แทบไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้รับทราบถึงเทพีแห่งความตายและความพินาศ ออร่า
หนังสือเล่มเดียวที่เอ่ยถึงเทพีผู้คลุมเคลือมีเพียง ‘บันทึกของออกุสโต’ ยังมีตัวตนอันอาจหมายความถึงเทพีองค์นี้กล่าวขานปรากฏในเรื่องเล่าในหมู่ครึ่งมนุษย์โดยปากต่อปาก สืบทอดผ่านผู้อาวุโส ทว่ามิได้มีรายละเอียดชัดเจนถึงนาง
จุดร่วมเพียงหนึ่งคือนางได้รับการขนานนามในฐานะ ‘เทพีผู้เป็นพระมารดาและพี่สาว’ ทว่ากระทั่งในการจัดประชุมโดยสภาศาสนจักรเพื่อชำระความ รวบรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวอันเนื่องจากการเผยแพร่ศาสนาสู่พื้นที่โดยมากทั่วพื้นทวีป ยังมีการถกเถียงอย่างรุนแรงว่าควรรับมือกับบทคำสอนเรื่องเทพีออร่าอย่างไร
นักบุญจูปิดีคัสผู้สูงสุดแห่งศาสนจักรในยามนั้น ยังเป็นผู้ได้รับขนานนามเป็นนักปราชญ์แห่งพระเจ้า ได้เสนอสมมุุติฐานอันก่อเกิดความสั่นสะเทือนในการประชุมครั้งที่สอง
คือเทพีออร่าคือผู้ก่อให้เกิดการสิ้นของพระผู้สร้าง นับเป็นประเด็นใหญ่ในตำนานแห่งการสรรสร้าง
พระผู้สร้างผู้ควรเป็นผู้สูงสุด ย่อมเป็นอมตะนิจนิรันดร์ ไม่ควรทราบถึงความตาย จึงโศกเศร้านานอนันต์ด้วยความสันโดษ
เช่นนั้น เหตุใดพระผู้สร้างจึงสิ้นลงได้เล่า?
คำตอบที่เป็นไปได้คือการดำรงอยู่ของเทพีออร่า
เทพีออร่าผู้ถูกสรรสร้างโดยพระผู้สร้าง นางคือเทพีผู้นำความตายและความพินาศสิ้น เมื่อให้กำเนิดพระองค์ขึ้น พระผู้สร้างจึงสามารถสิ้นลงได้เป็นคราแรก
นางถูกสรรสร้างโดยพระผู้สร้างดังเช่นสัตตเทพ และนางมอบความตายแก่พระผู้สร้าง จึงให้กำเนิดสัตตเทพขึ้น เช่นนั้นจึงได้รับขนานนามเป็น ‘เทพีผู้เป็นมารดาและพี่สาว’ โดยสัตตเทพ
นี่คือสมมติฐานของจูปิดีคัส
ทว่าศาสนจักรมีคำสอนว่าเทพแห่งมนุษย์คือผู้สืบทอดจากพระผู้สร้าง การสรรสร้างก่อนหน้าล้วนแต่เป็นตัวตนอันไม่บริสุทธิ์ พระนามของเทพทั้งหกถูกลบทิ้ง ทฤษฏีของจูปิดีคัสย่อมเป็นการค้านต่อคำสอนและกฏเกณฑ์แห่งศาสนา จึงถูกลบออกจากเอกสารอื่นใดในศาสนจักร รวมไปถึงการดำรงอยู่ของออร่าย่อมถูกเก็บซ่อนไว้เช่นกัน
“แย่แล้ว! แย่ แย่!”
