[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 11: การข่มเหง


สถานที่ที่เชมุลพาเขาไปคือชะง่อนหินสูงที่อยู่ระหว่างทางสู่ยอดเขา

เมื่อยืนถัดจากเชมุล เขาก็ได้เห็นทิวทัศน์ที่รายล้อมบริเวณแห่งนี้

ป่าไม้ผลัดใบไล่หลั่นตามแนวเทือกเขา เมื่อถึงยอดเขาห่างไกลทางใต้ ทุ่งหญ้ากว้างก็ทอดยาวจากตีนเขาไปจนสุดสายตา เชมุลชี้ไปยังทุ่งหญ้านั้น

“ดูนั่นสิ โซมะ ตรงนั้นคือสถานที่ที่มนุษย์เรียกขานว่าที่ราบซลเบียงต์ ยังเป็นสถานที่ที่บรรพบุรุษของพวกข้าเคยอาศัย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว โซวมะก็เกิดเข้าใจบางสิ่งขึ้นมาทันที เรื่องของโซออนที่เชมุลมักเล่าให้เขาฟังทุกเย็นนั้นแทบจะปรากฏในที่ราบเสมอ

“ทว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนทหารจากประเทศมนุษย์ใกล้ๆ นี้มาถึง เริ่มขับไล่เราจากทุ่งหญ้า แน่นอนบรรพบุรุษย่อมต่อต้าน ทว่าด้วยพลังของพวกเขาย่อมไม่เพียงพอ จึงถูกบังคับให้ต้องถอยร่นเข้าใกล้ภูเขาขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็ถึงจุดที่ต้องถูกแยกมาอาศัยภายในเขาแห่งนี้”

“แล้วทำไมมนุษย์ต้องไล่โซออนออกจากที่ราบด้วยล่ะ? ”

“แน่นอน ย่อมเป็นไปเพื่อการครอบครองดินแดน”

เชมุลพูดกับมนุษย์นามโซวมะที่อยู่ใกล้พร้อมกดข่มอารมณ์ ทว่ายามนี้น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้าที่ฉายชัด

“มนุษย์เผาทำลายหญ้า หว่านเมล็ดพันธุ์และหน่อตรงนั้นเพื่อเพาะปลูก ทว่าหากเพาะปลูกที่เดิมเป็นเวลานานหลายปี ผลที่ได้ย่อมลดลง เมื่อเป็นเช่นนั้น มนุษย์ก็จะย้ายสถานที่และทำเช่นเดิมซ้ำอีก เพื่อการนั้นไม่ว่าอย่างไรจึงต้องใช้พื้นที่กว้างใหญ่ เช่นนั้นแล้วจึงได้เล็งที่ราบที่พวกเราโซออนอาศัย”

ที่เชมุลพูดถึงคือการเกษตรกรรมรูปแบบเก่า หากพูดถึงการเกษตรกรรมแล้ว สิ่งที่คนญี่ปุ่นปัจจุบันจะนึกออกก็คือการเตรียมดิน เติมปุ๋ยเพื่อปลูกพืช ในทางกลับกัน การทำไร่เลื่อนลอยคือการเคลียร์หน้าดินจากพืชป่าโดยการเผาและเพาะพันธุ์พืชลงไป กลายเป็นการทำไร่ระยะสั้น การทำไร่เลื่อนลอยไม่ใช่แค่การเผาทำลายพืชพันธุ์และใช้เศษขี้เถ้าเพื่อเป็นปุ๋ยอย่างที่คนเชื่อกัน แต่เป็นการทำให้หน้าดินเหมาะกับการเพาะปลูกโดยการอาศัยสารอาหารตามธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้ดินเป็นกรด การพัฒนาดินโดยการเผายังเป็นการทำลายเซลล์ ปรสิตและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อยู่ในดินบริเวณนั้น เป็นวิธีการที่ประหยัดแรงงานถึงขีดสุดและให้ผลดีอย่างมาก

แต่ว่าจากมุมมองของโซออนแล้ว การจุดไฟเผาทุ่งกว้างซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยเดิมของพวกตน คือสิ่งที่ไม่มีทางให้อภัยได้

