[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 5: แหกคุก



“เจ้าว่ายังไม่มีพระบุตรคนไหนตายอีกรึ?”

มิลดาสตกตะลึง
ผ่านไปสามวันแล้ว นับแต่วันที่พวกเขาโยนพระบุตรแห่งออร่าลงไปในหลุมร่วมกับพระบุตรเผ่าโซออนเพื่อให้ทั้งคู่คร่าสังหารกัน เขายังสั่งทหารมิให้มอบสิ่งใดให้แก่พระบุตรแห่งออร่านอกจากอาหารและน้ำเล็กน้อย ให้บอกไปว่าเขาจะได้อาหารก็ต่อเมื่อสังหารพระบุตรเผ่าโซออนได้ หากเจ้าพระบุตรแห่งออร่าที่ดูเซ่อๆ นั่นจู่โจมพระบุตรเผ่าโซออน บุตรแห่งออร่าย่อมต้องได้รับคำสาปจากพระบุตรเผ่าโซออน แผนการเป็นเช่นนั้น

ทว่า เวลาผ่านไปถึงสามวัน กลับยังไม่มีใครตาย

“พระบุตรเผ่าโซออนนั่นยังไม่หมดสติ นางคงมีพลังเหนือกว่าเด็กนั่นกระมัง…”

มิลดาสครุ่นคิด เด็กที่ดูบอบบางเช่นนั้นไม่มีทางสังหารนักรบเผ่าโซออนได้ แม้นางจะผ่ายผอมไร้เรี่ยวแรง หรือเขาพยายามฆ่านางจริง ทว่าถูกพระบุตรเผ่าโซออนโต้ตอบจนไม่สามารถสังหารนางได้

“เรื่องนั้น ท่านมุขนายกขอรับ แม้จะดูไม่น่าเชื่ออยู่บ้าง แต่ว่า…”

มิลดาสหมดความอดทนต่อทหารที่เข้ามารายงานแล้ว

“มันเรื่องอะไรกัน!? พูดเข้าเรื่องเสียที!”

“ขอรับท่านมุขนายก เรื่องนั้น ข้าน้อยก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน แต่ดูเหมือนเจ้าเด็กนั่นจะแบ่งอาหารและน้ำของตัวเองให้โซออนนั่นขอรับ”

มิลดาสพูดไม่ออก

จากมุมมองของมิลดาส ประโยคนั้นเทียบเท่ากับการได้ยินว่า “ไฟนั้นเย็น และน้ำแข็งนั้นร้อน” เลยทีเดียว

“เจ้าหมายความว่า มันไม่ได้ถูกโซออนขโมยไปรึ?”

“ไม่ขอรับ ดูเหมือนมิได้เป็นเช่นนั้น”

“เจ้ามอบขนมปังให้เขามากเสียจนสามารถแบ่งได้เลยรึ?”

“ไม่จริงเลยขอรับ! ดังที่ท่านสั่งการขอรับท่านมุขนายก เป็นเพียงขนมปังชิ้นเล็กและน้ำเล็กน้อยเท่านั้น น้อยเสียจนเขาไม่มีทางอิ่มได้แน่”

ดูไปแล้วทหารผู้นี้ไม่ได้โกหก

เช่นนั้นเขายิ่งไม่เข้าใจสถานการณ์แม้แต่น้อย แม้จะหิวโหย ทว่ายังแบ่งอาหารอันน้อยนิดนั่นให้แก่พันธุ์ครึ่งมนุษย์สกปรกชั้นต่ำนั่นหรือ? เรื่องตลกอะไรกันแน่?

มิลดาสหงุดหงิดที่ต้องมารับมือกับเรื่องไร้สาระนี่แล้ว เขาต้องการจัดการบุตรแห่งออร่านั่นโดยไว แล้วกลับไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์ นำหัวชายเฒ่านั่นไปด้วย

“จงฟัง! นับแต่นี้เจ้าห้ามมอบขนมปังและน้ำแก่เขาอีก! และทำให้เด็กนั่นเข้าใจอีกครั้ง ว่ามันต้องฆ่าโซออนนั่น!”

