[Hakai no Miko] บทที่1 - เรื่องราวที่ 1: การอัญเชิญ




‘...วมะ...โซวมะ…’

ใคร? ใครกำลังเรียกเขานะ?

‘...โซวมะ...ม-...อัญเชิญ...โซวมะ…”

ใคร? นั่นใครกัน?

รู้สึกคล้ายมีใครสักคนกำลังเรียกชื่อเขา คิซากิ โซวมะ สะดุ้งตื่นขึ้นจากการเคลิ้มหลับไป

เขาอยู่ในห้องของเขาเอง

วันนี้โรงเรียนม.ปลายปิด เขาเลยนอนอยู่บนเตียง อ่านแม็กกาซีนรายสัปดาห์ที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อเมื่อตอนบ่าย ดูท่าเขาจะเผลอหลับไป ห้องตอนนี้รกรุงรัง เต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่เขาถอดทิ้งไว้ และหนังสือการ์ตูนที่กระจัดกระจายไปทั่ว ก่อนจะรู้ตัว ห้องก็ถูกอาบย้อมด้วยสีแดงก่ำจากดวงอาทิตย์ยามเย็นที่กำลังลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกเสียแล้ว

เมื่อยกหัวขึ้น หน้าแม็กกาซีนที่แนบแก้มก็ส่งเสียงหลุดลอกร่วงหล่น

“*ฮ้าว*”

โซวมะส่องกระจกโต๊ะเครื่องแป้งที่วางอยู่ข้างหัวเตียง ในนั้นสะท้อนภาพใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ดูเซื่องซึมคนหนึ่ง ผมสั้นสีดำและดวงตาสีดำเผยให้เห็นความขี้อาย หน้าตาของเขาเหมือนเด็กน้อยที่ถูกสาวๆ รุ่นพี่ชมว่าน่ารัก แต่สำหรับเขาแล้ว เขาว่ามันออกจะน่าอายมากกว่า

ทว่าตอนนี้มีรอยหมึกกลมๆ จากหน้านิตยสารบนแก้ม เกิดจากการนอนหลับทับมัน ตอนนี้หน้าเขาเลยดูงี่เง่ามากกว่าจะน่ารัก ขณะที่พยายามถูรอยหมึกออกจากแก้มด้วยหลังมือ โซวมะก็หาวยาวๆ ออกมาอีกครั้ง เดินออกจากห้องกระโดดลงบันได

“แม่ฮะ! เรียกผมเหรอฮะ?!”

“โอ๊ะ โซวมะตื่นแล้วเหรอ? แม่ไม่ได้เรียกนะจ๊ะ”

เสียงของแม่ดังมาจากในครัวพร้อมเสียงน้ำมันจากการทอดอาหาร โซวมะสงสัยว่าเขาคงจะหูแว่วไป

“มาถูกเวลาพอดีเลยโซวมะ เต้าหู้ที่จะทอดหมดพอดีเลยจ้ะ ขอโทษที่รบกวนนะจ๊ะ แต่แม่กำลังทำเทมปุระอยู่ยังออกไปไหนไม่ได้ ลูกไปซื้อมาให้หน่อยได้มั้ยจ๊ะ?”

“อืม ได้สิฮะ”

โซวมะสวมรองเท้าตรงหน้าประตูแล้วหยิบกุญแจจากที่แขวนกุญแจใกล้ชั้นวางรองเท้าเพื่อล็อคจักรยานที่ใช้กันในครอบครัว

จากนั้น พอเขาเอื้มมือไปเพื่อเปิดประตู

โดยไร้ที่มา ภาพเบื้องหน้าเขาก็พร่าเลือน

โซวมะคิดว่าตัวเองคงมึนๆ อยู่บ้างเพราะเพิ่งตื่นนอน แต่อาการเวียนหัวนี้กลับเลวร้ายขึ้นทุกที ตอนนี้เขายืนไม่ไหวและต้องทรุดตัวลงนั่ง ทว่าอาการเวียนหัวนั้นก็ยังไม่หายไป

อีกความรู้สึกแทรกเข้ามาคล้ายร่างเขากำลังลอยขึ้น และคล้ายมีแรงกดหนักๆ ดันเขาลง โซวมะรู้สึกคล้ายกำลังกลายเป็นของเล่น

