โซวมะเปิดเปลือกตาขึ้นเนื่องจากความสั่นสะเทือนที่ร่างกายได้รับและเสียงเดินจากพื้น
ทั้งร่างยังเหน็ดเหนื่อย ความรู้สึกมึนเมาหลงเหลือ สติสัมปชัญญะพร่าเลือน
ทว่าเขาก็ยังเปิดเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย
สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตาอย่างแรกคือตัวเขาที่เปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นดิน คล้ายว่าถูกจับให้นอนในพื้นที่บรรทุกของ เมื่อเปิดตาขึ้นอีกนิด เขาก็เห็นทุ่งหญ้าสะวันนากว้างใหญ่ ใบหญ้าสีเหลืองเหล่านั้นถูกสายลมรุนแรงพัดผ่าน
“Lu Bana! Lu Bana! Pomus ishytal kimuya!”
เขาได้ยินเสียงตะโกนเป็นภาษาต่างชาติที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“อะ...อา...อูย…”
เขาพยายามจะเอ่ยคำ ทว่าไม่มีสิ่งใดนอกจากเสียงครางหลุดรอดจากลำคอแห้งผาก เขายังรู้สึกคลื่นไส้แต่ไม่มีอะไรให้อาเจียนออกจากทางอันว่างเปล่า มีเพียงความรู้สึกป่วยเท่านั้น
“Sugabramu! Sugabramu!”
เขาได้ยินเสียงคนตะโกนอยู่ใกล้ๆ
“Somalua ork furnoiha!”
เขาไม่เข้าใจว่าคนพวกนั้นกำลังพูดอะไร แต่อย่างน้อยก็ดูไม่คล้ายทั้งภาษาญี่ปุ่นหรืออังกฤษ
ไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงเกือกม้าแบบที่เคยได้ยินจากในหนัง
“Ou. Di Ork furnoiha?”
ต่อจากเสียงนั้น หน้าของโซวมะก็ถูกเงาเข้าบัง โซวมะทำไม่ได้แม้แต่ขยับคอเนื่องจากความล้าที่ยังคงค้างในร่างกาย ดังนั้นจึงมองสิ่งที่ช่วยบังแสงให้เขาด้วยการกรอกตา
(...นั่นมันอะไรน่ะ? ความฝันรึเปล่านะ?)
สิ่งที่เข้ามาในสายตาคือใบหน้าที่คล้ายกิ้งกว่า แต่ขนาดพอๆ กับหัวม้า ยังมีขนสีน้ำตาลที่กิ้งก่าไม่มี กิ้งก่าตัวนี้มองโซวมะพร้อมกับตวัดลิ้นสองแฉกไปด้วย
ในความเป็นจริงไม่มีทางมีไอ้ตัวแบบนี้แน่
นั่นคือสิ่งที่โซวมะคิด
“Diha noiha? Diz migur noiha?”
เป็นเสียงมาจากด้านบน แต่โซวมะไม่เข้าใจสักคำเดียว
“… ทะ… ที่นี่ คือที่ไหน…?”
เขาเค้นเสียงถามออกมาอย่างยากลำบาก ทว่าผลกลับเป็นเสียงกระซิบกระซาบจับใจความไม่ได้ยาวนาน จากนั้นสติสัมปชัญญะของโซวมะผู้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงก็คืนสู่ความมืดอีกครั้ง
◆◇◆◇◆
สายลมเย็นเฉียบที่พัดผ่านทุ่งหญ้าแห้งๆ คือสัญญาณของฤดูกาลแห่งความหนาวเหน็บกำลังจะมาถึง
จนถึงตอนนี้ ซาโอ ฤดูกาลแห่งความร้อนยึดครองด้วยความร้อนจากเปลวเพลิง ไม่นาน นาเกอร์โต ฤดูใบไม้ร่วงก็ผ่านเข้ามาในชั่วพริบตาเป็นระยะเวลาสั้นๆ ยามนี้ถึงเวลาของฤดูกาลแห่งความเหน็บหนาว เนโร
เซเทียส หัวหน้าหมวดนิ่วหน้าเมื่อลมหนาวพัดกรีดมาคล้ายจะหั่นร่างคนเป็นชิ้นๆ
การกวาดล้างลัทธิบูชาปีศาจที่ก่อปัญหาให้ชาวบ้านเมื่อไม่นานมานี้จบลงอย่างรวดเร็ว ตรงข้ามกับความคาดหวังของท่านมุขนายกผู้เดินทางมาจากเมืองหลวงอย่างโอ่อ่าโดยกล่าวอ้างว่า ‘นี่คือพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า’ ยิ่ง เมื่อได้ยินว่าเขาต้องมาเพื่อปรามปรามลัทธิบูชาปีศาจตามคำสั่งแล้ว เซเทียสก็กังวลเหลือเกินว่าพวกมันจะเป็นอันตรายร้ายแรง
ทว่าเมื่อดูจากผลของการกวาดล้างแล้ว ที่พวกบูชาปีศาจทำก็คล้ายจะมีเพียงรวมตัวกันเสียมากกว่า ไม่มีปีศาจร้ายหรือมนตราน่าสงสัยดังในเพลงที่ร้องเล่าโดยนักกวีปรากฏแต่อย่างใด
ให้กล่าวอีกประการคือ การเดินทางจากป้อมปราการมายังที่แห่งนี้ยังยากลำบากยิ่งกว่าการกวาดล้างเสียอีก
“เร็วเข้า! เร็วหน่อย! ดวงอาทิตย์กำลังจะลงทางตะวันตกแล้ว!”
เขาได้ยินเสียงหัวหน้าหมู่ตะโกนด่าลูกน้อง
เขาเองก็อยากไปให้ถึงกลุ่มหินใหญ่ที่อยู่เหนือขึ้นไปนี้ก่อนยามเย็นเช่นกัน หากต้องพักในทุ่งหญ้าที่มีลมเหนือพัดตลอดคืนเช่นนี้ย่อมหลับไม่ดีนัก
“หัวหน้าหมวด! หัวหน้าหมวด!”
เป็นเสียงหัวหน้าหมู่ที่อยู่ท่ามกลางขบวนเดินทาง
“ดูเหมือนเจ้าเด็กนั่นจะตื่นแล้วขอรับ!”
