[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 6: หวนกลับ



เหล่าโซออนพุ่งทะยานอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนต่อเป็นช่วงเวลาราวหนึ่งโคขุ ท้ายที่สุดก็ถึงก้อนหินขนาดใหญ่ที่ดูโดดเด่นราวกับเกาะโดดเดี่ยวท่ามกลางทะเลอันเรียกว่าทุ่งกว้าง เมื่อตรวจสอบว่าไม่มีใครไล่ตามหรือมีคนน่าสงสัยอยู่รอบข้างจากการดมกลิ่นด้วยจมูกแล้ว พวกเขาก็ลุกยืนสองขาในที่สุด


“คืนนี้เราจะพักกันที่นี่ แล้วเราจะถึงหมู่บ้านพรุ่งนี้เช้า”

สัตว์หลายตัวที่มีขาและขนยาวคล้ายตัวนูถูกผูกไว้กับฐานของหินก้อนใหญ่สูงลิ่วคล้ายกำลังมองลงมาดูผู้เยือน ขณะเดียวกันพวกเขาก็ตรวจสอบว่าตนหลบซ่อนหลังพงไม้ได้ดีแล้ว

เมื่อกลุ่มโซออนสร้างกระท่อมง่ายๆ โดยการนำหินมาก่อกองขึ้นสูงท่ามกลางสิ่งรายล้อมแล้ว พวกเขาก็จุดไฟขึ้นในชั่วพริบตาด้วยวัชพืชและไม้แห้งที่รวบรวมมา

“เหนื่อยหรือไม่ เขี้ยวสูงศักดิ์”

เชมุลยามนี้หอบหายใจหนักหน่วงไหล่สะท้านขึ้นลง ย่นจมูกขึ้นดูไม่ขำแม้แต่น้อยกับถ้อยคำหยอกล้อของเขี้ยวคลั่ง นางต้านทานความปรารถนาที่อยากล้มตัวลงนอนกับพื้น ยืดอกขึ้น

“ข้าขอบคุณท่านจากใจ เขี้ยวคลั่งและพี่น้องข้า เขี้ยวสูงศักดิ์จะไม่ลืมบุญคุณในคราวนี้”

“ฮึ่ม ความขอบคุณล้วนไม่จำเป็น เจ้าเป็นบุตรแห่งเทพสรรพสัตว์ เรายังต้องรวมตัวกับโซออนเผ่าอื่นเพื่อสู้เหล่ามนุษย์ เจ้าจึงต้องเป็นผู้นำให้แก่เรา”

รอยยิ้มล้อเลี้ยนผุดขึ้นบนใบหน้าของเหล่าพี่น้องเมื่อได้ยินคำกล่าวตามมารยาทของเขี้ยวคลั่ง ทุกตนต่างทราบดีว่าเขาคือผู้ที่เป็นห่วงเชมุลที่สุด เขี้ยวคลั่งแยกเขี้ยวข่มขู่ผู้อื่นอย่างเขินอาย ทว่าเมื่อเชมุลเข้าใกล้เพื่อพยายามเอาตัวเด็กมนุษย์ที่เขาแบกอยู่ลง เขาก็นึกถึงการดำรงอยู่ของมันบนหลังเขาได้

“เขี้ยวสูงศักดิ์ เจ้านี่มันคืออะไรกัน?”

เขี้ยวคลั่งโยนคำถามใส่เมื่อเชมุลวางตัวเด็กมนุษย์ลงบนพื้นอย่างนุ่มนวลคล้ายถือบางสิ่งที่เปราะบางยิ่ง แม้เหล่าพี่น้องโดยรอบไม่เอ่ยปาก ทว่าต่างสงสัยว่าเหตุใดจึงนำเด็กมนุษย์ที่พวกเขาสมควรเกลียดชังมาด้วย

“ข้าไม่ทราบ…”

“เจ้าไม่ทราบรึ?”