มุขนายกมิลดาสมิอาจใจเย็นลงได้ เดินวนไปมารอบห้องคล้ายสัตว์ร้ายติดจั่น
ผู้ได้รับเลือกจากเทพและได้รับอำนวยพร ถูกเรียกว่า ‘พระบุตร’
พระบุตรบางคนสามารถว่ายน้ำได้เหมือนปลาเมื่อได้รับพระพรให้สามารถหายใจใต้น้ำได้ ยังมีพระบุตรที่สามารถมองเห็นในที่มืดได้ราวกลางวันแม้ในค่ำคืนไร้แสงดาวคล้ายสัตว์ป่า
การได้รับอำนวยพรหลังรับเลือกมิใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทว่ามิใช่สิ่งที่หายากจนกลายเป็นตำนานเรื่องเล่า
อาร์คดยุคบักลีดาร์กา หนึ่งในสามอัครมุขนายกแห่งเขตคัชลูก้าภายใต้จักรวรรดิ ท่านอัครมุขนายกออสทราวิส หนึ่งในสามอัครมุขนายกแห่งศาสนจักร สตรีศักดิ์สิทธิ์พัลฟีน่าแห่งอาณาจักรสปามุลทางทิศใต้ ทั้งหมดล้วนเป็นพระบุตรผู้ได้รับอำนวยพรจากเทพแห่งมนุษย์
กระทั่งในป้อมปราการที่มิลดาสอาศัยอยู่ในขณะนี้ ก็ยังมีพระบุตรเช่นกัน
ทว่าเมื่อมีพระบุตรแห่งเทพีออร่าเข้ามา สถานการณ์ย่อมเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงแล้ว
“โอ สวรรค์ ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีพระบุตรแห่งออร่ามาก่อน! ข้าควรทำอย่างไรแน่เล่า? วิธีใดจึงจะดีที่สุดกัน?!”
จนถึงยามนี้ยังไม่เคยปรากฎบุตรแห่งออร่ามาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เพียงเด็กหนุ่มผู้นั้นจะปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทวีป ทว่ายังเป็นหลักฐานการดำรงอยู่ของเทพีออร่าอันเป็นที่คาใจมาเนิ่นนาน
หากตัวตนของเด็กหนุ่มผู้นั้นกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น เมืองศักดิ์สิทธิ์ย่อมวุ่นวายราวโยนไหน้ำมันเข้ากองไฟแล้ว
เพียงนั้นยังนับว่าดี หากเขานำตัวพระบุตรผู้นั้นไปด้วย เกรงว่าศาสนจักรมิอาจยอมรับการดำรงอยู่ของออร่า ลอบกำจัดทั้งเขาทั้งพระบุตรผู้นั้นด้วยกระมัง พระบุตรแห่งออร่านั้นอันตรายเกินจะปล่อยไว้เพียงลำพัง
“เช่นนั้น ในเมื่อยังไม่มีผู้ใดนอกจากข้าทราบว่าเขาคือพระบุตรแห่งออร่า…”
มิลดาสกลืนน้ำลาย
เขาสำเร็จการนำหัวของชายชราผู้นั้นมาได้แล้ว ปล่อยไว้นานย่อมเน่าเสีย เช่นนั้นเขาควรทำเป็นไม่เห็นหรือได้ยินเรื่องพระบุตรแห่งออร่ามาก่อน
“ทว่า เช่นนั้นจะจัดการอย่างไร…?”
ปัญหาคือเด็กหนุ่มอาจได้รับอำนวยพรเช่นไรก็ได้ หากเป็นเพียงพระพรธรรมดาเช่นขว้างหินถูกเป้าหมายเสมอ หรือมีพลังมหาศาลย่อมไม่นับเป็นอะไร ทว่าดูไปยังมีพระพรเช่นการสาปแช่งผู้อื่นเช่นกัน
ยังมีผู้บัญชาการทหารเสียชีวิตเนื่องด้วยพระพรแห่งคำสาปแช่งในป้อมปราการแห่งนี้ จนมาโครนิอัสผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารจำต้องขึ้นรักษาการณ์ประจำป้อมแทนโดยเร่งด่วน เหตุนี้เป็นที่รู้โดยทั่วภายในป้อมปราการ เช่นนั้นต่อให้สั่งการ พลทหารย่อมปฏิเสธไม่สังหารพระบุตรแห่งออร่าเนื่องด้วยความกลัว
แสงแห่งความคิดวาบผ่านขึ้นในใจมิลดาส
“อา จริงซี! เขาเป็นพระบุตร! มิใช่พ่ายแพ้ต่อพระบุตรอีกคนในป้อมนี้หรือ? หากพระบุตรทั้งสองรบพุ่งกัน ทั้งคู่ย่อมบาดเจ็บหนักแล้ว อย่างร้ายแรงข้าเพียงต้องกำจัดพระบุตรอีกคนหนึ่งที่เหลือรอดเท่านั้น!”