“เราเกลียดชังมนุษย์เพียงนี้ เพราะเราถูกขับไล่จากดินแดนของเราเอง”

“ผมเข้าใจได้ว่าการเพาะปลูกอาหารคือเรื่องจำเป็นสำหรับมนุษย์นะ แต่ก็เป็นธรรมดาที่โซออนจะเกลียดชังต่อต้านมนุษย์เพราะถูกบังคับให้ต้องทิ้งดินแดนตัวเองเพราะแบบนั้น”

นั่นคือสิ่งที่โซวมะคิด แต่เชมุลส่ายหน้า

“ไม่เพียงเท่านั้นหรอกโซมะ”

สถานที่ต่อไป เธอพาโซวมะไปยังยอดผา

“ระวังตัวด้วย พยายามลองมองลงไปข้างล่างนั่น”

เชมุลกระซิบข้างหู บอกเขาด้วยเสียงเบา โซวมะกลืนน้ำลาย สัมผัสได้ว่าเธอมีทีท่าไม่ปกติ และค่อยๆ ลอบมองลงไป

สถานที่ที่มองลงไปคือที่ราบสูงที่มีรูปร่างคล้ายกระเพาะ

ในอดีตคงมีลำธารคดเคี้ยวไหลผ่านที่ราบสูงนี้ ทว่าตอนนี้แม่น้ำคดเคี้ยวนั้นกัดเซาะผิวหน้ามาหลายปี จนเหลือไว้เป็นร่องรอยคดเคี้ยว กระทั่งตอนนี้ ลำธารนั้นกลายเป็นแม่น้ำเชี่ยวที่ใหญ่กว่าและหายไป เหลือเพียงที่ราบสูงรูปทรงคล้ายกระเพาะนั่น

หากมีคนสรุปว่าที่ราบสูงนั้นคือกระเพาะ แนวเขาที่มุ่งจากตีนเขาสู่ยอดเขาก็คงเป็นลำไส้ โซวมะไม่มีความทรงจำเรื่องนี้ แต่นั่นคือเส้นทางที่กลุ่มของเชมุลพาเขาขึ้นมาจนกลางทาง หากมองไกลออกไปอีกหน่อย ทางฝั่งซ้ายของส่วนนั้นจะไปถึงภูเขา ส่วนฝั่งขวาคือที่อยู่ในปัจจุบันโดยมีป่าเล็กๆ กั้นกลาง

ในทางกลับกัน ที่อยู่ติดกับหลอดอาหารทางเหนือของกระเพาะคือแนวสันเขาที่มีถนนตัดผ่านมายังที่อยู่ปัจจุบันและผาสูง ตรงสุดถนนนั้นประจันกับหน้าเขาที่ไร้ต้นไม้เป็นวงกว้าง มีเนินเขาปรากฏเล็กน้อย แนวรั้วไม้ชี้ชันขึ้นจากเนินเขานั้น

โซวมะสำรวจที่ราบสูงนั้นอย่างกังวล ก่อนจะกระซิบถามเชมุลคำถามหนึ่ง

“หมู่บ้านมนุษย์งั้นเหรอ? ”

สำหรับโซวมะจะคิดแบบนั้นก็เข้าใจได้ เพราะผู้คนที่อยู่ตรงพื้นที่ราบสูงนั้นคือมนุษย์ ไม่ใช่โซออน เขาไม่รู้จำนวนแน่นอนเพราะยังมีคนที่อยู่ในตัวเรือนทำให้มองจากตรงนี้ไม่เห็น แต่เดาได้ว่าน่าจะมีคนใกล้ร้อยอาศัยอยู่ที่แห่งนั้นล่ะมั้ง? มีหลายคนกำลังนั่งพนันไพ่อยู่ที่จัตุรัส ล้อมวงพูดคุยรอบกองไฟ รื่นเริงสังสรรค์ดื่มสิ่งที่คล้ายสาเกตั้งแต่ยามกลางวัน

แต่เมื่อดูให้ดี พวกเขาล้วนแต่เป็นทหารที่คาดดาบไว้ที่เอว ทุกคนสวมเกราะที่ทำจากเหล็กและผ้าหนา