ยามนี้ คำว่า ‘เจ้าเด็กนั่น’ ที่ใช้กันในหมวดนี้จะหมายถึงเด็กหนุ่มที่ดูคล้ายว่าจะเป็น『พระบุตร』 อันถูกค้นพบในรังของลัทธิบูชาปีศาจ
เซเทียสดึงบังเหียนหันหัวคิริวไปทันที คิริวที่เซเทียสขี่อยู่นั้นเป็นกิ้งก่าชนิดหนึ่งที่มิอาจเรียกว่ามังกรได้ แม้จะมีคำว่ามังกรในชื่อก็ตาม มันเตะพื้นสองทีด้วยขาหลังหนาๆ ส่วนของหน้าของมันสั้นและเพรียวกว่า พวกมันมีขาหน้าไว้เพื่อกดเหยื่อที่ถูกกัด และใช้เพื่อการพยุงลุกยืนขึ้นเมื่อล้มลงบนพื้น ทั่วร่างคิริวมีเกล็ดสีน้ำเงินเข้ม โดยมีขนสีน้ำตาลงอกออกมาระหว่างเกล็ดเหล่านั้น หากเป็นดาบราคาถูกย่อมไม่สามารถสร้างแม้แต่รอยขีดข่วนให้พวกมันได้ พวกมันมีข้อด้อยอยู่บ้างคือค่อนข้างอ่อนแอต่อความหนาวเย็น ทว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ควบขับได้อย่างทรงพลัง เป็นที่โปรดปรานของทหารเพราะมิได้ขี้ขลาดและต้องการการดูแลมากเช่นม้าซึ่งกล่าวกันว่าปรากฏอยู่ทางทุ่งหญ้าราบทางตอนใต้
“เฮ้ย! เจ้าเด็กนั่นลืมตาแล้วเรอะ?”
หัวหน้าหมู่พยักหน้ารับคำถามเซลเทียลแล้วชี้ไปยังด้านบนสุดของเกวียนขนเบียงและอาวุธที่อยู่ติดกัน
ท่ามกลางช่องว่างระหว่างสัมภาระเหล่านั้นคือเด็กหนุ่มที่ถูกพบอยู่ในรังของพวกลัทธิบูชาปีศาจ ยามนี้นอนหลับอยู่ในผ้าห่มผืนบางทำจากเศษผ้า
เซเทียสบังคับคิริวเข้าไปใกล้เกวียนนั้น ปรับความเร็วให้เท่ากันแล้วส่องดูใบหน้าเด็กหนุ่ม
หรือเด็กคนนี้จะเป็นโรคร้าย? สีผิวทั้งซีดซ้ำยังร้องอย่างเจ็บปวด
หากเป็นโรคติดต่อจริงย่อมกลายเป็นเรื่องร้ายแรงแล้วไม่ใช่หรือ?
เขาคิดเช่นนั้น ทว่ามิอาจละทิ้งเด็กหนุ่มได้เช่นกัน
เขาคงไร้ทางเลือก มีแต่ต้องห้ามมิให้เข้าถึงเด็กหนุ่มผู้นี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ขณะมองเด็กหนุ่มผู้นั้น คนก็ลืมตาขึ้น ทว่าดูคล้ายไม่อาจตั้งตัวได้
เช่นนี้เขาจึงไม่คาดหวังคำตอบใด ทว่ายังคงพยายามถามเด็กหนุ่มอยู่นั่นเอง
“เจ้าเป็นคนเช่นไรกัน? เป็น『พระบุตร』หรือไม่?”
ทว่าไร้คำตอบใดดังคาด
คราวนั้นเสียงของเด็กหนุ่มดังถึงหูเซเทียสผู้สงสัยว่าคำเหล่านั้นมีความหมายใด
“…̶ ̸ท̴ะ̵…̷ ̷ท̴ี̵̷่น̸ี̶̸่ ̸ค̶ื̴อ̵ท̴ี̴̷่ไ̸ห̷น̵…̴?̴”
เป็นถ้อยคำที่เซเทียสไม่เคยได้ยินมาก่อน
ดูไม่คล้ายว่าจะเป็นภาษาดีสซึ่งเป็นภาษาทางการของที่นี่ และไม่คล้ายว่าจะเป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์ของพวกศาสนจักร ทั้งยังดูแตกต่างจากถ้อยคำที่พวกครึ่งมนุษย์อย่างเอลฟ์หรือคนแคระใช้เช่นกัน
ดูจากการแต่งกาย เด็กหนุ่มผู้นี้คงมาจากสถานที่ห่างไกลต่างบ้านเมือง ทว่าก็ชวนให้งุนงงด้วยไม่มีใครในหมวดนี้ทราบเลยว่าสถานที่นั้นเป็นที่แห่งใด
เขายังเคยได้ยินว่ามีมนุษย์ผมดำอาศัยอยู่ที่เกาะลึกลับห่างไกลไปทางตะวันออก เป็นเรื่องตลกที่พวกพ่อค้านักเดินทางเล่ากันที่บาร์เหล้า หรือเด็กหนุ่มอาจจะมาจากที่แห่งนั้นจริงกระมัง?
“เจ้ามาจากที่ใด? เจ้าเป็นใคร?”
ทว่าเขากลับไม่ได้รับคำตอบใดจากเด็กหนุ่มผู้สลบไสลไปอีกครา
เซเทียสถอนใจอย่างรำคาญ หัวหน้าหมู่ที่ดูอยู่ใกล้ๆ เรียกเขาอย่างเกรงใจ
“หัวหน้าหมวด ข้าควรทำอย่างไรกับเจ้าเด็กนี่ดีขอรับ?”
“เราละทิ้งเขามิได้ ย่อมต้องดูแลอย่าให้ตาย”
ถูกสั่งมาดังนั้น หัวหน้าหมู่ก็ฝืนยิ้มหน้าแข็งเกร็ง ทว่ามิได้เห็นด้วยในทันที
“เป็นอะไรไปหัวหน้าหมู่? มีเรื่องใดต้องการบ่นหรือ?”
หัวหน้าหมู่แสดงทีโต้แย้งคำสั่ง เซเทียสมองกดดันให้เขาตอบคำถาม
หัวหน้าหมู่ก้มหน้าลง เหลือบตาขึ้นตอบ
“หน้าหน้าหมวด เด็กคนนี้...อืม..เป็น 『พระบุตร』ใช่ไหมขอรับ?”
