สีวันผ่านไปนับแต่โซวมะฟื้นคืนสติ
เมื่อตื่นขึ้น โซวมะก็จะมีเชมุลและโซออนชราซึ่งเชมุลแนะนำว่าเป็นท่านผู้เฒ่าคอยสอนความรู้พื้นฐานและคอมมอนเซนส์ของโลกใบนี้ให้
แต่ละวันเริ่มด้วยการทานข้าวเช้ากับเชมุล จากนั้นก็จะถูกปล่อยไว้ให้แม่เฒ่าดูแลคอยสอนเรื่องตำนานและโครงสร้างของทวีป เชมุลจะมารับยามดวงอาทิตย์ขึ้นสู่จุดสูงสุดเพื่อกลับกระโจมพร้อมกัน พอทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เขาก็จะช่วยงานเชมุลไปจนดวงอาทติย์ตก ระหว่างนั้นเชมุลยังสอนให้โซวมะรู้เรื่องทั่วๆ ไปทั้งสำคัญไม่สำคัญในทุกคราวที่มีโอกาส จากนั้นเมื่อฟ้ามืด นางก็จะบอกเล่าและร้องเพลงถึงเรื่องราวที่สืบทอดส่งต่อกันมาในหมู่บ้านโซออน
เช้านี้โซวมะก็ทานอาหารเช้ากับเชมุลเช่นเคย จากนั้นก็ถูกพาไปไว้ที่ภาวนสถาน สถานที่เรียนของแม่เฒ่า
“แม่เฒ่า วันนี้ข้าขอฝากเขาไว้กับท่านเช่นเดิมนะเจ้าคะ ทว่าท่านอย่าได้สอนเรื่องไม่จำเป็นดังเมื่อวานอีก”
เชมุลโบกมืออำลาให้โซวมะ กล่าวว่ามีธุระต้องจัดการในหมู่บ้าน ก่อนจากไปจึงพูดประโยคนั้นกับยายของตน
“โอ๋? เรื่องอะไรหรือ? ข้าคงชราแล้วใช่หรือไม่? จำไม่ได้แม้แต่น้อย…”
“ท่าน ยัยเฒ่าบัดซบ! ท่านจำเรื่องที่ไม่ควรจำได้ ทว่ากลับแกล้งทำเป็นชรายามนี้!”
โซวมะได้แต่ยิ้มแหยมองทั้งคู่โหวกเหวกใส่กัน
เมื่อวานนี้แม่เฒ่าเกิดสอนโซวมะเรื่อง ‘พระบุตร’ ขึ้นมา
“เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าเจ้าคือ ‘พระบุตร’?”
ได้ยินแม่เฒ่าถามแบบนั้น โซวมะก็ตอบไปตรงๆ ว่าเขาไม่เข้าใจ
“ดังที่เจ้าได้ทราบแล้ว โลกแห่งนี้มีสัตตเทพอยู่ เทพล้วนไม่ปรากฏในกายเนื้อ ทว่าทรงเฝ้ามองเราอยู่เสมอ”
สิ่งที่ทำให้โซวมะแปลกใจที่สุดหลังจากความรู้เรื่องโลกใบนี้แล้ว ก็คือเรื่องที่ว่าในโลกแห่งนี้ พระเจ้ามีอยู่จริง
เมื่อเขาอธิบายว่าในโลกของเขาพระเจ้าไม่มีจริง หรืออยากน้อยเขาก็ยังไม่เคยเห็นหรือได้ยินว่าพระเจ้าปรากฏตัวต่อหน้าผู้ศรัทธาจริงๆ ทำให้แม่เฒ่าแปลกใจกับความตรงข้ามกันนี้มากทีเดียว
“แน่นอน กระทั่งในโลกนี้ทวยเทพก็มิอาจเข้ามายุ่งกับพวกเราได้มากนักเช่นกัน”
แม่เฒ่าชี้ปลายไม้เท้าไปยัง (แมลงที่ดูคล้ายๆ) มดที่คลานยุ่บยั่บบนพื้น
“โซมะ เจ้าแยกแมลงเหล่านี้ออกจากกันได้หรือไม่? บอกความแตกต่างของมันแต่ละตัวจากฝูงใหญ่โตได้หรือไม่?”
เมื่อเขาตอบว่าต้องทำไม่ได้แน่อยู่แล้ว แม่เฒ่าก็พยักหน้าแบบ ‘ก็แหงสิ ใช่ไหมล่ะ?’