◆◇◆◇◆
“Ru Ork! Fuano!”
โซวมะผู้ถูกตบแก้มพร้อมตะโกนใส่อย่างโมโหร้ายลืมตาขึ้นอย่างเหม่อลอย เมื่อทำดังนั้น ใบหน้าของชายผู้เต็มไปด้วยหนวดเคราก็ขยับถอยห่างออกไปราวเกรงว่าเขาจะกัด
เขายังคงคลื่นไส้วิงเวียนทว่าลดน้อยลงบ้างแล้ว แต่ความเหนื่อยล้าที่กัดกินภายในกำเลวร้ายลงจนไม่อาจแม้แต่จะขยับนิ้ว น้ำลายของชายที่ตะโกนคนนั้นกระเด็นเปรอะเปื้อนใบหน้า ทว่าเขาไม่อาจเช็ดออก
ชายผู้เอ่ยคำด้วยภาษาที่โซวมะไม่เข้าใจสวมหมวกเกราะเหล็กปิดใบหน้าคลุมถึงต้นคอ ทั้งยังมีป้องกันบริเวณจมูกและแก้ม วัสดุเกราะลำตัวดูคล้ายเหล็กจำนวนนับไม่ถ้วนเย็บรวมกันจนกลายเป็นเสื้อ
“Bibulur! Di Aif seiha?”
เขาเริ่มหมดความอดทนเพราะความเชื่องช้าของโซวมะ เขาตะโกนเรียกสหายผู้สวมชุดแบบเดียวกันมาหา
“Dirou?”
“Ubola rob seiha.”
ชายผู้นั้นพยักหน้าให้กับถ้อยคำของสหาย จับแขนขาของโซวมะ บังคับให้ลุกขึ้นยืนโดยแรง สหายของเขาจับแขนอีกข้าง ทั้งคู่พากันลากตัวโซวมะไปตามทางสู่สถานที่แห่งหนึ่ง
โซวมะยังคงกึ่งหลับกึ่งตื่นสำรวจรอบกายโดยกรอกตาไปมาขณะถูกลากไป
ที่แห่งนี้ดูคล้ายกับป้อมปราการโบราณของทางยุโรปตะวันตก
กำแพงสูงก่อขึ้นจากหิน ภายในหอคอยมีแสงเทียนวามวาวเมื่อดวงอาทิตย์ลับไป ทหารหลายนายสวมใส่ชุดเครื่องแบบเหมือนกันกับชายที่ลากตัวเขากำลังตัวสั่นสะท้านจากความหนาวเย็นอยู่ภายใต้คบไฟท่ามกลางจัตุรัสเปิดโล่งอันถูกรายล้อมด้วยกำแพง
ไม่ว่าจะมองยังไง ก็ไม่มีทางเป็นภาพที่จะเห็นในญี่ปุ่นยุคปัจจุบันแน่ๆ
โซวมะถูกลากไปยังคุกใต้ดินของป้อมปราการโดยมีสายตาของเหล่าทหารที่จ้องมามาอย่างสนอกสนใจ