“โซวมะ ลูกลืมกระเป๋าสตางค์แน่ะ---”

โซวมะพยายามตอบคำของแม่ ทว่าเสียงเขากลับติดขัดเนื่องจากความคลื่นไส้จากในท้อง เขาอยากร้องขอความช่วยเหลือจากแม่ จึงยื่นมือไปคว้าลูกบิดประตูเพื่อดึงตนเองขึ้น

‘...โซวมะ...มานี่สิ โซวมะ…’

เมื่อได้ยินเสียงเรียกนั้นอีกครั้งคล้ายหูแว่ว มือของโซวมะหยุดชะงักกลางอากาศ ไปไม่ถึงลูกบิดประตู

“โซวมะ ลูกลืมกระเป๋าสตางค์...โซวมะ?”

ในยามที่แม่ของเขาเดินออกมาจากประตูครัวพร้อมกระเป๋าสตางค์ในมือ ก็เหลือเพียงลูกกุญแจที่ค้างอยู่ตรงลูกบิด กุญแจจักรยานที่ร่วงหล่นอยู่ที่พื้นด้านหนึ่ง โซวมะหายไปเสียแล้ว

◆◇◆◇◆

เสียง ‘ปัง’ ดังสนั่น ความเจ็บปวดแล่นพล่านทั่วแผ่นหลังของโซวมะ

“อ๊ะ...โอย...อาา…”

โซวมะร้องครวญคราง

เหมือนว่าหลังของเขาจะกระแทกอะไรสักอย่างโดยแรง ทำให้ความเจ็บปวดวิ่งเป็นริ้วไปทั่วแผ่นหลัง นอกจากความเจ็บปวดแล้ว ยังมีความวิงเวียน เหน็ดเหนื่อย และคลื่นไส้ไหลวนไปทั่วร่าง ทำให้เขาร้องครางอย่างทรมาณ

ในตอนนั้นเอง เสียงของผู้คนก็ดังมาจากรอบกาย

เขาลืมตาที่ปิดสนิทขึ้นอย่างใคร่รู้ พื้นที่โดยรอบยามนี้สลัวเลือนราง ทำให้เขาสงสัยว่าพระอาทิตย์ตกตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

เขาคิดว่าตนเองคงหมดสติไป ทว่าก็รู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่าไม่ใช่แบบนั้น

มองไปด้านบนที่มืดสลัว เขาเห็นเพดานขรุขระ--ยังมีหินย้อยเต็มไปหมด

นอกจากนั้น สถานการณ์ตอนนี้ยังดูผิดปกติยิ่งกว่า ขณะที่ครวญครางอย่างทรมาณ เขาก็ยังสำรวจรอบกายไปด้วย ที่จริงเขาควรจะอยู่ที่ประตูบ้าน แต่ตอนนี้เขากลับอยู่ในที่ที่คล้ายกับถ้ำหินที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

หินย้อยเหล่านั้นดูคล้ายก้านกุหลาบใหญ่หนาในถ้ำ กว้างใหญ่พอจะใส่บ้านทั้งหลังเข้ามาได้ ยามถูกอาบไล้ด้วยแสงเทียน ภาพเบื้องหน้าก็ราวกับในนิทาน

และ เบื้องหน้าหินย้อยเหล่านั้น มีกลุ่มชายหญิงกลุ่มใหญ่สวมชุดคลุมสีดำสนิท จ้องมองโซวมะด้วยสายตาตื่นเต้นขณะคุกเข่าลงเบื้องหน้า

“...ผม...อยู่ที่ไหน?”

โซวมะถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ชายชราที่ยืนอยู่แถวหน้าของกลุ่มเอ่ยขึ้น

“Owa! Owa!”

สิ่งที่ออกมาจากปากชายชราผู้นั้นกลับเป็นถ้อยคำที่โซวมะไม่เคยได้ยินมาก่อน

“Diha noiha? Fero ran dirarn noiha!?”

หมอนี่พูดอะไรอยู่เนี่ย? เขาอยู่ที่ไหนกันแน่วะ? แล้วที่บ้านี่มันอยู่ไหนแน่?