เชมุลยืนติดกับเขา ส่ายหน้าเบาๆ และชี้ไปยังจุดสิ้นสุดจัตุรัส

ที่แห่งนั้นมีกระโจมของโซออนแบบที่โซวมะคุ้นเคยกองสุมทับกันราวขยะ

เชมุลส่งสัญญาณให้โซวมะที่หันมามองเธออย่างแปลกใจให้กลับกัน เมื่อมาถึงจุดปลอดภัยแล้ว เชมุลก็พูด

“ที่แห่งนั้นคือสถานที่ที่หมู่บ้านของพวกข้าตั้งอยู่กระทั่งไม่นานมานี้”

สถานที่ลี้ภัยของเหล่าโซออนผู้เคยอยู่ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่กลับเป็นแค่ที่ราบสูงคับแคบ เป็นความอึดอัดคับข้องที่คิดแทบไม่ออกสำหรับผู้ที่ใช้ทั้งชีวิตอยู่ในพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ต้องมาสร้างกระโจมที่อยู่ติดๆ กัน ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง

แต่สำหรับเชมุล ที่ยามถูกขับไล่นั้นยังเป็นทารกน้อยไร้ความหยิ่งทระนง สถานที่ที่ถูกเรียกว่า ‘คับแคบเกินไป’ อันคล้ายเป็นคำพูดติดปากของโซออนผู้ใหญ่แล้ว นับเป็นบ้านที่นางเกิดและเติบโตมา

“เมื่อเร็วๆ นี้ทหารมนุษย์โจมตีพวกเรา เผากระโจมจนเป็นเถ้าถ่านและสร้างค่ายพักขึ้นมาเช่นนั้น ยามนี้พวกมันทำราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของสถานที่แห่งนั้นเสียแล้ว”

เชมุลหายใจเข้าสั้นๆ ก่อนถอนใจ

“พวกนั้นต้องการกวาดพวกเราเผ่าโซออนให้หมดสิ้น เจ้ารู้ไหม? ”

ทันใดนั้น โซวมะก็ไม่เข้าใจคำพูดของเธอขึ้นมา

โซวมะ ผู้อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นแสนสงบสุข ไม่เข้าใจความคิดบ้าๆ อย่างการทำลายเผ่าพันธุ์ที่ใช้ภาษาเดียวกัน แม้รูปร่างหน้าตาจะแตกต่างกันก็ตามที

“กวาดล้างน่ะเหรอ? เธอไม่ได้หมายความอย่างนั้นใช่มั้ย!? ทำไมถึงทำอะไรเลวร้ายแบบนั้นด้วย!? ”

“สำหรับมนุษย์แล้ว เผ่าพันธุ์อื่นหกเผ่ารวมถึงโซออนล้วนแต่เป็นเผ่าพันธุ์ด้อยค่าที่สมควรถูกกำจัดทิ้งไป”

“ควรกำจัดทิ้งอะไรวะน่ะ!? การเรียกว่าเผ่าพันธุ์ด้อยค่านั่นมันเหี้ยอะไร!? ”

เห็นโซวมะโมโหจนถึงขีดสุดราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง เชมุลหลับตาลง คล้ายกับได้เห็นบางสิ่งที่เปล่งประกายเจิดจ้า

ใช่แล้ว สำหรับโซมะนั้นมนุษย์และโซออนไม่แตกต่างกันแม้แต่น้อย

เป็นดังที่นางคาดหวัง ไม่สิ เพราะปฏิกิริยาโต้ตอบของโซวมะเป็นไปดังที่นางเฝ้าปรารถนาจะได้เห็น จึงได้ลังเลที่จะกล่าวต่อ ทว่านางเข้าใจดีว่าไม่อาจปิดซ่อนสิ่งใด จึงคิดจะบอกเล่าเขาอย่างเรียบง่าย ละจากอารมณ์ส่วนตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“เป็นผลจากการที่ศาสนจักรได้ยกระดับขึ้นมาโดยมนุษย์ผู้หนึ่งผู้ถูกเรียกว่าพระผู้วิมลในอดีตเมื่อนานมาแล้ว”