“รับทราบขอรับ”

ทหารจากไปแล้วด้วยการเดินหนักๆ มิลดาสสบถสาปแช่ง

“ให้ตายเถอะ ขัดขวางอนาคตของข้าเสียจริง ออร่าเป็นเทพีแห่งความพินาศโดยแท้”


◆◇◆◇◆


“Ru Ork! Ru Ork! Furno!”

โซมะตื่นขึ้นด้วยเสียงตะโกนเกรี้ยวกราดทั้งถูกสะกิดโดยชายท่าทางดุดันที่ยืนอยู่เหนือปากหลุม ปิดบังทางออก หนึ่งในนั้นใช้ไม้ยาวๆยื่นลงมาเขี่ยโซมะ

และขณะที่ใช้ถุงหนังและขนมปังกระแทกเข้าหาตามปกติ เขาก็ตะโกนบางสิ่ง

“Ru Hap zoanlieu! Ru Hap!”

ทว่า สิ่งที่ต่างไปจากปกติ คือวันนี้พวกนั้นไม่โยนถุงใส่น้ำและขนมปังลงมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม

ชายที่มีทักษะดีหน่อยใช้ไม้ยาวๆ ดันหอกที่ถูกวางทิ้งไว้มาใกล้มือโซวมะ และทำท่าคล้ายผลักไม้อยู่หลายครั้ง พวกเขายังตะโกนบางสิ่งขณะชี้ไปยังมนุษย์อสูรที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหลุม

“Ru Hap zoanlieu!”

เขาไม่เข้าใจถ้อยคำเหล่านั้น แต่เข้าใจได้ว่าชายคนนั้นบอกอะไรอยู่ เดาว่าพวกนั้นบอกให้เขาแทงอสูรนั่นให้ตายด้วยหอกด้ามนี้ แปลว่าเขาคงไม่ได้ทั้งน้ำและขนมปังอีกจนกว่าจะทำตามที่พวกนั้นบอก

โซวมะหยิบหอกที่ถูกบังคับโยนใส่ขึ้นมาไว้ในมืออย่างยืดยาด

เมื่อทำเช่นนั้น ชายด้านบนก็ส่งเสียงเชียร์ให้กับเขา คงไม่ใช่อะไรอีกนอกจาก “ทำเลย!”

โซวมะพยายามรวบรวมพละกำลังอันน้อยนิดของตน

จากนั้น หอกก็ถูกโซวมะขว้าใส่ผนังด้านขวา และร่วงหล่นลงมาด้วยเสียงแห้งแล้ง

ชั่วขณะหนึ่ง ทั่วทั้งชั้นใต้ดินถูกความเงียบเข้าครอบงำ

มันเรื่องของพวกแก! โซวมะคิดเช่นนั้น

เขาไม่เหลืออะไรแล้ว นอกเสียจากความปรารถนาเล็กน้อย

ความหิวถึงลิมิตแล้ว เขาต้องประทังท้องด้วยหญ้าที่ขึ้นๆ อยู่ตามพื้นโดยที่ใจไม่สงบเลย ดูเหมือนสมองก็เริ่มเพี้ยนๆ ไปแล้วเพราะความหิวด้วย เขายังไม่เคยหิวขนาดนี้มาก่อนตอนยังอยู่ที่ญี่ปุ่นอันแสนสงบสุข ถ้าตอนนี้มีคนเอาข้าวหุงร้อนๆ มาวางไว้ตรงหน้าแล้วบอกว่าจะยอมให้กินข้าวถ้ายอมเลียรองเท้าเปื้อนขี้หมาจนสะอาด เขาว่า เขาคงเลียอย่างดีอกดีใจแน่