“ใช่ เมื่อข้าไม่ทราบ ข้าจึงนำเขามากับข้า”

ทุกตนต่างมองหน้ากันเมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่ตรงประเด็นของเชมุล

“ช่างมันก่อน ช่วยนำน้ำและอาหารมาให้ข้าทีเถอะ”

ทันทีที่ได้รับเนื้อแห้งและถุงใส่น้ำจากพวกพ้อง นางก็ยกน้ำขึ้นดื่ม สำหรับนางที่ยามนี้กระหายน้ำแล้ว น้ำนี้ทั้งอร่อยและคล้ายซึบซาบทั่วกาย นางอดกลั้นต่อความปรารถนาที่จะดื่มน้ำมากขึ้น นางนำเศษผ้าจุ่มน้ำ ใช้หยดน้ำจากมันค่อยๆ หยดลงบนริมฝีปากแห้งผากของโซวมะทีละน้อย เมื่อเห็นว่าลำคอโซวมะเริ่มขยับ เชมุลก็โล่งใจ ระหว่างให้เขาดื่มน้ำด้วยวิธีนี้ เชมุลก็เอาเนื้อแห้งเข้าปาก เคี้ยวอยู่หลายครั้ง ข่มกลั้นความอยากกลืนลงไปเนื่องด้วยนางมิได้ลิ้มรสเนื้อมาแสนนาน นางป้อนมันให้โซวมะทานด้วยวิธีปากต่อปากหลังเคี้ยวจนละเอียดเหลว ไม่ใส่ใจเหล่าพี่น้องเบื้องหลังที่มีทีท่าสับสนเกรี้ยวกราดยามนางป้อนเขาแบบปากต่อปาก จากนั้นนางกัดเนื้อแห้งอีก ในคราวนี้เพื่อยับยั้งความกระหายของตนเอง

พี่น้องของนาง รวมไปถึงเขี้ยวคลั่งต่างตกตะลึง แม้ความแตกต่างทางเพศเป็นเรื่องเล็กสำหรับโซออน สตรีโซออนมีฐานะเป็นนักล่า ไล่ล่าเหยื่อ ยามมีการสู้รบ พวกนางขึ้นเป็นนักรบเคียงบ่าเคียงไหล่บุรุษ กระทั่งในหมู่สตรี เชมุลก็นับว่าเป็นสตรีที่ห้าวหาญเกินใคร สำหรับสตรีเช่นนาง การให้ดูแลใครคนอื่นอย่างเอาใจใส่เช่นนี้ คงมิใช่เทพีธรณีขยับกายให้เกิดแผ่นดินไหวด้วยความตะลึงไปหรอกหรือ

เหล่าพี่น้องมองเขี้ยวคลั่งคล้ายขอความช่วยเหลือ ทว่าเขี้ยวคลั่งนั่นเองที่ปรารถนาความช่วยเหลือเกินใคร

ไม่ว่าจะมองเท่าไหร่ เขาก็เชื่อไม่ลงว่าเด็กมนุษย์ที่เชมุลพามาด้วยจะมีค่าเพียงนั้น ทั้งแขนทั้งขาผอมบาง ดูกล้ามเนื้อของเขายังไงก็เป็นได้แค่เด็กบอบบางคนหนึ่ง ไม่ใช่พวกทหารแน่ เขาแอบคิดว่าเด็กนี่น่าจะเป็นพวกชาวไร่ชาวนา ทว่าดูจากฝ่ามือนุ่มนวลนั้นก็ไม่น่าจะเคยจับจอบเสียมมาก่อนด้วยซ้ำ ต่อมา เขาคิดว่าเด็กนี่อาจเป็นพวกกลุ่มที่เรียกว่าขุนนาง ทว่านั่นกลับไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าทำไมเขาถึงถูกจับขังคุกรวมกับเชมุลเสียได้

เขาไม่เข้าใจสักนิดเดียว

ทว่าที่แน่ๆ เป้าหมายสำคัญของเขาตอนนี้คือการกลับสู่หมู่บ้านอย่างปลอดภัย เขี้ยวคลั่งจัดเวรยามและตัดสินใจดึงหนังสัตว์ขึ้นคลุมหัวเข้านอน