“พระเจ้าก็เช่นกัน ไม่ว่าเผ่าพันธุ์นั้นจะเคารพบูชาพระองค์เพียงใด ย่อมมิอาจใส่ใจสมาชิกทุกชีวิตในเผ่าพันธุ์นั้นได้ ต่อให้เผ่าพันธุ์นั้นร่วงหล่นลงสู่ความล่มสลายก็มิใช่เรื่องง่ายดายจะช่วย”
แม่เฒ่าใช้ไม้เท้าเขี่ยหินใส่ตรงกลางขบวนมดเพื่อแยกมันออกจากกัน ทำให้แถวนั้นแตกกระจาย เมื่อทำแบบนั้นแล้ว แมลงหลายตัวที่ชอบที่เปียกชื้นก็ปรากฏออกมาจากด้านได้ กระจายกันออกไป
“หากพระองค์ช่วยปกปักษ์เผ่าพันธุ์ของพระองค์ได้ย่อมดียิ่ง ทว่ากลับกลายเป็นการสร้างปัญหาสู่เผ่าพันธุ์อื่นแทน จนอาจก่อให้เกิดเป็นความขัดแย้งระหว่างทวยเทพได้ สัตตเทพย่อมไม่อาจทำอะไรแก่คนทั้งหลายได้แม้พระองค์มีตัวตน”
แม่เฒ่าใช้ปลายไม้เท้าชี้ไปยังหน้าผากโซวมะ
“ทว่าก็ยังมีข้อยกเว้นเล็กๆ สำหรับผู้ที่เป็นพระบุตร”
ตอนนี้เขาสวมผ้าคาดหัวที่ได้จากเชมุลอยู่ โซวมะรู้แล้วว่าว่าบนหน้าผากของตนมีสลักประทับแปลกประหลาดที่ดูเหมือนการผสานกันระหว่าง 8 และ ∞ ดำรงอยู่ ถึงจะสงสัยว่ามันมาโผล่ได้ยังไงก็เถอะ
“พระบุตรคือผู้คนที่ถูกพิจารณาเฝ้ามองและได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากทวยเทพ เพื่อเป็นหลักฐานจึงมีสลักประทับแห่งเทพปรากฏขึ้นบนร่างกาย ในหลายคราวยังได้รับพลังแห่งพระพรอีกด้วย”
“แต่ทำไมพวกเขาถึงสนใจผมล่ะ…?”
เขาไม่เชื่อสักนิดว่าจะมีอะไรยิ่งใหญ่ขนาดนั้นมาสนใจในตัวเขา เขายังนับว่าตัวเองเป็นเด็กญึ่ปุ่นที่ธรรมดาแสนธรรมดา
“มีเพียงเทพเท่านั้นที่รู้ ทว่าหากเจ้ากล่าวว่าได้ยินเสียงยามร่วงหล่นลงสู่โลกนี้ ข้าคาดว่าเทพีคงสนใจเจ้าไม่ธรรมดาเลย”
“ออร่าใช่มั้ยฮะ? ชื่อของเทพีที่เปลี่ยนให้ผมเป็นพระบุตรน่ะ”
“อย่าเอ่ยพระนามนั้นเสียงดังเกินไป”
แม่เฒ่าลดเสียงของตนลง ตรวจสอบจนแน่ใจว่ารอบๆ ไม่มีใครอยู่อีก
“น่าเศร้านัก ทว่าข้าไม่ทราบรายละเอียดว่าออร่าเป็นเทพีเช่นไร เพียงออร่าเป็นเทพีผู้ยิ่งใหญ่เหนือความตายและหายนะ และพระองค์น่าจะเป็นผู้ดึงเจ้ามายังโลกแห่งนี้”
เทพีออร่าที่ลากเขามาโลกนี้ เขาแค่อยากรู้ว่าเธอคิดอะไรกันแน่ถึงได้ดึงเขามาที่นี่ได้?
“หากเจ้าอยากกลับไปโลกเดิมของเจ้า ย่อมไม่มีทางอื่นนอกเสียจากยึดมั่นในออร่า อาจเรียกว่าโชคดีได้ เพราะตราบใดที่ยังมีสลักประทับบนหน้าผากเจ้า ก็ยังเป็นหลักฐานว่าออร่าสนใจเจ้า วันหนึ่ง วันที่เจ้าจะได้พบออร่าย่อมมาถึง”
“เจอเทพีนี่เป็นไปได้ด้วยเหรอครับ?”