แต่ตอนนี้เขาไม่มีแรงแล้ว ต่อให้พวกนั้นมาบอกให้ฆ่าอสูรนั่นเดี๋ยวนี้ แต่แค่ยืนดีๆ ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ยังไงก็คงต้องอดตายแล้ว ทางทีดีน่าจะหาทางเอาชนะพวกนั้นด้วยสมองแทนที่จะมาทำอะไรไม่น่าดูแบบนี้

นี่คือความดื้อดึงของโซวมะ

“ฮะฮะ...ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”

เสียงหัวเราะเล็กแหบห้าวลอดผ่านลำคอแห้งผาก จากความรู้สึกพึงพอใจที่ได้รับ

ไม่ทราบว่าทหารพวกนั้นเห็นโซวมะเป็นปีศาจร้ายหรืออย่างไร? คล้ายพวกเขาพยายามหลบหนี วิ่งหนีออกจากคุกใต้ดินไป

โซวมะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ขดตัวแนบกำแพง

ตอนนี้แค่คิดอะไรตามปกติก็ยากแล้ว นิ้วสั่นไปหมด รู้สึกเหมือนมันกำลังจะชา

โซวมะไม่รู้ แต่มนุษย์ไม่อดตายแค่เพราะอดอาหารไม่กี่วัน ตามทฤษฏีแล้วมนุษย์สามารถอยู่รอดได้ถึงหนึ่งเดือนด้วยน้ำเพียงอย่างเดียว

ทว่า ความเครียดจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน ได้รับน้ำไม่เพียงพอทำให้เขาขาดน้ำ และความรู้สึกแปลกประหลาดไม่ทราบที่มาคล้ายมึนเมา เช่นเดียวกับที่รู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนเพลียกำลังเข้าครอบงำเขา กัดกินพลังชีวิตเขาทีละน้อย

ดูเหมือนว่าจะสิ้นหวังซะแล้ว เขาคิดแบบนั้น ราวกับเป็นเรื่องของคนอื่น แล้วจึงสิ้นสติไป


◆◇◆◇◆


คุกใต้ดิน ภายหลังทหารเหล่านั้นวิ่งหนีไปแล้ว เชมุลจับจ้องโซวมะ

ในฐานะนักรบ นางเห็นความตายมามากมาย ไม่ว่าจะของสหายหรือศัตรู ไม่ยากที่จะพบผู้ตายเนื่องด้วยอาการบาดเจ็บหรือป่วยไข้ ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่นางดูแลผู้คนเหล่านั้นในวาระสุดท้ายด้วยฐานะบุตรแห่งเทพ นางจึงทราบดีว่ามนุษย์เบื้องหน้านางนั้น ใกล้ย่างสู่ความตายเสียแล้ว

“เจ้าเป็นใครกันแน่…?”

นางพยายามถามเขา ทว่าไร้คำตอบ

เขาหลับไปอีกแล้วหรือ?

หรือเขาจากไปแล้วกันแน่นะ?

เมื่อคิดดังนั้น นางพลันโศกเศร้าขึ้นอย่างไร้สาเหตุ

เหตุใดเจ้าจึงแบ่งปันอาหารให้ข้า ทั้งที่บั่นทอนชีวิตของตนเอง?

เหตุใดจึงพยายามช่วยโซออน แม้เจ้าจะเป็นมนุษย์?

สงสัยนัก ว่าเขาจะตอบนางได้หรือไม่ หากนางพูดคุยกับเขา ไม่ข่มขู่เขาในคราแรก

ท้องฟ้าเบื้องนอกส่องสว่างผ่านลูกกรง ไม่ว่าข้าจะเอ่ยเช่นใด ยามนี้ก็ง่วงงุนเหลือเกิน ย่อมเป็นเพราะร่างกายข้าอ่อนแอลงจากความหิวโหยและขาดน้ำแล้ว