กลิ่นของเหงื่อและสิ่งปฏิกูล รวมไปถึงกลิ่นคล้ายสัตว์ร้ายผสมผสานกลายเป็นกลิ่นเหม็นเหลือร้ายฉุนอยู่ในอากาศ ในชั้นคุกใต้ดินนั้นส่องสว่างด้วยคบไฟที่ชายทั้งสองถืออยู่ ยังมีหลุมใหญ่ๆ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสี่ถึงห้าเมตรถูกขุดเอาไว้ ปากหลุมถูกปิดไว้ด้วยลูกกรงเหล็กกล้า
หนึ่งในทหารที่ลากโซวมะคว้าเอาโซ่ที่ติดกับลูกกรงของหนึ่งในหลุมพวกนั้นขึ้นมาและดึงถอยหลังโดยใช้น้ำหนักตัว
คบไฟส่องไปไม่ถึงในหลุมแม้ลูกกรงถูกยกออกแล้ว ภายในมืดมิดคล้ายหลุมไร้ก้น เมื่อโซวมะมองลงไปก็สัมผัสได้ถึงภาพหลอนที่คล้ายจะปรากฏขึ้นมาเฉยๆ
ชั่วขณะต่อมา ชายผู้นั้นก็เหวี่ยงโซวมะลงไปในหลุม
โซวมะร่วงลงในหลุมโดยไม่มีแม้แต่โอกาสจะกรีดร้อง ไหล่กระแทกเข้ากับก้นหลุมหลังลอยคว้างในอากาศเพียงชั่วขณะ เขาร่วงลงมาโดยไม่ทันได้ทำท่าล้มด้วยซ้ำ แต่เพราะก้นหลุมเหมือนจะถูกปูด้วยสิ่งที่คล้ายฟางหญ้าที่เกือบจะเน่าเป็นเบาะรอง เขาเลยไม่เจ็บตัวอะไร
“อุ...อู...อา…”
ถึงแบบนั้น ไหล่ถูกกระแทกแรงๆ ก็ยังเจ็บปวดอยู่ดี แต่การเจ็บปวดจะนับเป็นเรื่องดีได้มั้ยนะ? ความรู้สึกมึนงงล่องลอยคล้ายม่านหมอกที่ปกคลุมในหัวโซวมะดูจะดีขึ้นเล็กน้อย
ความมืดมิดคล้ายจะเลือนหายไปได้บ้างจากแสงคบเพลิงด้านบน เมื่อโซวมะเงยหน้าขึ้นมอง ชายที่ผลักเขาสู่ก้นหลุมก็ตะโกนอะไรบางอย่างมา พร้อมตบถุงสัมภาระด้านข้างไปด้วย
“Ru Hap zoanlieu! Nieb, sbil sarmol nolie aiha!”
พูดแบบนั้นเสร็จ หนึ่งในสองคนนั้นก็นำของกลมๆ ออกมาแล้วโยนให้โซวมะ
เมื่อมองของที่หล่นลงมาใกล้ ก็เห็นว่านั่นคือของที่ดูคล้ายขนมปังที่มีขนาดเล็กกว่ากำปั้นเขาเสียอีก จากนั้นยังมีถุงหนังใบเล็กที่ดูเหมือนจะมีน้ำอยู่ข้างในนิดหน่อย และแท่งอะไรสักอย่างก็ร่วงลงมา เมื่อมองดูดีๆ แท่งนั่นยาวประมาณหนึ่งเมตร ปลายเป็นเหล็กแหลมข้างหนึ่ง คล้ายว่าจะเป็นหอกที่ทำขึ้นแบบง่ายๆ
“Ru Hap! Ru Hap zoanlieu!”