เมื่อเชมุลได้เป็นพระบุตร นางถูกการ์กัสส์ผู้เป็นบิดา และท่านยายสอนสั่งเรื่องราวของศาสนจักรและมนุษย์เพื่อเตรียมการสำหรับวันใดวันหนึ่งที่นางจะต้องขึ้นนำโซออนทุกเผ่า

“ชายผู้ถูกเรียกว่าพระผู้วิมลนั้นหยามหมิ่นทุกเผ่าพันธุ์นอกเหนือจากมนุษย์ กล่าวว่ามนุษย์คือเผ่าพันธุ์ที่ถูกเลือก เทพแห่งมนุษย์คือผู้สืบทอดจากพระผู้สร้าง และเรียกขานเผ่าพันธุ์อื่นว่าเป็นความล้มเหลวอันโสมม"

แม้ในยามพระผู้วิมลยังมีชีวิตจะเกิดความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์อยู่บ้าง ทว่าก็เป็นยุคสมัยที่ทุกเผ่าต่างเคารพสัตตเทพผู้ได้รับการบูชาโดยเผ่าพันธุ์อื่น ยามนั้นความคิดของพระผู้วิมลยังนับว่าเป็นความเห็นนอกรีต และฝ่ายเขายังถึงกับถูกลงโทษ

“ทว่าพระผู้วิมลนั้นดื้อดึงยิ่ง เจ้าอาจเรียกเป็นความหมกมุ่นหลงใหลได้”

หลังจากพระผู้วิมลตระหนักว่าความเห็นของเขาไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คน เขาจึงได้ปีนป่ายสู่ยอดเขาอันถูกเรียกขานว่าเป็นบ้านแห่งทวยเทพ หลังจากบำเพ็ญทุกรกิริยายาวนานสองเดือน ท้ายที่สุดเขาก็ได้พบกับเทพแห่งมนุษย์ ได้สนทนากับพระองค์ยาวนานสามวัน...เทพแห่งมนุษย์ได้ยินความเห็นของพระผู้วิมลในยามนั้น จึงได้เปลี่ยนเขาให้เป็นพระบุตร นับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของทวีปนี้ และยังนับเป็นการถือกำเนิดของพระผู้ช่วยให้รอดผู้วิมล ผู้กลายเป็นพระบุตรหลังเสนอตนเองแก่องค์เทพ ทว่าแม้ที่เขากลายเป็นพระบุตรนั้นจะเป็นเรื่องจริง ก็มิได้หมายความว่ามนุษย์ทุกคนจะเห็นด้วยกับเขาในทันทีทันใด ในทางกลับกัน ผู้วิมลผู้ตอกย้ำแนวคิดและการกระทำสุดโต่งท้ายที่สุดก็ถูกจับกุมโดยอุปราชของเมือง ถูกกักขังและท้ายสุดจึงถูกประหารโดยการตรึงกางเขนจากข้อหาก่ออาชญากรรมแห่งความวุ่นวาย และเพราะมีผู้ซึ่งเป็นพระบุตรถูกลงโทษประหารโดยคนจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน ความผิดเขาจึงควรนับเป็นความผิดรุนแรงไม่อาจให้อภัย

“จากนั้น ชายบ้าคลั่งตายลง และทุกคนอยู่กันอย่างสงบสุขไปตลอดกาล -- เรื่องมิได้จบเช่นนั้น”

การสอนสั่งของพระผู้วิมลไม่เคยจบลง กลับถูกส่งต่ออย่างเงียบงันโดยสาวกของเขา ทว่าในความคิดคนอื่นๆ การสอนสั่งของผู้วิมลนั้นถูกนับเป็นสิ่งนอกรีตไปแล้ว

“สิ่งที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงนั้นกลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อราวสองร้อยปีก่อน จากประเทศเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ที่ใจกลางทวีป”

