[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 12: ความวุ่นวาย


“ดูท่าพวกมนุษย์คงไม่ออกมากระมัง? ”

กาจีต้าตอบคำถามนักรบเยาว์ที่ยืนเคียงข้างเสียงดัง

“ฮึ่ม! พวกมนุษย์ขี้ขลาด! ผู้อาวุโสกล่าวเช่นนั้นเช่นนี้ ทว่ามีสิ่งใดให้หวั่นเกรงมนุษย์ขลาดเขลาพวกนี้กัน? ”

เสียงเห็นด้วยจากผู้รายล้อมดังขึ้นตอบรับคำกาจีต้า

อย่างที่เชมุลคาดไว้ กาจีต้ายอมแพ้กับการัมที่ไม่ยอมเข้าสนามรบในทันทีดังผู้ขลาดเขลาแล้ว เขารวบรวมผู้หนุ่มที่เห็นด้วยกับเขาและตั้งใจเริ่มการสู้รบกับมนุษย์ด้วยตนเอง

การไม่เชื่อฟังเข้าท้าทายมนุษย์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากหัวหน้าเผ่าเป็นความผิดอย่างหนึ่ง

หากกระทำเช่นนั้น ย่อมถูกตัดสินให้ขาดคุณสมบัติ ปลดจากฐานะนักรบโดยไม่ต้องสงสัย

สำหรับเหล่าโซออนที่ให้ค่ากับนักรบผู้กล้าหาญแล้ว การถูกปลดเนื่องจากคุณสมบัติไม่ผ่านคือเหตุเลวร้ายที่สุด แม้จะไม่ได้เอาชีวิต ทว่าไม่ช้าเร็วผู้นั้นก็ต้องตัดสินใจละทิ้งหมู่บ้านเพราะไม่อาจทนรับสายตาดูหมิ่นจากผู้รายล้อมได้อีก ในสภาพแวดล้อมเลวร้ายเช่นนี้ การไม่อาจอาศัยในหมู่บ้าน ถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง เช่นนี้ก็เหมือนถูกลงโทษให้ตายแล้ว

ทว่า กาจีต้ากลับคิด

ผู้อาวุโสที่ไม่สามารถกอบกู้หมู่บ้านไม่ว่าจะถูกโจมตีกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หากเขาสามารถบังคับให้มันยอมแพ้ได้ เช่นนั้นพวกผู้อาวุโสก็ไม่อาจลงโทษเขาได้แล้ว

ไม่เพียงเท่านั้น ยังส่งผลให้พวกผู้อาวุโสได้ตระหนักคิดถึงตนเองผู้บดบังแสงจากคนหนุ่มจนถึงบัดนี้ ย่อมเป็นโอกาสดีจะให้พวกนั้นได้ตระหนักยามเรียกขานพวกเขาด้วยประโยคอันโปรดปรานว่า ‘พวกผู้เยาว์’ นั่น

“เอาเลย รัวกลองแห่งการรบ! ถอนรากถอนโคนมนุษย์ เราจะกอบกู้หมู่บ้านกลับคืนมา! ”

“โอ้!!!! ”

เสียงกลองดังเป็นจังหวะ ตะ-ตึง-ตึง-ตึงง-ตึง-ตึง-ตึงง ก้องสะท้อนไปในหุบเขา

ควบคู่กับเสียงกลอง โซออนยี่สิบชีวิตพร้อมใจกันวิ่งลงจากเนินเขาด้วยสี่เท้า


◆◇◆◇◆


“ใครเป็นผู้ลั่นกลองรบ? ”

เสียงกลองรบสะท้อนไปมาในหมู่บ้านที่ปิดซ่อน

คราวแรกยังคาดว่าเป็นมนุษย์เข้าจู่โจม เหล่านักรบจึงคว้าเอาอาวุธในมือพุ่งออกจากกระโจม นักรบสตรีเตรียมพร้อมอพยพผู้ชราและเด็กเข้าลึกไปในภูเขา กระโจมยุ่งเหยิงโกลาหล เด็กๆ เริ่มร้องไห้กระจองอแง

การัมคำรามครั้งหนึ่งจากความยุ่งเหยิงราวผึ้งแตกรัง

“ใจเย็นเถอะพี่น้องทั้งหลาย! ”