ตะโกนแบบนั้นแล้ว พวกเขาก็ปิดปากหลุมด้วยลูกกรงเหล็กอีกครั้ง แล้วออกจากคุกใต้ดินไป
แสงจากคบไฟค่อยๆ จากไป ก้นหลุมเริ่มปกคลุมด้วยความมืดมิดอีกครา โซวมะเจ็บปวดหัวไหล่รุนแรง ทว่าเมื่อใจเย็นลงได้ เขาก็เริ่มเช็คสถานการณ์ของตนเอง
หลุมนี้ลึกประมาณสามเมตร ต่อให้ยืนเขย่งยืนจนสุดความสูง แขนก็ยังเอื้อมไม่ถึงลูกกรงอยู่ดี ต่อให้ถึงได้ก็คงขยับลูกกรงนั่นไม่ได้สักนิดเดียว เมื่อแตะกำแพงดูก็สัมผัสได้ถึงหินเย็นเฉียบ ดูไม่น่าจะขุดรูสำหรับเป็นช่องให้ปีนหลบหนีได้
หูของโซวมะได้ยินเสียงหนักๆ
เสียงคล้ายเหล็กชิ้นเล็กๆ เชื่อมต่อกัน ตามมาด้วยเสียงขู่คำรามคล้ายเวลาที่หมากำลังขู่ศัตรู
เหมือนจะยังมีอะไรสักอย่างอยู่ในความมืดทางอีกด้านของหลุมรึเปล่านะ?
เขาพยายามลุกขึ้น ทว่าขาอ่อนแรงกลับไม่เอื้ออำนวยจนต้องคลานไปจนถึงผนัง เขากำหอกที่มือบังเอิญคว้าไปเจอขึ้น หันปลายหอกไปยังทิศทางของสิ่งนั้นในความมืด
เจ้าสิ่งในความมืดนั้นจ้องมอง
จมูกโซวมะได้กลิ่นคล้ายในบ้านหมา
ยังมีเสียง *กรรร* และจุดเล็กๆ ที่ทอประกายสองจุดท่ามกลางความมืด
ไม่ นั่นคือดวงตา ดวงตาสีเทอร์ควอยซ์กำลังจ้องมองโซวมะ
“Di Hap arui? Genobanda hyurmuiha.”
อีกครั้ง เขาได้ยินเสียงคล้ายคำรามของสัตว์ร้ายมาพร้อมภาษาแปลกหูจากความมืดมิด หอกในมือของเขาไม่หนัก แต่แขนของเขาที่ได้รับผลกระทบจากความเหนื่อยล้าทางกายมีปัญหากับการยกมันขึ้น ทว่าเมื่อคิดถึงสัตว์ร้ายที่คืบคลาน เขาก็รวบรวมกำลังที่มือ ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการพุ่งหอกออกไป
ชั่วอึดใจนั้น เมฆบนฟ้าก็เปิดออก แสงจันทร์เผยตัว ทอดผ่านลูกกรงมายังหลุมที่โซวมะอยู่
แสงจันทร์อ่อนจางช่วยคลายความมืดมิดลง
สิ่งที่ซ่อนอยู่ในความมืดก่อนหน้ากลับไม่ใช่สัตว์ป่าดุร้ายเช่นที่โซวมะคิด กลับเป็นอีกสิ่งที่ดูไม่ใช่มนุษย์เช่นกัน
มันคือสิ่งมีชีวิตที่ทั่วร่างมีขนปกคลุม ไม่ใช่ทั้งมนุษย์ และไม่ใช่ทั้งสัตว์ใด
◆◇◆◇◆
ลมหายใจโซวมะหยุดชะงักเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตนั้นปรากฏตัวเบื้องใต้แสงจันทร์อ่อนจาง
แขนขาที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความมั่นคงโดยธรรมชาติแม้จะนุ่มนวล ทว่ายาวและยืดหยุ่น ทรวงอกเย้ายวนมีขนาดตรงข้ามกับเอวคอดกิ่ว
ทั้งหมดล้วนถูกปกคลุมด้วยขนสีน้ำตาลอันมิได้มาจากการสวมใส่ ทว่าเป็นขนของพวกมันเอง
นอกจากนั้น ใบหน้าของมันดูคล้ายเสือดาวหรือแมว จมูกของมันไม่ได้ยื่นล้ำมาข้างหน้า ทว่าค่อนข้างแบน คล้ายรูปปากมนุษย์ ดวงตาของมันสุกใสกลมโต จมูกเล็กเหมือนพวกแมว หูของมันไม่ได้อยู่เหนือหัว แต่อยู่ใกล้เคียงกับจุดเดียวของหูมนุษย์ แม้ปลายหูจะชี้ขึ้นและปกคลุมด้วยขนก็ตาม ความประทับใจของเขาคือ ‘ไม่เหมือนหูสัตว์ในมังงะเลยแฮะ’
สิ่งมีชีวิตนั้นแยกเขี้ยวข่มขู่โซวมะ
“Genobanda hyuimuiha! Ru Chikk! Guna ejim talho noiha!”