ประเทศเล็กนั้นยังมีกษัตริย์ผู้เปี่ยมด้วยความทะยานอยาก ทว่าที่รายล้อมกลับมีเพียงประเทศที่มีทหารมากกว่าและอาณาบริเวณกว้างใหญ่กว่าประเทศของพระองค์ ประเทศของพระองค์ไม่มีพื้นที่ให้ขยายอาณาเขต ทว่าหนทางสู่การรอดกลับได้ถูกค้นพบโดยกษัตริย์ผู้ไม่ยอมแพ้ - ในเทือกเขาและป่ากว้างใหญ่ไพศาลใกล้ๆ นั้นยังมีอยู่ พระองค์ทราบว่าที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยสายแร่และทรัพยากรป่าไม้หลับใหล หากสามารถนำมันมาใช้ได้ พระองค์ประเมินได้ว่าล้วนแต่เพียงพอแก่ทหารของประเทศ รวมไปถึงยังครอบคลุมเพียงพอให้สามารถทำสงครามขยายอาณาเขตได้ด้วย ทว่าเหตุผลที่พระองค์มิได้ลงมือกับทรัพยากรเหล่านั้นทั้งที่รู้ถึงการดำรงอยู่ของมัน เนื่องเพราะมีเอลฟ์และคนแคระอาศัยอยู่ที่นั่น ในยามนั้นไม่มีทางใดที่พระองค์จะได้รับการยอมรับจากประชาชนขอตนให้ก่อสงครามโดยไร้เหตุผล แม้จะเป็นต่อผู้ต่างเผ่าพันธุ์ก็ตามที

“เป็นศาสนจักรที่ปรากฏขึ้นในยามนั้น”

ในยามนั้นศาสนจักรยังถูกเหยียดหยันเป็นศาสนานอกรีต ในขณะที่ประเทศเล็กนั้นมองหาเหตุผลเพื่อทำสงครามต่อคนแคระและเอลฟ์ ความตั้งใจของทั้งคู่จึงลงตัวกันได้อย่างดิบดี

“คนแคระและเอลฟ์ล้วนเป็นเผ่าพันธุ์น่ารังเกียจ เป็นความผิดพลาดโสมมและพระผู้เป็นเจ้ามีประสงค์จะลบล้างพวกมันให้สิ้นไป เมื่อประกาศเช่นนั้นแล้ว ประเทศนั้นก็รุกรานพวกเขา”

แม้จะมีความขัดแย้งระหว่างมนุษย์ซึ่งอาศัยอยู่ยังที่ราบสูง และเอลฟ์ที่อาศัยอยู่ในป่า เช่นเดียวกับคนแคระที่อาศัยในหุบเขา ทว่าทั้งหมดก็ยังอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบโดยแบ่งแยกสถานที่อาศัยชัดเจน กล่าวได้ว่าเนื่องจากกองทัพมนุษย์รุกรานหลังจากทำลายข้อตกลงที่ไม่เอ่ยออกมานี้ ทำให้ทั้งเอลฟ์และคนแคระล้วนถูกทำลายลงก่อนจะทันเตรียมตัวได้สู้รบเสียอีก

หลังจากนั้น ประเทศเล็กๆ แห่งนั้นก็ได้ควบคุมเอลฟ์และคนแคระโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่เพียงแต่ได้รับขุมทรัพย์มากมายจากทรัพยากรที่ดิน ทว่ายังรวมไปถึงความร่ำรวยจากการค้าขายนักโทษชาวเอลฟ์และคนแคระในฐานะทาส เมื่อกษัตริย์เสริมกำลังทหารของประเทศพระองค์ได้แล้ว ก็เริ่มทำสงครามกับประเทศรอบข้าง รวบรวมประเทศเหล่านั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวทีละน้อยรวมไปถึงพื้นที่ของเผ่าพันธุ์อื่นเช่นกัน จากความรวดเร็วในการขยายอาณาจักรนี้ ท้ายที่สุดจากประเทศเล็กๆ ก็ตั้งตนเป็นจักรวรรดิ และสามารถควบคุมพื้นที่ส่วนกลางของทวีปได้