เซเทียสพยักหน้ารับ
ป้อมปราการที่พวกเซเทียสและคนในหมวดประจำการอยู่นั้น 『พระบุตร』นับเป็นตัวตนต้องห้าม
“ข้าจะไม่ถูกสาปจนตายหรือขอรับหากไปยุ่งเกี่ยวกับเขาในทางไม่ดี? นอกจากนั้น เด็กคนนี้ยังดูป่วย”
ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกหัวหน้าหมู่ หากเซเทียสมิได้มีฐานะหัวหน้าหมวด เขาย่อมต้องการละทิ้งเด็กหนุ่มไว้ในทุ่งหญ้าแห่งนี้เช่นกัน
เซเทียสฝืนใจยืนแขนไปแตะร่างกายเด็กหนุ่มผู้นั้น
“ดูสิ ข้ามิได้โดนสาปเพียงสัมผัสเขาในคราแรก เหตุการณ์ที่ป้อมปราการนั้นเกิดเพราะท่านลอร์ดในยามนั้น...อืม...เรียกว่า...รสนิยมผิดแผกนั่น ส่วนยามนี้แม้เด็กผู้นี้อาจเป็นพระบุตรจริง มิได้แปลว่าเจ้าจะถูกสาป”
ขณะกล่าวดังนั้น ในใจเซเทียสก็กังวลเกรงจะถูกสาปเพราะสัมผัสเด็กหนุ่มเช่นกัน ทว่าการแสดงทัศนะเช่นนั้นเปิดเผยย่อมผิดแล้ว เขายังกล่าวหลอกหัวหน้าหมู่ต่อ
“หากเจ้าเกรงจะถูกพระบุตรผู้นี้สาป เจ้ายิ่งควรถูกสาปหากละทิ้งเขาให้อดอาหารจนตายในทุ่งหญ้าแห่งนี้”
ได้ยินดังนั้น ร่างของหัวหน้าหมู่แข็งทื่อไปชั่วขณะ
“เข้าใจแล้วขอรับหัวหน้า! เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน หากกลับถึงป้อมปราการแล้วโปรดเลี้ยงเหล้าข้าด้วยนะขอรับ!”
เมื่อตอบรับไปว่า ‘ได้เลย’ แล้ว เซเทียสก็ฟาดแส้บังคับคิริววิ่งไปเบื้องหน้ากองกำลัง
ขณะนั้น ลมเหนือรุนแรงก็พัดมา ยามเขาเงยหน้ามองฟ้า ก็เห็นกลุ่มเมฆดำล่องลอย บ่งบอกว่าอีกไม่นานหิมะก็จะตกแล้ว
“บัดซบ...อากาศเลวร้ายเกินไปหน่อยหรือไม่?”
จนถึงตอนนี้ ซาโอ ฤดูกาลแห่งความร้อนยึดครองด้วยความร้อนจากเปลวเพลิง ไม่นาน นาเกอร์โต ฤดูใบไม้ร่วงก็ผ่านเข้ามาในชั่วพริบตาเป็นระยะเวลาสั้นๆ ยามนี้ถึงเวลาของฤดูกาลแห่งความเหน็บหนาว เนโร
เซเทียส หัวหน้าหมวดนิ่วหน้าเมื่อลมหนาวพัดกรีดมาคล้ายจะหั่นร่างคนเป็นชิ้นๆ
การกวาดล้างลัทธิบูชาปีศาจที่ก่อปัญหาให้ชาวบ้านเมื่อไม่นานมานี้จบลงอย่างรวดเร็ว ตรงข้ามกับความคาดหวังของท่านมุขนายกผู้เดินทางมาจากเมืองหลวงอย่างโอ่อ่าโดยกล่าวอ้างว่า ‘นี่คือพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า’ ยิ่ง เมื่อได้ยินว่าเขาต้องมาเพื่อปรามปรามลัทธิบูชาปีศาจตามคำสั่งแล้ว เซเทียสก็กังวลเหลือเกินว่าพวกมันจะเป็นอันตรายร้ายแรง
ทว่าเมื่อดูจากผลของการกวาดล้างแล้ว ที่พวกบูชาปีศาจทำก็คล้ายจะมีเพียงรวมตัวกันเสียมากกว่า ไม่มีปีศาจร้ายหรือมนตราน่าสงสัยดังในเพลงที่ร้องเล่าโดยนักกวีปรากฏแต่อย่างใด
ให้กล่าวอีกประการคือ การเดินทางจากป้อมปราการมายังที่แห่งนี้ยังยากลำบากยิ่งกว่าการกวาดล้างเสียอีก
“เร็วเข้า! เร็วหน่อย! ดวงอาทิตย์กำลังจะลงทางตะวันตกแล้ว!”
เขาได้ยินเสียงหัวหน้าหมู่ตะโกนด่าลูกน้อง
เขาเองก็อยากไปให้ถึงกลุ่มหินใหญ่ที่อยู่เหนือขึ้นไปนี้ก่อนยามเย็นเช่นกัน หากต้องพักในทุ่งหญ้าที่มีลมเหนือพัดตลอดคืนเช่นนี้ย่อมหลับไม่ดีนัก
“หัวหน้าหมวด! หัวหน้าหมวด!”
เป็นเสียงหัวหน้าหมู่ที่อยู่ท่ามกลางขบวนเดินทาง
“ดูเหมือนเจ้าเด็กนั่นจะตื่นแล้วขอรับ!”
ยามนี้ คำว่า ‘เจ้าเด็กนั่น’ ที่ใช้กันในหมวดนี้จะหมายถึงเด็กหนุ่มที่ดูคล้ายว่าจะเป็น『พระบุตร』 อันถูกค้นพบในรังของลัทธิบูชาปีศาจ
เซเทียสดึงบังเหียนหันหัวคิริวไปทันที คิริวที่เซเทียสขี่อยู่นั้นเป็นกิ้งก่าชนิดหนึ่งที่มิอาจเรียกว่ามังกรได้ แม้จะมีคำว่ามังกรในชื่อก็ตาม มันเตะพื้นสองทีด้วยขาหลังหนาๆ ส่วนของหน้าของมันสั้นและเพรียวกว่า พวกมันมีขาหน้าไว้เพื่อกดเหยื่อที่ถูกกัด และใช้เพื่อการพยุงลุกยืนขึ้นเมื่อล้มลงบนพื้น ทั่วร่างคิริวมีเกล็ดสีน้ำเงินเข้ม โดยมีขนสีน้ำตาลงอกออกมาระหว่างเกล็ดเหล่านั้น หากเป็นดาบราคาถูกย่อมไม่สามารถสร้างแม้แต่รอยขีดข่วนให้พวกมันได้ พวกมันมีข้อด้อยอยู่บ้างคือค่อนข้างอ่อนแอต่อความหนาวเย็น ทว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ควบขับได้อย่างทรงพลัง เป็นที่โปรดปรานของทหารเพราะมิได้ขี้ขลาดและต้องการการดูแลมากเช่นม้าซึ่งกล่าวกันว่าปรากฏอยู่ทางทุ่งหญ้าราบทางตอนใต้
“เฮ้ย! เจ้าเด็กนั่นลืมตาแล้วเรอะ?”