โซวมะแปลกใจ นั่นเป็นภาษาที่เขาไม่เขาใจถูกพ่นออกมาจากปากของสิ่งมีชีวิตนี้
โอเค งั้นนี่เป็นมนุษย์ที่แต่งหน้าด้วยเทคนิคพิเศษอะไรงั้นรึเปล่านะ?
เขาสงสัยแบบนั้น แต่เมื่อมองดูเขี้ยวนั่นแล้ว ก็ดูไม่เหมือนฝีมือมนุษย์เลย
ช่างเถอะ ยังไงก็หลีกเจ้าตัวนั้น ที่เขาน่าจะเรียกว่าบีสต์แมนไว้หน่อยดีกว่า พอแน่ใจว่าหลังชนผนังโดยที่ยังชี้ปลายหอกไปอยู่แล้ว เขาก็เคลื่อนไหวโดยลากตัวเองมุ่งไป ทันทีที่บีสต์แมนเห็นโซวมะเคลื่อนไหว ก็เกิดเสียงโซ่เหล็กกระทบกันเคร้งคร้าง
พอดูดีๆ ก็เห็นว่าที่ข้อมือของบีสต์แมนนั่นมีโซ่ล่ามติดผนังอยู่ ดูจากความยาวโซ่แล้วไม่รู้จะยืดแขนได้ถึงกลางหลุมหรือไม่ แต่ยังไงก็คงไม่ไกลกว่านั้นแล้ว
พอเข้าใจว่ายังไงก็ไม่โดนโจมตีแน่ๆ แค่ตัวติดกำแพง เขาก็สูญเสียเรี่ยวแรงไปกระทันหันพร้อมกับที่ถอนใจเฮือกใหญ่ เมื่อหอกหล่นจากมือโซวมะ บีสต์แมนตนนั้นก็เลิกแยกเขี้ยวและเริ่มสูดจมูกฟุดฟิด
“ไม่เป็นไร ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”
เขายกสองมือเปล่าๆ ชูขึ้นในอากาศว่าไม่คิดจะทำร้ายมัน แต่เมื่อเขาทำแบบนั้น บีสต์แมนกลับเริ่มแยกเขี้ยวขู่เขาอีกครั้ง
เหมือนการแลกเปลี่ยนความตั้งใจนั่นจะเป็นไปไม่ได้
ตัวเขายังคงได้รับผลกระทบจากความเหนื่อยล้าและความรู้สึกมึนเมา ถึงจะดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังเป็นปัญหาในการคิดเรื่องต่างๆ อยู่ดี เขาเอนกายพิงผนัง มองไปยังหญ้าแห้งคล้ายฟางที่กระจัดกระจายในก้นหลุมแล้วจึงเห็นถุงหนังใส่น้ำและสิ่งคล้ายขนมปังที่ถูกโยนลงมาพร้อมกัน
เมื่อเห็นว่ามีน้ำและอาหาร ร่างกายของเขาก็เริ่มประท้วงว่าทั้งหิวโหยทั้งคอแห้ง เขาเลิกสนใจบีสต์แมนที่ยังขู่ไม่เลิกทุกครั้งที่โซวมะขยับกาย เขายืดแขนอย่างเชื่องช้า หยิบเอาขนมปังและถุงหนังขึ้น
เขาพยายามกัดขนมปังนั้นเข้าปาก ทว่ามันทั้งแข็งทั้งเหนียวคล้ายกัดแผ่นหนัง รสสัมผัสด้านในยังคล้ายข้าวสาลีแห้งๆ ทำให้นึกถึงแป้งเกี๊ยวในน้ำซุปที่ทำพลาดตอนทำกิจกรรมสมัยประถม ตอนนั้นพวกเขานวดแป้งสาลี หั่นเป็นชิ้นแล้วเอาแป้งไปต้มในซุปดาชิ รสสัมผัสของขนมปังก้อนนี้คล้ายกับแป้งเกี๊ยวที่ยังต้มไม่สุกดีในตอนนั้น