เพราะเสียงดังกึกก้องของเขา เหล่าโซออนจึงกลับมารู้สึกตัวอีกคราว

“หัวหน้าเผ่า เสียงกลองเหมือนไม่ได้อยู่ใกล้ๆ หมู่บ้านปิดซ่อนนี้”

ผู้เอ่ยเป็นโซออนขนแดงที่ยืนอยู่ทางขวาของการัม เขาเคยช่วยเหลือการ์กัสส์ บิดาของการัม หัวหน้าเผ่าตนก่อนในฐานะมือขวา และยังเป็นผู้แรกที่สนับสนุนให้การัมรับตำแหน่งหัวหน้าเผ่าหลังการ์กัสส์จากไป มีนามว่ากัลกาก้า

นอกจากสายเลือด การเป็นหัวหน้าเผ่ายังต้องมีความสามารถเนื่องจากโซออนต้องอยู่กันอย่างยากลำบากในธรรมชาติอันโหดร้าย กัลกาก้าผู้ช่วยหัวหน้าเผ่าตนก่อนเองก็ได้รับการยอมรับจากพี่น้องด้านความสามารถ หากเขาต้องการจะเป็นหัวหน้าเผ่าเองก็ย่อมได้ ทว่าเจ้าตัวกลับเอ่ยปาก “แทนที่จะเป็นหัวหน้าเผ่า ข้ากลับต้องการสนับสนุนผู้หนึ่งมากกว่า” เขาจึงนับว่าไม่ธรรมดา

“เสียงกลองดังมาจากพื้นที่แถวหมู่บ้านหรือ? ”

ทันทีที่ทราบว่าเสียงกลองนี้ดังมาจากหมู่บ้านที่ยามนี้เป็นมนุษย์ปกครอง ใบหน้าของกาจีต้าก็ปรากฏขึ้นในใจการัม...เมื่อสำรวจรอบๆ แล้ว การัมก็ยิ่งมั่นใจว่ากาจีต้าหายไป

“กาจีต้าหายไปไหน? ”

“ตอนนี้เรากำลังตามหาเขาอยู่”

ดูเหมือนกัลกาก้าจะนึกถึงความเป็นไปได้นี้แล้ว

ไม่นานนัก นักรบเด็กก็ทยอยมาถึงจุดที่กลุ่มของการัมอยู่โดยมีนักรบอาวุโสพามา กัลกาก้าตะโกนใส่เด็กหนุ่มที่ดูคล้ายกำลังรู้สึกผิดอยู่

“กาจีต้าหายไปไหน!? หากเจ้าทราบอะไรจงบอกแก่หัวหน้าเผ่า ห้ามปิดบังแม้แต่น้อย! ”

นักรบเด็กผู้ยอมแพ้แล้วตอบด้วยสีหน้าคล้ายจะร้องไห้

“เขากล่าวว่าจะไปกอบกู้หมู่บ้านคืนมา แล้วนำทุกตนมุ่งไปยังหมู่บ้าน...ข้าพยายามห้ามเขาแล้ว ข้าบอกแล้วว่าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าเผ่าย่อมไม่ดี ข้าจึงไม่ได้ไปกับพวกเขาขอรับ”

“เหตุใดจึงเก็บเงียบไว้? ไม่กล่าวอะไรก็นับเป็นความผิดดุจเดียวกัน! ”

กัลกาก้าโกรธเสียจนขนสีแดงชี้ฟูไปทั้งตัว นักรบเด็กผู้นั้นกลัวจนตัวคุดคู้ไปหมด

“กาจีต้าสั่งข้าห้ามบอกใคร…”

ได้ยินมากถึงเพียงนี้ การัมก็วิ่งจากไป กัลกาก้าพยายามร้องเรียกไล่หลังการัมให้หยุด ทว่าการัมกลับหันมาตะโกนโดยไม่หยุดฝีเท้าลง

“กัลกาก้า! ปกป้องผู้อพยพพร้อมกับราคราก้า มูจิน่า และนักรบหญิงที่เหลือ! มนุษย์อาจบุกโจมตีเราแล้ว! ”

“หัวหน้าเผ่า ท่านจะทำอะไร? ”