หัวหน้าหมู่พยักหน้ารับคำถามเซลเทียลแล้วชี้ไปยังด้านบนสุดของเกวียนขนเบียงและอาวุธที่อยู่ติดกัน
ท่ามกลางช่องว่างระหว่างสัมภาระเหล่านั้นคือเด็กหนุ่มที่ถูกพบอยู่ในรังของพวกลัทธิบูชาปีศาจ ยามนี้นอนหลับอยู่ในผ้าห่มผืนบางทำจากเศษผ้า
เซเทียสบังคับคิริวเข้าไปใกล้เกวียนนั้น ปรับความเร็วให้เท่ากันแล้วส่องดูใบหน้าเด็กหนุ่ม
หรือเด็กคนนี้จะเป็นโรคร้าย? สีผิวทั้งซีดซ้ำยังร้องอย่างเจ็บปวด
หากเป็นโรคติดต่อจริงย่อมกลายเป็นเรื่องร้ายแรงแล้วไม่ใช่หรือ?
เขาคิดเช่นนั้น ทว่ามิอาจละทิ้งเด็กหนุ่มได้เช่นกัน
เขาคงไร้ทางเลือก มีแต่ต้องห้ามมิให้เข้าถึงเด็กหนุ่มผู้นี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ขณะมองเด็กหนุ่มผู้นั้น คนก็ลืมตาขึ้น ทว่าดูคล้ายไม่อาจตั้งตัวได้
เช่นนี้เขาจึงไม่คาดหวังคำตอบใด ทว่ายังคงพยายามถามเด็กหนุ่มอยู่นั่นเอง
“เจ้าเป็นคนเช่นไรกัน? เป็น『พระบุตร』หรือไม่?”
ทว่าไร้คำตอบใดดังคาด
คราวนั้นเสียงของเด็กหนุ่มดังถึงหูเซเทียสผู้สงสัยว่าคำเหล่านั้นมีความหมายใด
“…̶ ̸ท̴ะ̵…̷ ̷ท̴ี̵̷่น̸ี̶̸่ ̸ค̶ื̴อ̵ท̴ี̴̷่ไ̸ห̷น̵…̴?̴”
เป็นถ้อยคำที่เซเทียสไม่เคยได้ยินมาก่อน
ดูไม่คล้ายว่าจะเป็นภาษาดีสซึ่งเป็นภาษาทางการของที่นี่ และไม่คล้ายว่าจะเป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์ของพวกศาสนจักร ทั้งยังดูแตกต่างจากถ้อยคำที่พวกครึ่งมนุษย์อย่างเอลฟ์หรือคนแคระใช้เช่นกัน
ดูจากการแต่งกาย เด็กหนุ่มผู้นี้คงมาจากสถานที่ห่างไกลต่างบ้านเมือง ทว่าก็ชวนให้งุนงงด้วยไม่มีใครในหมวดนี้ทราบเลยว่าสถานที่นั้นเป็นที่แห่งใด
เขายังเคยได้ยินว่ามีมนุษย์ผมดำอาศัยอยู่ที่เกาะลึกลับห่างไกลไปทางตะวันออก เป็นเรื่องตลกที่พวกพ่อค้านักเดินทางเล่ากันที่บาร์เหล้า หรือเด็กหนุ่มอาจจะมาจากที่แห่งนั้นจริงกระมัง?
“เจ้ามาจากที่ใด? เจ้าเป็นใคร?”
ทว่าเขากลับไม่ได้รับคำตอบใดจากเด็กหนุ่มผู้สลบไสลไปอีกครา
เซเทียสถอนใจอย่างรำคาญ หัวหน้าหมู่ที่ดูอยู่ใกล้ๆ เรียกเขาอย่างเกรงใจ
“หัวหน้าหมวด ข้าควรทำอย่างไรกับเจ้าเด็กนี่ดีขอรับ?”
“เราละทิ้งเขามิได้ ย่อมต้องดูแลอย่าให้ตาย”
ถูกสั่งมาดังนั้น หัวหน้าหมู่ก็ฝืนยิ้มหน้าแข็งเกร็ง ทว่ามิได้เห็นด้วยในทันที
“เป็นอะไรไปหัวหน้าหมู่? มีเรื่องใดต้องการบ่นหรือ?”
หัวหน้าหมู่แสดงทีโต้แย้งคำสั่ง เซเทียสมองกดดันให้เขาตอบคำถาม
หัวหน้าหมู่ก้มหน้าลง เหลือบตาขึ้นตอบ
“หน้าหน้าหมวด เด็กคนนี้...อืม..เป็น 『พระบุตร』ใช่ไหมขอรับ?”
เซเทียสพยักหน้ารับ
ป้อมปราการที่พวกเซเทียสและคนในหมวดประจำการอยู่นั้น 『พระบุตร』นับเป็นตัวตนต้องห้าม
“ข้าจะไม่ถูกสาปจนตายหรือขอรับหากไปยุ่งเกี่ยวกับเขาในทางไม่ดี? นอกจากนั้น เด็กคนนี้ยังดูป่วย”
ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกหัวหน้าหมู่ หากเซเทียสมิได้มีฐานะหัวหน้าหมวด เขาย่อมต้องการละทิ้งเด็กหนุ่มไว้ในทุ่งหญ้าแห่งนี้เช่นกัน
เซเทียสฝืนใจยืนแขนไปแตะร่างกายเด็กหนุ่มผู้นั้น
“ดูสิ ข้ามิได้โดนสาปเพียงสัมผัสเขาในคราแรก เหตุการณ์ที่ป้อมปราการนั้นเกิดเพราะท่านลอร์ดในยามนั้น...อืม...เรียกว่า...รสนิยมผิดแผกนั่น ส่วนยามนี้แม้เด็กผู้นี้อาจเป็นพระบุตรจริง มิได้แปลว่าเจ้าจะถูกสาป”
ขณะกล่าวดังนั้น ในใจเซเทียสก็กังวลเกรงจะถูกสาปเพราะสัมผัสเด็กหนุ่มเช่นกัน ทว่าการแสดงทัศนะเช่นนั้นเปิดเผยย่อมผิดแล้ว เขายังกล่าวหลอกหัวหน้าหมู่ต่อ
“หากเจ้าเกรงจะถูกพระบุตรผู้นี้สาป เจ้ายิ่งควรถูกสาปหากละทิ้งเขาให้อดอาหารจนตายในทุ่งหญ้าแห่งนี้”
ได้ยินดังนั้น ร่างของหัวหน้าหมู่แข็งทื่อไปชั่วขณะ
“เข้าใจแล้วขอรับหัวหน้า! เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน หากกลับถึงป้อมปราการแล้วโปรดเลี้ยงเหล้าข้าด้วยนะขอรับ!”