“แน่นอน” แม่เฒ่าพยักหน้าหนักแน่น “แม้โดยมากอาจมาในรูปของความฝั่นหรือภาพลวง ทว่าการสนทนากับทวยเทพนั้นย่อมเป็นไปได้ เจ้ามีโอกาสได้พบพระองค์ยามได้รับพระพรหลังได้รับเลือกให้เป็นพระบุตร ทว่า…”
“แต่ผมไม่มีพลังพระพรอะไรนั่นนี่ครับ”
โซวมะรู้จากแม่เฒ่าแล้วว่าพระพรมีหลากหลายรูปแบบ แต่เหมือนเขาจะไม่มีอะไรสักอย่าง
“อืม เป็นเรื่องแปลกประหลาดสักหน่อย ทว่าเจ้าไม่มีทางทราบว่าเจ้ายังไม่ได้รับพระพร หรือเพียงแต่พระพรนั้นมิได้โดดเด่นนอกเหนือจากชีวิตทั่วไป”
“มีพระพรแบบนั้นด้วย?”
“ใช่แล้ว อย่างเช่น หากเจ้าได้รับพระพรแห่งการหายใจใต้น้ำได้ พลังนั้นจะไม่ทำงานตราบใดที่เจ้ายังมิได้ดำดิ่งสู่ใต้น้ำ หากเป็นพระพรให้เจ้าไม่เจ็บป่วยดังเช่นที่เคยมีมาในอดีต ย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าไม่สามารถรับทราบได้โดยง่ายแล้ว
ทันใดนั้นเอง ดูเหมือนนางจะคิดอะไรดีๆ ออก แม่เฒ่ายิ้มกว้าง
“โอ ใช่แล้ว! เจ้าเด็กเชมุลนั่นก็เป็นพระบุตรแห่งเทพสรรพสัตว์เช่นกัน”
“เชมุลก็ด้วยเหรอครับ?”
เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องนี้ เท่าที่จำได้ เขาไม่เคยเห็นสลักประทับบนตัวเชมุลเลยสักครั้ง เธอยังไม่เคยบอกเขาเรื่องที่เธอเป็นพระบุตรด้วย
“ช่าย ยามที่เทพแห่งสรรพสัตว์ตรัสถามเด็กผู้นั้นว่านางต้องการพระพรแบบใด แม่เด็กนั่นอ้อนวอนพระองค์ว่า นางต้องการให้พระองค์เฝ้ารักษาศักดิ์ศรีของนางโดยไม่ขอพลังอื่นใด เหตุนั้นนางจึงได้รับพระพรที่จะนำความวิบัติแก่ผู้ใดก็ตามที่ทำให้เกียรติยศศักดิ์ศรีของนางมัวหมอง แลกกับการที่นางเองไม่อาจกระทำการขัดต่อความภาคภูมิของนางได้”
“คุณว่านำความวิบัติเหรอครับ?”
“อืม ไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไร อยู่ในระดับเช่น หากมีใครพยายามใช้ยาพิษในการประลองกับนาง พวกมันจะทำผิดพลาดจนตัวเองบาดเจ็บเสียเอง ทว่าก็ต้องขึ้นกับความร้ายแรงของความสกปรกนั้น ยิ่งร้ายแรง ความวิบัติที่นำมาก็ยิ่งมากขึ้นเช่นกัน หากมิใช่มีคนกระทำสิ่งเลวร้ายรุนแรง ก็มักเป็นเพียงได้รับความเจ็บปวดเท่านั้น”
ยังมีเรื่องที่โซวมะและแม่เฒ่าไม่ทราบ นั่นคือมนุษย์ผู้เป็นผู้บัญชาการป้องปราการที่เชมุลถูกจับกักขังไว้นั้น ได้กระทำการร้ายแรงและตายตกลงอย่างทรมาณไปแล้ว
“เขัาใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นเชมุลก็เป็นพระบุตรเหมือนกันสินะ”
สำหรับโซวมะในตอนนี้แล้ว เชมุลคือเพียงคนเดียวที่เขาพึ่งพาได้ ถ้าไม่มีเธอ โซวมะก็คงจะตายเหมือนหมาข้างถนนไปนานแล้ว เชมุลพูดถึงการตอบแทนบุญคุญ แต่โซวมะเองก็ยังรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเธอ แถมยังไม่อาจตอบแทนได้ด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว
เพราะเธอก็เป็นพระบุตรเหมือนกัน แม้จะเป็นเทพคนละองค์ แต่เขาก็ยังรู้สึกดีใจอยู่ดี
“อา ใช่ จริงซี เจ้าควรขอให้เชมุลแสดงสลักประทับของนางให้เจ้าดู เพื่อในอนาคตจะได้มีตัวอย่างยังไงเล่า”
อยู่ๆ แม่เฒ่าก็พูดแบบนั้น
“สลักประทับ?”