แม้คำถามเหล่านี้จะวิ่งวนอยู่ในใจ เขากลับไม่สามารถทำความเข้าใจได้สภาพร่างกายที่เลวร้ายเสียจนลุกไม่ขึ้น ยังมีความรู้สึกคลื่นไส้และเหน็ดเหนื่อยมากขึ้นทุกที ทั่วร่างของเขาร้อนคล้ายตอนดื่มวิสกี้ลงไปตามคำยุของลูกพี่ลูกน้องในคืนส่งท้ายปีเก่า และเขายังปวดหัวตุบๆ สะท้อนไปทั้งกะโหลกในตอนที่เขาพยายามขยับตัว

นอกจากนี้โซวมะยังต้องเผชิญกับความทรมาณจากความคลื่นไส้ในท้อง เมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่งก้มมองเขาอยู่ ก็หลุดเสียงกรีดร้องเบาๆออกมา

ไม่ นั่นไม่ใช่ผู้หญิงที่มีชีวิต

มันเป็นรูปปั้นที่ถูกแกะสลักจากหินย้อย

กรงเล็บคมงอกออกมาจากมือเธอ สองแขนยืดออกมาคล้ายกำลังพยายามโอบอุ้มโซวมะ และเขี้ยวแหลมยื่นล้ำออกมานอกริมฝีปากนั้น แทนที่จะเป็นผู้หญิง เธอเหมือนปีศาจที่แปลงกายเป็นผู้หญิงเสียมากกว่า

ทันใดนั้น มือของใครสักคนก็สัมผัสหน้าผากของโซวมะ

ก่อนจะรู้ตัว ชายชราก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ปัดผมที่ปรกหน้าผากของโซวมะไปทางหนึ่งด้วยมือสั่นเทา ทันใดนั้น สองตาของชายชราที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าก็เบิกกว้างเปล่งประกาย

“Uz yakha kiha! Uz migou seiha!”

ชายชราอุทานอย่างตื่นเต้นเสียจนน้ำลายกระเด็นออกมา

“Uz migou! Uz migou auranos!”

เมื่อชายชราหันไปเผชิญหน้ากับฝูงชน เขาก็ชูมือขึ้น เสียงดังขึ้นอย่างปลื้มปิติ และเสียงฝูงชนก็โห่ร้องดังขึ้นอย่างยินดี

“Magluna Aura! Magluna Aura! Magluna Migou!”

ขณะฟังเสียงโห่ร้องอันปิติที่สะท้อนกึกก้องในถ้ำ เสียงดังจนหูหนวกได้อยู่นั้น สติของโซวมะก็ดับวูบลงสู่ความมืด

◆◇◆◇◆

ชายชราคือผู้พ่ายแพ้

กาลครั้งหนึ่ง ชายชราผู้นี้เคยเป็นชนชั้นสูงผู้มีทั้งอำนาจกว้างขวางและมีสถานที่อันงดงาม ทว่าเมื่อติดกับของกลุ่มคนขี้ขลาด เขาสูญเสียทุกสิ่งที่เคยมี ทั้งเกียรติยศ อำนาจ และเงินตรา ชั่วขณะนั้นไม่เพียงศัตรู ทว่าผู้เคยเชื่อฟังกลับแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ชายชราถูกปาหินใส่ขับไล่ออกจากเมือง ถูกหยามเหยียดทารุณเลวร้ายโดยผู้ต่ำชั้น ปฏิบัติต่อเขาราวหนอนขยะ ชายชราไร้หนทางจึงนำพาสมาชิกในตระกูลหลบหนีสู่ดินแดนห่างไกล

ร่างกายของชายชราผู้ใช้ชีวิตโดยปราศจากความสะดวกสบายใด การหลบหนีย่อมเป็นสิ่งเจ็บปวดแสนสาหัส แม้เช่นนั้น ยามเขามาถึงสถานที่แห่งนี้ ในใจกลับมีเพียงความเกลียดชังและเกรี้ยวกราด

เขาจะกำจัดพวกมันได้อย่างไร!? ความเกรี้ยวกราดนี้! ความโกรธแค้นนี้! ทำลายล้างให้สิ้น!