เมื่อตอบรับไปว่า ‘ได้เลย’ แล้ว เซเทียสก็ฟาดแส้บังคับคิริววิ่งไปเบื้องหน้ากองกำลัง
ขณะนั้น ลมเหนือรุนแรงก็พัดมา ยามเขาเงยหน้ามองฟ้า ก็เห็นกลุ่มเมฆดำล่องลอย บ่งบอกว่าอีกไม่นานหิมะก็จะตกแล้ว
“บัดซบ...อากาศเลวร้ายเกินไปหน่อยหรือไม่?”
◆◇◆◇◆
ภูมิภาคแห่งนี้ถูกเรียกว่าที่ราบซลเบียงต์ ครั้งหนึ่งบรรยากาศล้วนถูกปกคลุมด้วยอิทธิพลของโซออน หนึ่งในสายพันธ์ครึ่งมนุษย์
ทว่ารัฐฮอลเมียปรารถนาเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก จึงขยายพื้นที่และเข้าครอบครองมาจนถึงที่ราบแห่งนี้ นี่เป็นเรื่องราวเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน
แน่นอนว่าแรกเริ่มเผ่าพันธุ์โซออนย่อมขัดขืน ปะทะแลกเปลี่ยนทั้งเลือดทั้งดาบจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อที่ราบแห่งนี้
ลำพังโซออนนั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ ทว่าเบื้องหน้ากองทัพมนุษย์ที่มีการจัดระเบียบมาอย่างดี หลังกองทัพที่ไม่เป็นเอกเทศนั้นไร้ความหมาย ในที่สุดโซออนก็ถูกขับไล่ออกจากสถานที่ที่เคยเป็นของตนทั้งยังสังเวยชีวิตไว้มากมาย พวกมันถูกไล่ไปอยู่ในหุบเขาอันเป็นส่วนขยายจากเขตสันเขาดอร์นาสอันตั้งอยู่บริเวณทางเหนือของทุ่งหญ้า อาศัยอยู่ทั้งยังหลบซ่อนตัว
ทว่ากระทั่งยามนี้พวกมันก็ยังมุ่งหน้าลงสู่ที่ราบเป็นระยะเพื่อทวงคืนแผ่นดินของตน จึงมีการสร้างป้อมปราการแห่งหนึ่งขึ้นเบื้องหน้าเขตภูเขาเพื่อป้องกันการบุกโจมตีเหล่าชาวนาโดยโซออน
เซเทียสนำกองกำลังกลับสู่ป้อมในวันที่สามหลังกวาดล้างลัทธิบูชาปีศาจ
เขาดุด่าพลทหารที่ถอนใจอย่างผ่อนคลายเกินไปยามก้าวข้ามประตูเข้าสู่ป้อมปราการ เซเทียสสั่งพวกเขาเขียนรายงานและจัดการเก็บของให้เรียบร้อย จึงเห็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหาร มาโครนิอัส เขาทำท่าวันทยาหัตถ์ตบเท้าเสียงดัง
“หัวหน้าหมวดเซเทียส กลับสู่ฐานแล้วขอรับ!”
“ดีมากเซเทียส”
มาโครนิอัสเป็นชายที่ย่างเข้าสู่วัยกลางคน บนใบหน้ามีรอยแผลเป็นจากดาบหลายรอยคล้ายดั่งหลักฐานของเรื่องเล่าในกองทัพ
“ลัทธิบูชาปีศาจที่ลักพาตัวบุตรสาวชาวนาถูกกวาดล้างเรียบร้อย ฝั่งหมวดของข้าไม่มีรายงานความสูญเสียขอรับ!”
มาโครนิอัสยิ้มอย่างพอใจยิ่งกว่าเดิมยามทราบว่าทางหมวดไม่ได้รับความเสียหาย ทว่าเมื่อได้ยินเสียงดังลั่นจากเบื้องหลัง สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง
“เจ้าโง่ เจ้าหนอนบัดซบ! เดินให้เร็วขึ้นไม่ได้รึ?! เร็วเข้า เดินให้เร็วเข้าหน่อย!”
ผู้ตะโกนถ้อยคำหยาบคายเหล่านั้นเป็นชายร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ เขาสวมชุดมุขนายกสีขาวตัดกรมท่า ทว่ามองอย่างไรก็ไม่คล้ายผู้อยู่ในศาสนาแม้แต่น้อย รูปลักษณ์นั้นกลับเหมาะกับการพูดคุยถึงอาหารหรือแผนร้ายเพื่อหาเงินมากกว่าจะเป็นผู้ภาวนาร้องขอความรักจากสวรรค์
มุขนายกผู้นั้นขึ้นเสียงขณะนั่งอยู่บนเกี้ยวที่ถูกแบกหามโดยชายสองคนที่เปลือยท่อนบน ในมือของมุขนายกสะบัดแส้ม้าไปมา
“ดูทางนี้ ดูทางนี้ ท่านมุขนายกมิลดาส มีสิ่งใดทำให้ท่านต้องเร่งมายังสถานที่เช่นนี้ได้เล่า?”
มาโครนิอัสซ่อนสีหน้ารำคาญใจ ทักทายมุขนายกด้วยทีท่าเปิดเผย
มุขนายกมิลดาสผู้นี้ถูกเรียกจากเหล่าทหารในป้อมปราการว่าเป็น ‘เจ้าหมูตอน’ และ ‘เจ้าคางคกเหี่ยว’ ทว่าอย่างไรก็นับเป็นมุขนายกของทางการผู้หนึ่ง ในทวีปนี้ศาสนจักรนั้นมีอำนาจ เขานับเป็นคู่ปรับที่กระทั่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดยังต้องระมัดระวัง ไม่ต้องเอ่ยถึงผู้ช่วยผู้บัญชาการแม้แต่น้อย
“ไม่ ไม่เลยท่านมาโครนิอัส เป็นพวกลัทธิบูชาปีศาจทังนั้นที่กระทำผิดต่อศาสนจักร ผู้รับใช้พระเจ้าเช่นข้าจึงต้องเคร่งเครียดจริงจังนัก ทนรอมิได้ ข้าผู้น้อยจึงต้องรีบมาโดยไว”
กล่าวดังนั้นแล้วมุขนายกมิลดาสก็หัวเราะเสียจนคอที่พอกด้วยชั้นไขมันสั่นกระเพื่อมไหว
“ข้าสงสัยนักว่าพวกลัทธิบูชาปีศาจวิปลาสนั่นเป็นอย่างไรแล้ว?”