◆◇◆◇◆


เช้าวันต่อมา ยามที่แสงอาทิตย์แตะขอบฟ้าตะวันออก เหล่าโซออนก็ขึ้นขี่สัตว์ที่คล้ายตัวนูและเริ่มออกเดินทางขึ้นเหนือ แม้โซออนจะภาคภูมิใจในฝีเท้าของตนที่ไม่พ่ายแพ้ม้าในหนทางระยะสั้น ทว่าการใช้สัตว์พาหนะเช่นนี้ในการเดินทางระยะไกลนั้นสะดวกกว่ามาก

โซวมะตัวโอนเอนไปมาอยู่บนหลังสัตว์ตัวหนึ่งโดยมีเชมุลจับตัวไว้ เขาไม่ฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกเลยนับแต่ตอนนั้น ยามได้รับน้ำและอาหาร ร่างกายของเขามีปฏิกริยากลืนมันลงไป ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด สติเขาไม่กลับมา ไม่เพียงเท่านั้น สัญชาติญาติของเชมุลร้องเตือนว่าร่างกายของเขากำลังอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว

จากนั้น เมื่อพวกเขาออกจากที่ราบซึ่งใช้เวลาทั้งวันไปเต็มๆ แล้ว ทิวทัศน์โดยรอบก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นเนินทีละน้อย เริ่มมีต้นไม้ปรากฏขึ้นประปราย ลมเย็นจากทิศเหนือพัดผ่านภูเขาและต้นไม้ สู่ที่ราบโล่งกลายเป็นหวีดหวิว

ขณะเดินตามทางขึ้นเขาที่มีความกว้างขนาดสำหรับม้าสามตัวเดินเรียงหน้ากระดานได้ เชมุลก็เห็นต้นไม้ในป่าทางด้านซ้ายมือนั้นถูกตัดโค่นออกไปเพื่อทำทาง นางเอ่ยขึ้น

“ถนนดูจะพัฒนาขึ้นเล็กน้อยใช่ไหม ท่านขยายทางช่วงที่ข้าไม่อยู่หรือ?”

“...ไม่ใช่เรา นอกจากนั้น อย่าละการป้องกัน”

เขี้ยวคลั่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงอึมครึม ให้เชมุลได้แต่โคลงหัวอย่างงุนงง

เดินไปอีกไม่ไกลก็ถึงหมู่บ้านแล้ว แม้นางจะจากไปไม่ถึงเดือน ทว่ากลับรู้สึกโหยหายิ่งเมื่อได้ยินเสียงสายลมจากป่าที่พัดผ่านมา

“เอาล่ะ หยุด จากนี้เราจะขึ้นเขาแล้ว”

เขี้ยวคลั่งหยุดทุกชีวิตในกลุ่มแล้วชี้ไปยังภูเขาด้วยมือขวา หากจำไม่ผิด พวกนางยังต้องปีนเนินเขาแถวๆ นี้ถ้าจะไปภูเขาทางขวา แต่ต่อให้ไม่ขึ้นเขา เพียงเดินตามทางไปก็ได้แล้ว

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนั้นไป เขี้ยวคลั่งกลับตอบเชมุลสั้นๆเพียง ‘ถึงแล้วเจ้าจะเข้าใจเอง’ แล้วลงจากหลังสัตว์พาหนะ เริ่มปีนขึ้นทางชันระหว่างดึงสายจูงสัตว์ไปด้วย เนื่องจากเหล่าพี่น้องเริ่มปีนขึ้นไปโดยไร้คำบ่น เชมุลจึงต้องปีนทางชันขึ้นไปด้วยโดยระวังไม่ให้ทำโซวมะร่วงลงไป

เมื่อตรวจสอบว่าสหายตนสุดท้ายลบรอยเท้าที่พื้นด้วยการปัดและนำใบไม้มากลบเรียบร้อยแล้ว ทั้งกลุ่มก็มุ่งหน้าไปยังภูเขาส่วนใน เชมุลรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

แม้เขตนี้จะมีบรรยากาศของโซออนครอบคลุม ทว่าสิ่งที่ปรากฏในป่านี้แปลกเหลือเกิน พี่น้องของนางมีท่าทีระแวดระวังเคร่งเครียดนัก

ตอนที่นางไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

“รอที่นี่ก่อน!”