สิ่งเดียวที่ค้ำจุนร่างกายและจิตใจของชายชราในชั่วขณะนั้นคือความปรารถนาเพื่อล้างแค้น

สิ่งที่ชายชราผู้ถูกความเคียดแค้นครอบงำนั้นนำมาเป็นที่ยึดเหนี่ยว คือคำอธิบายในหนังสือเล่มหนึ่งที่เคยพบในหอสมุดใหญ่แห่งเมืองหลวง

เป็นบันทึกที่จดจารถึงผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และแข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้

ชายชราและสมาชิกในตระกูลล้วนนับถือสิ่งนั้น เพื่อเอาชนะผู้ขับไล่พวกเขา และเพื่อฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ของตระกูลอีกครั้ง

ลักพาตัวบุตรสาวชาวนาชั้นต่ำ บรรณาการหัวใจอาบเลือดอุ่นแสนอุ่นของพวกนาง และสวดภาวนาแรงกล้า

เมื่อสวดภาวนาจนถึงที่สุด จนคล้ายต้องสวดภาวนาไปนิจนิรันดร์ ความเปลี่ยนแปลงพลันอุบัติ

เด็กหนุ่มที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนปรากฏขึ้นภายในวิหาร สถานที่ที่ไม่ควรมีใครอื่นนอกจากสมาชิกตระกูล

“โอ! โอ!”

ชายชราทำได้เพียงร้องดัง มิอาจคิดถ้อยคำใดเนื่องจากความประหลาดใจ

ที่ปากถ้ำอันนับเป็นวิหารแห่งนี้ยังมีคนเฝ้า สถานแห่งนี้ถูกพรางไว้จนยากต่อการพบเจอไม่เพียงบุกรุก ยังคงไร้ซึ่งช่องทางลับใด และในถ้ำซึ่งเป็นส่วนลึกของวิหาร เด็กหนุ่มผู้นี้กลับปรากฏคล้ายก่อกำเนิดขึ้นฉับพลัน

“เจ้า...เป็นใครกัน? เข้ามาได้อย่างไร?”

ชายชราถาม ทว่าเด็กหนุ่มกลับมิได้ตอบคำ คนทำเพียงร้องครวญคราง

เขาเคยได้ยินคำร่ำลือ ถึงชนเผ่าป่าเถื่อนผมดำที่อาศัยอยู่บนเกาะห่างไกล ทั้งยังชุดเสื้อผ้าที่เขาไม่เคยพบเห็น กระทั่งชายชราผู้มั่นใจว่าตนมีความรู้กว้างขวางยังมิอาจทราบตัวตนที่แท้จริงของเด็กหนุ่มผู้นี้

เมื่อเด็กหนุ่มกลิ้งพลิกตัวหันหน้าขึ้น ร่ำร้องเจ็บปวด บางสิ่งก็เตะตาชายชรา

เขายื่นมือออกไปอย่างระมัดระวัง ปัดผมที่ปรกหน้าเด็กหนุ่มผู้ครวญคราง เผยให้เห็นหน้าผากนั้น

สิ่งนั้นบนหน้าผากมิใช่ความผิดพลาดดังคาด ไม่ กลับเป็นสิ่งที่เขาเฝ้าหวังปรากฏขึ้นตรงนี้จริงๆ แล้ว

“เป็นตราประทับ! คนผู้นี้คือพระบุตร!”

สิ่งที่ปรากฏนั้นรูปร่างคล้ายการผสมผสานของเลข 8 และ ∞ ทอประกายอยู่บนหน้าผากของเด็กหนุ่ม ยามถูกอาบย้อมด้วยแสงเทียน รูปร่างของมันดูคล้ายงูสองตัวขดพัน กัดหางกันและกันยามบิดกาย เป็นตราประทับที่น่าขนลุกยิ่ง

“บุตรแห่งสวรรค์! พระบุตรแห่งออร่า!!”

ชายชรากายสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นและสุขล้น หันหน้าสู่สมาชิกในตระกูล ตะโกนดัง

สมาชิกในตระกูลล้วนกลั้นใจเฝ้ามอง ยามนี้ได้ยินคำเอ่ยนั้น ระเบิดเสียงเฮดังสนั่น

“ออร่าผู้ยิ่งใหญ่! ออร่าผู้ประเสริฐ! บุตรแห่งเทพผู้ประเสริฐ!”