เซเทียสสั่งพลทหารนำถุงผ้าลินินและไหขนาดหนึ่งคนแบกได้พอดีมา
คราแรกเซเทียสหันไปแก้ปมเชือกที่มัดถุงผ้า แล้วจึงเผยให้เห็นของข้างใน
ในนั้นเป็นหูของมนุษย์ที่ถูกตัดออกมา
“เรานำมาเพียงหูขวาเพื่อเป็นหลักฐานว่ากวาดล้างลัทธิบูชาปีศาจเรียบร้อยแล้วขอรับ”
การนำศีรษะของพวกบูชาปีศาจทุกคนกลับมาเป็นเรื่องยากเกินไป จึงทำเพียงตัดหูขวามาแทน
ต่อมา เซเทียสเปิดฝาไหที่วางอยู่บนพื้น ดึงเอาศีรษะที่ถูกดองไว้ในเกลือขึ้นมา
“และดังที่ท่านสั่งขอรับ ศีรษะผู้นำลัทธิปีศาจให้แช่เกลือไว้ดังนี้”
มุขนายกมิลดาสฟาดแส้ใส่หนึ่งในชายที่แบกเกี้ยวเขาไว้บนบ่า
“รีบวางเกี้ยวลง เจ้าพวกไร้สมอง!”
ชายผู้นั้นวางเกี้ยวลงโดยคุกเข่า เขาส่งเสียงร้องเจ็บปวดเบาๆ เมื่อมิลดาสลงจากเกี้ยวโดยใช้หัวของชายผู้นั้นเป็นขั้นบันไดแล้ว เขาแย่งศีรษะในมือเซเทียสไปดู
เซเทียสมองชายผู้ยามนี้ล้มลงบนพื้นอย่างเห็นใจ เขาตัวสั่นเนื่องจากถูกใช้ศีรษะเป็นขั้นบันได ยังมีร่องรอยบาดลึกจากแส้สลักตามเนื้อหนัง เขาสวมชุดขาดรุ่งริ่ง อาบชุ่มด้วยเลือดจากบาดแผลเหล่านั้น
เขายังคิดว่าการกระทำเช่นนี้นับว่าเลวร้ายเกินไปแม้อีกฝ่ายเป็นทาส ทว่าเมื่อมองให้ดีก็เห็นว่าชายผู้นั้นไม่ใช่มนุษย์ ส่วนสูงของพวกมันมีขนาดเพียงเท่าเด็ก ทว่ากลับมีหนวดเคราปกคลุมใบหน้า ทั้งยังมีรูปร่างแข็งแกร่ง พวกมันคือเผ่าพันธุ์ครึ่งมนุษย์ที่เรียกว่าคนแคระ
เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงเข้าใจทันทีว่าเหตุใดมุขนายกจึงกระทำเช่นนั้น
สำหรับศาสนจักรซึ่งได้รับการสั่งสอนว่ามนุษย์คือผู้มีอำนาจสูงสุด ครึ่งมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตด้อยค่าแล้วนั้น เผ่าพันธ์อื่นล้วนสมควรถูกกำจัดเนื่องจากเคยกระทำเลวร้ายต่อมนุษย์มามาก
มิลดาสส่งเสียงร้องอย่างดีใจเมื่อเห็นศีรษะเบื้องหน้า
“โอออ! นี่ย่อมเป็นศีรษะผู้นำลัทธิบูชาปีศาจแล้ว! ดียิ่ง! เจ้าทำงานได้ดียิ่ง!”
เขาเก็บศีรษะลงนั้นลงไหคล้ายดั่งของมีค่า หนีบมันไว้ในวงแขน เผยรอยยิ้มเคลิบเคลิ้ม
“ข้า-ข้าจะรับผิดชอบนำศีรษะนี้กลับไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์เอง! ดังที่หวังจากท่าน ท่านมาโครนิอัส! นี่คือผลงาน เป็นผลงานแล้ว!”
มาโครนิอัสเห็นท่าทีมิลดาสก็ทราบว่านั่นคงมิใช่ศีรษะผู้นำลัทธิบูชาปีศาจธรรมดา ทว่าเลือกจะปล่อยผ่านไปโดยโค้งตัวเล็กน้อยไม่ส่งเสียง
ดูคล้ายว่าคนจะอารมณ์ดีแล้ว เช่นนั้นไม่จำเป็นต้องเขย่าพุ่มไม้ไล่งูอีก ทำให้คนผู้นี้อารมณ์ดีได้ก็หวังจะให้เขาจากป้อมปราการนี้ไปโดยไว นั่นจึงเป็นความคิดที่แท้จริงของเขา
เป็นเช่นการคาดเดาของมาโครนิอัส ชายชราผู้ถูกขนานนามว่าเป็นผู้นำลัทธิปีศาจนี้มิใช่เพียงชายชราธรรมดาเช่นกัน เขาเคยเป็นถึงหนึ่งในอัครมุขนายกผู้ควบคุมศาสนาจักรในเมืองศักดิ์สิทธิ์ เขายังมีอิทธิพลกว้างขวางในฐานะผู้นำตระกูลเมื่อหลายปีก่อน
ทว่าเนื่องด้วยพ่ายแพ้ต่อการปฏิวัติภายในศาสนจักร เขาจึงถูกริบทุกสิ่งทั้งตำแหน่งสิทธิเสียง ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นตราบาปผู้นำลัทธิปีศาจทั้งตระกูล
เขาได้ข้อมูลอย่างไรจากไหนน่ะหรือ? มิลดาสทราบว่าพวกมันหลบหนีมายังพื้นที่บริเวณนี้เมื่อไม่นานมานี้ จึงเกิดความคิดพร้อมแผนการสังหารชายชราโดยใช้กำลังทหารของป้อมปราการ พร้อมกันนั้นก็ทำเป็นว่าได้รับคำสั่งจากพระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นที่รัก
แม้จะถูกริบทุกสิ่ง เขาก็ยังเป็นชายชราผู้เคยอยู่ในจุดที่เกือบจะสูงสุดของศาสนจักร สำหรับอัครมุขนายกผู้ควบคุมศาสนจักรในยามนี้ เขาย่อมเป็นเสี้ยนหนาม หากเขากลับเข้าศาสนจักรพร้อมศีรษะมันเข้าไป ย่อมได้รับความชื่นชมไว้ใจ ดังนั้นแล้วการได้ทำงานที่ศาสนจักรก็มิใช่ความฝัน
เซเทียสส่งเสียงเรียกมิลดาสที่ยิ้มกว้างจินตนาการถึงชื่อเสียงที่จะได้รับ
“ท่านมุขนายกมิลดาสขอรับ ข้าขอเรียนถามสิ่งหนึ่งได้หรือไม่?”