นางอยู่ในสถานะที่ใส่ใจผู้อื่นได้หรือ? เชมุลเยาะหยันตนเอง

ในชั่วขณะนั้นเอง นางสัมผัสได้ถึงคนผู้หนึ่งที่กำลังปรากฏขึ้นในคุกใต้ดิน

ไม่ส่งเสียงเช่นทหารทั่วไป การปรากฏตัวของมันเบาบางถึงระดับที่เชมุลผู้มีประสาทสัมผัสคมกริบของโซออนยังพลาดไป

แม้ไม่รู้ว่ามันเป็นใคร ทว่ามันวิ่งมาทางนี้ด้วยความเร็วสูงสุด

หากคนผู้นั้นเล็งเอาชีวิตนางในช่วงเวลานี้ นางย่อมต้านไม่ได้แม้แต่น้อย แต่อย่างน้อยต้องแสดงให้พวกมันได้เห็นวินาทีสุดท้ายของนักรบชาวโซออนว่าไม่มีสิ่งใดให้อับอาย

เมื่อผู้ปรากฏกายก้มมองลงมาในหลุมทางช่องว่างระหว่างลูกกรง เชมุลแยกเขี้ยวขู่คำราม

“ข้ายินดีนักที่เห็นเจ้ายังเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ เขี้ยวสูงศักดิ์...”

“เขี้ยวคลั่ง?!”

เป็นโซออนผู้มีร่างกายใหญ่โตเป็นสองเท่าของเชมุล ร่างกายของเขาปกคลุมด้วยเสื้อคลุมขนาดใหญ่ติดหมวก มัดกล้ามทั่วร่างใหญ่โตคล้ายจะปริแตก ทำให้เขาสามารถฉีกกระชากหัวมนุษย์ได้เพียงแกว่งแขนคราวเดียว รอยดาบพาดยาวจากคิ้วผ่านสันจมูกสู่แก้มขวาบนใบหน้าคม ทำให้คนนึกถึงอสูรร่างใหญ่ยักษ์

“ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่ได้?!”

“แน่นอนว่าเพราะข้าตัดสินใจมาช่วยเจ้า”

กล่าวดังนั้น โซออนที่ถูกเรียกว่า ‘เขี้ยวคลั่ง’ ก็จับประตูลูกกรง ใช้กำลังผลักมันเปิดออกไปด้านหนึ่ง

“ข้าค้นหาเจ้าไปทั่วตั้งแต่คราวที่ไม่พบศพเจ้าเพียงผู้เดียว เมื่อมีโอกาสจับมนุษย์ในป้อมได้คนหนึ่ง ข้าจึงมาช่วยเจ้าเช่นนี้ เพราะเขาบอกข้าว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่”

เขี้ยวคลั่งกระโดดลงมาในหลุมโดยไร้เสียง นำเอากุญแจออกมาไขตรวนล่ามข้อมือเชมุล ยามได้กลิ่นเลือดที่โชยมาจากพวงกุญแจนั้น นางมิได้ถามว่าเขาได้มันมาอย่างไร

“ขอบคุณที่ช่วยข้า เขี้ยวคลั่ง”

“ค่อยขอบคุณข้าหลังกลับถึงหมู่บ้านโดยปลอดภัยเถอะ เราต้องรีบหนีก่อนถูกจับได้”

เห็นรูปลักษณ์เชมุลแล้ว เขาย่นจมูกแล้วโยนเสื้อคลุมให้นาง

“แต่งกายเช่นนั้นคืออะไรกัน? ยั่วยวนเกินไปแล้ว ใช้นี่ปิดเสีย”

“ข-ขอโทษที”

เชมุลฉีกเสื้อคลุมออก และนำชิ้นส่วนผ้ามาปิดบังหน้าอกและสะโพกตน

เขี้ยวคลั่งวางนิ้วลงบนร่องหลุมบนผนัง กระโดดขึ้นตามแนวตั้งโดยอาศัยมันเป็นที่วางมือ ออกจากหลุมอย่างง่ายดาย

จากนั้นจึงมองลงไปที่ก้นหลุม พยายามจะช่วยเชมุลให้หนีออกมา ทว่าด้วยเหตุบางประการ นางยังคงอยู่ที่ก้นหลุม

“เป็นอะไรไป รีบมาเร็วเข้า”

“รอเดี๋ยว ข้าจะนำชายผู้นี้ไปด้วย”

เขาสงสัย หรือจะมีพี่น้องผู้อื่นถูกคุมขังเช่นกัน เขี้ยวคลั่งเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงเมื่อจ้องมองผู้ที่เชมุลพยายามอุ้มประคองไว้ในอ้อมแขน

“เจ้ายังสติดีอยู่รึเปล่า!? นั่นไม่ใช่มนุษย์หรอกรึ?”