ทุกคนล้วนร่ำไห้ยินดี ระเบิดเสียงเสียจนแหบแห้ง

ในที่สุด ออร่าก็ทรงประสาทคำอธิษฐานแห่งตระกูลให้เป็นจริง ในที่สุดกาลเวลาจึงเห็นแก่ความปรารถนาแรงกล้าของตระกูล!

ทุกคนล้วนปลื้มปิติทั้งยังตื่นเต้น

ความยากลำบากทั้งหลายที่พบประสบมามีมากเท่าใด ความยินดียิ่งเท่าทวี

“ฮ่าฮ่าฮ่า...วะฮ่าฮ่าฮ่าา!!”

ชายชราผู้นั้นหัวเราะดังกว่าใครทั้งสีหน้าปรีดาอันบิดเบี้ยวไม่น่ามอง

“พินาศสิ้น! ผู้ล่อลวงเรา หยามหมิ่นเรา ขับไล่เรา! คนสารเลวเหล่านั้นล้วนต้องถูกทำลายสิ้น วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!!”

ด้วยเหตุดังนี้ ชายชรามิได้สังเกตถึงเสียงก้องสะท้อนทึบหนักที่ดังมาจากปากถ้ำ

“โจมตี!!!”

พร้อมเสียงคำสั่งนั้น ลูกธนูนับไม่ถ้วนถูกยิงภายในถ้ำแคบ ชายชราถูกธนูดอกหนึ่งปักเข้าที่อก รู้สึกตัวขึ้นด้วยความเจ็บปวดที่เผาไหม้

“!? อ อะไรกัน!?”

ในถ้ำกลับกลายเป็นความโกลาหล

กองกำลังทหารติดอาวุธบุกเข้าจู่โจมด้วยหอกและดาบ สังหารสมาชิกในตระกูลของชายชราลงทีละคน เหล่าผู้คนในตระกูลที่ไร้หนทางใดนอกเหนือไปจากหวังพึ่งออร่าย่อมไร้ซึ่งกำลังต่อสู้หรือแม้แต่จับอาวุธ พ่ายแพ้ลงภายใต้เงื้อมมือทหารโดยไม่อาจแม้แต่จะต่อต้าน

“สังหารลัทธิปีศาจเสียให้สิ้น! อย่าปล่อยไปแม้แต่คนเดียว!”

“พวกนอกรีตสารเลว!”

“ฆ่ามัน! อย่าให้ใครหนีไปได้!”

ท่ามกลางแสงสว่างจากเปลวเทียน เงาร่างนับไม่ถ้วนซวนเซอยู่บนผนังถ้ำคล้ายเริงระบำ ชายชรามิอาจกระทำสิ่งใด มีเพียงมองดูผู้คนถูกสังหารลง

นายกองผู้สวมหมวกติดแถบสีน้ำตาลอ่อนดูโดดเด่นเหนือใครในกองทหาร ย่างก้าวมาเบื้องหน้าชายชรา มือขวาถือดาบที่ถูกย้อมจนเป็นสีแดงด้วยโลหิตของผู้คนในตระกูล

“เจ้าสารเลวคงเป็นผู้นำลัทธินี้กระมัง! ข้าย่อมต้องการศีรษะเจ้า!”

เสียงดาบกวัดแกว่ง ศีรษะของชายชราที่ยังคงเบิกตาโพลงอย่างตกตะลึงร่ายรำขึ้นสู่อากาศ ปลดปล่อยน้ำพุสีเลือด ผู้นำรวบกำเส้นผมขาวบนหัวชายชรายกขึ้นเมื่อมันร่วงหล่นกลิ้งมายังเท้าตน แล้วชูขึ้นสูงที่สุดเท่าที่ทำได้

“ข้าสังหารเจ้าลัทธิสำเร็จแล้ว!”