“ใช่แล้ว เพราะพวกเราเหล่าโซออนล้วนมีขนมากมาย การหาสลักประทับจึงยากยิ่ง การแสดงให้เห็นจึงยากพอสมควร”
เขาเห็นด้วย อันที่จริงถ้าใครมีขนปกคลุมทั่วตัวแบบโซออนก็คงจะหาสลักประทับบนร่างกายได้ยากมากจริงๆ
“คาดว่าเวลากลางวันเชมุลจะยุ่งยาก ทว่าเวลาเข้านอนคงไม่เป็นไร เจ้าไปขอร้องนางว่า 『ขอให้ข้าได้สำรวจสลักประทับบนร่างเจ้าอย่างละเอียดเพื่อเป็นตัวอย่างในอนาคตด้วยเถอะ』เข้าใจหรือไม่? เจ้าต้องขอร้องนางล่ะ”
โซวมะคิดว่าแปลกๆ อยู่เหมือนกันที่อยู่ๆ แม่เฒ่าก็มาย้ำนักหนา แต่เพราะเชื่อว่าต้องมีเหตุผลสำคัญแน่ๆ ดังนั้นเขาเลยไปขอร้องเชมุลอย่างที่แม่เฒ่าสั่งมาเป๊ะๆ
เป็นเวลาที่เขาไม่ค่อยอยากจะจำเลย
ทีแรกเชมุลเบิกตากว้างอย่างตกใจ จากนั้นเธอก็ย่นจมูกฟุดฟิด ปากอ้าๆ หุบๆ แสดงสีหน้าตลกๆ หลายแบบ เสร็จแล้วเธอค่อยหันมาประจันหน้ากับโซวมะ เอ่ยเตือนเขา
“โซมะ ข้าทราบว่าเป็นท่านย่าแนะนำเจ้า ทว่า สลักประทับของข้านั้น...อืม...คือมัน...จะว่าอย่างไรดีเล่า? มันอยู่เหนือยอดอกซ้ายของข้า เผยสิ่งนี้ให้เห็นในยามค่ำ...ซ้ำยังเป็นเวลาเข้านอน...แม้จะเป็นเรื่องขำขัน ทว่าโปรดเข้าใจความรู้สึกข้าที่ได้ยินเจ้า...ซึ่งเป็นบุรุษ...เอ่ยว่า『ขอให้ผมได้สำรวจสลักประทับบนร่างคุณอย่างละเอียดเพื่อเป็นตัวอย่างในอนาคตด้วยเถอะ』ด้วยเถอะ เจ้าอาจไม่ทราบเพราะเจ้าเป็นมนุษย์ แม้จะดูยากไปบ้าง ทว่าอย่างไรข้าก็ยังเป็นสตรีวัยออกเรือน”
และอื่นๆ อื่นๆ อื่นๆ
โซวมะผู้รู้ตัวแล้วว่าตัวเองได้พูดอะไรที่หยาบคายออกไปไม่มีทางเลือกนอกจากขอโทษขอโพยเชมุลจนอีกฝ่ายหายโกรธ
แน่นอนว่าเขาไม่ได้เห็นสลักประทับจริงๆ แต่เชมุลก็ยังบอกเขาว่าหน้าตาของสลักประทับแห่งเทพสรรพสัตว์นั้นเหมือน 「กรงเล็บสามรอย」
“เช่นนั้น ข้าจะมารับเจ้าอีกคราวยามเที่ยง รอที่นี่จนถึงตอนนั้นนะ”
ทะเลาะกับยายเสร็จแล้ว เชมุลก็บอกโซวมะ ก่อนจะเดินกลับลงไปยังหมู่บ้านอีกที
พอเห็นเธอจากไป โซวมะก็เห็นแม่เฒ่ามองมาพร้อมรอยยิ้มกริ่มกว้างขวาง ทำให้เขารู้สึกแหยงขึ้นมาจนต้องถามว่า “เป็นอะไรครับ?” พร้อมกับถอยหลังหนีช้าๆ แม่เฒ่ากลับทำแค่ยิ้ม แล้วกล่าว
“หน้าอกของเด็กนั่นเป็นอย่างไร? ใหญ่ใช่หรือไม่เล่า?”