“ใช่ ข้ายังสติดีอยู่ ไม่ว่ายังไง ข้าก็จะนำชายผู้นี้ไปด้วย”

เมื่อห่อหุ้มกายโซวมะด้วยเศษเสื้อคลุมที่เหลืออยู่แล้ว เชมุลก็อุ้มเขาขึ้นหลัง มัดเขาติดกับร่างนางไว้ด้วยเชือกที่ทำอย่างลวกๆ จากเศษผ้า

“เจ้าบ้าไปแล้วจริงๆ หรือ เขี้ยวสูงศักดิ์!?

เชมุลวางนิ้วลงบนร่องหลุมขรุขระบนผนังดังเช่นที่เขี้ยวคลั่งทำ พยายามกระโดดออกจากหลุม ทว่านางสูญเสียพละกำลังมากเกินคาด ร่วงลงสู่ก้นหลุมด้วยกระโดดไม่สูงพอ เขี้ยวคลั่งกระโดดลงมาเบื้องหลังเชมุลที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านล่าง

เบื้องหน้าเขี้ยวคลั่งที่กำลังจะเอ่ยอะไรบางสิ่ง เชมุลหันไปหาเขา ใช้มือขวาตบอกตนเองแล้วประกาศ

“ข้า เขี้ยวสูงศักดิ์ ฟากัล การ์กัสส์ เชมุลผู้นี้ขอสาบานด้วยเกียรติของข้าและนามของบิดาข้า ว่าข้าจะนำคนผู้นี้ไปด้วยกันกับข้า!”

“เชมุล…!”

เชมุลกระโดดอีกครา ทว่าไม่อาจพ้นหลุมได้แม้แต่น้อย เขี้ยวฉรรจ์เอ่ยต่อเชมุลด้วยน้ำเสียงรังเกียจ

“วางมนุษย์นั่นลงเสีย เขี้ยวสูงศักดิ์”

“ข้าควรบอกท่านแล้ว ข้าจะนำมนุษย์ผู้นี้ไปด้วย”

“เช่นนั้นข้าจึงบอกให้เจ้าวางเขาลง”

เพราะเชมุลส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เข้าใจความหมาย เขี้ยวคลั่งจึงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าฝาดเฝื่อนราวกัดแมลงเข้าปากนับสิบในคราวเดียว

“ให้ข้าแบกเจ้าเด็กนั่นเอง เจ้าตอนนี้ย่อมทำไม่ได้…”

“...! ข ขอโทษด้วย เขี้ยวคลั่ง”

ดูเหมือนเขาจะทำอย่างไม่เต็มใจนัก กระทั่งไม่ตอบคำใดทั้งยังมีสีหน้าหดหู่ เขี้ยวคลั่งที่สลับกับเชมุลยกตัวโซวมะขึ้นพาดบ่า กระโดดออกจากหลุมด้วยความไวที่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมแม้แต่น้อย หลังจากนั้น เชมุลก็ออกมาได้เช่นกัน

เมื่อทั้งคู่ออกจากคุกใต้ดิน ศพของทหารยามที่ถูกเขี้ยวคลั่งสังหารก็นอนอยู่หน้าทางเข้าคุกใต้ดินท่ามกลางความมืด ทว่าทั้งสองมิได้ใส่ใจมอง เพียงแค่พุ่งผ่านไปยังกำแพงนอกป้อมอย่างเงียบงัน

