวอะไรบางอย่าง เชมุลขยับหูไปใกล้ปากเขา
โซวมะเอ่ยถ้อยคำอ่อนแรงพร้อมสายตา
“...สวย”
จากนั้น เขาหมดสติไปอีกครั้งเช่นนั้นเอง
“อะ-!?”
เชมุลพูดไม่ออกกับเรื่องที่คิดไม่ถึง
เห็นร่างเชมุลสั่นสะท้าน ท่านยายของนางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
0 ความคิดเห็น