โซวมะเงยหน้าขึ้น ชื่นชมผืนฟ้าอย่างถึงที่สุด
◆◇◆◇◆
โซวมะกำลังมีปัญหาว่าไม่รู้จะทำอะไรดี
ระหว่างที่แม่เฒ่ากำลังสอนโซวมะอยู่ โซออนที่เขาไม่รู้จักก็ปรากฏตัวขึ้นตามหาแม่เฒ่า โซออนตนนั้นมองโซวมะด้วยหางตาแล้วจึงบอกแม่เฒ่า “หัวหน้าเผ่าเรียกหาท่าน” แม่เฒ่าถึงได้ขอโทษขอโพยที่ต้องงดสอนกลางคันแล้วลงไปยังหมู่บ้านพร้อมโซออนตนนั้น
ในสถานการณ์แบบนี้ โซวมะเคยถูกย้ำแล้วย้ำอีกว่าห้ามกลับคนเดียว ต้องรอจนกว่าเชมุลจะมารับ ดังนั้นเลยตัดสินใจจะหาอะไรทำฆ่าเวลา แต่เนื่องจากเชมุลและแม่เฒ่าเคยบอกเขาไว้ที่แห่งนี้คือสถานภาวนาศักดิ์สิทธิ์ โซวมะเองก็มีเวลาว่างมากเกินไป เขากลัวว่าถ้าถือวิสาสะเดินสำรวจไปเรื่อยจะไปทำอะไรผิดเข้า
สุดท้ายเลยได้แต่นั่งอยู่บนก้อนหินที่ตั้งอยู่ไกลออกไปจากภาวนสถาน รอให้เชมุลมาหา
ตอนที่โซวมะกำลังเริ่มจะเบื่อขึ้นมาเพราะรอมานานก็ยังไม่เห็นเชมุลเสียที ก็มีเสียงพุ่มไม้ขยับไหวดังขึ้นจากที่ไม่ไกลนัก โซวมะลุกขึ้นมองสำรวจอย่างสงสัยว่าจะมีสัตว์อะไรโผล่มารึเปล่า กระทั่งในญี่ปุ่นเอง เขาก็ยังได้ข่าวเรื่องคนที่ถูกหมีซึ่งหลุดจากการจำศีลเข้าโจมตีอยู่ทุกปี ไม่ต้องพูดถึงต่างโลก ที่นี่ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าจะไม่มีตัวอะไรที่อันตรายมากกว่าหมี
“...!? ด-เด็กเหรอ?”
ทว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นจากพุ่มไม้คือโซออนเด็กสองคน เด็กที่ตัวใหญ่กว่านั้นสูงไม่เกินเอวโซวมะ จูงมือเด็กที่ดูเหมือนผู้หญิงมา ทั้งคู่สวมชุดง่ายๆใหญ่กว่าตัว
ดูแล้วน่าจะเป็นพี่ชายกับน้องสาว
“พี่ชาย ท่านใช่มนุษย์หรือไม่?”
ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้เห็นมนุษย์
เด็กชายถามขณะมองเขาด้วยดวงตากลมโต
“อา ช่าย พี่เป็นมนุษย์มั้งนะ คิดว่านะ”
เขาไม่ค่อยรู้เรื่องมนุษย์ในโลกนี้เท่าไหร่ แต่พูดว่าคล้ายๆ ไว้อาจจะปลอดภัยกว่า
เมื่อโซวมะตอบแบบนั้น เด็กหญิงก็รีบเข้าไปซ่อนหลังเด็กชาย
“ท่านแม่บอกว่ามนุษย์น่ากลัว ว่าพวกมันข่มเหงพวกเรา”
เด็กชายขยับตัวมาบังเด็กหญิงเอาไว้ ทั้งคู่ขยับถอยหลัง ท่าทางตั้งใจปกป้องน้องสาวของเขาก็ดูน่ารักดีอยู่หรอก แต่เป็นแบบนี้อาจจะกลายเป็นเข้าใจผิดกันไปใหญ่โตได้
“พี่-พี่ไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกน่า! พี่ไม่รังแกพวกเธอหรอก”
เมื่อโซวมะปฏิเสธพร้อมทั้งโบกมือสองข้างไปมาอย่างหวาดหวั่นแล้ว ทั้งคู่ก็เหลือบตาขึ้นมองเขาคล้ายจะถามว่า “จริงหรือ?” โซวมะจึงยิ้มขึ้น พยายามทำให้ทั้งคู่รู้สึกปลอดภัย ในตอนนี้เขาลืมไปแล้วว่าเชมุลเคยเตือนเขาไว้ว่า “การเผยเขี้ยวของเจ้าให้โซออนเห็น จะถือเป็นการท้าทาย”
เด็กทั้งสองเหมือนจะเข้าใจรอยยิ้มแหยๆ ของโซวมะ เมื่อแน่ใจแล้วว่าโซวมะไม่ได่จะทำอันตรายอะไร จึงได้เข้าใหล้เขาด้วยสายตาสงสัย
“นี่ นี่ พี่ชาย ท่านเป็นมนุษย์ที่ดีหรือไม่?”