“ข้าจะไปตามกาจีต้ากลับมา! เหล่านักรบตามข้ามา! ”


◆◇◆◇◆


นักรบเยาว์เผ่าโซออนมีกาจีต้าเป็นผู้นำ วิ่งลงเขาด้วยสี่เท้าโดยไม่หยุดยั้ง

พวกเขาวิ่งผ่านพื้นผิวเอียงลาดของภูเขาและผืนดินอันมิใช่ข้อได้เปรียบของโซออนผู้ซึ่งดั้งเดิมคือผู้ครอบครองทุ่งหญ้ากว้าง

ยามที่ฝีเท้าของโซออนจะเปล่งประกาย คือยามที่ได้วิ่งด้วยสี่เท้า ทว่าขาพวกเขายาวกว่าแขน การวิ่งลงพื้นที่ลาดย่อมไม่สะดวกแม้แต่น้อย

ทว่าไม่ว่าจะยังเป็นเด็กหนุ่มอย่างไร พวกเขาก็ยังนับเป็นนักรบเผ่าโซออน ต่างก็หลบเลี่ยงต้นไม้ที่ร่วงหล่นและพื้นที่ไม่มั่นคง มุ่งตรงไปยังหมู่บ้านเป็นเส้นตรง ราวกับนกที่บินโฉบเข้าหาเหยื่อยามค้นพบเป้าหมาย

เพื่อตอบโต้ ทหารมนุษย์น้าวสายธนูตามคำสั่งผู้บัญชาการ ยิงธนูออกไปอย่างพร้อมเพรียง

ธนูนับสิบแล่นฝ่าอากาศพร้อมกันกลายเป็นเสียง ‘วี้ดดด’ แทนที่จะกล่าวว่าตัดผ่านอากาศ อาจเรียกได้ว่าฉีกกระชากชั้นบรรยากาศก็ย่อมได้

“กระจายตัว! ”

นักรับโซออนกระจายออกด้านข้างตามเสียงกาจีต้า ทันทีที่ทำตามนั้น เสียงของธนูนับไม่ถูกพุ่งปักผิวดินก็สะท้อนก้อง

“อ๊ากกก! ”

โซออนสองนายที่ถูกธนูพุ่งปักหัวไหล่และขาเนื่องจากมิได้หลบเลี่ยงล้มลงพื้นต่อหน้าต่อตาสหายร่วมรบที่พยายามเข้าช่วยเหลือ พวกเขากลิ้งลงเนินไปพร้อมกับเศษหิน ยังต้องเผชิญกับฝนธนูอีกห่าหนึ่ง ราวกับแมลงไร้ค่าที่ถูกเข็มปักตรึง

“เจ้าพวกปีศาจแทะซาก! ”

เหล่าโซออนผู้เกรี้ยวกราดโกรธาพุ่งเอาไหล่เข้ากระแทกรั้วไม้ที่เตรียมไว้ตรงสุดปลายทางลาดพร้อมทั้งพยายามทรงตัวขณะวิ่งลงเนิน รั้วไม้ล้มลงส่งเสียงครืนๆ

“ตอนนี้แหละ! ยิงได้! ”

ทว่าธนูระลอกสามถูกยิงออกมาอีกคราวใส่โซออนที่หยุดเท้าลงหลังจัดการรั้วไม้ได้ เช่นนี้โซออนอีกสามนายล้มลง แม้เป็นเช่นนั้นแล้ว นักรบเยาว์ก็ยังบุกตะลุยไปเบื้องหน้าเพื่อโค่นล้มรั้วชั้นต่อไปโดยไม่ลังเล

ทว่าเมื่อกาจีต้าและผู้อื่น ยังไม่พร้อมจะล้มรั้วขั้นต่อไปเนื่องจากการชะลอตัว พวกเขาก็กลายเป็นเป้านิ่งทันทีที่หยุดเท้าลง

“กาจีต้า! หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปละก็…! ”