พวกเขาปีนออกนอกกำแพงโดยใช้เชือกที่เตรียมมา และเข้ารวมกลุ่มกับพี่น้องที่ยืนรอคอย เหล่าพี่น้องต่างมีสีหน้างุนงงเมื่อเห็นมนุษย์ถูกมัดติดหลังเขี้ยวคลั่ง ทว่าไม่มีใครว่ากล่าวเขี้ยวคลั่งผู้เป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านโดยตรง

เหล่าโซออนก้มลงวิ่งด้วยสี่ขา โดยมีเขี้ยวคลั่งนำหน้าไปสู่ทุ่งหญ้าอันมืดมิด

ไม่นานนัก ป้อมปราการก็ตกสู่ความสับสนวุ่นวายเมื่อทราบว่าพระบุตรทั้งสองหายตัวไป ทว่ายามนั้นเป็นกลางดึกย่อมไม่สามารถไล่ตามโซออนที่หายตัวไปท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนได้อีกแล้ว

◆◇◆◇◆


หลังจากนั้น มนุษย์มากมายต่างคร่ำครวญเจ็บปวดต่อเหตุการณ์ที่เนื่องต่อกันมาจากป้อมปราการในครานั้น

จะเป็นเช่นไร หากพวกเขาสังหาร ‘พระบุตรแห่งความพินาศ โซวมะ คิซากิ’ เสียตั้งแต่คราวนั้น

จะเป็นเช่นไร หาก ‘เขี้ยวสูงศักดิ์’ มิได้พบกับ ‘พระบุตรแห่งความพินาศ’ ในคราวนั้น

จะเป็นเช่นไร หากทหารไม่ปล่อยให้ทั้งสองหลบหนีเล็ดรอดออกไปในคราวนั้น?

หากมีคนย้อนมองกลับมาในประวัติศาสตร์ จะเห็นจุดเปลี่ยนผันของชะตากรรมมากมายปรากฏอยู่

ทว่า เหตุการณ์เหล่านี้ย่อมไม่อาจมีใครทราบว่าเป็นจุดเปลี่ยนแห่งชะตากรรมได้ จนกระทั่งมันกลายเป็นประวัติศาสตร์หลังเวลาผ่านไปเนิ่นนาน

ดังนั้น กระทั่งหากมีใครสักคนทราบขึ้นมาว่าเหล่านี้คือจุดเปลี่ยนแห่งชะตากรรม เวลาที่ผ่านไปย่อมไม่อาจหวนคืน แม้มีการโต้เถียงถึงความเป็นไปได้มากมายของคำว่า ‘ถ้าหาก’ ในยามนั้น ก็ไร้ความหมายใด

ทว่า แม้จะเป็นเช่นนั้น มนุษย์มากมายก็ยังไม่อาจห้ามใจให้ถกเถียงถึงความเป็นไปได้ของคำว่า ‘ถ้าหาก’ ในเหตุครั้งนั้นอยู่ร่ำไป

ความรู้สึกสนใจทั้งหลายของพวกเขาล้วนเป็นเรื่องเหตุการณ์อันเป็นจุดเปลี่ยนในครั้งนั้น ซึ่งจบลงด้วยความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงต่อประวัติศาสตร์ทวีปเซลดีส

『พระบุตรแห่งความพินาศ โซวมะ คิซากิ』

《เขี้ยวสูงศักดิ์》 ฟากัล การ์กัสส์ เชมุล

ชั่วขณะนั้น เมื่อชะตากรรมของทั้งสองคนที่แต่เริ่มเดิมทีไม่สมควรได้พบกลับมาบรรจบ คือวินาทีที่ประวัติศาสตร์บทใหม่ของทวีปเซลดีสถือกำเนิดขึ้น

28/3/2019

แก้ไข

นักบวช เป็น มุขนายก

อาร์คดยุค, นักบวชขั้นสูง เป็น อัครมุขนายก

เด็กชาย เป็น เด็กหนุ่ม

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น