ปกติแล้วมันคงเป็นของที่ไม่มีใครกินแน่ แต่ยังมีคำกล่าวว่า ‘ความหิวคือเครื่องชูรสที่ดีที่สุด’ เมื่อเขาผสมมันกับน้ำลายและเคี้ยวหลายๆ ที ความหวานก็เผยตัวขึ้นในปาก เมื่อกลืนลงไปก็แผ่ซ่านไปทั่วท้องราวน้ำทิพย์
จากนั้น เมื่อเขากำลังกัดขนมปังอีกสองสามครั้ง ก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา
เมื่อเงยหน้าขึ้น ดวงตาก็สบกับบีสต์แมนที่เอนกายพิงกำแพงอยู่ฝั่งตรงข้าม สุดท้ายก็โดนขู่เข้าอีกรอบ แต่เขาไม่สนใจ รู้ว่ายังไงอีกฝ่ายก็จู่โจมเขาไม่ได้เพราะติดตรวนอยู่
ทว่าเมื่อเขากัดขนมปัง ก็รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาอีกครั้ง
คราวนี้ เพื่อไม่ให้บีสต์แมนสังเกต เขาจึงไม่เงยหน้าขึ้น เพียงแค่เหลือบมองอีกฝ่ายเท่านั้น
เขาเห็นบีสต์แมนจ้องมองมา ทว่าดูเหมือนจะไม่ใช่เขา แต่เป็นอย่างอื่น
หรือบางที เขาหยุดแทะขนมปัง วางไว้ในมือข้างหนึ่ง
สายตาของบีสต์แมนลดต่ำตามลงมา
เขายกขนมปังขึ้นใกล้ปาก
สายตาของบีสต์แมนเลื่อนตามขึ้นมา
เมื่อสายตาทั้งคู่สบประสาน เขาก็โดนขู่อีกครั้ง
ทว่าคราวนี้ เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายเล็งขนมปังของเขาอยู่
แต่โซวมะกำลังมีปัญหา อาหารในมือของเขาเป็นแค่ขนมปังชิ้นเล็กๆ ที่ทานไปครึ่งหนึ่ง นอกจากความหิวแล้ว เขายังไม่แน่ใจอีกด้วยว่าจะยังได้อาหารอีกหรือไม่ หรือพูดให้ชัด เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีครั้งแต่ไปรึเปล่า
การตัดสินใจที่ถูกต้องในตอนนี้คือแบ่งขนมปังนี้เก็บไว้เพื่อความอยู่รอด เขาไม่จำเป็นต้องช่วยบีสต์แมนตรงหน้าแต่แรกอยู่แล้วเนื่องจากไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน อีกอย่าง มันถูกขังไว้ในที่นี่อยู่แล้ว แสดงว่าอาจจะมีอันตรายตามมาก็ได้ การแบ่งอาหารอันแสนสำคัญให้กับสิ่งแบบนั้นมีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะทำ
เขาบอกตัวเองอย่างนั้น โซวมะพยายามกัดขนมปัง ทว่ามือกลับหยุดชะงัก
‘โซวมะ ฟังนะ พระเจ้าเฝ้ามองเราอยู่เสมอ จงอย่าได้กระทำตนน่าอับอาย’
ถ้อยคำเหล่านี้ปรากฏขึ้นในความคิด เป็นคำของปู่ที่จากไปเมื่อต้นปี