ทั้งจัดการปัดป้องฝนธนูที่หลั่งไหลใส่เพื่อนพ้องด้วยมีดดาบ ยังต้องพยายามทำลายรั้วชั้นต่อไปแม้จะทำไม่ได้ก็ตามที กระทั่งยามนี้ ร่างของนักรบผู้ฝ่ามาถึงหน้ารั้วก็ถูกธนูยิงทะลุยามยกมีดดาบขึ้นเหนือหัวเพื่อตัดทำลายเชือกที่ผูกรั้วเอาไว้ นักรบอีกตนเข่าทรุดลงแตะพื้น ใบหน้ายังเงยขึ้น ทว่าไม่อาจแม้แต่จะเปล่งเสียงใด

กาจีต้าสำนึกเสียใจยามปัดป้องธนูออกจากตัว

หากพวกมันสู้ตรงๆ มนุษย์เหล่านี้ย่อมไม่ใช่ศัตรูของพวกข้า! เราไม่ควรพ่ายแพ้แก่ผู้ขลาดเขลาใช้ธนูจากอีกฟากฝั่งของรั้ว ผู้ไม่แม้แต่จะกล้าประลองดาบกับเรา!

ทว่าความเป็นจริงนั้นยังเหลือรั้วไม้อีกสองชั้นกั้นขวางกาจีต้าและเหล่าทหารมนุษย์ มีดดาบของเขายาวพอจะถึงตัวทหารมนุษย์แล้ว

“เจ้าพวกขี้ขลาดดดด!!! มาสู้กับข้าาาา! ”

กาจีต้าตะโกนก้อง ทว่าคำตอบของมนุษย์ ยังคงเป็นฝนธนูที่พร่างพราว




◆◇◆◇◆





“ชิ! กาจีต้า เจ้าบัดซบนั่น! ”

พี่น้องของนางตายตกลงทีละชีวิต เชมุลคำรามอย่างเกรี้ยวกราด

นางอยากจะพุ่งไปเดี๋ยวนั้น ทว่านางไม่มีทางทิ้งโซวมะที่ยามนี้อยู่ข้างกายเอาไว้ในหุบเขานี้เพียงลำพังได้ นอกจากนั้น หากนางเข้าไปในยามนี้ก็สายไปแล้ว ย่อมไม่ทันเวลาแล้ว ยามนี้นางไม่อาจทำอะไรได้อีก ต่อให้นางต่อยหน้ากาจีต้าแรงๆ ลากเขากลับมาต่อหน้าหัวหน้าเผ่าก็ยังไม่อาจทำให้นางหายโมโหได้

โซวมะที่อยู่ใกล้กับเชมุลนิ่วหน้ามองโซออนถูกคร่าสังหารฝ่ายเดียว

“ทำไม ถึงไร้หัวคิดอย่างนั้นนะ…? ”

“จริงแท้! เริ่มสู้รบเอาเองโดยยังไม่แม้แต่จะเจริญเต็มวัยเช่นนี้! ”

เชมุลเห็นด้วยกับคำพึมพำของโซวมะเพื่อหาทางระบายความหงุดหงิดในใจ

ทว่าโซวมะกลับรู้สึกถึงความผิดปกติจากถ้อยคำของเชมุล

เขารู้สึกคล้ายจะมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างตนเองกับเชมุลอยู่

“บัดซบ! เช่นนี้พี่น้องของเราคง…! ”

เชมุลมองไปยังสนามรบของพี่น้องโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย





◆◇◆◇◆





การัมและเหล่านักรบวิ่งมาถึงก็พูดไม่ออกกับสถานการณ์เลวร้ายเกินคาดในยามนี้ ศพมากมายกระจัดกระจายอยู่ตามทางลาด ที่ตีนเขานั้นเหลือผู้รอดชีวิตอีกไม่กี่รายแล้ว

ทว่านักรบหนุ่มเหล่านั้นยังคงพยายามทำลายรั้วไม่หยุดยั้ง ที่ซึ่งการัมและผู้อื่น ไม่อาจเรียกเป็นอย่างอื่นได้นอกจากคำว่าไร้ความคิด

“ตีกลองถอนทัพ! ”

ได้ยินการัมสั่ง มือกลองก็ตีกลองเป็นจังหวะถอยทัพ ตะ-ตึง-ตึงง-ตะ-ตึง! ตะ-ตึง-ตึงง!

นักรบรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งได้ยินเสียงกลองก็หันไปมอง

“กาจีต้า! กลุ่มหัวหน้าเผ่ามาแล้ว! ”

กาจีต้ากลับไม่สนเสียงตะโกนอย่างยินดีของสหายร่วมรบ ยังพยายามมุ่งไปข้างหน้าต่อเนื่อง

“กาจีต้า กาจีต้า! นั่นเสียงกลองถอนทัพ! ”

นักรบรุ่นเยาว์เกือบหมุนกายแล้ว แม้เป็นพวกเขาก็ทราบว่าฝ่ายตนย่อมจบลงด้วยการถูกฆ่าล้างสิ้นโดยไม่อาจแม้แต่ล้มรั้วที่สองได้ ทว่าเพราะกาจีต้ายังไม่สั่งถอนทัพ พวกเขาจึงไม่อาจถอยหลังได้ เสียงกลองถอนทัพที่ดังมาถึงนั้นราวกับข่าวดี ทว่ากาจีต้ากลับไม่ใส่ใจสายตาสหาย ตะโกนลั่น

“ถึงจุดนี้แล้วยังถอนทัพได้อยู่หรือ!? อย่ายอมแพ้! พังรั้ว! สังหารมนุษย์!! ”

ในยามนี้ กาจีต้าไม่ต่างจากเด็กน้อยที่ตะโกนร้องเอาแต่ใจ

หากเขาถอนทัพยามนี้ สิ่งที่รอคอยกาจีต้าอยู่คือถูกปลดจากการเป็นนักรบ ยิ่งกว่านั้นเนื่องจากมีผู้เคราะห์ร้ายมากมาย เขาย่อมถูกเนรเทศหลังถูกตัดแขนขาหรือถูกจับมัดและส่งไปเป็นอาหารหมาป่าในทุ่งกว้าง

สำหรับกาจีต้าผู้ใฝ่ฝันต้องการเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าคมเขี้ยวแล้ว เหล่านั้นย่อมไม่อาจยอมรับได้ทั้งสิ้น

“เจ้าโง่พวกนั้น! พวกมันอยากถูกสังหารลงเช่นนั้นรึ!? ”

นักรบอาวุโสสบถด่าอย่างโมโหเมื่อเห็นนักรบเยาว์ไม่มีทีท่าจะถอยทัพแม้แต่น้อย

การัมรู้สึกเช่นเดียวกัน เขาอยากจะบอกพวกนั้นว่า “หากเจ้าอยากตายเพียงนั้น เช่นนั้นก็ไสหัวไปตายเสีย! ” ทว่ายามนี้เขาคือหัวหน้าเผ่า ละทิ้งพี่น้องย่อมเป็นไปไม่ได้ แม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้มีความผิดหรือโง่เขลาเพียงใดก็ตามที

“ตีกลองถอนทัพต่อไป! นักรบที่เหลือตามข้ามา! เราจะไปเอาตัวไอ้พวกโง่นั่นกลับมา! ”

การัมนำเหล่านักรบอาวุโสวิ่งลงทางลาดด้วยสี่เท้า

“ตะโกนให้ดัง! ”

เหล่านักรบกู่ตะโกนพร้อมกันในคราวเดียว ทหารมนุษย์ที่เห็นกำลังเสริมของโซออนมาถึงจากเสียงคำรามดังลั่นจนหุบเขาสะเทือนนั้นเริ่มยิงฝนธนูใส่กลุ่มของการัม

“พวกเจ้าดึงความสนใจของพวกมนุษย์ต่อไป! ”

กล่าวเช่นนั้นแล้ว การัมก็วิ่งลงไปลำพัง ทหารที่เห็นการัมเล็งธนูไปยังเขา ทว่าธนูกลับไปไม่ถึงตัวการัมที่วิ่งพร้อมเอี้ยวกายหลบซ้ายขวาลงเนินไม่ได้แม้แต่น้อย

เมื่อมาถึงจุดที่นักรบเยาว์อยู่ การัมก็กระโจนพร้อมตวาด

“เจ้าพวกโง่! ถอยหลังและถอนทัพได้! ”

ได้ยินคำสั่งหัวหน้าเผ่าแล้ว ทุกตนยกเว้นกาจีต้าก็เริ่มถอนตัว กาจีต้าพยายามรั้งสหายของตนไว้ ทว่ายามนี้ไม่มีใครฟังสิ่งที่เขาพูดอีกแล้ว