ถูกขัดขวางการฝันกลางวันเช่นนี้ คำตอบของมิลดาสจึงไม่พอใจยิ่ง
“ได้ ได้ ข้ารู้ ข้าย่อมรายงานการทำงานของเจ้าเช่นกัน ไม่ต้องกังวล”
“ข้า...ข้ามิได้หมายความถึงเรื่องนั้นขอรับ” เซเทียสลดเสียงลง “อันที่จริง พวกข้ายังค้นพบเด็กหนุ่มน่าสงสัยอยู่ในรังลัทธิบูชาปีศาจขอรับ”
“เจ้าว่าเด็กหนุ่มน่าสงสัยหรือ? พูดเรื่องโง่งมอะไรกัน? หากเขาอยู่ในรังของลัทธิบูชาปีศาจ ย่อมเป็นหนึ่งในสาวกลัทธิเช่นกัน เพียงรีบตัดหัวมันก็ใช้ได้แล้ว”
มิลดาสเย้ยหยันให้เขาเป็นตัวตลก ทว่าเสียงของเซเทียสกลับยิ่งเบาลง
“คือ อันที่จริง คล้ายว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นจะเป็นพระบุตรขอรับ”
เมื่อเอ่ยคำจบ ไม่เพียงมิลดาส กระทั่งมาโครนิอัสที่ฟังอยู่อย่างเงียบๆ ด้านข้างก็เผยสีหน้าแข็งทื่อ
“เป็นพระบุตรแห่งเทพเช่นใดกัน?”
“น่าอับอายยิ่ง ทว่าข้ามิทราบเขาเป็นพระบุตรแห่งเทพพระองค์ใด จึงนำตัวเขามาเพื่อให้ท่านมุขนายกได้ตรวจสอบขอรับ”
มิลดาสเย้ยหยันเขาเป็น ‘คนโง่งม’ ใครก็ตามที่ถูกเลือกเป็นพระบุตรย่อมมีตราประทับอยู่บนร่างกาย เมื่อเห็นตราประทับ ใครก็ทราบได้เพียงมองรอบเดียวว่าได้รับเลือกจากเทพองค์ใด การไม่ทราบย่อมหมายความถึงการขาดความรู้
คิดว่าการเผยความรู้ขั้นสูงของตนให้ทหารผู้น้อยไร้ความรู้ในพื้นที่ห่างไกลก็มิใข่เรื่องยาก มิลดาสจึงให้เซเทียสนำทางไปยังเด็กหนุ่มผู้นั้น
“นี่คือเด็กหนุ่มที่ถามถึงขอรับ”
เซเทียสชี้เด็กหนุ่มผมดำที่นอนอยู่ในเกวียนขนของ
มิลดาสขมวดคิ้ว กระทั่งเขาก็เพิ่งเคยเห็นมนุษย์ผมดำเป็นคราแรก นอกจากนั้น เสื้อผ้าแปลกประหลาดนั่นคืออะไรกัน?
“และนี่คือ ‘ตราประทับ’ ขอรับ”
กล่าวแล้วเซเทียสก็ปัดผมที่ปรกหน้าผากของเด็กหนุ่มขึ้น
รูปร่างคล้าย 8 และ ∞ รวมกัน ทอประกายอยู่บนหน้าผากของเด็กหนุ่ม
“นี่...นี่มัน?”
มิลดาสตัวแข็งทื่อ แม้ก่อนหน้านี้เขาโอ้อวดไว้มาก ทว่าตราประทับบนหน้าผากเด็กหนุ่มกลับแตกต่างจากที่เขาเคยรู้จักมา ยามนี้ย่อมบอกมิได้ว่าเขาไม่รู้จัก เขาตัดสินใจพูดเอาตัวรอดไปก่อน ทว่าเมื่อมองตราประทับอีกครั้ง ก็คล้ายบางสิ่งสะกิดอยู่ในซอกมุมของความทรงจำ
ให้เขามองอีกคราว คล้ายกับว่าจะเคยเห็นตราประทับนี้ที่ไหนมาก่อน…?
“...! อ๊ะ อ๊าาา!!!”
เซเทียสและมาโครนิอัสเบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะเสียงกรีดร้องกระทันหันของมิลดาส
มิสดาสกระโดดขึ้นเกี้ยวจนเกิดเสียงดังลั่น
“ท-ท่านมาโครนิอัส! ห้ามมิให้เด็กหนุ่มผู้นี้หนีไปไหนเด็ดขาด! ร-รายละเอียดจะตามไปทีหลัง!”
พูดแล้วเขาก็จากไปอย่างรวดเร็วโดยฟาดแส้ใส่ทาสชาวคนแคระอย่างรุนแรง
เซเทียสและมาโครนิอัสมองหน้ากันอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
รู้ตัวอีกที กระทั่งโหลใส่ศีรษะผู้นำลัทธิบูชาปีศาจก็ถูกลืมวางทิ้งไว้เสียแล้ว
◆◇◆◇◆
เมื่อมิลดาสกลับถึงห้องพักของตน เขาก็เริ่มค้นหาหนังสือจากชั้นหนังสือที่เรียงราย
“ผิดแล้ว! ไม่ใช่เล่มนี้เช่นกัน! อยู่ไหนกัน!? มันอยู่ไหน?!”
เขาโยนหนังสือออกจากชั้นหนังสือเสียจนห้องระเกะระกะไปด้วยหนังสือนิยายรักหวานซึ้งอันไม่น่าจะมาปรากฏในห้องของมุขนายกผู้หนึ่งได้
“บัดซบ! ข้าเอามันไปไว้ที่ไหน?-ช-ใช่แล้ว! มัยคงอยู่ในกล่องเก็บของแน่!”
จากนั้นเขาจึงเปิดฝากล่องไม้ตรงมุมห้องที่ถูกปกคลุมด้วยฝุ่น เริ่มค้นของข้างในด้านใต้สิ่งของเช่นรูปเคารพที่ถูกหักแขนเพื่อให้สามารถยัดเข้าไปในกล่องได้ ยังมีพระคัมภีร์ที่ยังดูเหมือนใหม่เนื่องด้วยไม่เคยถูกเปิด ท้ายที่สุดจึงพบหนังสือที่ตามหา
หน้าปกเขียนว่า ‘บันทึกของออกุสโต’
สำหรับศาสนจักร พระผู้ช่วยให้รอดผู้วิมลผู้ได้รับการสรรเสริญในฐานะพระบุตรแห่งพระองค์เจ้า และยังเป็นผู้ก่อตั้งศาสนจักรอีกประการหนึ่ง หนังสือเล่มนี้ได้จดบันทึกบทสนทนาแห่งออกุสโตผู้เป็นหนึ่งในอัครสาวกของพระองค์
ทว่าเนื่องจากเขาบันทึกทั้งชีวิตประจำวัน ความประพฤติทั้งหลาย และถ้อยคำของพระผู้วิมลอย่างแข็งทื่อ จึงถูกจารจำว่าเป็นบันทึกที่น่าเคลือบแคลงอยู่บ้าง ด้วยไม่สะดวกต่อการตีความของศาสนจักรผู้ตีความว่าพระผู้วิมลนั้นคือพระผู้ช่วยให้รอดและพระบุตรแห่งพระองค์เจ้า
“ถ-ถ้าจำไม่ผิดละก็ เป็นแถวๆ นี้...”