“นั่นสิน้า~ พี่ก็สงสัยอยู่ว่าพี่เป็นมนุษย์ที่ดีรึเปล่าน้า? แต่พี่ก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนเลวเหมือนกันนะ”
“ไม่เอาน่า อันไหนกันแน่เล่า? จากหนึ่งในสองอย่างนี้?”
เห็นท่าทางของเด็กสองคนนี้ทำให้โซวมะนึกถึงเด็กข้างบ้าน ถึงเด็กชายคนนั้นจะเข้าโรงเรียนประถมในปีหน้าแล้ว เขาก็ยังเกาะติดโซวมะอยู่เสมอเพราะในระแวกนั้นไม่มีคนรุ่นราวคราวเดียวกันอีกแล้ว
เด็กๆ ไม่ว่าจะมนุษย์หรือโซออนนั้นยังเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นโลกไหน
“นี่ เช่นนั้นหากพี่ชายไม่ใช่มนุษย์เลวร้าย ข้าไม่ใช้สิ่งนี้ก็ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ในใจโซวมะที่กำลังมองสองพี่น้องอย่างอารมณ์ดีพลันรู้สึกเย็นเยือกขึ้นมา
เด็กหญิงหยิบมีดสั้นพร้อมฝักออกมาจากในเสื้อ มันแขวนอยู่บนคอเธอด้วยเชือก เมื่อมองดูดีๆ แล้วที่คอเด็กชายก็มีมีดอยู่เช่นกัน
“ใช่แล้ว ดูเหมือนพี่ชายท่านนี้ไม่ใช่คนเลว”
“เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
“ใช่ๆ”
สองพี่น้องคุยไปยิ้มหวานไป แต่โซวมะกลับรู้สึกกังวลเพราะบทสนทนาแปลกประหลาดนี้ แต่เพื่อไม่ให้ดูผิดปกติเกินไป เขาจึงถามทั้งคู่อย่างใจเย็น
“ใช้เหรอ? จะใช้มันยังไงน่ะ?”
เท่าที่เขารู้จากการฟังคำอธิบายของเชมุลและแม่เฒ่า เหมือนโลกใบนี้จะอยู่ระหว่างยุคกลางและยุคดึกดำบรรพ์ ในช่วงเวลาแบบนี้ยังมีอีกหลายที่ ที่กฏหมายไม่ครอบคลุมและปกครองด้วยความรุนแรง เป็นไปได้ว่าแม้แต่เด็กๆ เองก็จำเป็นต้องพกมีดสั้นไว้เพื่อต่อต้านเวลาตกอยู่ในอันตราย
เป็นอีกครั้งที่โซวมะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างจากญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน ดูเหมือนความเป็นจริงในโลกนี้จะเลวร้ายยิ่งกว่า
“ปาดคอเจ้าด้วยสิ่งนี้ ก่อนที่จะถูกมนุษย์ชั่วร้ายจับตัวไป เราถูกสอนมาเช่นนี้”
“ให้ทำเช่นนี้ เพราะหากเจ้าถูกจับไป จะต้องทนรับความเลวร้ายทรมาณยิ่งกว่า”
ชั่วขณะนั้น โซวมะพูดอะไรไม่ออก
พ่อแม่สอนลูกให้ฆ่าตัวตายเนี่ยนะ? แล้วเด็กพวกนี้ก็คิดว่าเป็นเรื่องดีด้วย
โซวมะทำใจเชื่อไม่ลง
“จีต้า~!? เชโพม่า~!?”
ไม่ไกลออกไป ก็มีเสียงใครบางคนร้องตะโกนจนได้ยินได้
“อ๊ะ เป็นท่านพ่อกับท่านแม่”
“ปะป๊า หม่าม้า~! ทางนี้~!”