“หากเจ้าอยากตายนัก เช่นนั้นก็ไปตายเพียงลำพัง! อย่าได้นำผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวด้วย! ”

ได้ยินการัมหันมาเอ่ยเช่นนั้นกับกาจีต้าที่ยังไม่ยอมถอย เขากระทำราวกับเป็นแนวหลังให้แก่นักรบรุ่นเยาว์ที่ถอนทัพกลับหุบเขา พยายามปัดป้องลูกธนู กระทั่งกาจีต้าที่ถูกทิ้งไว้ลำพังเบื้องหลังก็ยังต้องส่งเสียงคำรามอย่างโศกเศร้า ถอนตัวไปในที่สุด

สิ่งที่มนุษย์สูญเสียในการต่อสู้คราวนี้มีเพียงลูกธนูและรั้วไม้แนวหนึ่ง ทว่ายังสามารถเก็บกู้ลูกธนูส่วนใหญ่กลับมาได้หลังโซออนถอนทัพไป และยังคงซ่อมแซมแนวรั้วได้เสร็จสิ้นก่อนตะวันตกดิน เช่นนั้นก็ไม่นับว่าสูญเสียสิ่งใด

ในทางกลับกัน ฝั่งโซออนกลับสูญเสียนักรบรุ่นเยาว์ไปมากมาย นักรบผู้แบกรับอนาคตของเผ่า ย่อมอาศัยเวลาสิบกว่าปีจึงจะปิดถมหลุมแห่งความสูญเสียนี้ได้

ไม่ว่ามองจากสายตาใคร ก็นับได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้ของโซออนแล้ว

ฝั่งโซออนผู้ถอนทัพกลับมายังสถานที่ซ่อนตัวหลังความสูญเสียล้วนก้มหน้าลงอย่างอับอายเมื่อได้ยินเสียงตะโกนแห่งชัยชนะของทหารมนุษย์ที่ดังไล่หลังมา





◆◇◆◇◆





“เจ้า เจ้า…”

เช่นเดียวกับพี่น้องที่ถอยทัพ ร่างของเชมุลสั่นสะท้านอย่างอับอายยามได้ยินเสียงตะโกนแห่งชัยชนะของมนุษย์

เชมุลเป็นนักรบตนหนึ่ง นางและพี่น้องนางล้วนพร้อมพลีชีพในการต่อสู้ ย่อมไม่โกรธเคืองศัตรูด้วยเหตุนั้น

ทว่าสิ่งที่ปรากฏยามนี้ กลับมิใช่การปฏิบัติต่อร่างนักรบผู้กล้าหาญผู้สิ้นชีพอย่างเหมาะสม

ที่นางเห็นเบื้องหน้า คือทหารมนุษย์ยกร่างโซออนขึ้นสูงสุดความสามารถคล้ายดั่งโอ้อวดเหยื่อที่ล่าได้ยามล่าสัตว์ พวกเขาจับร่างผู้ตายขยับราวตุ๊กตาและหัวเราะกับภาพตลกตรงหน้า คล้ายว่าการเตะถีบซากศพยังไม่พอ บางคนถึงกับปัสสาวะใส่ร่างพวกเขา

“เจ้าพวกปีศาจนรกแทะซาก! เจ้าพวกปีศาจบัดซบ! ”

เรื่องนี้โซวมะที่เป็นมนุษย์ไม่อาจพูดอะไรได้ เขาไม่มีทางอื่นนอกจากมองไหล่เชมุลสั่นสะท้านอย่างเกรี้ยวกราดโศกเศร้าในความเงียบงัน

ในที่สุดเมื่อเชมุลใจเย็นลงได้หลังผ่านไปพักใหญ่ เธอก็เอ่ย ‘ขอโทษ’ โซวมะที่มองอยู่อย่างเงียบๆ ห้วนๆ

“สำหรับมนุษย์แล้วพวกเราโซออนมิได้เป็นสิ่งใดมากกว่าเดรัจฉานที่มีสมองอยู่บ้างหรอกหรือ? ”