ในถ้ำแห่งนั้น ทหารล้วนโห่ร้องดีใจ

เหล่าทหารค้นหาผู้ยังคงเหลือลมหายใจ ส่งมอบวาระสุดท้ายให้ เสียงหวีดแหลมของหอกทิ่มแทงสู่เนื้อ เสียงครวญครางต่ำของพวกเขาผู้ถูกสังหารสะท้อนก้องในถ้ำ

ขณะผู้นำมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงครางต่ำๆ ลอยมาจากเบื้องหลัง

“อุ...อูย…”

อาจเป็นสาวกลัทธิปีศาจที่ยังมีชีวิต เขายกดาบขึ้น สำรวจรอบด้านอย่างสงสัย

ยามนั้นเอง เขาจึงพบร่างของเด็กหนุ่มที่นอนครวญครางเจ็บปวดอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นของพระเจ้าผู้ชั่วร้าย

หือ ยังมีผู้รอดชีวิตเหลืออยู่อีกหรือ? ผู้นำยกดาบขึ้นสูง ทันใดนั้น มือเขากลับหยุดชะงัก

เด็กหนุ่มผมดำสวมเครื่องแต่งกายแปลกตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ดูอย่างไรก็ไม่น่าเชื่อว่าเป็นสาวกลัทธิปีศาจ ทว่าดูไม่เหมือนเด็กที่ถูกลักพาตัวมาจากหมู่บ้านโดยรอบนี้

ทันใดนั้น ผู้นำผู้ลังแลไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรก็เห็นอะไรบางอย่างภายใต้ผมที่ปรกหน้าผากเข้า เขาใช้ปลายดาบเขี่ยเส้นผมออกอย่างระมัดระวัง แล้วจึงพูดไม่ออก

“...?!”

ไม่ว่าจะกระพริบตากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง สิ่งนั้นบนหน้าผากเด็กหนุ่มก็ไม่หายไป

“นี่...นี่มันสลักประทับ?! เด็กคนนี้เป็นพระบุตรหรอกรึ?!”

ผู้นำเบิกตากว้าง ก้าวถอยหลังทั้งตัวสั่นกลัวโดยไม่ตั้งใจ

ในรายงานสถานการณ์ครานั้น ผู้นำได้จดบันทึกดังไว้ดังนี้

『ในที่สุดวันนี้เราก็ค้นพบแหล่งซ่องสุมลัทธิบูชาปีศาจที่ลักพาตัว คร่าสังหารเด็กเล็กและเด็กสาวจากหมู่บ้านโดยรอบอย่างน่าสยดสยอง

ข้าพเจ้ามีพลทหารยี่สิบสี่นายเคียงข้าง คราแรกเรายิงสังหารผู้เฝ้ายามที่ปากถ้ำสองนาย แล้วจึงบุกเข้าไปในถ้ำ

กลิ่นน่าสงสัยลอยอบอวลภายในถ้ำนั้น ยังมีลัทธิบูชาปีศาจจำนวนมากอยู่ในระหว่างการเฉลิมฉลองอันแปลกประหลาด

ข้าพเจ้านำทหารบุกเข้าโจมตียังที่แห่งนี้ พวกเราได้สังหารสาวกลิทธิบูชาปีศาจจำนวนสี่สิบสองชีวิต รวมไปถึงชายชราผู้ปรากฏว่าเป็นเจ้าลัทธิ

ในระหว่างนั้นข้าพเจ้าพบเข้ากับเด็กหนุ่มอยู่บริเวณตีนรูปปั้นปีศาจอันคาดว่าเป็นสิ่งที่พวกลัทธิให้ความเคารพบูชา

บนหน้าผากของเด็กหนุ่มผู้มีเส้นผมสีดำและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแปลกประหลาด มีตราประทับที่ข้าพเจ้าไม่เคยพบมาก่อน เนื่องด้วยไม่ทราบว่าเขาเป็นบุตรแห่งเทพพระองค์ใด ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจนำเขากลับมายังป้อมปราการ เพื่อรอการตัดสินที่ดีกว่าในภายหลัง』

หลังจากนั้น เขายังคิดสงสัยว่าเป็นเรื่องน่าพอใจหรือไม่ แม้จะเป็นตัวอักษรไม่กี่คำ ทว่าสิ่งนี้นับเป็นเอกสารทางการฉบับแรกอันระบุถึง โซวมะ คิซากิ