ดูเหมือนพ่อแม่ของเด็กๆ จะมาตามหาทั้งคู่แล้ว เด็กๆ ที่เห็นพ่อแม่เดินมาทางนี้จึงโบกมือให้อย่างร่าเริง
“จีต้า!? เชโพม่า!?”
แม้จะยังเป็นคำเดิม แต่น้ำเสียงนั้นกลับดูเร่งร้อนต่างจากก่อนหน้า
เขาสงสัยจังว่าเกิดอะไรขึ้น โซวมะมองหน้าของเด็กๆ แล้วโคลงหัวอย่างงุนงง
ทันใดนั้นแรงกระแทกและความเจ็บปวดก็จู่โจมเข้าที่แก้มซ้ายของโซวมะ ร่างเขากระเด็นไปด้านข้าง ตกสู่พื้นรุนแรง โซวมะกระพริบตาอย่างตกตะลึงก็รู้สึกตัวว่าเขาเพิ่มจะถูกโซออนเพศชายที่รีบพุ่งเข้ามาซัดคว่ำ
“เจ้ามนุษย์ชั่วสกปรก! เจ้าทำอะไรลูกของพวกข้า!?”
ในสายตาของโซออนที่มองลงมายังโซวมะนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังเกรี้ยวกราด น้ำตาหลั่งออกมาจากดวงตาของเด็กน้อยที่ตกใจเพราะท่าทีดุร้ายของผู้เป็นพ่อ ทั้งคู่ระเบิดร้องไห้เสียงดังราวไฟไหม้
“จีต้า เชโพม่า! พวกเจ้าเป็นอะไรหรือไม่!?”
โซออนผู้หญิงที่ดูเหมือนจะเป็นแม่ของเด็กๆ รีบกอดลูกและดึงตัวพวกเขาออกห่างจากโซวมะ
“เจ้ามนุษย์สารเลวไม่เพียงจะขโมยแผ่นดินและบ้านเรือนจากเรา ยามนี้ยังจะขโมยเด็กๆ ของเราอีกรึ!? เจ้าปีศาจแทะทึ้งซากสกปรกใต้นรก! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
โซออนชายชักขวานออกจากที่ห้อยข้างเอว
ร่างของโซวมะสั่นสะท้านจากความเจ็บปวดที่ถูกต่อย ยังได้รับทั้งความเกรี้ยวกราด เกลียดชัง และเผชิญรังสีสังหารเป็นครั้งแรกในชีวิต
เขาจะถูกฆ่าเหรอ!?
เกิดอะไรขึ้น? เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนี่ ทำไม!? ทำไม!? ทำไม!?
สมองของเขาเดือดพล่านอยู่ในกระโหลกด้วยความหวาดกลัวและสับสน ไม่สามารถแม้แต่จะส่งเสียงขอความช่วยเหลือ เขาทำอะไรไม่ได้ มีแต่มองตามความเคลื่อนไหวของขวานที่โซออนคนนั้นยกมันขึ้นสูงเหนือหัวด้วยดวงตาของตน
คมขวานสะท้อนแสงเปล่งประกาย
เขาจะตายแล้วเหรอ!?
ขวานนั้นสับลงมายังหัวโซวมะอย่างรวดเร็ว
“หยุดนะ!!”
ผู้ที่เข้ามาขวางในชั่วขณะสุดท้ายนั้นคือเชมุลที่ในที่สุดก็ปรากฏกายขึ้น เธอรั้งตัวโซออนชายที่ยังเงื้อขวานไว้ จ้องเขาด้วยสายตาดุดันก่อนจะก้าวไปยังสองพี่น้องที่ยังร้องไห้อย่างช้าๆ
“จีต้าอย่าร้องไห้เลย เจ้าเป็นพี่ชาย ต้องปกป้องน้องสาว เจ้าเช่นกันเชโพม่า สร้างปัญหาให้มารดาด้วยการร้องไห้มากเกินไปนั้นไม่ดี รู้หรือไม่”
เมื่อเชมุลปลอบประโลมทั้งคู่อย่างอ่อนโยนแล้ว สองพี่น้องก็สะอึกสะอื้นทว่าหยุดร้องจนได้ เชมุลขยี้หัวทั้งคู่แล้วกล่าว “เก่งมาก”
“จีต้า เชโพม่า มนุษย์ผู้นั้นทำอะไรพวกเจ้าหรือไม่?”