เขาเลียนิ้วป้อมๆ คล้ายหนอนตัวอ้วนแล้วพลิกหน้ากระดาษผ่านไป
“...! เจอแล้ว!”
เป็นส่วนที่บันทึกการสนทนาระหว่างพระผู้ช่วยให้รอดผู้วิมล ซึ่งท้ายที่สุดจึงสามารถปรากฏตัวต่อหน้าเทพแห่งมนุษย์หลังบำเพ็ญทุกรกริยาเป็นระยะเวลายาวนานกว่าสองเดือน
ท่ามกลางบทสนทนายาวสามวัน ยังมีช่วงจังหวะที่เทพแห่งมนุษย์ทรงออกจากสถานที่พบปะไปยังที่แห่งอื่นด้วยเหตุบางประการ กล่าวว่ายามนั้นมีเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งปรากฏขึ้นจากที่ไหนสักแห่งเบื้องหน้าพระผู้วิมล
ในพระคัมภีร์กล่าวว่าเป็นปีศาจเข้ามารบกวนบทสนทนากับพระผู้เป็นเจ้า จึงมีนางฟ้ามาเพื่อปกป้องพระผู้วิมลในช่วงเวลาที่เทพแห่งมนุษย์ไม่อยู่ ทว่า ใน ‘บันทึกของออกุสโต’ กลับจดบันทึกไว้ว่า 『ผู้ปรากฏขึ้นจากสายหมอกยามเช้าเป็นเด็กหญิงผู้มีตราประทับอันน่าพิศวงเปล่งประกายอยู่บนหน้าผาก ดังที่ข้าได้รับบอกกล่าวจากอาจารย์』
ในบันทึกได้กล่าวไว้ เด็กหญิงผู้นี้ถามคำถามต่อพระผู้วิมลหลายคำถาม ทว่าพระผู้วิมลล้วนตอบคำถามเหล่านี้โดยมิได้เห็นแก่ครึ่งมนุษย์ ยกย่องความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ และความสูงส่งของเทพแห่งมนุษย์
ได้ยินพระผู้วิมลตอบดังนั้น เด็กหญิงจึงเอ่ยเพียงถ้อยคำหนึ่งเดียว 『เจ้าเป็นมนุษย์ที่น่าขบขันนัก』 แลหายไปในสายหมอกยามเช้า เช่นเดียวกับยามนางปรากฏกาย
เมื่อเทพแห่งมนุษย์กลับมา ก็ตรัสถามพระผู้วิมลว่ามีผู้ใดมาเยือนสถานที่แห่งนี้หรือไม่ แม้เห็นว่าแปลกนักที่เทพแห่งมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่กลับมิอาจสัมผัสเด็กหญิงผู้นั้น ยังทูลตอบพระผู้เป็นเจ้าว่าได้พบนาง ให้พระผู้เป็นเจ้าสับสนยิ่งแล้ว
ขณะไล้ปลายนิ้วสั่นเทาไปตามตัวอักษร มิลดาสอ่านออกเสียง
“อาจารย์ถามพระผู้เป็นเจ้าถึงเด็กหญิงผู้นั้น และเมื่อกระทำเช่นนั้น อาจารย์ก็ได้บอกต่อข้า ว่าเทพแห่งมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ตรัสดังนี้ 『นางคือเทพีออร่า ผู้เป็นมารดาและพี่สาวคนโตของข้า เจ้าต้องไม่สรรเสริญออร่า เจ้าต้องไม่เหยียดหยามออร่า เจ้าต้องไม่พูดถึงออร่า เจ้าต้องไม่ถูกสัมผัสโดยออร่า เจ้าต้องไม่ทราบถึงออร่า』”
เมื่อเขาพลิกหน้ากระดาษไป จึงพบภาพวาดของเด็กหญิงผู้ถูกเอ่ยถึงซึ่งวาดโดยออกุสโตขณะฟังเรื่องราวจากพระผู้วิมล ตราประทับบนหน้าผากของเด็กหญิงเสมือนดังที่ปรากฏอยู่บนหน้าผากของเด็กหนุ่มผู้นั้นไม่ผิดเพี้ยน
ตราประทับน่าขนลุกคล้ายสัตว์เลื้อยคลานสองตัวขบกัดหางกันและกันยามบิดกายคดเคี้ยวเลื้อยพันอีกฝ่ายหนึ่ง ยังดูคล้ายการรวมกันระหว่าง 8 และ ∞
“『ด้วยเหตุเพราะ เทพีออร่า ผู้เป็นพระมารดาและพี่สาวของข้า คือเทพีผู้ครอบครองเหนือความตายและความพินาศ』!”
หนังสือร่วงหล่นจากมือของมุขนายกมิลดาสเกิดเป็นเสียงกรอบแกรบ เขาเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง คนยังส่งเสียงผ่านลำคอแห้งผากคล้ายเค้นออก
“เด็กหนุ่มผู้นั้นคือบุตรแห่งออร่า เทพีแห่งความตายและความพินาศ!”
ผู้แปล:
ในส่วนของตัวหนังสือท̴ี̵̸่ถ̴̷ูก̸ข̷ี̴ด̵ท̵ั̴บ̷แ̶บ̵บ̵น̶ี̵้ คือทางคนของโลกฝั่งนี้ได้ยินเป็นคำนี้ แต่ไม่รู้ว่าคำนี้แปลว่าอะไรค่ะ
อารมณ์เหมือนเราได้ยินคนพูดภาษาต่างประเทศอะนะคะ
ส่วนภาษาของต่างโลกนี่เค้าใช้ภาษาเอลฟ์หรือภาษาโนมอะไรทำนองนี้รึเปล่านะ(…)
28/3/2019
แก้ไข
นักบวช เป็น มุขนายก
อาร์คดยุค, นักบวชขั้นสูง เป็น อัครมุขนายก
เด็กชาย เป็น เด็กหนุ่ม
28/3/2019
แก้ไข
นักบวช เป็น มุขนายก
อาร์คดยุค, นักบวชขั้นสูง เป็น อัครมุขนายก
เด็กชาย เป็น เด็กหนุ่ม
0 ความคิดเห็น