◆◇◆◇◆

วีรบุรุษและนักปราชญ์มากมายล้วนสลักชื่อของตนไว้ในประวัติศาสตร์อันยาวนานแห่งทวีปเซลดีส

ในบรรดารายชื่อเหล่านั้น มากมายยิ่งที่ถูกเรียกเป็น วีรทรชน เช่นจอมเผด็จการ และผู้คร่าสังหารหมู่ถูกนับรวมเข้าไปด้วยเช่นกัน

ผู้ทำการปฏิรูปอย่างไร้ความคิด ส่งให้ประชาชนนับหมื่นต้องหิวโหยสิ้นชีพจนถูกขับไล่ [กษัตริย์ผู้โง่เขลา] คาร์ชนาล

วางยาพิษผู้คนมากมาย เช่นสามี, คนรัก และครอบครัว เพื่อชีวิตอันหรูหราของตน [สตรีแห่งพิษ] แมรี่ เซเลน่า

บั่นคอนักโทษประเทศข้าศึก และรังสรรค์ความกลัวในใจกองทัพศัตรู สร้างกำแพงจากศีรษะเหล่านั้น [จอมบั่นเศียร] บากา ยัง

ยังมีชื่อวีรทรชนผู้ชั่วร้ายอีกมากมายอันเป็นที่รู้จัก

ทว่า กระทั่งในหมู่วีรทรชนอันโดดเด่น ยังมีนามของชายผู้หนึ่งที่ถูกจารึกฝังแน่นลงสู่ประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้

กระทั่งยามนี้ ชื่อนั้นก็ยังถูกเกลียดชังแลเคียดแค้น ทำให้ผู้กล่าวริมฝีปากบิดเบี้ยวคล้ายดั่งลิ้มรสพิษร้าย ยามเอ่ยถึงทำให้ทุกคนมีสีหน้าแข็งทื่อขยะแขยงและชิงชังยามได้ยิน

จำนวนผู้เสียชีวิตภายใต้ความวิบัติที่เขารังสรรค์ไต่สูงหลายหมื่นแสน กระทั่งหลังเขาสิ้นชีพไป ยังมีมนุษย์อีกมายมายที่ต้องสังเวยชีวิตลงจากอิทธิพลของเขา

<จักรพรรดิผู้ชั่วร้าย> เกอร์ล่า กูเมชิส อุทิศตนให้แก่การล่าล้างสังหารทุกผู้คน ทั้งชาติศัตรู คนทั่วไป และผู้รักชาติที่ต่อต้านเขา ยังหยิ่งยโสทั้งวาจาและการกระทำ กระทั่งสำหรับเขา ชายผู้นั้นยังทำให้เกอร์ล่าเอ่ยปาก “หากเทียบกับจำนวนผู้ที่ถูกชายผู้นั้นสังหาร การฆ่าล้างที่ข้าทำคงใช้เวลานิรันดร์เพื่อกระทำได้เช่นนั้น”

ชายผู้ทำลายล้างเมืองให้หายไปจากโลกด้วยระเบิดที่คิดค้น ยังทำการทดลองกับนักโทษเป็นๆ ผู้เป็นทั้งเจ้าหน้าที่กองทัพและหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์วิปลาส อ็อตโต ไซเด็นแบร์เชอร์ ยังสรรเสริญชายผู้นั้น “ข้าทำลายผู้คนและบ้านเมือง ทว่าเขาทำลายโลกใบนี้”

ในวันหนึ่งเขาปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหันที่ทวีปเซลดีส

และเขาแพร่กระจายอิทธิพลของตนไปทั่วทั้งทวีปภายในชั่วพริบตา ต่อต้านจักวรรดิที่ปกครองทวีปในห้วงเวลานั้น ทำลายรากฐานของมันลง นำมาสู่ความโกลาหลหลายร้อยปีนับจากนั้น

ผู้คนล้วนขยะแขยง เกลียดชัง หวาดหวั่น ขลาดกลัว และขนานนามเขา『พระบุตรแห่งความพินาศ โซวมะ คิซากิ』


28/3/2019
แก้ไข
เด็กชาย เป็น เด็กหนุ่ม

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น