‘ก็เหมือนจะเป็นอย่างที่เชมุลพูด’ เขาคิด แม้แต่จากในสายตาโซวมะ วิธีที่มนุษย์ปฏิบัติต่อซากศพโซออนนั้นไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าการจัดการซากสิ่งมีชีวิตที่ล่าได้แบบทิ้งๆ ขว้างๆ

เชมุลหันไปหาโซวมะ จ้องมองดวงตาเขา เอ่ยปาก

“โซมะ ข้าติดหนี้เจ้าใหญ่หลวง ข้าสาบานไว้ว่าย่อมตอบแทนโดยมิให้ผิดพลาด ทว่าข้ายังเป็นนักรบแห่งเผ่าคมเขี้ยว ย่อมไม่อาจหันหลังแก่พวกพ้องที่ต่อสู้เต็มความสามารถ ข้าอาจสิ้นชีพโดยไม่อาจเติมเต็มคำสัตย์ ยามนั้นข้าย่อมไม่ถือโทษหากเจ้าไม่พอใจที่ข้าไร้ค่าเพียงนี้”

ไม่มีทางที่โซวมะจะไม่รู้สึกสั่นสะท้านจากถ้อยคำเหล่านี้

แล้วเขาจะมีชีวิตต่อไปได้ยังไงกัน ถ้าไม่มีเชมุลคอยปกป้องเขาก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวในโลกนี้แม้แต่นิดเดียว?

ทว่า เขาก็ยังเข้าใจสภาพการณ์ของเชมุลในตอนนี้ เขายิ้ม รวบรวมความกล้าหาญอันน้อยนิดในใจ ทำเป็นมองข้ามจุดที่ยังต้องการผู้คอยดูแล

“ได้รับอะไรมากมายจากคุณขนาดนี้ ผมก็ไม่มีเหตุผลต้องโทษคุณอยู่แล้ว”

“...! ขออภัยด้วย”

เชมุลกล่าวเช่นนั้นพร้อมฝืนยิ้มสดใส

“อะไรกัน ไม่ใช่ว่าตัดสินแล้วว่าเราแพ้เสียหน่อย ยามนี้พวกพ้องเราบางส่วนอาจโอหังไปบ้าง ทว่าคราวหน้าเราย่อมต้องต่อสู้หลังรวมกำลังเข้ากับนักรบจากทุกเผ่า ยังมีอีก สำหรับนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างเขี้ยวคลั่งแล้ว ของเช่นรั้วย่อมทำลายได้ง่ายดายยิ่ง! ”

ได้ยินเชมุลพูดแบบนั้น โซมะก็คิดขึ้นมาว่า ‘หา? ’

เขารู้สึกมาสักพักแล้วเหมือนกัน คล้ายกับว่าวิธีคิดของเชมุลนั้นเหมือนจะมีจุดที่ไม่เชื่อมโยงกับเขาอยู่บ้าง

อกเขาสั่นสะท้าน

บางที เหมือนจะมีอะไรแปลกๆ

“เชมุล บางที…”

เริ่มพูดแบบนั้น โซวมะก็ลังเลที่จะพูดต่อ

‘เป็นเรื่องที่เราควรบอกเธอจริงๆ เหรอ? ’ โซวมะที่ยังไม่รู้จักโลกใบนี้ดีนักไม่อาจทำการตัดสินได้ว่าถ้าเขาบอกเธอไปแล้วจะเป็นอะไรหรือไม่

‘อีกอย่าง ถ้าเราบอกเธอเรื่องนี้ ผลที่ตามมาจะกระทบไปถึงการต่อสู้ของโซออนกับมนุษย์ในโลกนี้เลย’

สำหรับโซวมะที่เป็นเด็กจากญี่ปุ่นยุคปัจจุบันแล้ว สงครามและการฆาตกรรมเป็นแค่ของที่อยู่ในโลกของนิยาย เขายั้งความรู้สึกคัดค้านรุนแรงที่เกิดจากความกังวลเรื่องพวกนี้เอาไว้ในใจ

“เป็นอะไรไปหรือ โซมะ? ”

เพราะแบบนั้น เขาจึงไม่ได้ตอบคำถามของเชมุลไปมากกว่าคำว่า ‘ไม่มีอะไร’

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น