เป็นสิ่งที่เขี้ยวคลั่งเอ่ยขึ้นเมื่อพวกนางเข้าไปในป่าได้สักระยะหนึ่ง

“เขี้ยวสูงศักดิ์ เจ้าตามข้ามาผู้เดียว”

ได้ยินดังนั้น นางก็เดินตามไปเพียงลำพัง

นางรู้สึกประหลาดนักยามต้องทิ้งโซวมะไว้เบื้องหลัง ทว่ายังคงตามเขี้ยวคลั่งไป หลังแจ้งสหายร่วมกลุ่มไปว่า ‘ฝากดูแลเขาด้วย’ แล้ว

“อย่าเสียงดัง”

“หมายความอะไรกันกันแน่”

“ข้าจะสอนเจ้า เงียบเสียแล้วตามข้ามา”

กล่าวดังนั้น เขาก็ออกเดินพร้อมดึงเอาขวานตัดไม้ขึ้นมาจากข้างเอว

เท่าที่เชมุลจำได้ ยามนี้พวกนางอยู่ในเขตริมผาหลังหมู่บ้าน นางจำได้ถูกต้อง ไม่นานทางก็เปิดออกสู่หน้าผา

“อย่ายื่นหัวมากไป มองไปข้างล่างนั่น”

ตามคำสั่งของเขี้ยวคลั่ง เชมุลมองลงไปเบื้องล่างหน้าผาแล้วต้องตกตะลึง

หมู่บ้านของพวกนางอยู่ที่เบื้องล่างผาแห่งนี้ที่สูงราวยี่สิบเมตร ตรงนั้นควรจะมีกระโจมมากมายที่สร้างจากหนังสัตว์ และเสารูปเคารพต่อวิญญาณบรรพบุรุษตั้งเรียงราย นางคาดว่าจะได้เห็นนักล่าที่เดินกลับมาพร้อมเหยื่อ และเด็กๆ กำลังถือปลาที่จับได้จากแม่น้ำ

ทว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในยามนี้กลับกลายเป็นกระโจมที่มอดไหม้กองซ้อนกันราวขยะ เสารูปเคารพล้มเกลื่อนกลาด นอกจากนั้นยังมีอาคารที่เพิ่งสร้างเสร็จทำจากแผ่นไม้ ธงใหญ่โบกสะบัดตามสายลมเหนือ รั้วแข็งแกร่งตั้งล้อมหมู่บ้าน และทหารชาวมนุษย์ที่ถืออาวุธ

“พอเจ้าถูกจับตัวไปที่ป้อมปราการไม่นาน มนุษย์ก็เข้าโจมตีหมู่บ้าน พวกมันฆ่าสตรีและเด็กอย่างไร้เมตตา ยังคงทำลายกระโจมเราโดยเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน”

เขี้ยวคลั่งอธิบายให้แก่เชมุลที่กำลังมองลงไปยังสถานที่ที่เคยเป็นหมู่บ้านของนางอย่างเหม่อลอย

“ยามเห็นควันลอยขึ้นจากหมู่บ้าน พวกเราอยู่ในระหว่างเดินทางกลับจากการสู้รบที่ปราการ เพราะฝั่งเรามีผู้บาดเจ็บมากเกินไป หัวหน้าเผ่าจึงเร่งเดินทางกลับโดยนำไปแต่ผู้สามารถต่อสู้ได้ ทว่าหมู่บ้านกลับกลายเป็นทะเลเพลิงแล้ว หัวหน้าเผ่าและพวกเรารวบรวมผู้รอดชีวิตพร้อมสู้กับมนุษย์ไปด้วยในทางหนึ่ง จากนั้นจึงหนีขึ้นสู่ภูเขา”