โซวมะรักคุณปู่ที่สอนวิธีการละเล่นดั้งเดิมที่ถูกหลงลืมให้กับเขา อย่างเช่นทาเคทอนโบะและลูกข่างเป็นต้น
ประโยคโปรดของคุณปู่ซึ่งส่งต่อมายังโซวมะ คือถ้อยคำเหล่านั้น
แต่ตอนนี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ช่วยไม่ได้นี่นะ
โซวมะแก้ตัว แต่ทันใดนั้นก็จำถ้อยคำของปู่ขึ้นมาได้
‘ดูสิ โซมะ! ชาวญี่ปุ่นล้วนแต่ยิ่งใหญ่! ชาวญี่ปุ่นเป็นชนชาติที่จิตใจดีนะ’
นั่นคือคำพูดของปู่เมื่อครั้งที่เห็นข่าวญี่ปุ่นตะวันออกประสบเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ แม้จะพบกับเหตุแผ่นดินไหว แต่ผู้คนที่เป็นเหยื่อกลับไม่ได้ก่ออาชญากรรมหรือประท้วง ทว่าช่วยเหลือกันและกันโดยแบ่งอาหารอันน้อยนิดที่มี เมื่อเห็นข่าวนั้น ปู่เขาก็พูดอย่างยินดีทั้งน้ำตาแห่งความปลาบปลื้ม
‘โซวมะ หลานอย่าได้กระทำตนน่าละลายเป็นอันขาด’
โซวมะเม้มปากแน่น
จากนั้น เขายื่นมือที่ถือขนมปังที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งออกไป ร้องเรียกบีสต์แมน
“เจ้านี่น่ะ อยากทานเหรอ?”
บีสต์แมนนิ่งชะงักกระพริบตาชั่วขณะ ก่อนจะแยกเขี้ยวคำรามอีกครั้ง
“Ru Rugonas! Genobanda noiha!”
ดูเหมือนมันจะไม่เข้าใจเขาสักนิดเดียว
โซวมะยอมแพ้ โยนขนมปังครึ่งที่เหลือไปยังจุดที่บีสต์แมนตนนั้นน่าจะเอื้อมถึง และเมื่อดื่มน้ำแล้ว เขาก็ทำอย่างเดียวกันกับที่เหลือ
หลังจากนั้น เพื่อตัดความกระหายอยากที่มีต่ออาหาร โซวมะหันหลัง คู้ตัวนอนติดกำแพง ตัดสินใจจะหลับลง
คงพูดไม่ได้หรอกว่าการนอนบนหญ้าแห้งเหม็นๆ นั้นสบายตัว แต่สุดท้ายเขาก็ผล็อยหลับไปในเวลาไม่นาน
เช้าวันต่อมาเมื่อโซวมะลืมตาตื่นขึ้น ขนมปังครึ่งหนึ่งก็หายไปแล้ว ถุงหนังก็ลีบแบนเช่นกัน
จะสังเกตว่าภาษาจากมุมมองของโซวมะกับภาษาจากมุมมองของคนโลกนี้จะแตกต่างกัน
อย่าเพิ่งงงนะคะ เราจงใจค่ะ แหะๆ
ตามเซ็ตติ้ง เราคาดว่าโลกนี้น่าจะเป็นโลกยุคกลางหรืออาจจะก่อนยุคกลางไปอีก ดังนั้นจึงเลือกใช้ภาษาที่โบราณกว่าเพื่อให้แบ่งได้ชัดเจนค่ะ
28/3/2019
แก้ไข
นักบวช เป็น มุขนายก
อาร์คดยุค, นักบวชขั้นสูง เป็น อัครมุขนายก
เด็กชาย เป็น เด็กหนุ่ม
0 ความคิดเห็น