ศาสนจักรเองก็เติบโตรุ่งเรืองในเวลาเท่าเทียมกันกับความรุ่งเรืองของอาณาจักรนี้…

นอกจากนั้นประเทศเล็กอื่นหลายประเทศที่ต้องการเอาอย่างจักรวรรดิ ประเทศของมนุษย์ที่ต้องการแผ่นดินของผู้ต่างเผ่าพันธุ์เช่นเดียวกัน ก็เริ่มรับเอาศาสนจักรมาเป็นศาสนาของตน

ทุกวันนี้ศาสนจักร (โฮลี่เฟท) จึงกลายเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในทวีปแห่งนี้

“กระทั่งตอนนี้ ในทวีปนี้ เผ่าพันธุ์อื่นก็ยังทยอยถูกทดแทนด้วยมนุษย์ ทั้งที่ดิน สินทรัพย์ เกียรติยศ เครือญาติ คนรัก และลูกหลาน ทุกสิ่งอย่าง ผู้ถูกสังหารยังนับว่าโชคดี หากถูกจับได้ทั้งที่ยังมีชีวิต ปลอกคอจะถูกสวมใส่ให้ราวกับปศุสัตว์ จากนั้นจึงถูกตีตราและกลายเป็นทาสที่ต้องทำงานถูกเฆี่ยนตีไปจนตาย สำหรับสตรีนั้นยิ่งเลวร้ายกว่า สตรีจากเผ่าพันธุ์ที่นับว่างดงามในสายตามนุษย์เช่นเอลฟ์หรือมาร์แมนจะกลายเป็นของเล่นให้แก่มนุษย์เพศชาย ถูกบังคับให้กระทำสิ่งเลวร้ายที่น่าขยะแขยงเกินจะกล่าวได้ ข้าได้ยินว่ามีคนมากมายที่จิตวิญญาณแตกสลายจนเอาชีวิตตนเองในที่สุดจากการที่มิอาจทนต่อความรุนแรงที่ได้รับจากผู้ต่างเผ่าได้ ทว่าในกรณีของพวกข้าซึ่งเป็นสตรีโซออน ซึ่งนับว่ามีรูปลักษณ์แตกต่างจากมนุษย์เป็นอันมากนั้นไม่ได้เจอเหตุเช่นนั้นบ่อยนัก”

เชมุลทำจมูกฟุดฟิดคล้ายเยาะหยันตนเอง

“แต่ก็เช่นกัน ยังมีกรณีที่พวกเราถูกนำไปใช้แทนเหยื่อในการล่าสัตว์ ข้าสงสัยนักว่าดีหรือแย่กันแน่? ”

“เธอว่า...ใช้แทนเหยื่อล่าสัตว์งั้นเหรอ? ”

“หมายความดังที่ข้ากล่าว เหมือนจะเป็นกระแสนิยมของจักรวรรดิในการปล่อยทาสโซออนให้เอาตัวรอดในทุ่งกว้างระหว่างการล่าสัตว์ของพวกขุนนางมนุษย์ จากนั้นจึงขี่ม้ายิงธนูไล่ล่า ข้าได้ยินว่าในห้องโถงของบางประเทศยังตกแต่งด้วยหนังโซออนอย่างหรูหรา”

คำพูดของเธอเผยให้เห็นความรู้สึกขัดแย้งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน กระทบจิตใจของโซวมะด้วยความจริงอันเจ็บปวด

คนพวกนั้นบ้าไปแล้ว

โซวมะคิดอะไรอย่างอื่นนอกจากคำนี้ไม่ออกอีกแล้ว

ทว่าจากประวัติศาสตร์โลก การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กลับไม่ใช่สิ่งหายากอะไร อย่างเรื่องครูเสดปิดกรุงเยรูซาเล็ม อัศวินทิวทอนิคฆ่าล้างชาวปรัสเซีย นาซีกับการกวาดล้างชาติพันธุ์ สงครามกับชาวอินเดียนแดงในอเมริกา และอื่นๆ หากได้ศึกษาสักนิด จะพบว่ามนุษย์นั้นต่างก็มีสัญชาตญาณความรุนแรงที่ชวนให้คนรู้สึกคลื่นไส้