ขณะที่เขี้ยวคลั่งเอ่ย ดวงของเชมุลกลับตรึงแน่นยังจุดที่เต็มไปด้วยซากศพของพี่น้องนาง ยามนี้กองซ้อนนอนทับกันอยู่ทางหนึ่ง ในกลุ่มกระโจมที่เหลืออยู่ ศพของเด็กน้อยและผู้ชราถูกละทิ้งราวกับแทบจะ -- ไม่ ราวกับขยะไม่มีผิด

“เมื่อรวมตัวพี่น้องที่หนีออกมาได้แล้ว เราก็หนีไปยังที่หลบภัยที่เตรียมไว้ในภูเขา ทว่าที่นั่นก็ไม่ปลอดภัยเช่นกัน มนุษย์พยายามฆ่าล้างเรา สร้างสิ่งเช่นนั้นยังสถานที่ที่เคยเป็นหมู่บ้านเรา พวกมันวางแผนจะทำลายเราไม่ให้เหลือแม้แต่ชีวิตเดียว”

“ท-ท่านหัวหน้าเผ่าเล่า? ท่านหัวหน้าเผ่าการ์กัซเป็นเช่นไรแล้ว?”

“เขาสิ้นชีพแล้ว เพื่อให้พวกเราหนีไปได้ เขาสู้จนวาระสุดท้าย”

ยามเขี้ยวคลั่งหันหลังให้เชมุล เดินกลับไปยังทางที่จากมา เขาเอ่ยขึ้นคล้ายกำลังถ่มถุยถ้อยคำเหล่านั้น

“ยามนี้ข้าเป็นหัวหน้าเผ่าแล้ว”







โคขุเป็นหน่วยวัดเวลาแบบเก่าของญี่ปุ่นในช่วงยุคเอโดะ เทียบกับปัจจุบัน 1 โคขุ = 2 ชั่วโมง

ในหนึ่งวันจะมีทั้งหมด 12 โคขุ ช่วงกลางวัน 6 โคขุ และกลางคืน 6 โคขุ

ในช่วงฤดูหนาวที่เวลากลางวันสั้นลง โคขุหนึ่งก็จะสั้นลงไปด้วย โดยทางเมืองจะเป็นผู้ประกาศโดยการตีระฆัง

แต่ละช่วงเวลาจะมีชื่อของตัวเองอยู่ค่ะ (เหมือนกับแบบจีนเลย)

โดยการนับอันนี้จะนับจากช่วงเวลาเที่ยงคืน (ตามเวลาปัจจุบัน) โดยตัวเลขด้านหน้าสุดที่เห็นคือจำนวนการตีระฆังเพื่อบอกเวลาค่ะ

รูปแบบการนับและการขานโมงยามใกล้เคียงกับของทางจีนมาก คาดว่าได้รับอิทธิพลมาจากจีนนั่นเอง


(ตัวเลขที่เห็นคือจำนวนครั้งการตีระฆัง)


9 - เวลาหนู (0.00 - 1.59) (เที่ยงคืน)

8 - เวลาวัว (2.00 - 3.59)

7 - เวลาเสือ (4.00 - 5.59)

6 - เวลากระต่าย (6.00 - 7.59) (ฟ้าสาง)

5 - เวลามังกร (8.00 - 9.59)

4 - เวลางู (10.00 - 11.59)

9 - เวลาม้า (12.00 - 13.59) (เที่ยงวัน)

8 - เวลาแกะ (14.00 - 15.59)

7 - เวลาลิง (16.00 - 17.59)

6 - เวลาไก่ (18.00 - 19.59) (ย่ำค่ำ)

5 - เวลาหมา (20.00 - 21.59) 

4 - เวลาหมูป่า (22.00 - 23.59)

แล้ววกกลับไปเที่ยงคืน (เวลาหนู) อีกรอบ



อันนี้คือตารางความยาวชั่วโมงในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว
สังเกตว่าความยาวของชั่วโมงจะไม่เท่ากันค่ะ

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น