เมื่อมีเชมุลที่ย่อเข่าถามอย่างอ่อนโยนในระดับสายตา ทั้งคู่ต่างก็ส่ายหน้าอย่างรุนแรง
“เราแค่คุยกับพี่ชายเท่านั้น”
“ใช่แล้ว แค่พูดคุยเท่านั้น”
พึมพำว่า “เข้าใจล่ะ” เบาๆ และขยี้หัวเด็กๆ ทั้งคู่อีกครั้งแล้ว เธอก็หันไปหาโซออนชายที่ถือขวาน
“เรื่องก็เป็นเช่นนั้น มนุษย์ผู้นี้มิได้ทำอะไร”
“แต่ว่าพระบุตรผู้ทรงเกียรติขอรับ! ชายผู้นี้เป็นมนุษย์!”
โซออนชายประท้วงเช่นนั้น จากนั้นไม่เพียงเขา ผู้เป็นมารดาที่ยังคงกอดลูกๆ ของเธออยู่ต่างก็ส่งเสียงหวีดร้องอย่างตกใจเมื่อเชมุลกางมือขวาวางเหนืออกซ้ายของตน
“มนุษย์ผู้นี้เป็นผู้มีคุณของข้า ข้าขอร้อง พวกเจ้าโปรดมองข้ามเขาไปเถิด”
สำหรับโซออนแล้ว การวางมือเหนืออกซ้ายคือสัญญาณที่แปลว่า ‘ข้าขอเดิมพันด้วยหัวใจ’ ไม่ใช่แค่ทำไปตามมารยาทอย่าง ‘ขอร้องด้วยชีวิต’ ในญี่ปุ่นปัจจุบัน แต่หากอีกฝ่ายต้องการหัวใจจริงๆ พวกเขาต้องควัักหัวใจออกมา ณ ที่นั้น หากทำไม่ได้ก็ย่อมถูกมองว่าเป็นผู้ขี้ขลาดไร้เกียรติไปตลอดชีวิต ดังนั้นจึงเป็นท่าทางที่จะไม่ใช้ เว้นแต่จะเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างถึงที่สุดจริงๆ
พวกเขาย่อมไม่มีทางจะไม่อ่อนข้อให้หากพระบุตรขอร้องถึงเพียงนี้
ชายผู้นั้นพาตัวภรรยาและลูกๆ จากไปยังหมู่บ้าน พร้อมจ้องมองโซวมะไปตลอดทาง
เห็นร่างพวกเขาหายไปแล้ว เชมุลก็ถอนใจเล็กน้อย ยื่นมือของตนไปให้โซวมะที่ยังแผ่อยู่ที่พื้น
“มันย่ำแย่โดยแท้ โซมะ ทว่าโปรดอย่ามองพวกเขาเลวร้ายเลย”
โซวมะจับมือเชมุลลุกขึ้น แต่ด้วยความกลัวที่ยังหลงเหลือ ร่างเขายังคงสั่นไม่หยุด
เขาหลับตาแน่นรอให้ความกลัวผ่านไป พร้อมกับที่พยายามคิดย้อนหลัง
กระทั่งโซวมะเองก็ยังรู้สึกได้ว่าเวลาโดนมอง โซออนเหล่านั้นจะมองเขาด้วยสายตาที่ต่างออกไป แต่เขาก็ยังเชื่อแบบเห็นแก่ตัวว่าคงเป็นแค่ในระดับที่ไม่ชอบคนต่างเผ่าพันธุ์เท่านั้น
แต่ความโกรธเกรี้ยวและเกลียดชังจากโซออนนั้นมากเกินกว่าจะเป็นเรื่องเรียบง่ายขนาดนั้นแล้ว
“นี่ เชมุล ระหว่างมนุษย์กับโซออนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมถึงได้เกลียดกันขนาดนั้นล่ะ?”
สีหน้าเชมุลย่ำแย่ลงเพราะโซวมะถามแบบนั้น ถึงโซวมะจะมีปัญหากับการการอ่านสีหน้าโซออนอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาก็ยังเข้าใจได้ว่าเธอกำลังทำหน้าเศร้าอยู่
“ทีแรก ข้าคิดจะบอกเจ้าหลังจากที่เจ้าเรียนรู้เรื่องโลกใบนี้มากกว่านี้อีกสักนิด ทว่าตอนนี้คงเป็นโอกาสดีแล้ว -- ตามข้ามาเถอะ โซมะ”
เชมุลพูดแบบนั้น แล้วเริ่มเดินไปยังภูเขา ไม่ใช่หมู่บ้าน
“ข้าจะสอนให้เจ้าทราบ เกี่ยวกับมนุษย์และโซออนในโลกแห่งนี้”
0 ความคิดเห็น