แน่นอน โซวมะรู้เรื่องพวกนี้ดี ทว่าการรับรู้เป็นความรู้ กับการได้รับฟังโดยตรงจากเชมุลผู้เป็นกลุ่มได้รับผลกระทบโดยตรงนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทุกถ้อยคำของเชมุลกระแทกใจโซวมะหนักหน่วง ราวกับถูกกระหน่ำต่อยรุนแรง

“กอบกู้ผืนดินบรรพบุรุษยากยิ่ง กระทั่งยามนี้หมู่บ้านที่เราอาศัยอยู่ก็ถูกขโมยไป เราไม่อาจกอบกู้เช่นกัน นี่คือสถานะของโซออนในยามนี้ ที่ครั้งหนึ่ง เคยถูกเรียกว่าจ้าวผู้ครองแห่งสะวันนา”

โซวมะก็เป็นมนุษย์เช่นกัน (แม้จะไม่มั่นใจว่ากายภาพของเขาจะเหมือนมนุษย์ในโลกนี้รึเปล่า) เขากลับไม่อาจคำไหนมาตอบเชมุลได้

ในความเงียบงันที่ปกคลุมจากความเจ็บปวด ทันใดนั้น หูของเชมุลก็กระดิก

“เกิดอะไรขึ้นเชมุล? ”

“เงียบสักครู่เถอะ”

เมื่อเขาเงี่ยหูฟัง ก็ได้ยินเสียงกลองจากที่ไหนสักแห่ง

ตะ-ตึง-ตะ-ตึงง-ตึง-ตึง ตะ-ตึง-ตะ-ตึงง-ตึง-ตึง

สีหน้าเชมุลเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเสียงกลองเป็นจังหวะชัดเจนเล่นวนซ้ำ

“นั่นมิใช่เสียงกลองรบหรอกรึ!? ”

นั่นคือจังหวะกลองของเผ่าคมเขี้ยวเพื่อกระตุ้นให้นักรบในยามนั้นเริ่มรบ

“มนุษย์บุกรึ!? ”

สิ่งที่นางคิดถึงอย่างแรกคือพี่น้องของนางคงเริ่มตอบโต้เมื่อถูกมนุษย์รุกราน ทว่าเมื่อมองไปยังค่ายของมนุษย์ด้วยตาเปล่า กลับเป็นฝ่ายมนุษย์ที่ดูตกตะลึง

เมื่อมองย้อนกลับไปยังต้นเสียงกลองที่ก้องสะท้อนในหุบเขา ต้นเสียงมาจากเนินเขาเหนือค่ายพัก ร่างของโซออนสิบกว่ารายปรากฏให้เห็นท่ามกลางหมู่มวลต้นไม้ที่หักโค่นจากฝีมือมนุษย์เพื่อสร้างค่ายพัก

โซออนรายหนึ่งก้าวออกมาหน้ากลุ่ม ประกาศแนะนำตนเสียงดัง

“ข้าคือกาจีต้า บุตรแห่งอันก้า ผู้มาจากเผ่าคมเขี้ยว หนึ่งในสิบสองเผ่าแห่งโซออน! มนุษย์ผู้ละเมิดแผ่นดินเรา! หากเจ้าผู้ขลาดเขลาราวสัตว์แทะซากในยมโลกยังมีเศษเสี้ยวของความกล้าหลงเหลือเพื่อต่อสู้ จงมาสู้กับข้า! ”

นั่นเป็นกาจีต้า

โซออนที่อยู่รายล้อมเขาล้วนยกมีดดาบในมือขึ้นเหนือหัว ส่งเสียงกู่ก้อง

“นี่มันอะไรกัน!? ”

เชมุลตกตะลึงไป การประกาศชื่อก่อนเข้าสนามรบนับเป็นวิถีแห่งโซออน ทว่าต้องกระทำโดยผู้โดดเด่นของฝ่ายนั้นในฐานะตัวแทน โดยปกติแล้วบทบาทนี้คือหน้าที่ของการัมผู้เป็นหัวหน้าเผ่าหรือหัวหน้านักรบ มิใช่สิ่งที่เด็กหนุ่มเช่นกาจีต้าพึงกระทำได้

“ไม่มีทางน่ะ กาจีต้า เจ้าโง่นั่น!! ”

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น